ไซนัสอักเสบ แตกต่างจาก หวัด อย่างไร
ฮัดชิ่ว!!!! จามอีกแล้ว ไออีกต่างหาก แถมปวดบริเวณใบหน้าด้วย ดูท่าจะไม่ใช่แค่เป็น "หวัด" ธรรมดาเสียแล้วล่ะมั้ง
เกรงว่าจะเป็น "ไซนัสอักเสบ"
แล้ว โรคไซนัส ไซนัสอักเสบ เป็นอย่างไรล่ะเนี่ย รักษาได้หรือไม่
ใครที่มีอาการต้องสงสัย ต้องมาอ่านเรื่อง ไซนัสอักเสบ ที่เรานำมาเสนอกันในวันนี้ค่ะ
ไซนัสอักเสบ ล่ะเกิดจากอะไร ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) จะเกิดขึ้นเมื่อจมูกมีการติดเชื้อ มีการอักเสบ อาจเป็นเพราะ
อาการหวัด เป็นภูมิแพ้ มีสารระคายเคือง มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในจมูก รวมทั้งการมีฟันกรามผุถึงโพรงรากฟัน การเป็นโรคหัด และเกิดอุบัติเหตุที่กระดูกบนใบหน้า จึงทำให้ท่อที่ติดต่อระหว่างโพรงไซนัส และจมูก เกิดอาการบวมแล้วตีบตัน จนมีน้ำเมือกในโพรงจมูกคั่งค้างอยู่ เมื่อมูกภายในสะสมมากขึ้นจะมีความหนืด และมีสภาพความเป็นกรด ทำให้เชื้อโรคเข้าไปเจริญเติบโตได้ดี จนกลายเป็นภาวะโพรงจมูกอักเสบ หรือ ไซนัสอักเสบ นั่นเอง
อาการของ ไซนัสอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.ไซนัสอักเสบ แบบเฉียบพลัน
คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายได้ภายใน 7 วัน อาการทั่วไปจะเหมือนไข้หวัด มีไข้ เมื่อเชื้อลุกลามเข้าสู่ไซนัสก็จะมีอาการปวดจมูก ปวดกระบอกตา
หรือแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง น้ำมูกและเสมหะจะมีสีเหลืองอมเขียวมากขึ้น อาจปวดกระดูกขากรรไกรบน หรือปวดฟันบนด้วย โอกาสที่การติดเชื้อจะลุกลามมีสูง
จึงควรรักษาอย่างจริงจัง เพื่อลดโอกาสที่จะกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง ใช่ไหมอาการ.....ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน
2.ไซนัสอักเสบ เรื้อรัง
คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีอาการมากกว่า 10 วัน และในช่วงที่เป็นนั้น อาการต่าง ๆ ไม่มีช่วงที่หายสนิท จะมีอาการปวดตื้อ ๆ มึนงง ร่วมกับคัดจมูกเรื้อรัง
มีเสมหะเหนียวในลำคอตลอดวัน เพราะมูกจากไซนัสไหลลงมาทางจมูกนั่นเอง ประสิทธิภาพในการดมกลิ่น รับกลิ่นของจมูกจะลดลง และลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
สาเหตุที่ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นผลจากผู้ป่วยได้รับการรักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันในเวลาที่น้อย หรือสั้นเกินไป หรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือมีภาวะผิดปกติเป็นปัจจัยร่วมด้วย
เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้นใช่ไหมอาการ.....ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
กลุ่มเสี่ยง ไซนัสอักเสบ 1. คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้จะเหมือนคนเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะบวม รูเปิด ไซนัสจะตีบตันทำให้เกิดการอักเสบในไซนัสได้
2. คนที่มีความผิดปกติของช่องจมูก เช่น ผนังกั้นระหว่างช่องจมูกคด ทำให้ช่องจมูกแคบกว่าปกติเกิดอาการแน่นคัดจมูก และขัดขวางการไหลเวียนตามปกติของน้ำมูก
ที่จะไปทางด้านหลังทำให้มีโอกาสเกิด การอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น
3. คนที่สูบบุหรี่และคนที่อยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ จะมีผลทำให้ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบมากขึ้น
4. มีคนกล่าวถึงการว่ายน้ำสระที่ใส่น้ำยาคลอรีน หรือฆ่าเชื้อด้วยโอโซนอาจทำให้มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบเกิดขึ้น เพราะว่ามีการระคายเคืองของเยื่อบุเกิดขึ้น
การรักษา ไซนัสอักเสบบางชนิดรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดอาจรักษาหายแต่โอกาสกลับมาเป็นใหม่มีสูง ทางที่ดีที่สุด คือ ผู้ป่วยต้องรีบมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยให้เรื้อรัง
โดยทั่วไปการรักษาทำได้หลายวิธี ได้แก่ การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ยาลดบวมของเยื่อจมูก เป็นต้น โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อยประมาณ 14 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและ
ชนิดของเชื้อ กรณีอาการไม่ดีขึ้นแม้จะรักษาด้วยยาเต็มที่แล้วก็ตาม รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนยาหรือตรวจเพาะเชื้อจากหนองในไซนัสร่วมกับการผ่าตัด
ปัจจุบันการผ่าตัดไซนัสนิยมผ่าตัดผ่านทางจมูกโดยใช้กล้องส่องเพราะเป็นวิธี ที่ปลอดภัยและได้ผลดี และผู้ป่วยไม่มีบาดแผลจากการผ่าตัดบริเวณใบหน้า
นอกจากการรักษาที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ป่วยยังต้องได้รับการรักษาที่สาเหตุและประคับประคองไปด้วย เช่น ถ้ามีภูมิแพ้หรือริดสีดวงจมูกร่วมด้วย อาจต้องใช้ยาพ่นจมูก หรือถ้ามีผนังกั้นช่องจมูกคด
อาจต้องผ่าตัดแก้ไข เป็นต้น
http://www.thailabonline.com/respirat-sinus1.htm
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%9A
http://health.kapook.com/view3768.html
บรรเทาปวดหัวเนื่องจากไซนัส
1.รับประทานยาลดน้ำมูก
2.รับประทานยาแก้อักเสบ
3.หรือฉีดยาให้จมูกโล่ง
4.ฝึกผ่อนคลายให้สบายหัว
การฝึกกล้ามเนื้อศรีษะและคอให้ผ่อนคลาย จิตใจสบายเบา นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการรักษาอาการปวดมาก เพราะทำให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น
1. หามุมสงบอาจ จะเปิดเพลงเบาๆคลอไปด้วย
2. นั่งหลังตรง วางแขนขาและมือตามสบาย หายใจเข้าช้าๆให้ถึงท้อง แล้วหายใจออกช้าๆ เอาลมจากท้องขึ้นมา ปล่อยออกทางจมูก
3. พุ่งความสนใจไปที่อวัยวะทีละส่วน เช่น มือ ให้สร้างความรู้สึกเหมือนว่ามือหนักมาก
4. เปลี่ยนความสนใจไปที่จุดอื่นในร่างกายบ้าง
5. สร้างภาพในจินตนาการที่สดชื่นสวยงาม เช่น ท้องทุ่งสีเขียวขจี ลมพัดเอื่อยๆ
http://thaihow.tripod.com/hea118.htmPS : หวังว่าใครที่กำลังจะเป็นหรือใครที่เป็นโรคนี้อยู่แล้วจะได้ความรู้และแนวทางดูแลรักษาตัวกลับไปปรับใช้กัน