[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 พฤษภาคม 2567 13:37:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หญิงนครโสภิณี  (อ่าน 3001 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5483


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 22 มีนาคม 2555 19:20:04 »

หญิงโสภิณี
                “โสภิณี”   หรือ    “โสเภณี”       พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕      นิยามไว้ว่า หญิงค้าประเวณี (ย่อมาจาก นครโสภิณี)     ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๓     ให้นิยามว่า  “หญิงงามเมือง.  หญิงคนชั่ว”      ภาษาถิ่นอีสานเรียก "หญิงแม่จ้าง"   และโดยทั่ว ๆ ไปเราจะเข้าใจกันว่ามีความหมายนัยเดียวกับ  นางคณิกา   นั่นเอง  ส่วนภาษาปากเช่นอีตัว ฯลฯ  เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
               อาชีพโสเภณีปรากฏมีมาแต่ครั้งสมัยพุทธกาล   ในสมัยนั้นอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ   สังคมให้การยกย่องอย่างมาก   ผู้ที่จะเป็นโสเภณีได้ต้องได้รับแต่งตั้งจากพระราชาแล้วเท่านั้น       ในพุทธประวัติได้กล่าวถึงนางคณิกาหรือโสเภณีไว้ท่านหนึ่ง    ท่านผู้นี้ได้นางอุตราเป็นกัลยาณมิตร     นางได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   จนสำเร็จเป็นอริยบุคคล   ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล  



                   หญิงโสเภณีที่ปรากฏในพุทธประวัติท่านนั้น  มีชื่อว่านางสิริมา             นางสิริมาอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยนั้น     นางเป็นบุตรสาวของนางสาลวดีผู้ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี      และเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์   (ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร  และด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก  จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวช เพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวก ต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิดฯ)  
                   นางสิริมาเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก     นางได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะการเป็นนางคณิกาจากนางสาลวดีผู้เป็นมารดาจนมีความฉลาดชำนาญในการคณิกาศิลป์     จึงมีบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วย    โดยจ่ายทรัพย์ให้แก่นางเป็นค่าตอบแทนถึงคืนละ ๕๐ กหาปณะ     (๑ กหาปณะ  มีค่าเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง คือ ๔ บาท)........ต่อมา นางสิริมาได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผล  จึงเลิกอาชีพโสเภณีและประกาศตนเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ  


ย้อนกลับมาที่สังคมไทยกันบ้าง
                  ปัจจุบันอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย  แต่ถึงกระนั้นโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ทั้งแบบขนานแท้และดั้งเดิมคือ  ชนิดอยู่ซ่อง  หรือชนิดนางบังเงา      กับแบบใหม่ซึ่งมาในรูปของการให้บริการ  เช่น นางในร้านอาหาร  หรือบริการ อาบ อบ นวด   หรือนางทางโทรศัพท์       กับแบบศิลปินเดี่ยวไร้สังกัดประกอบอาชีพโดยอาศัยช่องทางความก้าวหน้าของสื่ออินเทอร์เน็ต   เป็นต้น
                   ปรากฏหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็ว่าได้ว่าโสเภณีมีมาแล้วแต่ครั้งปลายสมัยกรุงสุโขทัย   ตามหนังสือกฎหมายโบราณ “ลักษณะผัวเมีย”  ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔    ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑  (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา   หรือเมื่อราว ๖๕๐ ปีล่วงมาแล้ว   ในบทที่ ๖ ว่า
   "มาตราหนึ่ง  ชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับรำเที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต  และหญิงนครโสเภณีมาเลี้ยงเป็นเมีย  ทำชั่วเหนือผัวก็ดี  ผัวรู้ด้วยประการใด ๆ  พิจารณาเป็นสัจไซ้  ท่านให้ผจานหญิงชายนั้นด้วยไถนา     ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า   ทัดดอกฉะบาทั้งสองหูร้อยดอกฉะบาแดงเป็นมาไลยใส่ศีศะใส่คอแล้วให้เอาหญิงนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ชายชู้เข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง   ผจานด้วยไถนาสามวัน   ถ้าแลชายผัวมันยังรักเมียมันอยู่มิให้ผจานไซ้   ท่านให้เอาชายผู้ผัวนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง  หญิงอยู่ข้างหนึ่ง   อย่าให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลย”   
                     อย่างไรก็ตามสันนิษฐานได้ว่าสังคมไทยอาจมีโสเภณีมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด    และยังปรากฎจากคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม  ซึ่งเป็นเชลยศึกครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐  ได้ให้การแก่ฝ่ายพม่าไว้    และทางราชสำนักไทยได้ทำการแปลออกเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อ  "คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม"   (จากเอกสารจากหอหลวง  :  คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)  ได้กล่าวถึงหญิงนครโสเภณีในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า  
                   “……มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วยรวมเป็น ๓๐ ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย......”

                 จึงเป็นอันยืนยันได้ว่า เมืองไทยเรามีหญิงโสเภณีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้วอย่างแน่นอน  และได้มีตลอดเรื่อยมาจนถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา  กรุงธนบุรี  และกรุงรัตนโกสินทร์  
                          ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์    สุนทรภู่ซึ่งเกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๔ ปี  และต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นกวีในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลา  ๒๐ พรรษา   ท่านได้กล่าวถึงหญิงโสเภณีไว้ในนิราศภูเขาทองซึ่งแต่งขณะบวชเป็นพระภิกษุ  และขณะเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนคร
ศรีอยุธยาในปัจจุบัน)  เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีชวด  (พ.ศ. ๒๓๗๑)  ความว่า
                        มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม         ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
                        บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ         ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
                        บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ               ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
                       โคมรายแลอร่ามเหมือนสำเพ็ง         เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
   
                เหตุเพราะในสมัยนั้นซ่องส่วนมากมักจะแขวนโคมสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์ที่หน้าซ่องให้เป็นที่สังเกตของเหล่านักเที่ยวหญิง     และอีกประการสำเพ็งเป็นแหล่งของโรงหญิงโสเภณีในครั้งอดีต   จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “ผู้หญิงสำเพ็ง”   หรือ “หญิงหยำฉ่า”   ซึ่งใช้เป็นคำแสลงเรียกหญิงโสเภณีจนถึงทุกวันนี้
               ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ หญิงโสเภณีสมัยนั้นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกว่า “หญิงคนชั่ว”   เป็นส่วนมาก     แต่บางทีก็เรียกว่า  “หญิงโคมเขียว”   ส่วนซ่องก็เรียกว่า “โรงหญิงคนชั่ว”  หรือ “โรงหญิงโคมเขียว”
              เมื่อพูดถึงโคมเขียว  ก็ขออธิบายลักษณะของโคมไว้เสียด้วยว่า    ตัวโคมก็มีรูปร่างเหมือนโคมธรรมดานี่เอง  แต่ทาสีเขียวหรือใช้กระจกสีเขียว  ข้างในมีหลอดไฟฟ้าหรือบางแห่งที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ใ     ช้ตะเกียงแทน  พอตกค่ำเปิดไฟฟ้าหรือจุดตะเกียงให้แสงเพื่อให้ไฟเป็นที่สังเกตของบรรดานักเที่ยวทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย
ขุนวิจิตรมาตรา  หรือ “กาญจนาคพันธ์”   ได้บรรยายถึงสภาพผู้หญิงโคมเขียวที่ตรอกเต๊าในยุคสมัยนั้นไว้ดังนี้        
                     “ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราว กำมือหนึ่ง (ราวสัก ๒๐ ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน ๖ สลึงหรือสองบาท”    
             ส่วนค่าบริการมีหลายอัตราเช่นเดียวกับสมัยนี้คือ   ราคาต่ำสุดชนิดกระจอกงอกง่อยก็เพียง ๒ สลึงเท่านั้น   และราคาอย่างสูงก็เพียง ๑ บาท       ราคาที่บอกไว้นี้เป็นอัตราของหญิงคนชั่วไทยและจีน   หากเป็นหญิงคนชั่วฝรั่งและญี่ปุ่นราคาบริการก็สูงขึ้นไปอีกคือชั่วคราว ๒ บาท  เหมาตลอดคืน ๔ บาท

 

               สำหรับโรงหญิงคนชั่วสมัยโน้นที่มีชื่อคนชอบไปเที่ยวกันมาก ก็ได้แก่ที่ ตรอกเต๊า    โรงคุณแม่แฟง   โรงคุณแม่กลีบ  โรงคุณแม่เต๊า   ตรอกเจ้าสัวเนียม   ตรอกเว็จขี้หรือตรอกอาจม  ตรอกโรงโคม   หลังวัดสามจีน
                กล่าวถึงคุณยายแฟง      หลายท่านต้องได้เคยคุ้นหูและได้รู้ประวัติของแกมาบ้างแล้วพอสมควร   แกมีเงินที่ได้จากอาชีพเจ้าสำนักหญิงคนชั่วเป็นจำนวนมาก  จึงเอาเงินที่ได้มาไปสร้างวัด    ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “วัดใหม่ยายแฟง”    เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ     ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (รัชกาลที่ ๔)  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า  “วัดคณิกาผล”   มีความหมายว่า   วัดที่สร้างจากผลของนางคณิกา       ไว้โอกาสต่อไปจะรวบรวมเรื่องราวของแกมาเล่าสู่กันฟัง
 
              ทีนี้มาพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ได้จากการไปเที่ยวหญิงคนชั่ว   ปรากฏว่าคนสมัยนั้นเป็นกามโรคกันมาก ยาสมัยใหม่ไม่มีรักษา   เป็นกันทีก็ต้มยากินกันเป็นสิบ ๆ หม้อ   หรือเป็นปีบ ๆ   โรคก็ไม่หายกลายเป็นโรคเรื้อรังติดลูกติดเมียกันงอมแงม  นับว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมากในสมัยนั้น      ตามสถิติของกรมสุขาภิบาลกระทรวงมหาดไทย  เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖    ปรากฎพวกผู้ชายในพระนครเป็นกามโรคกันมากถึงร้อยละ ๗๕   ทีเดียว


ขอบคุณที่กรุณาติดตาม โอกาสหน้าจะรวบรวมสาระน่ารู้มาฝาก   พบกันใหม่ค่ะ   เย้  เย้





ที่มา :   - เทพชู  ทับทอง. “กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ ๒๐๐ ปี”  กรุงเทพฯ.  
           - พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
           - พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ :  พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)   พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
           - สุนทรภู่ : นิราศภูเขาทอง
           - http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere26.html
           - http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307948
           - (Wikipedia®) สารานุกรมเสรี

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 มีนาคม 2555 20:28:54 โดย Mckaforce » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5483


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0 MS Internet Explorer 9.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 มีนาคม 2555 19:36:13 »

ขออภัยท่านผู้อ่านกระทู้เป็นอย่างสูง  กิมเล้งยังไม่ชำนาญในการตรวจสอบข้อความจากหน้าต่างแสดงตัวอย่าง   รบกวนนาย Mckaforce.  ตรวจสอบและปรับปรุงให้แม่แกด้วย ..... แต่ขณะนี้นายMckaforce  ไปทำธุรเกี่ยวกับกิจการของแกที่ กทม. พรุ่งนี้น่าจะกลับเน้อ
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 17.0.963.79 Chrome 17.0.963.79


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 มีนาคม 2555 20:44:07 »

ขออภัยท่านผู้อ่านกระทู้เป็นอย่างสูง  กิมเล้งยังไม่ชำนาญในการตรวจสอบข้อความจากหน้าต่างแสดงตัวอย่าง   รบกวนนาย Mckaforce.  ตรวจสอบและปรับปรุงให้แม่แกด้วย ..... แต่ขณะนี้นายMckaforce  ไปทำธุรเกี่ยวกับกิจการของแกที่ กทม. พรุ่งนี้น่าจะกลับเน้อ

ดำเนินการตามบัญชาแล้วครับสเด็จแม่

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: โสเภณี  กะหรี่ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.618 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 24 เมษายน 2567 05:48:26