[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
14 พฤษภาคม 2567 08:37:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน จาก สัทธรรมปุณฑรีกสูตร  (อ่าน 3275 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:36:05 »





บทที่ 14

โพธิสัตวปฤถิวีวิวรสมุทคมปริวรรต

ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน

บรรดาพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ผู้มาจากโลกธาตุอื่น สมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้ง 8 ได้ผุดขึ้นจากมณฑลของบริษัทนั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ประคองอัญชลี เฉพาะเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค นมัสการพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่พวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประกาศ อ่าน เขียน และบูชาธรรมบรรยายนี้ในสหาโลกธาตุ เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์เพียรพยายามในธรรมบรรยายนี้ เป็นการดีที่พระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตธรรมบรรยายนี้ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า พอละ กุลบุตรทั้งหลาย ประโยชน์อะไรกับการกระทำเช่นนี้ แก่ท่านทั้งหลาย ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ในสหาโลกธาตุ เรามีพระโพธิสัตว์หมายพันองค์ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 60 คงคานที เป็นบริวารของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น พระโพธิสัตว์หลายพันองค์ มีจำนวนเท่ากันเมล็ดทรายใน 60 คงคานที พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ก็มีบริวารเท่านี้เช่นกัน ในกาลสมัยหลัง เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จักรักษา ท่อง และประกาศธรรมบรรยายนี้

ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ สหาโลกธาตุนี้ ได้แยกกว้างออกโดยรอบ พระโพธิสัตว์หลายร้อยพันหมื่นโกฏิ มีผิวกายดุจทองคำ ประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ ผุดขึ้นจากรอยแยกเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น อยู่ในโลกธาตุภายใต้พื้นพิภพนี้ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์เหล่านั้น อาศัยโลกธาตุนี้ เมื่อได้ฟังพระสุรเสียงเห็นปานนี้ของพระผู้มีพระภาค จึงได้ลุกจากภายใต้พื้นพิภพ พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ มีพระโพธิสัตว์เท่าจำนวนเมล็ดทรายใน 60 คงคานที เป็นบริวาร เป็นคณะ เป็นมหาคณะ และเป็นคณาจารย์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีคณะ มหาคณะ และคณาจารย์เหล่านั้น ที่ผุดขึ้นจากรอยแยกของธรณีแห่งโลกธาตุนี้ ยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิเท่ากับเมล็ดทรายใน 60 คงคานที จะป่วยกล่าวยไปไย ถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 50 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 40 คงคานที เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 30 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 20 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 10 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน5,4,3,และ2 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่พรีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน1 หรือ 2 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่พระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 1 หรือ 2 คงคานที เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน
1/4,1/6,1/8,1/10,1/20,1/30,1/40,1/50,1/100,1/1000,1/10000,1/1000000,1/100000000,1/1000000000,1/100000*100000,
1/100000*10000*100000 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีพระโพธิสัตว์จำนวนมากถึงแสนหมื่นโกฏิเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารหนึ่งโกฏิ จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวนแสนจะป่วยกล่าวไปใยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวนพัน จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวยารจำนวนห้าร้อย จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนว400 ,300, 200, จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวน100 จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวน50 ฯลฯ จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้มีพระโพธิสัตว์จำนวน 40,30,20,10,4,3,และ2 เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้มีตนเป็นที่สอง (มีบริวาร 1 องค์) จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้อยู่องค์เดียว ไม่มีบริวาร ไม่อาจจะนับ คำนวณ และอุปมาพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่ผุดขึ้นจากรอยแยกของธรณีในสหาโลกธาตุนี้ได้ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ที่ผุดขึ้นมาตามลำดับ ได้เข้าไปสู่มหารัตนสถูป ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเป็นที่พระประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ประทับอยู่(พระองค์) ประทับนั่งบนสิงหาสน์ร่วมกับพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระบาทของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ และรูปของพระตถาคตทั้งหลายอันเป็นนิมิตแทนองค์ทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคต ผู้เข้าสู่สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ต่างๆ ที่อยู่ในโลกธาตุเหล่าอื่นทั้ง 10 ทิศโดยรอบ เมื่อถวายบังคม นมัสการพระตถาคตทั้งปวง เป็นแสนครั้งมิใช่น้อย ได้กระทำประทักษิณพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สดุดีด้วยบทสรรเสริญพระโพธิสัตว์ต่างๆ แล้วนั่งอยู่ในที่สุดข้างหนึ่ง พระโพธิสัตว์เหล่านั้นได้ประคองอัญชลี กระทำนมัสการ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์

สมัยนั้น ตลอดเวลา 50 กัลป์ผ่านไป ที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพ และนมัสการพระตถาคต สดุดีด้วยบทสรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยประการต่างๆ ในระหว่าง 50 กัลป์นั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับโดยดุษฎี บริษัท 5 เหล่านั้ได้หยั่งลงสู่การดุษฎีโดยภาวะ ตลอด 50 กัลป์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้สร้างรูปอย่างนั้นขึ้น ด้วยจินตนาการแห่งฤทธิ์ ต่อมาบริษัททั้ง4 ยังแต่ละรูปที่ตนภักดีให้เกิดขึ้น เพราะรูปนั้นได้สมบูรณ์ด้วยจินตนาการแห่งฤทธิ์ (บริษัท 4) ได้เห็นสหาโลกธาตุนี้ที่มีรูปเป็นอากาศธาตุจำนวนแสน ที่เต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ 4 องค์ คือ พระโพธิสัตว์มหาสัตวย์นามว่า วิศิษฏจาริตระ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า อนันตจาริตระ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า วิศุทธจาริตระ และพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า สุประติษฐิจาริตระ ได้เป็นประมุขคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และกลุ่มของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 องค์นั้น ได้เป็นประมุขคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และกลุ่มของพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมาก ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ได้ยืนอยู่หน้าคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และหน้ากลุ่มพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมาก ได้ประคองอัญชลีต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อาพาธเพียงเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย และผัสสะ ความเป็นของพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สัตว์ทั้งหลาย มีอาการดี เชื่อฟัง มีวินัย และมีความสุขดีอยู่หรือ? ขอสัตว์เหล่านั้น จงอย่าสร้างความทุกข์ให้แก่พระผู้มีพระภาคเลย

พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

1 ข้าแต่พระโลกนาถ ผู้สร้างแสงสว่าง พระองค์ทรงเป็นอยู่ด้วยความสุขหรือพระองค์เป็นผู้พ้นแล้วจากการอาพาธ ผัสสะในพระวรกายของพระองค์ไม่มีความทุกข์หรือ?

2 สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้มีอาการดี มีวินัย และสบายใจดี จงอย่างทำความทุกข์แก่พระโลกนาถ ผู้ตรัสดีแล้ว

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ผู้เป็นประมุขของคณะพระโพธิสัตว์คณะใหญ่ และของกลุ่มพระโพธิสัตว์กลุ่มใหญ่นั้นว่า เป็นเช่นนั้นกุลบุตรทั้งหลาย เป็นเช่นนั้น เราอาพาธเล็กน้อย มีความเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่ร่างกายและความเป็นอยู่สบายดี สัตว์เหล่านั้นก็เหมือนกัน มีอาการดี เชื่อฟัง มีวินัยชำระใจบริสุทธิ์ สัตว์เหล่านั้น เมื่ออบรมอยู่ก็ไม่สร้างความทุกข์ให้แก่เรา ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสัตว์เหล่านั้น มีบริกรรมที่ได้กระทำแล้ว ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต เพราะว่าจากการได้เห็น จากการได้ฟัง พวกเขาจะหลุดพ้นก้าวลงสู่และเข้าถึง พุทธญาณของเรา สัตว์เหล่าใดได้ปฏิบัติในสาวกภูมิ หรือปัจเจกพุทธภูมิ เราจะยังสัตว์เหล่านั้นให้หยั่งลงสู่พุทธญาณและได้สดับประโยชน์สูงสุด

ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

3 ดีละ ดีละ พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมยินดีที่ว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นอยู่ปกติดี มีวินัย จิตใจบริสุทธิ์

4 ข้าแต่พระนายกะ พวกเขาทั้งหลาย ญาณอันลึกซึ้งนี้ ของพระองค์ ข้าแต่พระนายกะ พวกเขาครั้นได้ฟังแล้ว ย่อมหลุดพ้น ก้าวลงสู่ (พระโพธิญาณ)

เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ให้สาธุการแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ผู้เป็นประมุขของคณะพระโพธิสัตว์คณะใหญ่นั้น และผู้เป็นประมุขของพระโพธิสัตว์กลุ่มใหญ่ว่า ดีละ ดีละ กุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายย่อมยินดีกับพระตถาคต

ได้ยินว่า สมัยนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระโพธิสัตว์จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ซึ่งเปรียบได้กับเมล็ดทรายในคงคานทีทั้ง 8 ได้เกิดความคิดขึ้นว่า คณะใหญ่และกลุ่มใหญ่ของพระโพธิสัตว์นี้ เราไม่เคยเห็นเลย เราไม่เคยได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพ ยืนอยู่เบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาค ทำสักการะ เคารพ นับถือ บูชา พระตถาคต และยินดีกับพระตถาคต พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น มาจากที่ใดหนอ?

พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ทรงทราบการสนทนาที่สงสัยกันด้วยพระองค์เอง ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตด้วยจิตของพระโพธิสัตว์จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ในเวลานั้นเอง จึงประคองอัญชลี แล้วกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยบทเพลงเป็นคาถาว่า

5 พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีจำนวนหลายพันหมื่นโกฏิ ไม่มีที่สิ้นสุด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ขอพระองค์ทรงเล่าถึงพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด

6 ผู้มีฤทธิ์มากเหล่านี้ มาจากไหน อย่างไร โดยรูปมหาอาตมภาวะ มาจากที่ไหน?

7 ผระมหามุนีเหล่านี้ เป็นผู้มีปัญญา มีสติ มีรูปเป็นที่ชื่นชมด้วยความรัก ทั้งปวงมาจากที่ไหน?

8 ข้าแต่พระผู้เป็นใหญ่ในโลก บริวารของพระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดแต่ละองค์ ประมาณมิได้ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา

9 บริวารทั้งหมดของพระโพธิสัตว์มียศสมบูรณ์ทั้งหกสิบ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำ คงคาทั้งหกสิบ เป็นผู้ดำรองอยู่ในพระโพธิญาณ

10 บริวารเห็นปานนี้ของพระโพธิสัตว์ เป็นผู้กล้าหาญ มีบริษัท 4 จำนวนประมาณเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้ง 60

11 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีมากกว่านี้ พร้อมกับริวารติดตาม มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา50, 40,30

12 บริวารโดยรอบของพระโพธิสัตว์ มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 20 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่นมีบริวารมากกว่านั้นคือมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 10 และ 5

13 ข้าแต่พระนายกะ บริวารของพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นพุทธบุตรแต่ละองค์ มีจำนวนมากในวันนี้ บริษัทที่มีจำนวนเท่านี้ มาจากไหน?

14 บริวารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ ที่ติดตามของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ มีจำนวนเท่เมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา สี่บ้าง สามบ้าง สองบ้าง

15 ยิ่งกว่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนมากกว่า จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้ ในพันโกฏิกัลป์

16 บริวารของพระโพธิสัตว์ผู้กล้าหาญ ผู้ป้องกันรักษามีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 1/2, 1/3, 1/10, และ1/20

17 นอกจากนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ยังมีพระโพธิสัตว์อ่นอีกจำนวนมากที่ผู้อยู่แต่ละองค์ ไม่สามารถจะทรายได้โดยการประมาณด้วยร้อยโกฏิแห่งกัลป์

18 นอกจากนั้น พระโพธิสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมาก พร้อมกับบริวารติดตามจำนวนโกฏิโกฏิกับครึ่งโกฏิ

19 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น เกินกว่าที่จะนับของมหาฤษีจำนวนมาก เป้นผู้มีปัญญาตั้งมั่น ทั้งหมดควรแก่ความเคารพ

20 บริวารจำนวนพัน จำนวนร้อย และจำนวนสิบ ของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ไม่สามารถจะนับได้ด้วยร้อยโกฏิกัลป์

21 ส่วนบริวารของผู้กล้าทั้งหลาย มีจำนวน 20 ,10, 5,4,3,2 จนไม่สามารถจะทราบได้ด้วยการนับ

22 ส่วนผู้มีตนผู้เดียวเที่ยวไป และคนหนึ่งๆย่อมต้องการความสงบ ไม่สามารถจะนับชนเหล่านั้น ผู้มาในที่นี้ได้

23 แม้บุคคลผู้มีสลากในมือ ก็ไม่สามารจะนับพระโพธิสัตว์เหล่านั้นให้จบสิ้นได้ ตลอดเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา

24 กำเนิดของพระโพธิสัตว์ ผู้กล้า ผู้มีตนเป็นใหญ่ ผู้มีความเพียร และผู้ป้องกันรักษา เหล่านี้ทั้งหมด มาจากที่ไหน?

25 ใครเป็นผู้แสดงธรรมแก่เขา ใครให้เขาตั้งอยู่ในพระโพธิญาณ เขาพอใจคำสอนของใคร และเขาดำรงรักษาคำสอนของใคร?

26 พระมุนีทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์ มีปัญญามาก ผู้ฉลาด ได้ทำลายพื้นพิภพทั้งหมดทั้ง 4 ทิศโดยรอบ ผุดขึ้นมาแล้ว

27 ข้าแต่พระมุนี โลกธาตุนี้ ที่พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดทั้งหลายเหล่านั้น ผุดขึ้นมา ทำให้เป็นรอยแตกโดยรอบ

28 บางครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่เคยเห็น ข้าแต่พระวินายกะ ขอพระองค์จงบอกชื่อโลกธาตุนี้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย

29 ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้เที่ยวไปสู่ทิศน้อยใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่กาลไหนๆ ข้าพระองค์ไม่เคยพบพระโพธิสัตว์เหล่านี้

30 ใครเป็นบุตรของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นพระโพธิสัตว์เหล่านี้โดยพลัน ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์จงเล่าเรื่องนี้ด้วยเถิด

31 พระโพธิสัตว์ทั้งหมดหลายพันร้อยหมื่นต่างประหลาดใจ มองดูพระผู้ประเสริฐเหนือมนุษย์

32 ข้าแต่พระมหาวีระ ที่หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ทรงคุณธรรม ของพระองค์จงอธิบาย ให้แจ่มแจ้งด้วยว่า พระโพธิสัตว์ผุ้กล้า(ฉลาด) ทั้งหลายเหล่านี้ มาจากไหน?

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:36:33 »


 
 
ก็โดยสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ผู้มาจากโลกธาตุอื่น ซึ่งเป็นรูปนิมิตของพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคต ที่แสดงธรรมแก่สัตว์ในโลกธาตุอื่นอยู่ เข้าไปนั่งสามาธิที่มหารัตนสิงหาสน์ โคนต้นรัตนพฤกษ์จากทิศทั้ง 8 โดยรอบของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอุปัฎฐากของตนๆของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้เห็นคณะพระโพธิสัตว์และกลุ่มพระโพธิสัตว์จำนวนมาก ทีผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพโดยรอบ แล้วสถิตอยู่ในอากาศธาตุ ได้ถึงความประหลาดใจ ได้ตามพระตถาคตของคนๆว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมายเพียงนี้ ประมาณมิได้ นับมิได้ ย่อมมาจากที่ไหน? เมื่อได้ยินดังนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงได้ตรัสกับอปัฏฐากของตนๆว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงรอสักครู่ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า พระไมเตรยนี้ ได้รับการพยากรณ์ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคต จากพระผู้มีพระภาคศากยมุนี เขาจะถามข้อความนี้กับพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจักพยากรณ์ ท่านทั้งหลายจงฟังในขณะนั้นเถิด

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดีละ ดีละ อชิตะ ดูก่อนอชิตะ ขอท่านจงอย่างถามเรื่องที่ลึกซึ้งอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งปวงจงตั้งใจ จงนั่งตามสบาย มีกำลังที่แข็งแรง ทั้งหมดนี้คือคณะของพระโพธิสัตว์ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จักประกาศการค้นพบพระโพธิญาณของพระตถาคต ที่พระองค์ทรงบรรลุแล้ว รวมทั้งความทุกข์ กรรม ความร่าเริง ความหงอยเหงา และความกล้าหาญของพระตถาคต

ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

33 ดูก่อนกุลบุตร ท่านทั้งปวงจงตั้งใจ เราจะกล่าววาจาอันไม่เปลี่ยนแปลงนี้ ดูก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอย่างทะเลาะกันเลย เพราะพระโพธิญาณของของพระตถาคตเป็นอจินไตย

34 ท่านทั้งปวงเป็นผู้มีปัญญา มีสติตั้งมั่นเสมอ มั่นคงในทุกสถาน ทันนี้ท่านจักได้ฟังธรรมที่ยังไม่เคยได้ฟังมาก่อน ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของพระตถาคตทั้งหลาย

35 ท่านทั้งปวงจงอย่างสร้างความสงสัยขึ้นมาเลย เพราะเราจะให้ท่านดำรงอยู่อย่างมั่นคง เราเป็นผู้นำ เป็นผู้มีวาจาที่ไม่เปลื่ยนแปลง ความรู้ของเราไม่สามารถจะนับได้

36 ธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งลึกซึ้ง ที่พระสุคตได้ตรัสรู้แล้ว เป็นธรรมที่อยู่เหนือเหตุผลและประมาณการไม่ได้ วันนี้ เราประกาศธรรมนั้น ขอท่านทั้งหลายจงฟังว่าธรรมนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาเหล่านี้แล้ว ได้ตรัสกาบพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เราพอใจท่าน เรารู้ ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้จินตการไม่ได้ เปรียบเทียบไม่ได้ คำนวณไม่ได้ ที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ได้ก้าวขึ้นมาจาก รอยแยกของพื้นพิภพ ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมาสัมโพธิญาณ ในสหโลกธาตุนี้ เราเป็นผู้รบเร้าให้พลัง ให้เกิดความพอใจ ให้น้อมไปในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กุลบุตรเหล่านี้ เราเป็นผู้อบรม ให้ตั้งอยู่ ให้เข้าถึง ให้ตั้งมั่น ให้หยั่งลง ให้รู้แจ้ง และให้บริสุทธิ์ในธรรมของพระโพธิสัตว์นี้ ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ย่อมอาศัยอยู่บนกลุ่มอากาศภายใต้สหาโลกธาตุนี้ กุลบุตรเหล่านี้เป็นผู้คิดและกำหนดใจทบทวนบทเรียนของตน ไม่ยินดีกับการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีกับการสมาคม ไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน ปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรเหล่านี้ยินดีในความวิเวกยินดีในความสงบ กุลบุตรเหล่านี้ ไม่ยินดีในการสมาคม ย่อมไม่อยู่ในที่อาศัยของเทวดาและมนุษย์ กุลบุตรเหล่านี้ พอใจยินดีในธรรม จำกัดตนไว้ในพุทธญาณเท่านั้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

37 พระโพธิสัตว์เหล่านี้ เปรียบเทียบมิได้ คำนวณมิได้ ประมาณมิได้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฤทธิ์ ปัญญา และศรุตะ ปฏิบัติเพื่อพระโพธิญาณอยู่หลายโกฏิกัลป์

38 เราได้อบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้เพื่อพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์หล่านี้ได้อาศัยอยู่ในพุทธเกษตรของเรา เราได้อบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เพราะพระโพธิสัตว์เหล่านี้เป็นบุตรของเรา

39 พระโพธิสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยธุดงควัตร ย่อมหลีกเลี่ยงพื้นที่ของสังคมทบุตรของเราเหล่านี้ ไม่จาริกไปกับหมู่คณะ ติดตามศึกษาวินัย (ความประพฤติ) อันสูงสุดของเรา

40 ผู้กล้าเหล่านี้อาศัยอยู่ที่ส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ เที่ยวไปภายใต้พุทธเกษตรเพื่อบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ จึงไม่ประมาท พยายามทั้งกลางวันและกลางคืน

41 พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้ปรารภความเพียร มีสติ มีพลังแห่งปัญญา ตั้งมั่นในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ พวกเธอเป็นผู้มีปัญญา ย่อมแสดงธรรม เพราะว่าพวกเธอทั้งหมด เป็นผู้งดงามด้วนแสงสว่างและเป็นบุตรของเรา

42 เราผู้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ที่โคนต้นไม้แห่งเมืองคยา ได้หมุนธรรมจักรอันประเสริฐ แล้วอบรมพวกเธอทั้งหมดไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้

43 คำพูดของเรานี้ไม่คลาดเคลื่อน ท่านทั้งปวงจงฟังและจงเชื่อเราเถิด เราเองได้อบรมท่านทั้งปวงไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐ ซึ่งเราได้บรรลุมานานแล้ว

ขณะนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระโพธิสัตว์อีกจำนวนวนมาก หลายร้อยพันหมื่นโกฏิได้ถืองความอัศจรรย์ ประหลาดใจ สงสัยอยู่ว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เล่านี้มีจำนวนนับไม่ได้ พระผู้มีพระภาคอบรมให้ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอยู่เพืยงครู่หนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย ได้อย่างไร? ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กาลนี้เป็นอย่างไร? เมื่อพระตถาคตยังเป็นพระกุมาร ได้ออกจานครศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ไปสู่หลักชัยอันประเสริฐคือโคนต้นโพธิ์ไกลจากนครคยา แล้วได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กาลนั้นในวันนี้ ได้ล่วงเลยมา 40 กว่าปีแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนั้นเป็นอย่างไร หน้าที่ของพระตถาคตที่กำหนดนับไม่ได้นี้ พระตถาคตทำสำเร็จได้ด้วยเวาลาเพียงเท่านี้ ควรเป็นผู้นำและความกล้าหาญของพระตถาคต พระตถาคตได้แสดงออกแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคคณะของพระโพธิสัตว์มีประมาณเท่านี้ กลุ่มของพระโพธิสัตว์ก็มีประมาณเท่านั้น พระตถาคตอบรมให้พร้อมตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเวลาเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร? ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ที่สุดแห่งการนับคณะของพระโพธิสัตว์และกลุ่มของพระโพธิสัตว์นี้ ด้วยร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ย่อมไม่ได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ที่ประมาณมิได้อย่างนี้ ได้ประพฤติพรหมจรรย์มาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถจะนับได้ มีกุศลมูลที่ถึงความเป็นเลิศ ในสำนักของพระพุทธเจ้าจำนวนมาก หลายร้อยพันองค์ ได้ถึงพร้อมแล้วในหลายร้อยพันกัลป์

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษบางคนเพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม มีเส้นผมดำอยู่ในวัยที่หนึ่ง ถือกำเนิดได้เพียง 25 ปี เขาแสดงบุตรอายุ 100 ปี (ของเขา) กล่าวว่า กุลบุตรเหล่านี้คือ บุตรของเรา บุรุษทั้งหลายทีมีอายุ 100 ปี เหล่านั้นกล่าวว่า ผู้นี้คือบิดาผู้ให้กำเนิดของเรา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำพูดของบุรุษนั้น เป็นสิงที่ไม่น่าเชื่อถือ ยากที่ชาวโลกเชื่อถือได้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไม่นานนี้เอง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้มีจำนวนมากจนประมาณมิได้ ประพฤติพรหมจรรย์จนแตกฉาน ตลอดหลายร้อยพันโกฏิกัลป์ เป็นผู้เข้าถึงกาลบริกรรมในมหาอภิญญา เป็นผู้ทำการบริกรรมในมหาอภิญญา เป็นบัณฑิตในพุทธภูมิเป็นผู้ฉลาดในบทเพลงแห่งธรรมของพระตถาคต เป็นผู้มีพลังอันน่าอัศจรรย์ เป็นผู้ถึงความตั้งมั่นแห่งพลังความเพียร อันยิ่งใหญ่ของชาวโลก พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับกุลบุตรเหล่านั้นว่า ตั้งแต่ต้น พระโพธิสัตว์เหล่านี้ เราได้ให้ถึงพร้อม มีอำนาจ ให้การอบรมจนน้อมลงสู่โพธิสัตว์ภูมินี้การเข้าถึงความเพียงทั้งปวงนี้ เราผู้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้กระทำสำเร็จแล้วข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักถึงคำสอนของพระตถาคตด้วยศรัทธาได้อย่างไรว่า พระดำรัสของพระตถาคตย่อมไม่เปลี่ยนแปลง พระตถาคตพึงยังประโยชน์นี้ให้เกิดเถิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ดำรงอยู่ในยานใหม่ๆย่อมยังความสงสัยให้เกิดขึ้น ในสถานะนั้น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ผู้ฟังธรรมบรรยายนี้แล้ว จักไม่ยอมรับ ไม่เชื่อ และไม่เลื่อมใส ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ชนเหล่านั้น จักมาเพื่อเปลี่ยนแปลงพิธีกรรม ที่เป็นไปเพื่อละทิ้งธรรม ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ดีละ ขอพระองค์ทรงชี้แจงเรื่องนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย พึงอยู่ในธรรมวินัยนี้ด้วยความไม่สงสัย ในอนาคตกาล กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งหลาย ผู้อยู่ในโพธิสัตวยานจะไม่เกิดความสงสัย

ในเวลานั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

44 ท่านประสูติที่เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ ได้ออกบวชจนท่านบรรลุพระพิญาณ ที่เมืองคยา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุนี้เกิดขึ้นไม่นานนี้เอง

45 ข้าแต่พระอารยะ ชนผู้เป็นบัณฑิตจำนวนมาก เป็นคณะใหญ่ ประพฤติธรรมมาแล้วชั่วโกฏิกัลป์ ตั้งมั่นในพลังแห่งฤทธิ์ ไม่หวั่งไหว ศึกษาดีแล้ว เป็นผู้ถึงคติในพลังแห่งปัญญา

46 เขาเหล่านั้นป็นผู้ไม่เปรอะเปื้อน เหมือนที่ไม่เปื้อนด้วยน้ำ ได้ทำลายพื้นพิภพผุดขึ้นมาในวันนี้ ทั้งหมดเป็นผู้มีสติ ที่ยืนประคองอัญชลี ด้วยความเคารพนั้นคือบุตรของพระโลกาธิบดี

47 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักเชื่อเรื่องอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไรของพระองค์ทรงตรัสถึงเหตุ เพื่อทำลายความสงสัยนั้น คือขอพระองค์ทรงแสดงเรื่องที่เป็นจริงนั้นเอง

48 เชื่อเรื่องเด็กหนุ่มมีผมดำ มีอายุเกิน 20 ปี ที่แสดงถึงบุตรมีอายุ 100 ปีนั้น

49 ชนเหล่านั้น มีผิวหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก พึงกล่าวว่า ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้สร้างร่างกายแก่พวกเรา ข้าแต่พระโลกนาถ ข้อนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อได้ยากยิ่งว่า ชายหนุ่มนั้นมีบุตรมากมายุถึงเพียงนี้

50 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์ไม่มั่นใจว่า พระโพธิสัตว์จำนวนมากเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ มีสติ มีปัญญา เป็นบัณฑิต มีการศึกษาดีในพันโกฏิกัลป์

51 เป็นผู้มีสติ มีปัญญา เป็นผู้ฉลาด น่าเลื่อมใส น่าทัศนา เป็นผู้กล้าหาญในการวินิจฉัยธรรม เป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาค (พระผู้นำแห่งโลก)ได้สรรเสริญแล้ว

52 เป็นผู้ไม่สู่สังคม เป็นผู้อยู่ในป่า ไม่อาศัยอยู่ต่อเนื่องในอากาศธาตุ ผู้เป็นบุตรของพระตถาคต ผู้ปรารถนาพุทธภูมินี้ จึงยังความเพียรให้เกิดขึ้น

53 เรื่องนี้จะพึงเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อพระผู้เป็นที่พึ่งของโลกได้ปรินิพพานแล้ว ความสงสัยย่อมไม่มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย หากพวกข้าพระองค์ได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระโลกนาถ

54 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผุ้มีความสงสัย ในประเด็นนี้ ไม่พึงไปสู่ทุคติ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงกระทำความจริงให้ปรากฏว่า พระองค์ทรงอบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้อย่างไร

บทที่ 14

โพธิสัตวปฤถิวีวิวรสมุทคมปริวรรต

ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน

ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ

มีเพียงเท่านี้

***********


http://www.mahayana.in.th/tmayana/สัทธรรมปุณฑรีกะ-บท14-15-16.html
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:37:06 »


 
 
สัทธรรมปุณฑริกสูตร มีหลายชื่อเช่น ปัทมสูตร ปทุมสูตร พระสูตรบัวหลวง
พระสูตรบัวขาว พระสูตรบัวใหญ่ พระสูตรดอกบัวแห่งธรรมอันมหัศจรรย์
 
 
มีหลายบท บทดัง ๆ คือ บทกวนอิมแตกกายไร้ประมาณ

 
 
บทที่นำมาให้อ่าน บางแห่งเรียกว่า บท พุทธะโพธิสัตว์พรั่งพรูออกมาจากแผ่นดิน พระสูตรเล่มนี้ เต็มไปด้วย บุคคลธิษฐานสุดอัศจรรย์ แฝงข้อธรรมมากมาย
 
 
 
ใครที่สนใจ หามาศึกษา ได้ แนะนำ ฉบับ อาจารย์ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์

 
 
 
สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:37:42 »

หลักปฏิสรณะ แว่นส่องดูพระสัทธรรมที่แท้จริง หลักสำคัญของฝ่ายมหายาน
 

 
 
หลักปฏิสรณะเป็นหลักสำคัญของฝ่ายมหายาน จัดเป็นแว่นธรรมสำหรับส่องตรวจดูพระสัทธรรมที่แท้จริงด้วย
 
หลัก ๑. เรื่องภาษาโวหารเป็นเรื่องของสมมติบัญญัติ คือไม่แน่นอน แล้วแต่สภาพวัฒนธรรมของชุมชนหนึ่งๆ หรือประเทศหนึ่งๆ บัญญัติ ฉะนั้น เราจึงถือเนื้อความส่วนใหญ่มากกว่าโวหารบัญญัติ.
 
หลัก ๒. ความรู้ทางอายตนะอาจหลอกเราได้ เช่นคนเหยียบเชือกในที่มืดคิดว่าเป็นงู อารมณ์โลกเป็นเรื่องมายาอันเป็นการปรุงแต่งที่แสดงหลอกเรา มีแต่สติปัญญาคือวิปัสสนาอันเป็นปัญญาแท้จริงจึงจะสามารถเพิกถอนมายาแห่งใจออกเสียได้.
 
หลัก ๓. บรรดาพระสัทธรรมซึ่งบรมศาสดาแสดงแก่เวไนยสัตว์นั้น ย่อมแสดงให้เหมาะแก่อินทรีย์ อุปนิสัยชั้นภูมิแห่งสัตว์จึงมีประเภทปริยายธรรม คือธรรมซึ่งยังต้องขยายความหรือยังมีนัยที่เหลืออีก ส่วนสัตว์ที่มีอินทรีย์สูงกล้าแล้วทรงแสดงปรมัตถธรรม ชี้ให้เห็นความเป็นมายาของโลก ซึ่งมีชื่อว่านิปปริยายธรรม คือธรรมที่ไม่มีนัยที่ต้องไขความกันอีก เป็นการแสดงถึงแก่นสูงสุดของพระพุทธศาสนา.
 
หลัก ๔. ทางฝ่ายมหายานนับถือความถูกต้องทางปัญญาคือวิปัสสนาเป็นสำคัญ หลักธรรม เป็นใครกล่าวก็ตาม ถ้าเป็นไปในทางปัญญาคือวิปัสสนา คือปัญญาที่ปลดปล่อยจิตว่างในความสุดโต่ง เพื่อความพ้นทุกข์แล้วก็ให้ถือเป็นหลักประพฤติปฏิบัติได้
 
 

 
คัดมาจากวิมลเกียรตินิทเทศสูตร ฉบับ อ.เสถียร โพธินันทะ
ดังต่อไปนี้ จ้า
 
 
1. ย่อมมีอรรถะเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาวจนโวหารเป็นปฏิสรณะ
 
2. ย่อมมีปัญญาเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาวิญญาณทางอายตนะเป็นปฏิสรณะ
 
3.ย่อมมีพระสูตรประเภทนิปปริยายธรรมเป็นปฏิสรณะ
ไมถือเอาพระสูตรประเภทปริยายธรรมเป็นปฏิสรณะ
 
4.ย่อมมีธรรมเป็นปฏิสรณะ ไม่ถือเอาบุคคลเป็นปฏิสรณะ
 
ขยายความ
 
1. หลักปฏิสรณะนี้ เป็นหลักสำคัญของฝ่ายมหายาน จัดเป็นแว่นส่องตรวจดู
พระสัทธรรมที่แท้จริงด้วย ข้อแรกหมายความว่า เรื่องภาษาโวหารเป็นเรื่อง
บัญญัติไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงเรียกร้องอย่างไรก็ได้ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่
เนื้อความ เช่น คำว่า " นิโรธ" ก็เป็นภาษาชาวบ้านธรรมดา แปลว่าดับ
แต่เมื่อใช้ในทางธรรม นอกจากจะหมายถึงความดับ เช่น ดับไฟดับธรรมดา
แล้ว ยังหมายถึงสภาพพ้นทุกข์พ้นกิเลสอีกด้วย เราจึงต้องถือเนื้อความ
เป็นใหญ่กว่าโวหารบัญญัติ
 
2. เนื่องด้วยความรู้ทางอายตนะอาจหลอกเราได้ เช่น คนเดินไปในที่มืด
เหยียบเชือกสำคัญคิดว่าเป็นงู เลยตกใจกลัวนอนป่วยก็มี อารมณ์โลก
เป็นเรื่องของมายาที่แสดงหลอกเรา ฉะนั้น จะถือเอาความจริงทางความรู้
อายตนะย่อมไม่แน่แท้ สู้สติปัญญากล่าวคือ วิปัสสนาปัญญา ซึ่ง
สามารถเพิกมายาออกเสียได้
 
3. ฝ่ายมหายานถือว่า บรรดาพระสัทธรรม ซึ่งพระบรมศาสดาแสดง
ประทานไว้แก่เวไนยสัตว์นั้น ย่อมแสดงเหมาะแก่อินทรีย์ อุปนิสัย
ชั้นภูมิแห่งสัตว์ จึงมีประเภทปริยายธรรม กล่าวคือ ธรรมซึ่งยังต้อง
ขยายความหรือยังมีนัยที่เหลืออีก เช่น หลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่องการ
ประพฤติธรรม เพื่อบรรลุสุขเยี่ยงโลกียชนเป็นต้น ทรงแสดงแก่สัตว์
ยังมีภูมิอินทรีย์อ่อน ส่วนสัตว์ซึ่งมีอินทรีย์สูงกล้าแล้ว ทรงแสดง
ปรมัตถธรรมชี้ให้เห็นความเป็นมายาของโลก นี้ชื่อว่า นิปปริยายธรรม
คือ ธรรมที่ไม่มีนัยที่ต้องไขความกันอีก เป็นการแสดงถึงแก่นสูงสุด
ของพระพุทธศาสนา.
 
ข้อสุดท้าย ทางมหายานนับถือความถูกต้องเหตุผลเป็นสำคัญ
หลักธรรมจะเป็นใครกล่าวก็ตาม ถ้าชอบด้วยเหตุผล เป็นไปเพื่อ
ความพ้นทุกข์แล้ว ก็ให้ถือปฏิบัติได้ อันที่จริงทั้ง 4 ข้อ ก็มีนัยอยู่
ในหลักพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท หรือจะพูดให้ถูกก็ต้องว่า
เป็นหลักการของพระพุทธศาสนานั่นเอง ไม่ใช่ของฝ่ายเถรวาท
ฝ่ายมหายาน .
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.006 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 08 เมษายน 2567 15:54:15