หัวข้อ: วิหารวัดม่วง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี (ชมภาพจิตรกรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้) เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 ธันวาคม 2558 15:27:14 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86521134980850_1.JPG) พระวิหารวัดม่วง ซึ่งปรับปรุงภายนอกเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนภายในยังคงอนุรักษ์ไว้ตามสภาพเดิม จิตรกรรมฝาผนังพระวิหาร วัดม่วง ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี วัดม่วงตั้งอยู่ที่บ้านบางกะปิ หมู่ที่ ๘ ต.อินทร์บุรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี พื้นที่วัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีจำนวน ๘ ไร่ ๒ งาน ๔๐ ตารางวา ทิศเหนือและทิศใต้ติดกับบ้านเรือนของราษฎร ทิศตะวันออกติดถนนสายอินทร์บุรี-บ้านไผ่ ทิศตะวันตกติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ในหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร จัดพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙ โดยกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ มีความกล่าวไว้ว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๖๕ เนื่องจากแต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้มีต้นมะม่วงขนาดใหญ่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงพากันเรียกชื่อว่าวัด “วัดม่วง” อีกตำนานเล่ากันมาว่า ประมาณกว่า ๒๐๐ ปี ปู่สุขและปู่มี ชาวลาว ได้ถูกกวาดต้อนเดินทางมาจากนครเวียงจันทน์ ได้มาปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ที่บ้านนี้ เป็นผู้สร้างวัดม่วง และกล่าวว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดแห่งแรกในอำเภออินทร์บุรี หลักฐานที่บ่งชัดก็คือ วิหารเก่าแก่และเจดีย์ ในสมัยเจ้าอาวาสรูปที่ ๙ คือหลวงพ่อพระครูอินทวุฒาจารย์ (เอาะ) มีสิ่งที่ประทับใจของชาวบ้านวัดม่วง คือ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๙ ตรงกับแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จทางชลมารคมาจากทิศเหนือตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ได้ทรงหยุดพักเสวยพระกระยาหารกลางวันที่บนศาลาวัดม่วงแห่งนี้ และได้เสด็จเยี่ยมประชาชนแล้วจึงเสด็จไปพักแรมที่จังหวัดสิงห์บุรี ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จไปเปิดพระนามาภิไธยย่อ “ส.ก.” ที่ได้โปรดพระราชทานก่วัดให้นำไปประดิษฐานไว้บนหน้าบันของพระอุโบสถเมื่อ วันที่ ๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๖ วิหาร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของพระอุโบสถ เป็นอาคารทรงโรง ก่ออิฐถือปูน ขนาดค่อนข้างเล็ก ด้านหน้าก่อมุขยื่นออกมาต่อกับบันไดทางขึ้น ผนังด้านหน้าอาคารและผนังภายในวิหารทั้ง ๔ ด้าน มีภาพจิตรกรรมสีฝุ่นมีรองพื้น ลักษณะที่ปรากฏแสดงว่ามีการเขียนทับซ้อนกันไม่น้อยกว่าสองครั้ง เป็นภาพฝีมือแบบพื้นฐานของชาวพื้นบ้าน เขียนเล่าเรื่องราวพุทธประวัติ การปลงซากอสุภกรรมฐานของพระภิกษุ ภาพเล่าเรื่องพระมาลัยสูตร การได้รับทุกขเวทนาของสัตว์นรกในนรกภูมิ การเดินทางไปมนัสการรอยพระพุทธบาท รูปเทวดา รูปดอกบัว ฯลฯ เรื่องราวในจิตรกรรมวิหารแห่งนี้ไม่ต่อเนื่องกัน และไม่มีหลักฐานระบุไว้ว่าเขียนเมื่อใด และโดยใคร จึงทำให้ยากที่จะกำหนดอายุการเขียนที่แน่นอนลงไปได้ แต่หากพิจารณาจากคตินิยมในการนำเรื่องราวพุทธประวัติเป็นโครงสำคัญของการเขียนแล้ว ทำให้สันนิษฐานได้ว่า จิตรกรรมในวิหารวัดม่วงแห่งนี้คงจะเขียนขึ้นในราวช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น - รัชกาลที่ ๔ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/40933248359295_2.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/73468431126740_3.JPG) พระพุทธรูปประธานภายในวิหาร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91866919563876_4.JPG) ภาพเขียนหน้าบันหน้าพระวิหาร (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75714565772149_5.JPG) วิถีการดำรงชีวิตของคนไทยสมัยโบราณที่มีวัฒนธรรมเรียบง่าย จิตใจผูกพันกับพระศาสนา จะเห็นได้ว่าชายไทยตัดผมสั้น นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ บางคนมีผ้าคล้องคอ ส่วนผู้หญิงไว้ผมมีจอน นุ่งซิ่น ห่มสไบ ซึ่งลักษณะการแต่งกายดังกล่าว เป็นวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย สอดคล้องกับตำนานการสร้างวัด ที่กล่าวว่าสร้างในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ไม่เกินรัชกาลที่ ๔) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/58300173613760_6.JPG) ภาพเล่าเรื่องพระมาลัยเสด็จไปโปรดสัตว์นรกในนรกภูมิ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52090058931046_7.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/66398805876572_8.JPG) ภาพนี้ จารึกข้อความกำกับภาพ ว่า "พระนอนองค์นี้ นายสวย สร้างไว้ในพระศาสนาฯ" (http://www.sookjaipic.com/images_upload/68002114941676_9.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/82552074475420_14.JPG) พระพุทธองค์ประทับนั่งทับบนบัลลังก์นาคขนด ซึ่งแผ่พังพานปกป้องพระพุทธองค์ ในสระขนาดใหญ่แวดล้อมด้วยพญานาคและเหล่าฝูงปลา ทรงพิจารณาธรรม เหล่าสัตว์ทั้งหลายในโลก อุปมาเปรียบกับดอกบัว ๓ เหล่า (ต่อมาภายหลังมีผู้กำหนดเพิ่มอีก ๑ เหล่า รวมเป็น ๔ หล่า) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/63746659085154_15.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/63221697633465_11.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90057599668701_10.JPG) เจดีย์ มีลักษณะเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เหนือขึ้นไปเป็นฐานสิงห์ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป ส่วนเรือนธาตุก่อเป็นซุ้มโค้งแหลม มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในซุ้มทั้งสี่ด้าน องค์ระฆังมีขนาดเล็ก ตั้งแต่เหนือชั้นฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับองค์เจดีย์ขึ้นไป จนถึงบัลลังก์ขององค์ระฆัง โดยย่อมุมด้านละ ๓ มุม ทั้งสี่ด้าน ส่วนเหนือบัลลังก์ขึ้นไป เป็นบัวกลุ่ม และปลียอดตามลำดับ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65647304182251_13.JPG) พระอุโบสถหลังปัจจุบันก่อสร้างเป็นครั้งที่สามในที่แห่งเดียวกัน เนื่องจากอุโบสถเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม หน้าบันด้านหน้าพระอุโบสถประดับพระนามาภิไธยย่อ “ส.ก.” ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดพระราชทานก่วัด เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39668830691112_12.JPG) |