หญิงโสภิณี
“โสภิณี” หรือ
“โสเภณี” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ นิยามไว้ว่า
หญิงค้าประเวณี (ย่อมาจาก นครโสภิณี) ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๓ ให้นิยามว่า
“หญิงงามเมือง. หญิงคนชั่ว” ภาษาถิ่นอีสานเรียก
"หญิงแม่จ้าง" และโดยทั่ว ๆ ไปเราจะเข้าใจกันว่ามีความหมายนัยเดียวกับ นางคณิกา นั่นเอง ส่วนภาษาปากเช่นอีตัว ฯลฯ เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
อาชีพโสเภณีปรากฏมีมาแต่ครั้งสมัยพุทธกาล ในสมัยนั้นอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ สังคมให้การยกย่องอย่างมาก ผู้ที่จะเป็นโสเภณีได้ต้องได้รับแต่งตั้งจากพระราชาแล้วเท่านั้น ในพุทธประวัติได้กล่าวถึงนางคณิกาหรือโสเภณีไว้ท่านหนึ่ง ท่านผู้นี้ได้นางอุตราเป็นกัลยาณมิตร นางได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนสำเร็จเป็นอริยบุคคล ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล
หญิงโสเภณีที่ปรากฏในพุทธประวัติท่านนั้น มีชื่อว่า
นางสิริมา นางสิริมาอาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธในสมัยนั้น นางเป็นบุตรสาวของนางสาลวดีผู้ซึ่งเป็นหญิงโสเภณี และเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ (ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำพระองค์ของพระเจ้าพิมพิสาร และด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีศรัทธาเอาใจใส่เกื้อกูลพระสงฆ์มาก จึงเป็นเหตุให้มีคนมาบวช เพื่ออาศัยวัดเป็นที่รักษาตัวจำนวนมาก จนหมอชีวก ต้องทูลเสนอพระพุทธเจ้าให้ทรงบัญญัติข้อห้ามมิให้รับบวชคนเจ็บป่วยด้วยโรคบางชนิดฯ)
นางสิริมาเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมาก นางได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะการเป็นนางคณิกาจากนางสาลวดีผู้เป็นมารดาจนมีความฉลาดชำนาญในการคณิกาศิลป์ จึงมีบุรุษทั้งหลายรับนางไปบำเรอและสมสู่ด้วย โดยจ่ายทรัพย์ให้แก่นางเป็นค่าตอบแทนถึงคืนละ ๕๐ กหาปณะ (๑ กหาปณะ มีค่าเท่ากับ ๒๐ มาสก หรือ ๑ ตำลึง คือ ๔ บาท)........ต่อมา นางสิริมาได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุคุณธรรมพิเศษคือโสดาปัตติผล จึงเลิกอาชีพโสเภณีและประกาศตนเป็นอุบาสิกาผู้มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ย้อนกลับมาที่สังคมไทยกันบ้าง ปัจจุบันอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย แต่ถึงกระนั้นโสเภณีก็ยังคงมีอยู่ทั้งแบบขนานแท้และดั้งเดิมคือ ชนิดอยู่ซ่อง หรือชนิดนางบังเงา กับแบบใหม่ซึ่งมาในรูปของการให้บริการ เช่น นางในร้านอาหาร หรือบริการ อาบ อบ นวด หรือนางทางโทรศัพท์ กับแบบศิลปินเดี่ยวไร้สังกัดประกอบอาชีพโดยอาศัยช่องทางความก้าวหน้าของสื่ออินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ปรากฏหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดก็ว่าได้ว่าโสเภณีมีมาแล้วแต่ครั้งปลายสมัยกรุงสุโขทัย ตามหนังสือกฎหมายโบราณ “ลักษณะผัวเมีย” ซึ่งบัญญัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หรือเมื่อราว ๖๕๐ ปีล่วงมาแล้ว ในบทที่ ๖ ว่า
"มาตราหนึ่ง ชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับรำเที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต และหญิงนครโสเภณีมาเลี้ยงเป็นเมีย ทำชั่วเหนือผัวก็ดี ผัวรู้ด้วยประการใด ๆ พิจารณาเป็นสัจไซ้ ท่านให้ผจานหญิงชายนั้นด้วยไถนา ส่วนหญิงอันร้ายให้เอาเฉลวปะหน้า ทัดดอกฉะบาทั้งสองหูร้อยดอกฉะบาแดงเป็นมาไลยใส่ศีศะใส่คอแล้วให้เอาหญิงนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง ชายชู้เข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง ผจานด้วยไถนาสามวัน ถ้าแลชายผัวมันยังรักเมียมันอยู่มิให้ผจานไซ้ ท่านให้เอาชายผู้ผัวนั้นเข้าเทียมแอกข้างหนึ่ง หญิงอยู่ข้างหนึ่ง อย่าให้ปรับไหมชายชู้นั้นเลย” อย่างไรก็ตามสันนิษฐานได้ว่าสังคมไทยอาจมีโสเภณีมาก่อนหน้านี้เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด และยังปรากฎจากคำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ซึ่งเป็นเชลยศึกครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ได้ให้การแก่ฝ่ายพม่าไว้ และทางราชสำนักไทยได้ทำการแปลออกเป็นภาษาไทยภายใต้ชื่อ "คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม" (
จากเอกสารจากหอหลวง : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ได้กล่าวถึงหญิงนครโสเภณีในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า
“……มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนครตามชานพระนครบ้าง ตามฝั่งฟากกรุงบ้าง ติดแต่ในรอบบริเวณขนอนใหญ่ทั้ง ๔ ทิศ รอบกรุงเข้ามาจนฟากฝั่งแม่น้ำตามกรุง แลชานกำแพงกรุงนั้นด้วยรวมเป็น ๓๐ ตลาดคือ…ตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีหญิงนครโสเภณีตั้งโรงอยู่ท้ายตลาด ๔ โรงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ใกล้ทางเรือแลทางบก มีตึกกว้างร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย......” จึงเป็นอันยืนยันได้ว่า เมืองไทยเรามีหญิงโสเภณีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยแล้วอย่างแน่นอน และได้มีตลอดเรื่อยมาจนถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ซึ่งเกิดหลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ ๔ ปี และต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นกวีในราชสำนักพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลา ๒๐ พรรษา ท่านได้กล่าวถึงหญิงโสเภณีไว้ในนิราศภูเขาทองซึ่งแต่งขณะบวชเป็นพระภิกษุ และขณะเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนคร
ศรีอยุธยาในปัจจุบัน) เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีชวด (พ.ศ. ๒๓๗๑) ความว่า
มาจอดท่าหน้าวัดพระเมรุข้าม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน
บ้างขึ้นล่องร้องลำเล่นสำราญ ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง
บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง
โคมรายแลอร่าม
เหมือนสำเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู
เหตุเพราะในสมัยนั้นซ่องส่วนมากมักจะแขวนโคมสีเขียวไว้เป็นสัญลักษณ์ที่หน้าซ่องให้เป็นที่สังเกตของเหล่านักเที่ยวหญิง และอีกประการสำเพ็งเป็นแหล่งของโรงหญิงโสเภณีในครั้งอดีต จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “ผู้หญิงสำเพ็ง” หรือ “หญิงหยำฉ่า” ซึ่งใช้เป็นคำแสลงเรียกหญิงโสเภณีจนถึงทุกวันนี้
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ หญิงโสเภณีสมัยนั้นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกว่า “หญิงคนชั่ว” เป็นส่วนมาก แต่บางทีก็เรียกว่า “หญิงโคมเขียว” ส่วนซ่องก็เรียกว่า “โรงหญิงคนชั่ว” หรือ “โรงหญิงโคมเขียว”
เมื่อพูดถึงโคมเขียว ก็ขออธิบายลักษณะของโคมไว้เสียด้วยว่า ตัวโคมก็มีรูปร่างเหมือนโคมธรรมดานี่เอง แต่ทาสีเขียวหรือใช้กระจกสีเขียว ข้างในมีหลอดไฟฟ้าหรือบางแห่งที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ใ ช้ตะเกียงแทน พอตกค่ำเปิดไฟฟ้าหรือจุดตะเกียงให้แสงเพื่อให้ไฟเป็นที่สังเกตของบรรดานักเที่ยวทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย
ขุนวิจิตรมาตรา หรือ “กาญจนาคพันธ์” ได้บรรยายถึงสภาพผู้หญิงโคมเขียวที่ตรอกเต๊าในยุคสมัยนั้นไว้ดังนี้
“ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราว กำมือหนึ่ง (ราวสัก ๒๐ ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน ๖ สลึงหรือสองบาท” ส่วนค่าบริการมีหลายอัตราเช่นเดียวกับสมัยนี้คือ ราคาต่ำสุดชนิดกระจอกงอกง่อยก็เพียง ๒ สลึงเท่านั้น และราคาอย่างสูงก็เพียง ๑ บาท ราคาที่บอกไว้นี้เป็นอัตราของหญิงคนชั่วไทยและจีน หากเป็นหญิงคนชั่วฝรั่งและญี่ปุ่นราคาบริการก็สูงขึ้นไปอีกคือชั่วคราว ๒ บาท เหมาตลอดคืน ๔ บาท
สำหรับโรงหญิงคนชั่วสมัยโน้นที่มีชื่อคนชอบไปเที่ยวกันมาก ก็ได้แก่ที่ ตรอกเต๊า
โรงคุณแม่แฟง โรงคุณแม่กลีบ โรงคุณแม่เต๊า ตรอกเจ้าสัวเนียม ตรอกเว็จขี้หรือตรอกอาจม ตรอกโรงโคม หลังวัดสามจีน
กล่าวถึงคุณยายแฟง หลายท่านต้องได้เคยคุ้นหูและได้รู้ประวัติของแกมาบ้างแล้วพอสมควร แกมีเงินที่ได้จากอาชีพเจ้าสำนักหญิงคนชั่วเป็นจำนวนมาก จึงเอาเงินที่ได้มาไปสร้างวัด ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า
“วัดใหม่ยายแฟง” เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า
“วัดคณิกาผล” มีความหมายว่า วัดที่สร้างจากผลของนางคณิกา ไว้โอกาสต่อไปจะรวบรวมเรื่องราวของแกมาเล่าสู่กันฟัง
ทีนี้มาพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ได้จากการไปเที่ยวหญิงคนชั่ว ปรากฏว่าคนสมัยนั้นเป็นกามโรคกันมาก ยาสมัยใหม่ไม่มีรักษา เป็นกันทีก็ต้มยากินกันเป็นสิบ ๆ หม้อ หรือเป็นปีบ ๆ โรคก็ไม่หายกลายเป็นโรคเรื้อรังติดลูกติดเมียกันงอมแงม นับว่าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงมากในสมัยนั้น ตามสถิติของกรมสุขาภิบาลกระทรวงมหาดไทย เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๖ ปรากฎพวกผู้ชายในพระนครเป็นกามโรคกันมากถึงร้อยละ ๗๕ ทีเดียว
ที่มา : - เทพชู ทับทอง. “กรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ ๒๐๐ ปี” กรุงเทพฯ.
- พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕
- พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
- สุนทรภู่ : นิราศภูเขาทอง
- http://www.larnbuddhism.com/atatakka/tere/tere26.html
- http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307948
- (Wikipedia®) สารานุกรมเสรี