ผู้สละโลก เรื่อง พระสารีบุตร ๒ บัวเหนือน้ำ (ต่อ) ดูก่อนภราดา! คนที่เป็นปทปรมะ (คนที่สั่งสอนไม่ได้) นั้นมีอยู่ ๒ จำพวกคือ พวกหนึ่งปัญญาน้อยเกินไป หรือพวกปัญญาอ่อน อีกพวกหนึ่งมีทิฐิมากเกินไปไม่ยอมฟังความคิดเห็นของใครๆ คนทั้งสองพวกนี้สอนได้ยาก หรืออาจสอนไม่ได้เลยที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเหมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำติดโคลนตมมีแต่จะเป็นเหยื่อของปลาและเต่า
เมื่อเห็นว่าชักชวนอาจารย์ไม่สำเร็จแน่แล้ว ทั้งสองสหายก็จากไป ศิษย์ในสำนักของอาจารย์สัญชัยติดตามไปเป็นจำนวนมาก ประหนึ่งว่าปริพาชการามจะว่างลง สัญชัยเห็นดังนั้นเสียใจจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด ศิษย์ของสัญชัย ๒๕๐ คนคงจะสงสารอาจารย์จึงกลับเสียในระหว่างทาง คงติดตามท่านทั้งสองไปเพียง ๒๕๐ คน
เมื่อทั้งสองถึงเวฬุวันนั้น เป็นเวลาที่พระศาสดากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทอดพระเนตรเห็นสองสหายกำลังมา จึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย สองสหายคืออุปติสสะ และโกลิตะกำลังมา เขาทั้งสองจักเป็นอัครสาวก (สาวกผู้เลิศของเรา)”
ทั้งสองและบริวารถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระผู้มีพระภาคทรงประทานอุปสมบทแบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทา๖
พระศาสดาทรงขยายพระธรรมเทศนาให้พิสดารออกไปมุ่งเอาอุปนิสัยแห่งบริวารของสหายทั้งสองเป็นเกณฑ์เพื่อได้สำเร็จมรรคผลก่อน เมื่อจบพระธรรมเทศนาบริวารทั้ง ๒๕๐ ท่านได้สำเร็จอรหัตผล ส่วนสหายทั้งสองยังไม่ได้บรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไป คงได้เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้น
เพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนั้น? ท่านว่าสาวกบารมีญาณเป็นของใหญ่ ต้องมีคุณาลังการมากมายเหมือนการเสด็จของพระราชา ย่อมมีการเตรียมการมากกว่าสามัญชน อนึ่ง คนมีปัญญามากย่อมต้องไตร่ตรองมากมิได้ปลงใจเชื่อสิ่งใดโดยง่าย ต้องการใคร่ครวญให้เห็นเหตุเห็นผลอย่างชัดแจ้งด้วยตนเองเสียก่อน แล้วจึงเชื่อและปฏิบัติตาม แต่พอสำเร็จแล้วก็ประดับด้วยคุณาลังการทุกประการ อันเป็นบริวารธรรมแห่งสิ่งอันตนได้สำเร็จแล้วนั้น
ภราดา! เปรียบเหมือนการเดินทาง, คนพวกหนึ่งเดินก้มหน้าก้มตางุดๆ เพื่อรีบไปให้ถึงปลายทาง ไม่มองดูสิ่งใดในระหว่างทางเลย เมื่อถึงปลายทางแล้วก็เป็นอันถึงแล้ว แต่หาได้รู้อะไรในระหว่างทางอันเป็นเครื่องประกอบการเดินทางของตนไม่ ส่วนคนอีกพวกหนึ่งค่อยๆ เดินไป ตรวจ ๒ ข้างทางอย่างถ้วนถี่ มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษก็แวะชม จดจำและทำความเข้าใจ คนพวกนี้อาจถึงจุดหมายปลายทางช้า แต่เมื่อถึงแล้วย่อมมีความรู้พิเศษติดไปด้วยมากมาย ฉันใด
ผู้สำเร็จมรรคผลในพระพุทธศาสนาก็ฉันนั้น บางพวกเป็นสุกขวิปัสสโก คือสามารถทำลายกิเลสได้เกลี้ยงหัวใจแต่ไม่มีคุณสมบัติอย่างอื่นเช่นวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ หรืออภิญญา ๖ บางพวกทำลายกิเลสได้เกลี้ยงหัวใจด้วยมีวิชชา ๓ ด้วย บางพวกมีอภิญญา ๖ ด้วย บางพวกมีปฏิสัมภิทา ๔ ด้วย
ภราดา! พระอัครสาวกทั้ง ๒ เป็นผู้พร้อมด้วยอัครสาวกบารมีญาณ แม้จะสำเร็จช้า แต่เมื่อสำเร็จแล้วก็ประดับด้วยคุณาลังการทั้งปวง
บันทึกทางวิชาการท้ายบทที่ ๒ ๑ เวฬุวัน กลันทกนิวาปะ สวนไม้ไผ่เป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต อยู่เชิงเขาคิชกูฏ เวฬุวันเป็นอารามสงฆ์แห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารน้อมถวายพระพุทธเจ้าเพื่อเสด็จราชคฤห์หนแรกหลังจากตรัสรู้แล้ว
๒ เช่นมือข้างหนึ่งจับไฟ อีกข้างหนึ่งจับน้ำแข็ง
๓ โมกขธรรม ธรรมเป็นเครื่องพ้นจากการบีบรัดของตัณหามานะทิฐิ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
The state of salvation ๔ การแสวงหาที่ประเสริฐ เรียก อริยปริเยสนา
Noble search, การแสวงหาอันไม่ประเสริฐเรียก อนริยปริเยสนา
Ignoble search, ดูพระไตรปิฎกเล่ม ๑๔ หน้า ๓๑๔
๕ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๔๒ ข้อ ๒๖
๖ เอหิภิกขุอุปสัมปทา การอุปสมบทที่พระศาสดาทรงประทานเอง เพียงแต่ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุเท่านั้นก็ครองจีวรได้ ไม่ต้องมีพิธีอะไร วิธีนี้เป็น ๑ ใน ๓ แห่งวิธีอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
-------------------------------------------------
ผู้สละโลก เรื่อง พระสารีบุตร ๓. ผ้าขี้ริ้วกับช่อดอกไม้ เมื่อท่านอุปติสสะและโกลิตะ ได้อุปสมบทแล้ว เพื่อน๑พรหมจารีทั้งหลาย นิยมเรียกท่านว่า ‘สารีบุตรและโมคคัลลานะ’ แม้พระตถาคตเจ้าเองก็ตรัสเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน นามอุปติสสะและโกลิตะได้หายไปพร้อมกับการอุปสมบทของท่านทั้งสอง
พระโมคคัลลานะเมื่ออุปสมบทแล้วได้ ๗ วัน ไปทำความเพียรอยู่ ณ ใกล้หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม ถูกความง่วง (ถีนมิทธะ) ครอบงำไม่อาจให้ความเพียรดำเนินไปตามปกติได้ พระศาสดาเสด็จไป ณ ที่นั้น ทรงแสดงอุบายสำหรับแก้ง่วง เช่น “เมื่อความง่วงครอบงำให้เอาใจใส่ใคร่ครวญถึงธรรมที่ได้ฟังแล้วได้ศึกษามาแล้ว, ถ้ายังไม่หายง่วง ควรสาธยาย (คือท่องออกเสียง) ธรรมได้ฟังมาแล้ว ศึกษามาแล้ว, ถ้ายังไม่หายง่วงควรยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอาฝ่ามือลูบตัวไปมาบ่อยๆ, ถ้ายังไม่หายง่วงควรลุกขึ้นยืนแล้วลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์, ถ้ายังไม่หายง่วง ควรทำในใจถึงแสงสว่าง (อาโลกสัญญา) ว่าบัดนี้สว่างแล้วๆ ทำจิตให้มีแสงสว่างเกิดขึ้น ให้รู้สึกว่าเหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ, ถ้ายังไม่หายง่วงควรเดินจงกรม คือเดินกลับไปกลับมาพิจารณาข้อธรรม สำรวมอินทรีย์ ไม่ส่งจิตไปภายนอก. ถ้ายังไม่หายง่วงพึงนอนแบบสีหไสยา๒ คือตะแคงขวาซ้อนเท้าให้เหลื่อมกันเล็กน้อย มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจจะลุกขึ้นทันทีเมื่อรู้สึกตัวครั้งแรกด้วยมนสิการว่า เราจักไม่แสวงหาความสุขจากการนอน จากการเอนหลัง จากการเคลิ้มหลับ”
“ดูก่อนโมคคัลลานะ” พระศาสดาตรัสต่อไป “อีกอย่างหนึ่ง เธอควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า ‘เราจักไม่ชูงวงคือถือตัวทะนงตนเข้าไปสู่ตระกูล’ เพราะถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล เธอจะร้อนใจเป็นอันมาก บางครั้งบางคราว คฤหัสถ์ทั้งหลายเป็นผู้มีกิจมาก มีธุระมาก อาจไม่ได้นึกถึงภิกษุผู้เข้าสู่ตระกูล ภิกษุผู้ชูงวง อาจคิดมากว่า บัดนี้ใครหนอยุยงให้เราแตกจากตระกูลนี้ มนุษย์พวกนี้จึงมีอาการห่างเหินเรา มีอาการอิดหนาระอาใจต่อเรา เมื่อไม่ได้อะไรๆ จากตระกูลนั้น เธอก็เก้อเขิน ครั้นเก้อเขินก็เกิดความคิดฟุ้งซ่าน ไม่สำรวม เมื่อไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
“โมคคัลลานะ อีกอย่างหนึ่ง เธอควรสำเหนียกว่า ‘เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน ถือผิดต่อกัน’ เพราะเมื่อมีถ้อยคำทำนองนี้ก็จะต้องพูดมาก เมื่อพูดมากก็เกิดความฟุ้งซ่าน ครั้นฟุ้งซ่านก็จะเกิดการไม่สำรวม เมื่อไม่สำรวม จิตก็จะเหินห่างจากสมาธิ”
“โมคคัลลานะ อีกอย่างหนึ่ง เราไม่สรรเสริญการาคลุกคลีด้วยหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการอยู่ในเสนาสนะอันสงัด ควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย[sup]๓[/sup]...”
ภราดา! พระบรมพุทโธวาทของพระศาสดาในเรื่องอุบายแก้ง่วงก็ดี เรื่องการยกงวงชูงาก็ดี เรื่องเว้นการพูดถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันก็ดี และเรื่องการอยู่ในเสนาสนะสงัดก็ดี ควรเป็นเรื่องเตือนใจอันสำคัญของพุทธศาสนิกทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
ภราดาเอย! การ “ชูงวง” คือความทะนงตนนั้น เป็นกิเลสร้ายอย่างหนึ่ง ซึ่งครอบงำจิตของมนุษย์อยู่ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต พระศาสดาทรงเรียกมันว่า “มานานุสัย” อนุสัยคือมานะ กิเลสที่นอนสยบอยู่ในขันธสันดานเมื่อถูกกวนก็จะฟูขึ้นทันที มานะ มีลักษณะให้ทะนงตนว่า “แกเลวกว่าข้า” บุคคลผู้มีมานะจัด ย่อมมีลักษณะเชิดชูตนจัด อวดตนจัด ยกตนข่มผู้อื่นเนืองๆ มองไม่เห็นใครดีหรือสำคัญเท่าตน ซึ่งเป็นการมองที่ผิด ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลย่อมมีความสำคัญตามฐานะของตนๆ แม้บุคคลผู้หนึ่งจะเป็นเสมือนไม้กวาดและผ้าขี้ริ้ว ส่วนบุคคลอีกผู้หนึ่งเป็นเสมือนดอกไม้ในแจกันก็ตาม ไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วย่อมมีความหมายและมีความสำคัญอย่างไม้กวาดและผ้าขี้ริ้ว ส่วนดอกไม้ในแจกันก็มีความหมายและมีความสำคัญอย่างดอกไม้ ปราศจากไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วเสียแล้วบ้านเรือนจะสะอาดได้อย่างไร แต่บ้านเรือนอาศัยเครื่องประดับเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ข้อนี้ฉันใด ชุมชนก็ฉันนั้น ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ควรดูหมิ่นกัน และไม่ควรริษยากันอันเป็นเหตุให้เดือดร้อนทั้งสองฝ่าย
ภราดา! อันไม้พันธุ์ดีนั้น ถ้ายืนอยู่เดี่ยวโดด ไม่มีไม้พันธุ์อื่นต้านลมหรืออันตรายต่างๆ มันก็ดำรงอยู่ไม่ได้นาน คนดีหรือคนสูงก็เหมือนกัน ไม่ควรอวดดีหมิ่นคนต่ำ เพราะคนต่ำนั่นเองได้เป็นป้อมปราการป้องกันอันตรายให้และเป็นฐานรองรับให้สูงเด่นอยู่ได้ ควรมีเมตตากรุณาช่วยส่งเสริมเขา อย่างน้อยเขาต้องมีคุณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือด้านใดด้านหนึ่ง เหมือนไม้แม้พันธุ์ไม่ดีก็ช่วยต้านลมให้ได้ เมื่อล้มตายลงก็ช่วยเป็นปุ๋ยให้ได้
จริงอยู่ เราปลูกหญ้าให้เทียมตาลไม่ได้ แต่หญ้าก็มีประโยชน์อย่างหญ้าช่วยให้ดินเย็น เมื่อตัดให้เรียบร้อยก็ดูสวยงามและนั่งเล่นได้ เป็นต้น เจดีย์ที่สวยงามต้องมีทั้งยอดและฐาน ฉันใด ชุมนุมชนก็ฉันนั้น ต้องมีทั้งคนสูงและคนต่ำ คนที่เป็นยอดและเป็นฐานต่างทำหน้าที่ของตนไปให้ชุมนุมชนดำเนินไปได้โดยสงบเรียบร้อย
ในรายที่ความทะนงตนมิได้เปิดเผยโจ่งแจ้ง ก็อย่าได้นอนใจว่าไม่มี มันอาจแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ คอยโอกาสอยู่ ใจเผลอขาดสติสัมปชัญญะเมื่อใดมันจะแสดงตนทันที บางทีก็เป็นไปอย่างหยาบคาย บางทีเป็นไปอย่างละเอียดอ่อน
อหังการ หรือ อัสมิมานะ คือความทะนงตนนั้นให้ความลำบากยากเข็ญแก่มนุษย์มานักหนา แต่มนุษย์ก็ยังพอใจถนอมมันไว้เหมือนดอกไม้ประดับเศียร ซึ่งจะก้มลงมิได้กลัวดอกไม้หล่น มันเหมือนแผงค้ำคอทำให้คอแข็งหน้าเชิดแล้วเอาศีรษะกระทบกัน ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าตามๆ กันไป
ลองตรองดูเถิด ความโกรธ ความเกลียดชังกัน ความแก่งแย่งแข่งดี การคิดทำลายกัน ล้วนแตกกิ่งก้านมาจากลำต้นคืออหังการหรือทะนงตนทั้งสิ้น ถ้าลำต้นคือความทะนงตน การถือตัวจัดถูกทำลายแล้วตัดให้ขาดแล้วการกระทบกระทั่งย่อมไม่มี จิตสงบราบเรียบและมั่นคงเป็นความสงบสุขสมดังที่พระบรมศาสดาตรัสว่า “การถอนอัสมิมานะเสียได้เป็น๔ “บรมสุข” ดังนี้
วิธีถอนอัสมิมานะนั้น ในเบื้องต้นให้พิจารณาเห็นโทษของความทะนงตนว่าเป็นเหตุให้ทำความเสียหายนานาประการแล้วพยายามบรรเทาด้วยความพยายามเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น เห็นความสำคัญของผู้อื่น เรามีชีวิตอยู่ด้วยความสำคัญของผู้อื่น ทิฐิมานะจะได้ลดลง การถ่อมตัวจะเพิ่มขึ้น แทนที่จะเสียหาย กลายเป็นคนน่าเคารพกราบไหว้ ส่อให้เห็นคุณธรรมภายใน
ดูเถิดภราดา! ดูส้มที่มีผลดก กิ่งย่อมโน้มน้อมลง ข้าวรวงใดเม็ดเต็ม รวงนั้นย่อมน้อมลงเสมือนจะนอบน้อมโค้งให้แก่ผู้สัญจร แต่ส้มกิ่งใดตาย ไม่มีผลเลย ข้าวรวงใดลีบ ส้มกิ่งนั้นและข้าวรวงนั้นจะแข็งทื่อชี้โด่กระด้าง ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้น คนใดมีคุณภายใน คนนั้นย่อมอ่อนน้อมถ่อมตน ปราศจากความกระด้าง อวดดี ถือตัวจัด มองคนไม่เป็นคน
ประการสำคัญ ในการถอนอัสมิมานะก็คือให้มนสิการเนืองๆ ว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มี สิ่งทั้งปวงอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยปัจจัยมากมายดำเนินไป มันเป็นอนัตตาอยู่โดยแท้ เราพากันเข้าใจผิดไปเองว่ามีตัวตนที่แท้จริง คนที่ทะนงตนว่าสำคัญนั้นยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าตนอยู่มากมาย ข้าวน้ำ เสื้อผ้า อาหาร ลมหายใจ และยาแก้โรค ล้วนแต่สำคัญกว่าบุคคลนั้นทั้งสิ้นเพราะเขาต้องอาศัยมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ขาดไม่ได้ แม้คนที่ได้ประสบความสำเร็จในการงานด้านใดด้านหนึ่งก็หาสำเร็จไปคนเดียวได้ไม่ ต้องอาศัยปัจจัยอื่นมากมายจาระไนไม่หมดสิ้น อย่าทะนงตนไปเลย
ในประการต่อมา พระศาสดาทรงประทานพระพุทโธวาทมิให้ยินดีในถ้อยคำอันเป็นเหตุเถียงกัน เพราะถ้าเถียงกันก็มีเรื่องต้องพูดมาก เมื่อพูดมากก็เกิดความฟุ้งซ่าน--จิตจะห่างเหินจากสมาธิ
ภราดา! มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเชิดชูตนด้วยการปะทะคารมกับผู้อื่น ต้องการอวดฝีปากให้คนทั้งหลายชื่นชมว่าเป็นปราชญ์มีปัญญามากหาผู้เสมอเหมือนมิได้ เจตนาเช่นนั้นนำไปสู่การทะเลาะวิวาท การทะเลาะวิวาทนำไปสู่การแตกสามัคคี การแตกสามัคคีนำไปสู่ความเสื่อมนานาประการ บางประเทศต้องเสียบ้านเมืองให้แก่ข้าศึกเพราะคนในบ้านเมืองแตกสามัคคีกัน ข้อนี้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย
วิธีหลีกเลี่ยงถ้อยคำอันเป็นเหตุให้เถียงกันก็คือ อย่าพูดจาเมื่อเวลาโกรธ และอย่ายึดมั่นทิฐิของตนมากเกินไปจนกลายเป็นคนหลงตัวเอง การกระทำด้วยความหลงตัวเองมีแต่ความผิดพลาดเป็นเบื้องหน้า
ประการต่อมา ทรงโอวาทพระมหาโมคคัลลานะว่า ทรงสรรเสริญการอยู่ในเสนาสนะที่สงัด ไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยหมู่คณะทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
บรรพชิตผู้บวชแล้ว มีเจตนาในการแสวงหาวิเวก เบื้องแรกต้องได้กายวิเวกก่อน จิตวิเวกคือความสงบทางจิตจึงจะเกิดขึ้น เมื่อความสงบจิตเกิดขึ้น อุปธิวิเวก คือความสงบกิเลสจึงจะตามมา
ภราดา! มีอาสวะมากมายเกิดขึ้นเพราะการคลุกคลี ไม่ว่าฝ่ายบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ทั้งนี้ท่านมิได้ห้ามไม่ให้ชุมนุมเมื่อมีกิจจำเป็น แต่เมื่อสิ้นธุระแล้วก็ควรจะอยู่อย่างสงบเพื่อได้รู้จักตัวเองให้ดีขึ้น คนส่วนมากพยายามจะรู้จักคนอื่น วันหนึ่งๆ ให้เวลาล่วงไปด้วยการอยู่กับคนอื่น โอกาสที่จะอยู่กับตัวเองมีน้อย จึงรู้จักตัวเองน้อย ตราบใดที่บุคคลยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่เข้าใจตัวเอง ตราบนั้นเขาจะพบความสงบสุขภายในไม่ได้ และจะเข้าใจผู้อื่นไม่ได้ด้วย การอยู่อย่างสงบจึงเป็นพื้นฐานแห่งการไม่เบียดเบียน เพราะผู้มีใจสงบย่อมไม่คิดเบียดเบียน๕
เมื่อพระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว พระมหาโมคคัลลานะทูลถามว่า ด้วยข้อปฏิบัติอย่างไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จอย่างยิ่ง เกษมจากโยคธรรมอย่างยิ่ง๖ เป็นพรหมจารีบุคคลอย่างยิ่ง ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระศาสดาตรัสตอบว่า “โมคคัลลานะ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า ธรรม๗ทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ครั้นได้สดับดังนี้แล้ว เธอทราบธรรมทั้งปวงชัดด้วยปัญญายิ่ง ครั้นทราบธรรมทั้งปวงชัดอย่างนี้แล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดังนี้แล้ว เธอได้ประสบเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง เมื่อเป็นดังนี้ เธอย่อมมีปัญญาในทางเบื่อหน่ายในทางดับ ในทางสละคืนซึ่งเวทนา (ความรู้สึกในอารมณ์) ทั้งปวง เมื่อเป็นดังนี้ ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่นย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่นย่อมดับกิเลสได้เฉพาะตน และทราบชัดว่า ความเกิดสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว ว่าโดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้และ ภิกษุชื่อว่า น้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จอย่างยิ่ง เกษมจากโยคธรรมอย่างยิ่ง เป็นพรหมจารีบุคคลอย่างยิ่ง ถึงที่สุดอย่างยิ่ง ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
ภราดา! พระพุทโอวาทที่ว่า ธรรมทั้งปวง คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นยอดแห่งธรรมอันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์โดยไม่มีเชื้อเหลือ คือดับทุกข์โดยสิ้นเชิง (อนุปาทาปรินิพพาน) สิ่งใดที่บุคคลเข้าไปยึดมั่นแล้วจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์นั้นหามีไม่ แต่โลกนี้มีเหยื่อล่อเพื่อให้ผู้ไม่รู้เท่าทันติดอยู่ สยบอยู่ หมกมุ่นพัวพันอยู่ แล้วโลกก็นำทุกข์เจือลงไป แทรกซึมลงไว้ในสิ่งที่บุคคลติดอยู่หมกมุ่นพัวพันอยู่นั่นเอง โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิตย์ ใครขวนขวายให้เต็มปรารถนาในอารมณ์ของโลกก็เหมือนตักน้ำไปรดทะเลทราย หรือเหมือนขนน้ำไปเทลงในมหาสมุทร เหนื่อยแรงเปล่า ชาวโลกจึงมีความเร่าร้อนดิ้นรนเพื่อให้เต็มความปรารถนา แต่ก็หาสำเร็จไม่ ยิ่งดื่มอารมณ์โลก สุขเวทนาอย่างโลกๆ ก็ดูเหมือนจะเพิ่มความอยากให้มากขึ้น เหมือนดื่มน้ำเค็ม ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย หรือเหมือนคนเกาแผลคัน ยิ่งเกายิ่งคัน ยิ่งคันยิ่งเกา วนเวียนอยู่อย่างนั้น สู้คนที่พยายามรักษาแผลให้หายแล้วไม่ต้องเกาไม่ได้ เป็นการดับที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
พระมหาโมคคัลลนานะ ฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้วปฏิบัติตามพระพุทโธวาท ได้สำเร็จพระอรหัตตผลในวันนั้น
บันทึกทางวิชาการท้ายบทที่ ๓๑
พรหมจารี หมายถึงผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์แปลว่าความประพฤติอันประเสริฐ พรหมจารีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหญิงที่ยังไม่เคยผ่านการสมรส
๒
สีหไสยา นอนตะแคงขวา มือข้างซ้ายวางพาดไปตามลำตัว มือข้างขวารับศีรษะด้านขวา ซ้อนเท้าให้เหลื่อมกันนิดหน่อยในท่าพอสบาย ไม่ยึดจนตึงหรือเกร็ง
๓. เก็บความจากหนังสือพุทธานุพุทธประวัติ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หน้า ๖๓-๖๔
๔
อสฺมิมานสฺส วินโย เอตํ เว ปรมํ สุขํ – พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๘๖ ข้อ ๕๑
๕ จากข้อความในศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช
๖
เกษมจากโยคธรรม คือปลอดจากกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ท่านแสดงไว้ ๔ ประการคือ กาม=ความใคร่, ภพ=เจตจำนงในการเกิดใหม่ (
will to be born), ความกระหายในความเป็น (
craving for existence), ทิฏฐิ=ความเห็นผิด, อวิชชา=ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
๗
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย หมายความว่าสิ่งทั้งปวง ทั้งรูปธรรม นามธรรม ทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม อันบุคคลไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ใครเข้าไปยึดมั่นโดยความเป็นของเที่ยงเป็นสุข และเป็นอัตตาย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้