ท่านเหล่านั้น ในอดีตท่านเป็นบัณฑิต แล้วท่านก็มีหนทางที่จะเตือนตัวของท่านเอง เปรียบเทียบได้กับบุคคลในสมัยนี้ว่า มีความคิดที่จะพิจารณาตนเหมือนบัณฑิตทั้งหลายในครั้งอดีตหรือไม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้แต่การที่จะพิจารณาอกุศลและกุศลของตนเองก็ต้องอาศัยวิริยะ
ตอนเช้า ๑ ครั้ง ตอนกลางวันอีก ๑ ครั้ง ตอนเย็นอีก ๑ ครั้ง ถ้า ๓ ครั้งไม่ได้ ก็ ๒ ครั้ง ถ้า ๒ ครั้งไม่ได้ เพียง ๑ ครั้งก็ยังดี มีกิเลสอะไรของท่าน ซึ่งท่านโบราณาจารย์ในครั้งนั้นได้เตือนให้พิจารณาข้อความในมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อนุมาณสูตรข้อ ๒๒๕ มีว่า......................................
ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้แสดงธรรมที่เป็นคนว่าง่ายกับภิกษุทั้งหลาย ได้กล่าวให้ภิกษุทั้งหลายพิจารณาตนภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเอง
จะเห็นได้ว่า ถ้าจะให้คนอื่นมาพิจารณาให้ ถามเขาว่าเราเป็นอย่างไร คนนั้นย่อมไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ละเอียดเท่าตัวของเราเองเป็นผู้พิจารณา อกุศลของเราเอง เพราะว่าคนอื่นไม่มีทางที่จะรู้ดีกว่า บางท่านไม่อยากจะพิจารณาอกุศลของตนเองเลย แต่ว่าถ้าจะให้เป็นประโยชน์จริงๆ ที่จะให้วิริยะเจริญขึ้นในฝ่ายกุศล ก็ต้องเห็นอกุศลของตนเองด้วยท่านกล่าวว่า ภิกษุพึงพิจารณาตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า เราเป็นคนยกตัวข่มผู้อื่นหรือไม่ หากพิจารณารู้อยู่อย่างนี้ว่า เราเป็นคนยกตัวข่มผู้อื่นจริง ก็พึงพยายามเพื่อจะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย หากพิจารณารู้อยู่อย่างนี้ว่า เราไม่เป็นคนยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว หมั่นศึกษาทั้งกลางวัน กลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย
ฟังดูเรื่องของการยกตนข่มคนอื่น ถ้าไม่พิจารณาโดยละเอียดจริง อาจจะคิดว่า ท่านเองเปล่า ไม่ได้ทำ ขณะใดที่คิดถึงคนอื่นในความไม่ดีของคนอื่นด้วยอกุศลจิต ขณะนั้นยกตนว่าท่านเป็นคนดีพอที่จะเห็นความไม่ดีของคนอื่นอีกประการหนึ่ง ภิกษุพึงพิจารณาตนอย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้วหรือไม่ หากพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า เราเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้วจริง ก็ควรพยายามที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย หากพิจารณาอยู่อย่างนี้ว่า เราไม่เป็นคนมักโกรธ อันความโกรธไม่ครอบงำ ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว หมั่นศึกษาทั้งกลางวัน กลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายเรื่องของกาย เรื่องของวาจา เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน คำพูดเป็นผู้ที่อันความโกรธครอบงำหรือเปล่า ถ้ากายหรือวาจาเป็นไปเพราะความโกรธครอบงำในวันนี้แล้ว ตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนเย็นพิจารณาตนหรือเปล่า ว่าเป็นผู้ที่มักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้วจริง ถ้าจริงก็พยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสียยังมีการรู้สึกตัว ยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าวันนี้ไม่พิจารณาเลยในสิ่งที่ได้ทำไปแล้วว่าไม่ดี ต่อไปก็จะต้องทำอีกแน่นอน ดังนั้นก็จะไม่มีการขัดเกลาตนเองเลย แต่ผู้ที่จะละคลายกิเลสจริงๆ ต้องการที่จะดับจริงๆ ต้องการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่มีวิริยะ มีความเพียรที่จะเห็นอกุศลของตนเอง.....................................จบวิระบารมีแต่เพียงเท่านี้..................................
...................................ธรรมมะบรรยายโดย อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์.............................
.......................................ออกอกาศทางวิทยุเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒.............................