[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
12 พฤษภาคม 2567 03:03:39 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ภัยพิบัติที่แท้จริง โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร  (อ่าน 4729 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 14:55:20 »




ภัยพิบัติที่แท้จริง
โดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
บรรยายเมื่อ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๔

ข้าพเจ้าทั้งหลายขอกราบนมัสการด้วยเศียรเกล้าในพระคุณของพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันวิเศษผู้มีความปรารถนาดีกับมวลสัตว์โลกอย่างยิ่งยวด ทรงบำเพ็ญเพียร สร้างบารมีธรรมเพื่อให้เพียบพร้อมแล้วก็น้อมนำบารมีมาเป็นฐานแห่งความตั้งมั่นที่จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ก็ได้แก่การเวียนว่ายตายเกิดไปในแหล่งกำเนิดทั้งสี่ ซึ่งเราทั้งหลายต่างโคจรมาแล้วนับภพนับชาติไม่ถ้วน บางครั้งก็อาศัยครรภ์มารดา บางครั้งก็อาศัยฟองไข่ บางครั้งก็อาศัยของโสโครก บางครั้งก็อาศัยบุญบ้างหรือบาปบ้างนำเกิด

พระองค์พุทธองค์ตรัสว่า ชาติ ปิ ทุกขา ชาติเป็นทุกข์ เพราะชาตินำมาซึ่งความแก่ ความเจ็บ และความตาย นอกจากนั้น ยังมีโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส อัปปิเยหิสัมปโยโคทุกโข ปิเยหิวิปปะโยโคทุกโข ยัมปิฉัง นะละภันติ ตัมปิทุกขัง รวมแล้วก็คือทุกข์ทั้ง ๑๑ กอง ซึ่งมีอยู่ในชีวิตและก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ตราบนานเท่านาน โดยที่เรามิสามารถลุล่วงจากความทุกข์ได้ เพราะชีวิตนั้นถูกกักขังและร้อยรัดถูกตรึงไว้ด้วยลูกโซ่แห่งสังสารวัฏฏ์

อำนาจแห่งสังสารวัฏฏ์นั้นก็คือ อำนาจแห่งอวิชชาได้แก่ความไม่รู้ และยังมีตัวร้อยรัดมัดตรึงไว้ด้วยตัณหา ดังนั้น ตัณหาและอวิชชาจึงเป็นเครื่องผูกสัตว์นั้นมิให้พ้นไปจากความทุกข์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณที่ทรงประทานสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้คือความหลุดพ้น อันได้แก่ มรรคอันมีองค์ ๘ ซึ่งเราทุกคนได้ศึกษาและเรียนรู้แล้ว

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 14:57:33 »

ปฐมแห่งมรรคนั้นก็คือ สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ หรือเรียกตรง ๆ ว่า ความเห็นอันถูกต้อง ได้แก่ความเห็นตรงสภาวธรรม เช่น ธรรมชาติที่รู้ได้ ธรรมชาติเหล่านั้นเรียกว่าจิต ซึ่งเป็นนามธรรม หรือธรรมชาติที่ทำให้จิตนั้นขุ่นมัวก็ได้ เศร้าหมองก็ได้ ยินดีก็ได้ ไม่ยินดีก็ได้ ธรรมชาติเหล่านั้นเรียกว่า เจตสิก ที่เป็นตัวปรุงแต่งจิต เกิดขึ้นกับจิต ตั้งมั่นอยู่กับจิตในวัตถุเดียวกัน และก็ดับไปพร้อมกับจิต

สภาวธรรมเหล่านี้เป็นความจริงที่จะให้สัตว์โลกผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาพิสูจน์ เพื่อจะสลัดละคลายออกจากกองอกุศลทั้ง ๑๒ ด้วยการเดินทางอยู่ในเส้นทางสายเอก ซึ่งดำเนินอยู่คนเดียว เป็นไปลำพัง เมื่อผู้ใดพบ ผู้นั้นก็พ้น คือ พ้นไปจากสังสารวัฎฎ์ ได้แก่ รอบแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

การสวดมนต์ในเช้านี้ได้ขอให้ทุกคนสำรวมกาย วาจา และใจ เพื่อมิให้จิตนั้นซัดส่ายไปตามทวารต่าง ๆ มั่นที่จะกระทำงานทางใจให้มากด้วยความศรัทธาะสร้างบารมีธรรมโดยเฉพาะปัญญาบารมีให้มากขึ้น เพื่อจะได้ส่งเสริมและสร้างสรรค์ชีวิตให้ประกอบไปด้วยคุณธรรมนำชีวิตให้เจริญ

ขออนุโมทนากุศลทุกท่าน ขอความเจริญในธรรมจงมียิ่งๆ ขึ้นไปในชีวิตทุกๆ ท่านเนื่องจากอาทิตย์หน้าตรงกับเทศกาลสงกรานต์ มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิจะหยุดการเรียนการสอน(วันเสาร์ที่ ๑๖ และวันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน) เนื่องจากการจราจรบนถนนพุทธมณฑลคงจะมีความติดขัดมาก เพราะเป็นถนนที่เปิดให้เล่นสงกรานต์กันทุกปี
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 15:11:24 »

ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ของไทย ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณความดีของครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา และมีพลังแห่งความรัก ที่จะมอบให้กับทุกคน นับตั้งแต่หลวงพ่อเสือ ท่านอาจารย์บุญมี พระครูศรีโชติญาณ ตลอดจน อาจารย์เพ็ญภัทร์ อาจารย์ธัญนันทน์ อาจารย์สุภางค์ ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทุกๆ ท่านมาตลอด ขออำนาจของความรักที่ครูทั้งหลายมีใจรักและปรารถนาดีต่อทุกท่าน จงมารวมเป็น ตบะ เดชะ พลวะปัจจัยส่งผลให้ท่านนั้นผ่านพ้นภัยพิบัตินานาประการ รับชีวิตใหม่ในเทศกาลปีใหม่ด้วยสติ ด้วยปัญญา และพาชีวิตดำเนินไปสู่ความพ้นทุกข์ ได้โดยปลอดภัยทุกท่าน

เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ทำให้มีวันหยุดหลายวัน เรือนปฏิบัติที่สำนักวิปัสสนากรรมฐานอ้อมน้อย ก็เต็มหมด เพราะมีผู้ไปเข้าปฏิบัติ หลายท่านใช้เวลาช่วงวันหยุดนี้สร้างชีวิตใหม่ของตนเอง ในเรื่องการปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องเพียรพยายามหมั่นดูแลและเอาใจใส่ชีวิต คงต้องขอใช้คำว่า ทั้งตัวเองและท่านใช้ชีวิตเลอะเทอะกันมามากแล้ว ทำไมเราจึงมีความเลอะเทอะกันอยู่ และไม่มั่นคงในเส้นทางที่เรายอมรับกันโดยดุษฏีรวมทั้งมีความอย่างเชื่อแน่นอนว่า หากปฏิบัติตามคำสั่งเดินตามคำสอนนั้น แน่นอนมรรคจิตผลจิตย่อมเกิดขึ้น และก็แน่นอนที่เราจะมีจุติพิเศษคือจุติของพระอรหันต์

เส้นทางนั้นเป็นที่ทราบดีของทุกคนและเป็นที่ต้องการของทุกคนในขณะที่ถูกอบรมศึกษาอยู่ แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าขณะใดที่เราไม่ถูกอบรมหรือไม่ได้ฟังคำสอนแล้ว แม้กระทั่งมรรคจิตผลจิตเราก็ไม่เคยนึกถึงเลย และเราไม่เคยคิดถึงจุติจิตของพระอรหันต์ว่าเป็นจิตที่เราต้องการ เราคิดเพียงแต่ว่าจุติจิตคือตายและมีความกลัวไปในนั้นด้วยคือกลัวตาย

เราจะเห็นได้ว่า ข่าวภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราเตรียมพร้อมเสมอ เราหวั่นใจเสมอกับสิ่งร้ายๆ เพราะเราทุกคนรักตัวกลัวตาย แต่เราก็หนีไม่พ้นความตาย เมื่อเราเกิดมาแล้วเราเองนั่นแหละที่ต้องตายและก็หนีไม่พ้นการเกิดอีกนั่นคือการเวียนวนในวัฏฏะภัย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 15:17:48 »

จริงๆ แล้วโลกใบที่เราอาศัยนี้อยู่ท่ามกลางจักรวาลที่หมุนอยู่นานมากแล้ว อย่างน้อยๆ เราก็รู้ว่าอายุของโลกเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมานี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก และถ้าหากเป็นชีวิตเราที่อยู่มา ๒๕๐๐ กว่าปีแล้วยังไม่ตาย เราคงแก่งั่กจริงๆ งั่กชนิดที่ว่าได้แต่กองเอาไว้ ขยับเขยื้อนไม่ไหว เพราะมันมีความเสื่อมหายนะเกิดขึ้นกับรูปธรรมคือแก่ชรามากมาย

และถ้าย้อนไปไกลอีกนิดหนึ่งคือช่วงเวลาของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ ที่ผ่านมา แม้แต่องค์ที่ ๕ ในภัทรกัปป์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ ท่านก็จะมาอุบัติขึ้นในโลกที่กำลังหมุนอยู่นี่แหละ ฉะนั้น คำนวณไม่ได้เลยกับอายุของโลก

ตามที่ เราศึกษามาว่า พระโพธิสัตว์องค์ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนี้อธิษฐานทำบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วพระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆ ก็บำเพ็ญบารมีไม่รู้กี่ล้านกี่แสนกัปก็อาศัยโลกใบเดียวกับเรานี้ ฉะนั้น โลกที่หมุนอยู่ในจักรวาลมานานนับเป็นศตวรรษๆ ซึ่งยังประมาณมิได้ว่า เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่

พอพูดถึงตรงนี้เราก็สรุปได้เลยว่า อายุของโลกนั้นมียาวนานเหลือเกิน จึงขอใช้คำว่า “โลกนี้แก่มากแล้ว” ในความแก่ของโลกก็ย่อมมีความเสื่อมเป็นธรรมดา แล้วโลกใบนี้ก็ถูกแสงอาทิตย์เผาผลาญ แรงลมของจักรวาลที่สาดซัดโลกไปมาจนแทบไม่มีชิ้นดี ที่ยังเกาะกุมกันได้อยู่ก็เพราะน้ำ แล้วก็ยังลอยตัวอยู่ได้เพราะมีการลอยตัวของระบบสุริยะจักรวาล

ณ วันนี้ โลกใบนี้ได้แสดงตนบนความแก่ออกมาชัดเจนว่าถึงเวลาเสื่อมมากแล้ว จึงมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ที่จริงแผ่นดินมันก็ไหวอยู่ตลอดเวลาแบบเบาบ้างหนักบ้าง แต่ขณะนี้มันไหวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไหวถี่ขึ้น ๆ ซึ่ง ภายใต้พื้นผิวโลกนี้ก็มีปล่องเปลวแห่งความร้อน ที่เรารู้จักกันในเรื่องของภูเขาไฟ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 15:22:41 »

และเมื่อโลกนี้แก่ขึ้นก็พร้อมที่จะปะทุแสดงออกมาอย่างชัดเจน คือ ภูเขาไฟระเบิด สนามแม่เหล็กในโลกนี้ก็แก่มากเกินกว่าจะเก็บกักหรือควบคุมพลังงานให้อยู่ในปริมาณที่ควรจะเป็น ความแก่จึงแสดงถึงความไม่มีเรี่ยวแรงหรือเข้มแข็งได้เหมือนเดิม จึงเกิดเหตุการณ์ ที่ทำให้การหมุนไปของขั้วโลกวิปริต ทำให้เกิดพายุร้าย และทะเลบ้า

ซึ่งบัดนี้โลกได้เปิดโฉมตัวเองขึ้นมาทำให้พวกเรารับทราบ ความไหวของแผ่นดิน ความร้ายแรงของทะเลบ้า ความน่ากลัวของพายุร้ายและความเดือดร้อนอันเกิดจากภูเขาไฟระเบิดซึ่งมีอยู่ในทั่วโลกเพิ่งปรากฏชัดเจน เราเองก็ตื่นตูมและตื่นเต้นที่จะเพียรพยายามหาทางรอดปลอดจากภัยพิบัติ ที่เกิดมาในตอนนี้ เพื่อจะเอาตัวรอดจากจุดใดจุดหนึ่ง บ้างก็ย้ายถิ่นที่เที่ยวหาความปลอดภัย แต่ถึงจะไปอยู่ตรงไหนก็ยังอยู่บนโลกนี้และก็ไม่พ้นความแก่ของโลกไปได้

นี่คือเรื่องเกี่ยวกับดาราศาสตร์ที่เข้ากันได้กับพุทธศาสตร์ เราศึกษามาแล้วว่า ชีวิตของคนเราชาติ ปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง น ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง รวมแล้วทุกข์ ๑๑ มีอยู่แน่นอน และไม่มีใครสักคนหนึ่งหนีพ้นความฉิบหายได้

คำว่า “ความฉิบหาย” นี่ภาษาพระ เพราะทุกข์ทั้ง ๑๑ อย่างนี้ เป็นเรื่องของความฉิบหายของชีวิตทั้งสิ้น อายุคนอย่างมาก ๑๐๐ ปี แล้วต้องตาย แค่เราเอาเวลา ๑๐๐ ปีในแต่ละชาติๆ มาเทียบกับอายุของโลก เราจะเห็นความหายนะในชีวิตของเราที่ต้องพบกับทุกข์ทั้ง ๑๑ อย่างนั้นมากมายยิ่งกว่า ความหายนะที่กำลังจะเกิดจากโลกใบนี้เสียอีก

เพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความไหว ความสะเทือน มันอยู่ที่ตัวเราในหนึ่งชาติที่เราต้องตายอย่างชัดเจน แล้วถ้าเอาความเกิด-ตายของเราหนึ่งครั้งคือ ๑๐๐ ปี ไปเทียบกับระยะเวลาการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าพรองค์นี้คือ ๔ อสงไขย ก็ลองคิดดูเถิดว่าในระหว่างนั้นเราตายมาแล้วเท่าไหร่ เราฉิบหายมาแล้วเท่าไหร่ แต่เราไม่เคยกลับมามองตนเองว่าจริงๆ แล้ว หายนะภัยที่น่ากลัวคือตัวเราเอง ..ไม่ใช่โลก
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 15:32:48 »

หายนะภัย คือตัวเราเองที่มีเกิดนั่นเอง เมื่อมีเกิดขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์ การเกิดนำมาซึ่งความฉิบหาย ภารา หะเว ปัญจักขันธา ภาระหาโร จะ ปุคคะโล ภาราทานัง ทุกขัง โลเก ภาระนิกเขปะนัง สุขัง ตรงนี้แหละมีเกิดย่อมต้องมีทุกข์ และเป็นทุกข์ที่สิ้นไปเป็นชาติๆ เลย อยู่ได้ไม่นาน เราอาจจะหนีรอดพ้นจากภัยพิบัติตรงนั้นมาอยู่ตรงนี้ หรือจากตรงนี้ไปตรงโน้นได้ แต่เราหนีไม่พ้นความตาย

นี่คือเรื่องจริงของเราทุกคน ไม่ใช่มาพูดให้ยอมรับ เพราะเป็นเรื่องจริงที่เราเถียงไม่ได้ เราก็เห็นได้ว่าชีวิตของเรานี่อยู่ในความประมาท เราใช้ชีวิตเลอะเทอะ ไม่มีแก่นสารของชีวิต แต่การศึกษาพระอภิธรรมจะพาเราไปถึงแก่นชีวิตเหมือนพาเราไปสู่โลกพิศวง แต่พอจบละครฉากที่เราเป็นนักศึกษาพระอภิธรรม เราก็กลายเป็นชีวิตที่น่าพิศวงเหมือนเดิม คือ เราไม่รู้จักตัวเองเลย

เราจึงเป็นผู้ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด อาศัยโลกที่กำลังแก่ขึ้นเรื่อยๆ และในท่ามกลางโลกที่แก่แล้วเราก็ต้องเสื่อมด้วย และถ้าเเราตายลงในชาตินี้ และเราก็เกิดในโลกนี้อีกไม่ว่าจะตรงไหนก็แล้วแต่ เรา ก็หนีไม่พ้นแผ่นดินไหว ไฟระเบิด พายุร้อน ทะเลบ้า

คำที่เป็นสัจธรรม “อมตะสุข” คือ นิพพานเป็นบรมสุขอย่างยิ่ง เพราะนิพพานดับจิต เจตสิก และรูปในแผนผังนี้ทั้งหมด เมื่อไม่เกิดเสียอย่างเดียว โลกจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ทุกวันนี้เราช่างไม่ได้ เพราะเราอาศัยโลกด้วยความกลัวตาย มันจึงมีความคลั่งและบ้าไปกับชีวิต ดิ้นรนไปในสิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือ ความตาย เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาย จะไปที่ไหนก็ตาย ฉะนั้น หนทางเดียวที่เราจะสามารถทำให้พ้นความตายได้ ก็คือการเจริญสติปัฏฐานสี่หรือมรรคอันมีองค์ ๘ …มรรคอันมีองค์ ๘ มรรคเป็นทาง สติปัฏฐานเป็นตัวดำเนิน

ก็จะเข้ามาในเรื่องที่เราจะไปเข้าปฏิบัติเพราะว่าเราเรียนอย่างเดียวก็เหมือนเราเรียนบทละคร ที่เป็นละครชีวิต เราจึงต้องย้อนมาดูตัวว่าเรามีจิต เจตสิก รูปที่วุ่นวายเหลือเกิน นี่คือละครชีวิตจริง กินสนุก อร่อย ไม่อร่อย เพลิดเพลินเจริญใจ นี่คือความจริงที่เราและท่านกำลังเป็นกันอยู่ และก็จะเป็นเช่นนี้ตราบนานเท่านาน โดยมิสามารถหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 15:42:53 »

สังสารวัฏฏ์ก็คือการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าท่านมีพระมหากรุณาคุณจึงทรงสั่งสอนเวไนยนิกรทั่วหน้าให้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เพื่อจะได้แจ้งแก่ใจว่าชีวิตคืออะไร แจ้งแก่ใจว่าเป็นทุกข์อย่างไร

ชีวิตคืออะไร? ชีวิตคือสิ่งที่อุบัติขึ้นมาด้วยเหตุด้วยปัจจัย และดำรงชีวิตไปช่วงระยะหนึ่งๆ แล้วก็ต้องเจอความตาย ชีวิตประกอบไปด้วยรูปนามขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ และขันธ์ ๕ นี้ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เมื่อเราแจ้งแก่ใจว่านี่ไงชีวิตเรา แจ้งแก่ใจว่า จิตตุปบาทนี่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แล้วด้วยอำนาจของจิตเองนั้นมีการสืบต่ออำนาจจึงมีจิตชนิดต่างๆนั้นเกิดขึ้นตามมาทำหน้าที่คือกิจของจิตแล้วก็ดับไปๆ จิตมิได้อยู่โดยลำพังเดี่ยวๆ แต่ข้างในยังบรรจุไว้ด้วยข้อมูล คือ เจตสิก

เราเรียนเรื่องจิต ... เหมือนเรียนเรื่องบ้านที่มี ๘๙ แปลนหรือ ๑๒๑ แปลน แต่ละแปลนไม่เหมือนกัน

เรา เรียนเรื่องเจตสิก ..เหมือนเรียนเรื่องผู้อาศัยในบ้าน ที่เรียนเรื่องจิตในตอนแรกก็เรียนแต่เค้าโครง มีแต่บ้าน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ จากนั้นก็เป็นธรรมดาที่ต้องรู้จักผู้อาศัยในบ้าน เราจึงต้องศึกษาว่าหน้าตานิสัยเขาเป็นอย่างไร ซึ่งก็คือเจตสิก ถึง ๕๒ ชนิด

เมื่อเราเรียนโดยความเข้าใจ เราก็จะได้คำว่า “แจ้งแก่ใจ” ขึ้นมา เมื่อเราแจ้งแก่ใจแล้วการศึกษานี้เองก็จะทำให้เราเป็นผู้สลดจิต เพราะการศึกษาเรื่องจิตเจตสิก รูป และวิถีจิต เช่น ที่กว่าจะ “เห็น” ได้ ก็ต้องอาศัยเหตุ อาศัยปัจจัยจำนวนมาก และการเข้าใจวิถีจิตที่มาทำงานนี่ก็ ไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราจะเห็นการทำงานที่แสนลำบากยากเย็นของจิต ที่กว่าจะ “เห็น” ครั้งหนึ่งนี่ วิถีเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2554 16:30:49 »



และวิถีจิตเหล่านั้นไม่ว่าจะมากมายเพียงไหนทุกอย่างดับหมด ฉะนั้น เราจะเห็นสภาพของความสลดจิตโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะเห็นความ ดับไปๆ ของรูปและนาม เห็นแต่ความดับจะเกิดขึ้นเห็นภัยเห็นโทษในภังคญาณ

พวกเรายังเป็นผู้ไม่เห็นภัยไม่ว่าจะเก่งยังไงแม้แต่ตัวผู้พูดเอง จะสอนเก่งยังไงก็คือสอนเก่ง เพราะเราไม่ได้เห็นความดับไปจริงๆ เราจึงไม่เคย “สลดจิต” เราแค่ “แจ้งแก่ใจ” เพราะความสลดจิตนี้เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่ภังคญาณนี้ขึ้นไป

เราเรียนเรื่องจิต รู้ว่าจิตเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป เป็นของธรรมดา เป็นธรรมเนียมของจิต และจิตไม่ได้เกิดขึ้นเองตามลำพัง มีคนในบ้านอย่างต่ำๆ ๗ คน คือ ผัสสะ เวทนา สัญญาเจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ มนสิการ หรืออาจเพิ่มสมาชิกเข้าไปอีก ..วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปิติ ฉันทะ ฯ และธรรมชาติของจิตก็คือเกิดขึ้นพร้อมเจตสิกแล้วก็ดับไป

เรื่องจิตที่รับอารมณ์เราก็เรียนแล้ว รับอารมณ์ทางปัญจทวาร เช่น รูปารมณ์เกิดขึ้นมา กระทบที่อตีตภวังค์ ทางปัญจทวารก็เกิดขึ้น จักขุวิญญาณทำหน้าที่รับอารมณ์ ส่งต่อการไต่สวนอารมณ์ พิจารณาอารมณ์ แล้วจึงตัดสินอารมณ์ว่าเป็น “ปากกา” แล้วเกิดชอบเกิดชัง และตรงเกิดความชอบหรือชังนี้ อกุศุลหรือกุศลชวนะเกิดขึ้น

เราก็จะเห็นได้ว่าสภาพของจิตนั้นเป็นแบบนี้ แล้วเขาไม่ได้เกิดมาแล้วหายไป เขาเกิดต่อเนื่อง ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติวิปัสสนา จะเข้าไปเห็นความไม่ต่อเนื่องได้ในภังคญาณ และถ้าเราเรียนพระอภิธรรมไปจนจบก็จะมีความเข้าใจมากขึ้นว่า เราไม่ได้เรียนแค่เรื่องวิถีจิต เราไม่ได้แค่เรื่องเหตุที่ทำให้วิถีจิตเกิดเป็นบุญเป็นบาป เราจะเรียนเรื่องปัจจัยทั้งหมดคือ ปัจจยสังคหะวิภาค


   โปรดติดตามตอนต่อไป
   ขออนุโมทนากับน้องฟูและน้องนวลผู้ถอดเทป
   http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=1328
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แสงสว่างของชีวิต ๑. พระอาจารย์บุญมี เมธางกูร
เอกสารธรรม
เงาฝัน 0 2247 กระทู้ล่าสุด 26 มกราคม 2553 22:37:22
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.334 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 05 มีนาคม 2567 15:18:23