ภาวนาปลุกจิตใต้สำนึก หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เทศน์อบรมครูผู้สอนวิชาพระพุทธศาสนา เขตการศึกษา ๑๑ ณ วัดวะภูแก้ว เมื่อวันที่
๑๗ เมษายน ๒๕๔๑ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อาตมะได้ฟังท่านผู้เป็นหัวหน้าได้กล่าวรายงานแล้ว รู้สึกซาบซึ้ง ในกุศลเจตนาของท่านทั้งหลาย ที่ตั้งอกตั้งใจ จะมารับการอบรมธรรมะ ภาคปฏิบัติสมาธิ
การปฏิบัติสมาธิเพื่อให้จิตของเราตั้งมั่นหรือมีความมั่นใจ การปฏิบัติสมาธิเพื่อให้จิตใต้สำนึกให้ตื่นขึ้นมา เมื่อเรามาปฏิบัติสมาธิด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น บริกรรมภาวนา เป็นต้น หรือการสวดมนต์ก็ดี ในเมื่อเราสวดซ้ำๆ ท่องคำใดคำหนึ่งซ้ำ ๆ อยู่ไม่ขาดสาย
ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ จะทำให้จิตใต้สำนึกของเราตื่นขึ้นมา คนเราทุกคนมีฤทธิ์ มีอิทธิพล มีอำนาจอยู่ในตัว เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติ ในชาติก่อน ๆ เราอาจจะเคยได้เป็นฤๅษีบำเพ็ญฌานบำเพ็ญตบะมาแล้ว เราก็ไม่ทราบได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฤทธิ์อิทธิพล และอำนาจที่เราเคยบำเพ็ญมาในภพก่อนชาติก่อน จิตใต้สำนึกของเราจะเป็นผู้เก็บบันทึกเอาไว้ แล้วจะติดไปกับจิตของเราทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าเราจะไปเกิดในที่ใด ภพใด
เมื่อจิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมา มันมีลักษณะอย่างไร เราจะรู้สึกว่าจิตของเรานี่ มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ความเป็นผู้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะขยับไปทางไหน
ในจิตของเราก็มีสติสำทับอยู่ทุกขณะจิต เราก้าวเดิน สติก็มาทำหน้าที่ เรานอน สติก็มาทำหน้าที่ เรารับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด สติก็จะมาเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า
จิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมาแล้ว
จิตใต้สำนึกที่ตื่นขึ้นมา มี
สติสัมปชัญญะ รู้ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
จิตที่มีสติ เป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ได้ชื่อว่าเป็นจิตพุทธะ
ถ้าสติสัมปชัญญะสมาธิเข้มแข็ง จิตก็จะเป็นผู้ตื่น คือตื่นตัวเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็มีความแกล้วกล้าอาจหาญชื่นบาน มีความยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในจิตตลอดเวลา จึงกลายเป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นักปราชญ์ท่านเรียกว่า
จิตพุทธะ พุทธะที่เกิดขึ้นมากับจิตของผู้ปฏิบัติสมาธิ ก็คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มาจากคำบาลีว่าพุทโธ พุทโธแปลว่าผู้รู้ พุทโธแปลว่าผู้ตื่น พุทโธแปลว่าผู้เบิกบาน
เมื่อเรามีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ในจิตของเรา เป็นคุณธรรม
คุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ทำจิตของเราให้เป็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเราฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรามาปฏิบัติตาม เราจึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก คือสาวกผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ในเมื่อทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น ก็ได้ชื่อมีคุณธรรมอยู่ในจิต
ผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในจิต เขาย่อมจะมีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ตั้งใจที่จะละความชั่วประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ นี่คือคุณสมบัติที่จะเกิดจากการฝึกสมาธิ
ที่นี้การฝึกสมาธิก็มีหลายแบบหลายอย่าง ถึงแม้ว่าจะมีแบบอย่างต่างกัน ก็ต่างกันแต่หลักและวิธีการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำบริกรรมภาวนา มีพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ อันนี้เป็นความแตกต่างเฉพาะคำพูดแต่ในเมื่อปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติพุทโธ ก็พุทโธ ๆ ๆ ๆ ตลอดไป ผู้สัมมาอรหัง ก็สัมมาอรหัง ๆ ๆ ๆ ผู้ที่ยุบหนอพองหนอ ก็ยุบหนอพองหนอ จนกระทั่งจิตสงบ อันนี้เป็นวิธีการบริกรรมภาวนา
การปฏิบัติด้วย
บริกรรมภาวนา เรายึดเอาคำพูดคำใดคำหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า สำหรับที่นี่ไม่ได้จำกัด แล้วแต่ใครมีความคล่อง ชำนิชำนาญมาแบบไหน ท่านผู้ใดชำนาญในการภาวนาพุทโธ ก็ว่าไป ท่านผู้ใดชำนาญในสัมมาอรหัง ก็สัมมาอรหังไป ท่านผู้ใดยุบหนอพองหนอ ก็ยุบหนอพองหนอ ทั้ง ๓ อย่างนี้ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิอย่างแท้จริง จะมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด คือ
จิตหยุดนิ่ง หยุดจนกระทั่งบริกรรมภาวนา
แล้วจิตนิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข อันนี้ผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการบริกรรมภาวนาทั้ง ๓ อย่างนั้นแหละ
มีผลเป็นอย่างเดียวกันหมด ทีนี้เมื่อบริกรรมภาวนาไป เมื่อจิตเกิดมีสมาธิ สงบจะมีอาการเคลิ้ม ๆ เหมือนจะง่วงนอน อย่าไปฝืน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะหลับก็ให้หลับ ทีนี้เมื่อเคลิ้ม ๆ แล้วจิตจะมีอาการวูบลงไป พอหยุดวูบแล้วนิ่ง ว่าง คำบริกรรมภาวนาหายไป ในช่วงนี้จิตจะแยกออกเป็น ๒ ทาง
ทางหนึ่ง ถ้าสงบแบบ
ฌานสมาบัติหรือสมาธิสมถะจิตจะสงบ นิ่ง ว่าง ๆ ๆ ๆ แล้วก็ละเอียดลึกลงไป ลึกลงไป จนกระทั่งรู้สึกว่าลมหายใจหายขาดไป ในที่สุดร่างกายก็หายไป ยังเหลือไว้แต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่
อันนี้เป็นสมาธิที่เป็นไปตามแนวทางแห่งฌานสมาบัติ หรือเราเรียกว่า สมาธิสมถะ ทางภาษาบาลีเรียกว่า
อารัมณูปนิชฌาน คือจิตสงบแล้วนิ่งรู้อยู่เฉพาะในจิตเพียงอย่างเดียว ความรู้อื่นไม่เกิดขึ้น เป็น
สมาธิสมถะ แล้วอีกทางหนึ่ง เมื่อจิตหยุดนิ่ง ว่าง พอเกิดความสว่างขึ้นมานิดหน่อย หรือไม่สว่างขึ้นมานิดหน่อย หรือไม่สว่างก็ตาม ความคิดมันจะผุดขึ้นมา ๆ ๆ อย่างกับน้ำพุ เมื่อมีความเป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติอย่าไปเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน มันเป็นสมาธิที่มีวิตกวิจาร ความคิดเป็นตัววิตก สติที่รู้พร้อมอยู่ในขณะจิตนั้นเป็นวิจาร ตัวคิดก็คิดไป ตัวตามรู้ก็ตามรู้ไป ตัวคิดคือจิตปรุงแต่ง ตัวตามรู้ก็คือสติสัมปชัญญะ พอคิดปั๊บ รู้ปั๊บ คิดปั๊บ รู้ปั๊บ หนัก ๆ เข้ากายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ เกิดปีติ ความคิดเร็วขึ้น ๆ จนรั้งไม่อยู่ แต่ไม่ควรจะไประงับความคิด หรือไปห้ามความคิด ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ทีนี้ถ้าเราไม่หลงเข้าใจว่าผิดว่าจิตฟุ้งซ่าน ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน หน้าที่ของเรามีแค่เพียง
กำหนดสติตามรู้ไป ๆ ในที่สุดกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ความสว่างเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดจิตหยุดนิ่งปั๊บ สว่างไสว สภาวะอันเป็นความคิดก็จะแสดงอาการเกิดดับ เกิดดับ หรือมาวนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่
จิตไม่ได้ไหวต่อเหตุการณ์นั้น ๆ
ทรงอยู่ในสมาธิที่เที่ยง เป็นกลาง ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย ในช่วงนี้คล้าย ๆ กับจิตกับอารมณ์ แยกกันออกเป็นคนละส่วน
เพราะจิตไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อะไรเกิดขึ้นก็สักแต่ว่ารู้ เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดไว้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน
ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า สมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน เป็นสมาธิที่เดินตามแนวทางแห่งวิปัสสนากรรมฐาน อันนี้ถ้าหากว่าจิตสงบเป็นสมาธิตามธรรมชาติของสมาธิ ทางเป็นไปของเขาทางใหญ่ ๆ จะมีเพียง ๒ ทางเท่านั้น
และอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตไม่เป็นไปตามทางที่กล่าวแล้ว เมื่อจิตสงบนิ่งว่างลงไปแล้ว
ถ้ากระแสจิตออกนอก จะเกิดนิมิตซึ่งเรียกว่ามโนภาพ บางทีอาจจะเป็นภาพคน เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ภูตผีปีศาจ ในเมื่อรู้เห็นอย่างนั้น ให้กำหนดสติรู้ที่จิตอยู่เฉย ๆ พยายามระวัง อย่าให้เกิดเอะใจ หรือตกใจ ถ้าเราสามารถประคองจิตของเรา
ให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่หวั่นไหว นิมิตภาพอันนั้นจะทรงอยู่ให้เราเพ่งมองดูได้นาน ๆ จนกระทั้งเป็นอุคคหนิมิต อุคคหนิมิต ภาพนิมิตเป็นภาพนิ่งไม่ไหวติง จิตก็สงบนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นนิมิตติดตา ถ้าออกมาจากสมาธิแล้วบางทีก็ยังมองเห็นภาพนั้นอยู่ อันนี้เรียกว่าอุคคหนิมิต สมาธิที่ได้อุคคหนิมิต สมาธิเป็นสมถกรรมฐาน นิมิตเป็นอุคคหนิมิต