หัวข้อ: ตาลปัตร และพัดยศ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 กันยายน 2555 17:06:48 ตาลปัตร และพัดยศ ตาลปัตร มีวิวัฒนาการมาจากพัดใบตาลเป็นเริ่มแรก โดยชาวบ้านสมัยก่อนพุทธกาลในประเทศอินเดียและลังกา นำใบตาลมาตัดแต่งเป็นพัดและใช้โบกลมหรือบังแดด มีหลักฐานในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาหลายเล่ม กล่าวว่า พระสงฆ์ได้นำพัดใบตาลนี้มาใช้ โดยถือไปเวลาแสดงธรรมด้วย จึงได้เรียกว่า ตาลปัตร เมื่อชาวบ้านเห็นพระใช้พัดใบตาลก็คิดทำตาลปัตรถวาย เพื่อจะได้บุญกุศล โดยหาสิ่งอื่นที่จะทนทานกว่าใบตาล ซึ่งเป็นของที่ไม่คงทนและไม่สวยงาม เช่น ผ้าไหม ผ้าแพร ไม้ไผ่สาน งาสาน สุดแต่กำลังศรัทธาของผู้ถวาย พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดให้ทำถวายพระด้วย ต่อมาจึงเกิดมีการถวายตาลปัตรที่วิจิตรงดงามเป็นเครื่องประกอบตามสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ขึ้น เรียกว่า พัดยศ การถวายพัดยศเป็นเครื่องประกอบสมณศักดิ์นั้น มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่ามีมานานแล้ว โดยไทยรับประเพณีนี้มาจากลังกา เมื่อครั้งที่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เผยแผ่เข้ามายังดินแดนไทย เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ หรือก่อนสมัยสุโขทัย และได้รับความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมากต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่แสดงว่าพระสงฆ์ถือตาลปัตรเวลาไปแสดงธรรมและใช้บังหน้าเวลาสวดพระอภิธรรม ปรากฏให้เห็นในคัมภีร์และหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหลายเล่ม รวมทั้งประติมากรรม ศิลาจารึก และจิตรกรรมฝาผนัง ตามยุคสมัยต่างๆ อย่างไรก็ดี ไม่มีหลักฐานที่ระบุแน่ชัดว่า พระสงฆ์ถือตาลปัตรในเวลาแสดงธรรมเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดและเหตุใดจึงต้องใช้บังหน้าในขณะสวดด้วย มีผู้รู้สันนิษฐานว่า พระสงฆ์อาจจะใช้เมื่อต้องปลงศพ เพื่อกันกลิ่นเหม็นจากศพที่เน่าเปื่อย เมื่อจะชักผ้าบังสุกุลที่ห่อศพเพื่อนำไปทำจีวร จึงใช้พัดใบตาลนี้ปิดจมูกกันกลิ่นเหม็น ทำให้เกิดเป็นประเพณีของพระสงฆ์ที่จะถือพัดใบตาลไปด้วยเมื่อจะทำพิธีต่างๆ บ้างก็ว่า เนื่องจากจิตของผู้มาฟังธรรมมีหลายระดับ ดังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พระกัจจายนเถระ พระสาวกองค์สำคัญ ซึ่งมีรูปงามว่า ขณะที่ท่านแสดงธรรมโปรดผู้มาฟังธรรม มีสตรีบางคนหลงรักท่าน ด้วยจิตอันไม่บริสุทธิ์นี้จักก่อให้เกิดบาปขึ้น พระกัจจายนเถระจึงอธิษฐานขอให้มีรูปไม่งามเสีย เราจึงเห็นพระกัจจายนเถระมีรูปร่างอ้วนพุงพลุ้ย ไม่งดงาม ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงต้องหาเครื่องบังหน้าในขณะสวด เพราะประสงค์ให้ผู้ฟังมีสมาธิในการฟังธรรม ข้อสันนิษฐานดังกล่าว สอดคล้องกับที่มีกล่าวไว้ในหนังสือ วิมติวิโนทนี ฎีกาวินัยปิฎก แสดงวัตถุประสงค์ของการที่พระสงฆ์ใช้พัดบังหน้าในเวลาสวดแสดงธรรมว่า เพื่อป้องกันมุขวิการ คือ การอ้าปากกว้าง ซึ่งทำให้น่าเกลียดอย่างหนึ่ง และป้องกันมิให้เป็นวิสภาคารมณ์ อันจะทำให้ใจฟุ้งซ่าน ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การที่พระสงฆ์ใช้ตาลปัตรบังหน้าในขณะสวดนั้น ก็เพื่อให้มีความสำรวมและมีสมาธิ. (http://www.sookjaipic.com/images_upload/41042268565959_1.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/41042268565959_1.JPG) ลายปักพระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86501596992214_3.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/80848610566722_4.JPG) ด้ามตาลปัตรงาช้าง ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา "ตาลปัตร" ความหมายตามรูปศัพท์คือใบตาล หรือเติมให้เต็มตามประโยชน์ใช้สอยว่าพัดใบตาล สันนิษฐานว่าการใช้พัดนั้นมีมาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว และวัตถุประสงค์เดิมแท้ก็เพื่อพัดให้เกิดลมเย็นสบาย เช่น พระสารีบุตรใช้พัดพัดถวายพระพุทธเจ้า เป็นต้น ต่อมามีผู้อธิบายว่าพระสงฆ์ใช้พัดเพื่อใช้บังเวลาเห็นอะไรก็ตามที่พระไม่ควรเห็น แต่ไม่น่าจะใช่วัตถุประสงค์ที่แท้ซึ่งมีมาแต่เดิม จากพัดที่ใช้พัดลม ต่อมาในสังคมไทยพระสงฆ์เริ่มใช้พัดในเวลาให้ศีล ให้พร และจากนั้นราชการไทยได้ใช้พัดเป็นเครื่องแสดงสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติให้พระภิกษุนำตาลปัตรมาใช้ในพิธีกรรมใดๆ เลย สำนักงานมหาเถรสมาคมอธิบายเพิ่มเติมว่า ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาหลายท่านให้ข้อสันนิษฐานว่า แต่เดิมตาลปัตรคงมิใช่ของที่ทำขึ้นมาสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะ แต่น่าจะเป็นสิ่งของเครื่องใช้ของชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบเมืองร้อนมาก่อนสมัยพุทธกาลแล้ว ใช้พัดลม บังแดด บังฝน น่าจะมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ และทำด้วยวัสดุต่างๆ ตามฐานะ ตาลปัตรแม้มิได้นับเนื่องให้เป็นสิ่งหนึ่งในบริขาร ๘ ของพระสงฆ์ และไม่เคยพบหลักฐานว่ามีพุทธบัญญัติให้พระสงฆ์ใช้ของสิ่งนี้ในโอกาสใด เพียงพบข้อความปรากฏในคัมภีร์ทางศาสนาหลายแห่ง เช่น หนังสือธรรมบท ว่า "ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา มีพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ถวายงานพัดอยู่ด้านหลัง" และ "พระสารีบุตรถือพัดอันวิจิตรขึ้นไปแสดงธรรมบนธรรมาสน์" และความตอนหนึ่งในพุทธประวัติว่า "พระเจ้าปัสเสนทิโกศลทรงโปรดให้สร้างพัดอันงดงามวิจิตรถวายพระพุทธองค์" เป็นต้น จากความดังกล่าวพอสันนิษฐานได้ว่าการใช้พัดของพระสงฆ์ในยุคแรกนั้น น่าจะใช้เพื่อพัดโบกลมคลายความร้อน ดังจะเห็นได้จากพระสงฆ์ชาวลังกาในปัจจุบันนี้ เวลาสวดมนต์ยังถือพัดไปพัดวีไปในบางโอกาส เพียงพัดนั้นด้ามสั้น มาภายหลังด้วยพระสงฆ์ไปในงานพิธีต่างๆ มักจะนิยมถือพัดไปด้วยแทบทุกครั้งจนกลายเป็นประเพณีสืบมา เมื่อการระบายความร้อนได้มีวิวัฒนาการไปมาก จนพัดโบกลมจะหมดความจำเป็นไปแล้ว การใช้พัดของพระสงฆ์ในยุคต่อมา จึงถือไปเพื่อตั้งบังหน้าเป็นการรักษาธรรมเนียมประเพณี ซึ่งจะทำให้ศาสนพิธีนั้นๆ ดูเป็นพิธีรีตองและเป็นกิจจะลักษณะยิ่งขึ้น มิได้ใช้โบกลมแต่อย่างใด ส่วนการถือพัดยศไปในงานพระราชพิธีและรัฐพิธีนั้น นอกจากเหตุผลที่ว่ายังเป็นการประกาศเกียรติคุณ บอกความสูงต่ำของชั้นยศที่ได้รับพระราชทาน บอกฐานะตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ และบ่งบอกถึงความเป็นบึกแผ่นมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่งด้วย...ที่มา หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด ที่มา :"ตาลปัตร พัดยศ และสมณศักดิ์" หนังสือสารานุกรมไทย โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม ๓๒ หน้า ๗ - ๑๔ จัดทำโดย คณะกรรมการโครงการสารานุกรมไทยฯ สนามเสือป่า ถ.ศรีอยุธยา เขตดุสิต กทม. หัวข้อ: Re: ตาลปัตร และพัดยศ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562 20:10:13 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/76834275490707_r.2_320x200_.jpg) พัดรองพระวิมานไพชยนต์ ที่มา : ตาลปัตรพัดยศ ศิลปบนศาสนวัตถุ พัดรองพระวิมานไพชยนต์ ศิลปะบนตาลปัตรพัดรองที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงรังสรรค์ด้วยความวิจิตรบรรจง ใส่พระทัย ใคร่ครวญด้วยพระปรีชาญาณ มิอาจหานายช่างผู้ใดเสมอเหมือนนั้น ผลงานทุกชิ้นล้วนมีความหมาย มีนัยถึงบุคคลที่ทรงสร้างถวาย หากผลงานชิ้นนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในงานพระบรมศพ พระศพ จะเป็นผลงานที่ใช้เป็นตัวแทนในการน้อมถวายสดุดีความดีทั้งหลายทั้งปวง หรือที่พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์นั้นได้ธำรงซึ่งพระเกียรติยศไว้ขณะยังทรงมีพระชนม์ชีพ นอกจากความรู้สึกประทับใจในการออกแบบของสมเด็จครูแล้ว มักพบพระคาถาธรรมบทซึ่งสมเด็จครูออกแบบไว้ในผลงานตาลปัตรพัดรองหลายชิ้นด้วยกัน แสดงว่าทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีความแตกฉานในอักขระขอมและภาษาบาลี ทรงหยิบยกพระธรรมมาใส่ในงานศิลปกรรมได้อย่างลงตัว ที่มาคำว่า “ไพชยนต์” “ไพชยนต์” มีความหมายบันทึกอยู่ในไตรภูมิพระร่วงซึ่งเอกสารประวัติศาสตร์ที่ถือกันว่าเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาชิ้นแรก ซึ่งพระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือ พญาลิไทย ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วงนั้น กล่าวถึงที่ตั้งของภูมิทั้ง ๓ คือ สวรรค์ มนุษย์ และนรก มีเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเขาทั้ง ๗ และสีทันดรมหาสมุทรสลับกัน ถัดออกเป็นทวีปทั้ง ๔ ที่มนุษย์อาศัยอยู่ แล้วล้อมรอบด้วยกำแพงจักรวาลเป็นชั้นสุดท้าย สวรรค์อันเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดาทั้งหลายนั้น แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ เทวภูมิ ๖ รูปพรหมภูมิ ๑๖ และอรูปพรหมภูมิ ๔ ได้แก่ เทวภูมิ ๖ คือ จาตุมหาราชิกา ๑ ดาวดึงส์ ๑ ยามา ๑ ดุสิต ๑ นิมมานรดี ๑ ปรนิมมิตวสวตี ๑ รูปพรหมภูมิ ๑๖ คือ พรหมปริชชาภูมิ ๑ พรหมปโรหิตาภูมิ ๑ มหาพรหมาภูมิ ๑ ปริตรตาภูมิ ๑ อัปปมาณาภูมิ ๑ อาภัสสรภูมิ ๑ ปริตตสุภาภูมิ ๑ อัปปมาณสุภาภูมิ ๑ สุภกิณหาภูมิ ๑ เวหัปผลาภูมิ ๑ อสัญญีภูมิ ๑ อวิหาภูมิ ๑ อตัปปาภูมิ ๑ สุทัสสาภูมิ ๑ สุทัสสีภูมิ ๑ อกนิฏฐาภูมิ ๑ อรูปพรหมภูมิ ๔ คือ อากาสานัญจายตน ๑ วิญญานัญจายตน ๑ อากิญจัญญายตน ๑ เนวสัญญนาสัญญายตน ๑ สวรรค์ชั้นที่เลื่องลือในด้านความงามและเป็นที่กล่าวถึงมาก คือ สวรรค์ชั้น “ดาวดึงส์” ไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า “อันชื่อว่าดาวดึงส์นั้นตั้งอยู่เหนือจอมเขาพระสิเนรุราชบรรพต อันปรากฏเป็นเมืองพระอินทร์ผู้เป็นพระญาแก่เทพยดาทั้งหลาย” จากข้อความนี้แสดงถึงสถานที่อยู่ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ว่าอยู่บนเขาพระสุเมรุ และเจ้าผู้ครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ คือ พระอินทร์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยังมีปราสาท ซึ่งเป็นวิมานของพระอินทร์ชื่อว่า “ไพชยนต์” สูง ๒๕,๖๐๐,๐๐๐ วา ประดับด้วยเพชรพลอยทั้ง ๗ ชนิดล้อมรอบไว้ มีชั้นชาลา๑ ๑๐๐ ชาลา แต่ละชาลามีวิมาน ๗๐๐ วิมาน แต่ละวิมานมีนางฟ้าอยู่ประจำ ๗ องค์ นางฟ้าแต่ละองค์มีนางอัปสรเป็นบริวาร ๗ นาง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาทไพชยนต์และความยิ่งใหญ่ของพระอินทร์ พระวิมานไพชยนต์ที่นำเสนอในบทความนี้ เป็นชื่อแบบร่างพัดรองที่ระลึกในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และโปรเฟสเซอร์ซี.ริโกลี จิตรกรชาวอิตาเลียนเขียนทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ความหมายของพัดรอง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มีพระปรีชาสามารถในงานวิจิตรศิลป์ไทยทุกสาขา ทั้งสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรีและนาฏศิลป์ พระราชกิจต่างๆ เกี่ยวกับศิลปะที่ทรงปฏิบัติล้วนแสดงถึงพระอัจฉริยภาพอันสูงยิ่ง ผลงานฝีพระหัตถ์ที่ทรงสร้างสรรค์ไว้นับว่าเป็น “ครู” ให้แก่ช่างไทยยุคปัจจุบันจนกล่าวยกย่องถวายพระสมัญญานามว่า “สมเด็จครู” แม้พระบรมวงศานุวงศ์เองต่างถวายพระสมัญญานามอย่างชื่นชมว่าเป็น “นายช่างใหญ่ แห่งกรุงสยาม” “พัดรอง” คือ พัดหรือตาลปัตรที่พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นถวายพระสงฆ์เป็นที่ระลึกในการพระราชพิธีสำคัญ หรือประชาชนสร้างขึ้นเองตามคติทางพระพุทธศาสนา โดย “พัดรอง” เป็นพัดที่ทำขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ใช้ในงานพิธีทำบุญทั่วไป จัดเป็นพัดสำหรับแทนพัดยศ เพราะพัดยศจะใช้เฉพาะในงานพระราชพิธีและรัฐพิธีเท่านั้น ในงานทั่วไปจึงนิยมสร้างพัดสำรองถวายพระสงฆ์ โดยปกติแล้วพระสงฆ์จะวางพัดรองไว้ด้านหน้าขณะสวด ซึ่งการทำพัดรองถวายพระสงฆ์นั้นนับว่าเป็นขนบธรรมเนียมหนึ่งของชาวไทยที่ปฏิบัติสืบทอดมายาวนาน ในสมัยรัตนโกสินทร์ราวรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ตาลปัตรที่พระสงฆ์ใช้กันอย่างแพร่หลายมักทำมาจากใบตาล ทำให้มีรูปทรงไม่สวยงาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นใหม่ โดยให้มีลักษณะเป็นพัดหน้านางหรือรูปไข่ ใช้วัสดุที่ทำจากผ้าแพร ผ้าโหมด หรือผ้าลายดอกต่างๆ พร้อมประดับตกแต่งให้สวยงาม และกำหนดให้ใช้สรรพนามในการเรียกใหม่ว่า “พัดรอง” นอกเหนือจากเป็นเครื่องใช้อย่างหนึ่งของพระสงฆ์แล้วนั้น “พัดรอง” ยังเป็นงานประณีตศิลป์ทรงคุณค่าทั้งในด้านการออกแบบและการปักลวดลายที่ประณีตงดงาม (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39681217405531_r.3_320x200_.jpg) รายละเอียดแบบร่างสี พัดรองพระวิมานไพชยนต์ ตาลปัตร ฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/37663804698321_r.4_320x200_.jpg) (ภาพบน) นมพัดรองพระวิมานไพชยนต์เป็นโลหะชุบทอง (ภาพล่าง) น.ในดวงใจ ภาพสัญลักษณ์ดอกลอย ๔ กลีบ ตาลปัตร ฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ลักษณะแบบร่างสีพัดรอง พระวิมานไพชยนต์ มีองค์ประกอบดังนี้ ๑. เทพบุตรนั่งกุมบังเหียนรถม้า ๔ ตัว ถัดไปเป็นบุษบกหลังคาซ้อน ๔ ชั้น ภายในบุษบกมีพระนามย่อ “ศรี” อยู่ใต้มงกุฎอันเป็นพระนามแทนดวงพระวิญญาณ ประดับพระราชอิสริยยศด้วยฉัตร ๕ ชั้นขนาบทั้ง ๒ ข้าง ที่ปลิวไสวด้วยปะทะสายลมที่พาดผ่านด้านหน้า ราชยานลอยอยู่เหนือกลุ่มเมฆ ๒.ด้านหลังบุษบกมีรูปพญานาคกายสีเขียว หมายถึง ปีมะโรง ปีพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คู่กับสายฟ้าลอยเด่นเหนือบุษบก ซึ่งเป็นพระราชลัญจกรพระปรมาภิไธยประจำล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ คือ “วชิราวุธ” ซึ่งหมายถึง ผู้มีวชิระเป็นอาวุธ คือ พระอินทร์ ๓. นมพัดเป็นรูปเครื่องหมายสภากาชาด หมายถึง สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ พระราชทานกำเนิดและทรงเป็นองค์สภานายิกาสภากาชาดแห่งสยาม แต่ละมุมของเครื่องหมายกาชาดมีตัวเลข ๒๔๖๒ หมายถึง ปีสวรคตของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ลายประจำยามยอดแหลมวางประดับตรงกลางบนเครื่องหมายกาชาดสีแดง ๔. ด้านขวาของภาพมีตัวหนังสือ “น” แทนสัญลักษณ์ น.ในดวงใจ หรือ น.เทียนสิน เป็นความหมายพระนามของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ คือ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ ส่วนสัญลักษณ์ทางซ้ายมือยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าแทนสัญลักษณ์ของสิ่งใด พิจารณาเห็นว่าคล้ายดอกลอย ๔ กลีบ เมื่อพิจารณาจากรูปทรงแล้ว น่าจะมีนัยว่าเป็นสัญลักษณ์ น.ในดวงใจ เช่นกัน ๕.ที่ขอบพัดมีพระคาถาจารึกด้วยอักษรขอมเป็นบทบาลีที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงหยิบยกพระคาถาส่วนหนึ่งจากกรณียเมตตสูตรอันเป็นพระสูตรในขุททกปาฐะ ขุททกนิกายของพระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยการเจริญเมตตา และการปฏิบัติตนเพื่อเจริญในธรรม นำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพานในท้ายที่สุด โดยที่มาของพระสูตรเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ศึกษาพระกรรมฐานจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี แคว้นโกศล ได้เดินทางไปแสวงหาเสนาสนะที่เป็นสัปปายะเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาทางจิต สุดท้ายพระภิกษุทั้งหมดได้บำเพ็ญพระกรรมฐานอยู่ตามโคนไม้ ณ ป่าหิมวันต์ ในปัจจันตประเทศ ทำให้บรรดารุกขเทวดาที่สถิตอยู่ตามต้นไม้ ต่างต้องลงมาจากวิมานของตน เนื่องจากพระภิกษุได้กระทำความเพียร อยู่ ณ โคนต้นไม้ เมื่อได้รับความลำบากและคิดว่าพระภิกษุเหล่านี้ต้องกระทำความเพียรตลอดพรรษาไม่อาจจะไปที่ไหนได้อีก จะยังความลำบากให้แก่พวกตนและลูกหลานของตนอีกยาวนาน เหล่ารุกขเทวดาในถิ่นนั้นจึงรวมตัวกันแสดงอาการอันน่ากลัวเพื่อหลอกหลอนขับไล่พระภิกษุเหล่านั้น เมื่อพระภิกษุได้รับความลำบากกายลำบากใจอย่างยิ่งที่ถูกรุกขเทวดาจำแลงกายหลอกหลอนตนจนไม่อาจบำเพ็ญเพียรเจริญพระกรรมฐานได้ จึงพากันเดินทางไปยังนครสาวัตถีเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงสดับเรื่องราวแล้วจึงทรงตรัสสอนเมตตสูตร และมีพระดำรัสให้ภิกษุทั้งหลายกลับไปเจริญพระกรรมฐานยังสถานที่แห่งเดิม เพื่อให้พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปได้เจริญเมตตาโปรดรุกขเทวดาให้หยุดจองเวรเสีย มีจิตอ่อนโยนมีไมตรีจิตตอบ จึงไม่เบียดเบียนเหมือนก่อน ทั้งยังช่วยปรนนิบัติและคุ้มครองภัยอันตรายอื่นๆ พระภิกษุเหล่านั้นได้พากเพียรเจริญเมตตากรรมฐาน แล้วภาวนาเจริญวัปัสสนาจนบรรลุอรหันตผลสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ทุกรูปภายในพรรษานั้น พระคาถาเมตตสูตรทั้ง ๑๐ บท มีดังนี้๒
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเลือกพระคาถาในบทที่ ๗ คือ
แปลใจความว่า๔ “มารดาถนอมปกป้องรักษาบุตรคนเดียวแห่งตนด้วยชีวิตฉันใด พึงเจริญเมตตาในใจต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงอย่างไม่มีประมาณฉันนั้น” ใจความที่แปลจากพระคาถาบทนี้หากพิจารณาถึงพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงแล้ว ในฐานะพระมารดาของแผ่นดิน พระองค์ทรงถึงพร้อมยิ่งกว่าคำว่า “เมตตา” การที่สมเด็จครูทรงนำพระคาถาบทนี้มาใช้ ย่อมสะท้อนพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยบน์สุขแก่ชาวสยาม สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ทรงมีพระราชหฤทัยตั้งมั่นอยู่ในพระราชจริยธรรมจึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ซึ่งสามารถจำแนกพระราชจริยวัตรโดยสังเขปที่แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาที่ได้พระราชทานแก่ชาวสยาม ดังนี้ - ด้านการศึกษา ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งที่สองขึ้นในประเทศสยาม ทรงพระราชทานชื่อว่า “โรงเรียนสตรีบำรุงวิชา” และทรงเปิดโรงเรียนสำหรับกุลธิดาของข้าราชสำนักและบุคคลชั้นสูงคือ “โรงเรียนสุนันทาลัย” ให้การอบรมด้านการบ้าน การเรือน กิริยามารยาท และวิชาการต่างๆ อีกทั้งทรงจ่ายเงินเดือนครู และค่าใช้สอยต่างๆ และพระราชทานทรัพย์ก่อตั้งโรงเรียนอีกเป็นจำนวนมาก - ด้านการแพทย์และพยาบาล ทรงสนับสนุนการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศสยาม และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ตั้งโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นในโรงพยาบาลแห่งนี้สำหรับเป็นสถานศึกษาวิชาพยาบาลและผดุงครรภ์ของสตรี นอกจากนี้ยังมีพระราชดำริจัดตั้งสภาอุนาโลมแดงและทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นศูนย์กลางบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ซึ่งต่อมาภายหลังได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศสยามกับประเทศฝรั่งเศสเรื่องเขตแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว สภาอุนาโลมแดงจึงใช้ชื่อว่า สภากาชาดสยาม ต่อมาพัฒนาเป็นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทยในปัจจุบัน - ด้านสาธารณประโยชน์ ได้บริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สร้างรูปพระนางธรณีบีบมวยผมประทานให้เป็นสาธารณสมบัติ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้น้ำสะอาดบริโภค ภาพร่างเขียนสีพระคาถาธรรมบทกรณียเมตตสูตร แบบร่างสีพัดรองพระวิมานไพชยนต์นี้มิได้เป็นฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสร้างสรรค์แค่เพียงพระองค์เดียว หากแต่มีโปรเฟสเซอร์ซี. ริโกลี เป็นผู้ระบายสี ดังรายละเอียดในแบบร่างสีบันทึกไว้ว่า (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/53317010940776_r.5_320x200_.jpg) พระวิมานไพชยนต์ ราชยานสมเดจพระศรีพัชรินทราบรมราชินี เสดจสวรรคต ข้าพระพุทธเจ้า นริศ ผูกลายเส้น ข้าพระพุทธเจ้า Carlo Rigoli รบายสี ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวาย ขอเดชฯ วิเคราะห์รูปแบบทางศิลปกรรม โปรเฟสเซอร์ซี. ริโกลี กำหนดทิศทางของแสงเข้ามาทางขวามือใช้พื้นของภาพเป็นเงามืด เขียนสีน้ำเงินและสีน้ำตาลแสดงเส้นโครงร่างของตัวภาพ แสดงค่าน้ำหนักอ่อนแก่ไม่เท่ากัน จุดสำคัญของภาพที่กระทบแสงก่อน เช่น ขอบลวดลายบุษบก ขอบฉัตรก้อนเมฆ อวัยวะกล้ามเนื้อทั้งเทพบุตร ม้า และพญานาคจะระบายด้วยสีสว่างเพียงบางแห่งทำให้ภาพมีมวลปริมาตรของกายวิภาคและวัตถุไม่แบนเรียบ เหมือนภาพจิตรกรรมไทยแบบประเพณี เมื่อภาพนี้ปรับแต่งเป็นรูปขาวดำจะมองเห็นค่าน้ำหนักอ่อนแก่ชัดเจน ตัวหนังสือ “ศรี” ซึ่งอยู่ด้านหลังยังคงโดดเด่นเป็นประธานของภาพด้วยสีที่นำมาใช้ แม้ว่าจะอยู่ในตำแหน่งระยะหลังของภาพก็ตาม หากโปรเฟสเซอร์ซี, ริโกลี ระบายสีตัวภาพโดยไม่ใช้เทคนิคระบายแค่สีที่เป็นแสงสาดส่องกระทบที่ผิวกล้ามเนื้อหรือวัตถุ คือสีเหลืองออกส้มและสีฟ้าอ่อนแล้วนั้น ภาพนี้จะให้ความรู้สึกทึบตัน ไม่เบาสบายเหมือนอย่างที่เห็น เพราะภาพนี้กำลังสื่อถึงการเชิญดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงขึ้นสู่สรวงสวรรคาลัย เมื่อนำไปปักลงบนผ้าสีฟ้า การปักก็รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะใช้เส้นด้ายปักส่วนที่เป็นแสงเสียส่วนใหญ่ วัสดุกระดาษที่ใช้วาดมีสีขาว แต่ด้วยผ่านกาลเวลามาเป็นร้อยปี ทำให้กระดาษมีสภาพออกเหลือง สีพื้นภายในภาพร่างนั้นระบายด้วยโทนสีฟ้าผสมสีเทา หมายถึง ท้องฟ้านภากาศ โดยแทนค่าน้ำหนักสีให้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในภาพมีความเป็นทิพย์กลมกลืนไปในอากาศ ซึ่งคนธรรมดามองด้วยดวงตาเปล่าไม่เห็น (ในทางพระพุทธศาสนาผู้ฝึกสมาธิในระดับหนึ่งจะมองเห็นโลกทิพย์ด้วยตาใน หรือที่เรียกว่า”ทิพยจักษุ”) การร่างภาพนี้แสดงถึงพระปรีชาสามารถของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เป็นอย่างสูง เนื่องด้วยตัวภาพอยู่ในลักษณะด้านตรง สิ่งที่เขียนได้ยาก คือ กายวิภาคของม้าที่กำลังวิ่งทะยานไปข้างหน้า ผู้ที่ร่างภาพแบบนี้ได้ต้องเข้าใจกายวิภาคมวลกล้ามเนื้อ อากัปกิริยาของสัตว์เป็นอย่างดี เส้นขนบริเวณแผงคอต้องแสดงให้เห็นว่ามีสายลมปะทะอยู่ในขณะวิ่งอย่างรวดเร็ว และที่ฉัตรทั้งสองข้างก็แสดงลักษณะให้เห็นว่า ต้องสายลมโบกสะบัดไปข้างหลัง หากพิจารณาฉัตรคู่นี้จะเกิดความสงสัยว่า ทำไมทรงร่างขอบฉัตรพลิ้วไหวให้เข้าหากัน ต่อภายหลังจึงเข้าใจว่าจำเป็นต้องแสดงเส้นแบบนี้เพราะภาพนี้เขียนในมุมมองด้านตรง การจะแสดงให้เห็นว่าฉัตรต้องสายลมจำเป็นต้องเขียนเส้นให้เข้าหากัน หากเขียนเป็นเส้นตรงๆ ขอบฉัตรจะแลดูนิ่งสงบ ซึ่งจะขัดแย้งกับเส้นขนที่แผงคอของม้าซึ่งทรงแสดงให้เห็นว่าพลิ้วสยายไปตามสายลม ส่วนผู้ระบายสีก็มีความเข้าใจว่าแสงกระทบส่วนใด และส่วนใดต้องเป็นเงามืดและจะใช้สีอย่างไรให้ดูเบาสบาย นับได้ว่าโปรเฟสเซอร์ซี.ริโกลี เกิดมาเพื่อเป็นจิตรกรคู่พระทัยสมเด็จครู โดยแท้ (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/89784457782904_r.1_320x200_.jpg) ------------------------------------------------------------------------------------- ๑ หมายถึง ชั้นระเบียงที่ไม่มีหลังคาคลุม มีขนาดกว้างใหญ่ ๒ พระญาณวโรดม (สนธิ์ กิจฺจกาโร), เอกเทสสวดมนต์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๗ (กรุงเทพฯ, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑), หน้า ๓๒-๓๓. ๓ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุณาแปลนัยคำว่า "ยถา" ในความหมายของพระคาถานี้และเทียบอักขระขอมที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ออกแบบไว้บนพัดรองว่า เป็นบทพระคาถากรณียเมตตสูตร ๔ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่มา (ข้อมูล-ภาพ) : พระวิมานไพชยนต์ โดย ภูชัย กวมทรัพย์ นายช่างศิลปกรรมชำนาญงาน กองโบราณคดี กรมศิลปากร นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๖๑ ฉบับที่ ๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๖๑ |