[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
07 พฤษภาคม 2567 06:47:08 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวอังกฤษ ชม "หอคอยแห่งลอนดอน" หอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  (อ่าน 7554 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5472


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 27 มีนาคม 2557 19:33:34 »

.





หอคอยแห่งลอนดอน
(Tower Of London)

ประเทศอังกฤษนั้น เป็นประเทศมหาอำนาจ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี สิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็ยังคงยืนยงอยู่มาจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London)

ราวทศวรรษที่ ๖-๗ ของศตวรรษที่ ๑๑ หลังจาก วิลเลียม ดยุคแห่งนอร์มังดีชนะสงครามกษัตริย์ฮาโรลด์ ของเซ็กซอน ในปี ค.ศ ๑๐๗๘  (พ.ศ.๑๙๐๕)  ได้สถาปนาเป็นกษัตริย์วิลเลียมที่ ๑ แห่งอังกฤษ  กษัตริย์วิลเลียมมีรับสั่งให้ก่อสร้างป้อมปราการ เพื่อป้องกันกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอาณาจักรแห่งใหม่จากข้าศึกศัตรู  โดยหนึ่งในปราสาทเหล่านี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองโรมัน เพื่อใช้เป็นที่สังเกตการณ์ทั่วแม่น้ำเทมส์และเมืองหลวงในมุมกว้าง นอกจากนี้ ยังให้ขุดคูคลองล้อมรอบปราสาทระหว่างกำแพงชั้นในและชั้นนอกเพื่อความปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วย

๑๐ ปีหลังจากการครองราชย์ กษัตริย์วิลเลี่ยมทรงรับสั่งให้ดัดแปลงป้อมปราการเล็กๆ ให้ก่อด้วยหินขนาดใหญ่ จนกลายเป็นป้อมปราสาทขนาดใหญ่ และเรียกชื่อสถานที่นี้ว่า Tower of London จากนั้นในบริเวณนี้ถูกปลูกสร้างขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อยๆ หอคอยที่อยู่ใจกลางสถาปัตยกรรมทั้งหมดให้ชื่อเรียกว่า White Tower หรือ หอคอยสีขาว ซึ่งได้รับการต่อเติมจากกษัตริย์องค์ต่อๆ มา จนมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้




หอคอยแห่งลอนดอน
ถ่ายบนเรือสำราญ ขณะล่องชมความงามของสองฝั่งแม่น้ำเทมส์

หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน เป็นหอคอยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมชั้นสูง แบบฟื้นฟูกอธิค (Gothic architecture) หรือโรมาเนสก์ โครงสร้างมีลักษณะแน่นหนาเทอะทะ และแข็งแรง  

ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา หอคอยแห่งนี้ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์มานับครั้งไม่ถ้วน ใช้เป็นทั้งพระราชวังหลวง ป้อมปราการ คุก พิพิธภัณฑ์ รวมถึงเป็นคลังแสงอาวุธและสถานที่เก็บรักษาของมีค่าต่างๆ  ปัจจุบัน หอยคอยนี้ใช้เป็นที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักร ได้แก่ อัญมณียอดมงกุฎ The Crown Jewels และ พระคธาหลวง Royal Scepter  ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรและพิธีที่เป็นทางการสำคัญๆ  โดยยอดพระคธาหลวงประดับด้วยเพชรน้ำหนักถึง ๕๓๐ กะรัต อันเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “ดวงดาวแห่งแอฟริกา”

แต่ที่โดดเด่นจนขึ้นชื่อมาจนตราบทุกวันนี้คือ เป็นสถานที่จองจำและประหารชีวิตบุคคลคนสำคัญของสหราชอาณาจักรจำนวนมาก ดังนั้น ที่แห่งนี้จึงเป็นที่สถิตดวงวิญญาณ อันน่าสะพรึงกลัว ชวน “ขนหัวลุก” ติดโผมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก



http://f.ptcdn.info/522/006/000/1372007728-3170121603-o.jpg
เที่ยวอังกฤษ ชม "หอคอยแห่งลอนดอน" หอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ภาพจาก : pantip.com
ไม่อนุญาตผู้เข้าชมหอคอย ถ่ายภาพภายในอาคาร

หอคอยแห่งลอนดอน : ฆาตกรรมชิงบัลลังก์

สำหรับหอคอยซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมเจ้าชายทั้งสองมีชื่อว่า Bloody Tower (หอคอยเลือด) เป็นจุดควบคุมประตูน้ำเข้า-ออก เดิมมีชื่อว่า Garden Tower เพราะอยู่ใกล้สวน

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๔๘๓ เมื่อกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๔ สวรรคต พระโอรสของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด วัย ๑๒ ชันษาจะได้ขึ้นครองราชย์แทน แต่ปรากฏว่า พระเจ้าอา "ริชาร์ด" ดยุคแห่งกลาวสเตอร์ ชิงบัลลังก์และสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ริชาร์ดที่ ๓ โดยนำเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและพระอนุชาไปขังไว้ที่หอคอยดังกล่าวและไม่มีใครพบเห็น

การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายทั้งสองยังคงเป็นปริศนา แม้จะมีผู้พบศพเด็กสองคนฝังอยู่ที่สนามใกล้หอคอยสีขาวในปี ค.ศ.๑๙๗๔ และทำพิธีฝังพระศพอีกครั้งที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ แต่ไม่สามารถระบุชัดเจนว่าเป็นเจ้าชายทั้งสองหรือไม่


และวิญญาณหรือผีที่สิงสถิต ณ หอคอยลอนดอน ที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดคือวิญญาณพระนางแอนน์ โบลีน ผู้เป็นราชินีอยู่ในช่วง พ.ศ.๒๐๗๖-๒๐๗๙ พระนางถูกประหารชีวิตด้วยการตัดพระศอ โดยพระบัญชาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ สวามีของพระนางเอง ว่ากันว่าพระนางถูกประหารตรงบริเวณที่เรียกว่า Tower Green ดวงวิญญาณของพระนางอาจยังสิงสถิตอยู่ที่นั่น เพราะบางครั้งทหารยามเห็นสตรีนางหนึ่งมีผ้าคลุมศีรษะเดินอยู่ริมระเบียงที่ถูกปิดตาย ที่สุดสยองก็คือ สตรีผู้นั้นถือศีรษะของตนเดินไปด้วย บางครั้งมีคนได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนในห้องที่พระนางถูกกักขัง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง บ่อยครั้งที่มีคนเห็นพระนางแอนน์ โบลีน นำทหารในสมัยนั้นและเลดี้หรือสตรีระดับสูงเข้ามาในโบสถ์ที่หอคอยแห่งลอนดอน (Tower Chapel Royal) ภาพเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงโบสถ์ที่เงียบวังเวงเช่นเดิม

นอกจากนี้ ยังมีวิญญาณเฮี้ยนที่เคยมีคนเห็นอีกหลายครั้งคือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๖, เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์, เคาน์เตสแห่งซาลิสบิวรี่, เลดี้เจน เกรย์ ฯลฯ




แอน  โบลีน ราชินีที่ถูกประหารเพราะถูกกล่าวหาว่าคบชู้

แอน โบลีน (Anne Boleyn) ราชินีผู้มีพระเกศาดำขลับ เกิดราว พ.ศ.๒๐๕๐ เป็นบุตรีของเซอร์ทอมัส โบลีน กับ เลดี้ เอลิซาเบธ โบลีน และได้เป็นพระมเหสีองค์ที่ ๒ ในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ ๘ แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ หลังจากพระเจ้าเฮนรีที่ ๘ ทรงหย่าขาดจากพระราชินีแคทเธอรีน (Queen Catherine) พระมเหสีองค์ที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหญิงสเปน และมีพระชนมายุสูงวัยกว่า
 
แอนน์ โบลีน ผู้ร่าเริงและมีดวงตาดำขลับงดงาม ไม่ใช่สตรีที่สวยที่สุดในโลก พระนางสูงแต่เพียงปานกลาง ผิวคล้ำ คอยาว ปากกว้าง หน้าอกค่อนข้างแบนราบ แม้ว่าความสวยของเธอจะด้อยกว่าใครหลายคน แต่แอนน์เป็นผู้ที่มีเสน่ห์และบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นเป็นเครื่องชดเชย ทั้งกิริยามารยาท การเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบ การแต่งเนื้อแต่งตัวที่จัดเป็นผู้นำแฟชั่นในยุคสมัยนั้น
  
ในปี ๑๕๒๖ พระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ มีพระชนมายุสามสิบห้าพรรษา หันไปมองพระราชินีแคทเธอรีน พระชนม์สี่สิบเอ็ดพรรษาที่สูงวัยมากแล้ว แต่ปราศจากโอรสและธิดา อีกทั้งยังเดินกะโผลกกะเผลกด้วยโรคไขข้ออักเสบและบั้นพระองค์อวบหนาจากการตั้งครรภ์ที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้หลายครั้ง และโอรสธิดาทุกพระองค์ที่เกิดจากราชินีพระองค์นี้ก็สิ้นพระชนม์ตั้งแต่แรกประสูติเว้นแต่เพียงพระธิดาพระองค์หนึ่งที่ไร้ประโยชน์  พระเจ้าเฮนรี่ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับราชินีแคทเธอรีน ซึ่งเป็นเจ้าหญิงแห่งสเปนมานานหลายปีแล้ว จึงเริ่มกวาดตามองหาสนมใหม่ในวัง ก็ตกหลุมรักและอยากได้แอนน์ โบลีน วัยสิบเก้าปี สตรีผู้ทรงเสน่ห์ หลานสาวของตระกูลโฮเวิร์ดที่ทรงอำนาจ
 
แอนน์ ตระหนักดีว่า แมรี่ โบลีน (Mary Boleyn) พี่สาวผมบลอนด์ผู้งดงามและอ่อนโยนของเธอเคยเป็นพระสนมของพระเจ้าเฮนรี่ที่ ๘ มาก่อน แต่ถูกทิ้งขว้างราวกับสิ่งของที่ใช้จนหมดประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น แอนน์จะไม่มีวันให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับเธอแน่นอน

แอนน์ผู้เปี่ยมล้นด้วยความทะเยอทะยานก็ต้องการเอาชนะใจพระองค์ จำต้องจุดเพลิงปรารถนาของพระองค์ให้สนใจตนไปอีกนานจนกว่าพระองค์จะหลุดจากพันธะที่มีกับพระราชินีแคทเธอรีน ดังนั้น เธอจึงทำหน้าที่พระสนมของพระองค์ในทุกๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่องเซ็กซ์  แอนน์มอบความเป็นมิตร ให้ความเพลิดเพลิน ร่วมเต้นรำ ร้องเพลง เล่นดนตรี เป็นเพื่อนสนทนาที่มีปัญญา ทั้งในเรื่องการเมือง เรื่องศาสนา และออกล่าสัตว์กับพระองค์ไม่ได้เว้นวัน  และเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ทางการเมือง แอนน์ก็ให้สัญญากับพระราชาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนว่าจะยอมขึ้นเตียงกับพระองค์และจะให้กำเนิดโอรสมากมายหลายพระองค์ ขอเพียงพระองค์หย่ากับพระราชินีที่ซื่อสัตย์เสียก่อน และหันมาอภิเษกสมรสกับเธอ

เพราะแรงยุแหย่ของแอนน์ พระเจ้าเฮนรี่จึงเนรเทศมเหสีผู้จงรักภักดีของตนไปพบกับความทุกข์ทรมานในปราสาทที่มีลมหนาวพัดโกรกและสิ้นพระชนม์อยู่ที่นั่น จากนั้นก็ประกาศต่อสาธารณชนว่าเจ้าหญิงแมรี่ พระธิดาที่ประสูติจากราชินีแคทเธอรีนเป็นลูกชู้ และพระองค์ก็ประกาศแยกตัวจากศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกตามคำยุของแอนน์ พร้อมกับสั่งประหารทุกคนที่ไม่ยอมรับว่าพระองค์คือประมุขแห่ง เชิร์ฟออฟอิงแลนด์

ผ่านไปหกปี เรื่องการหย่าร้างของพระเจ้าเฮนรี่กับราชินีแคทเธอรีนดำเนินการไปมากแล้ว เป็นที่รู้กันทั่วว่าแอนน์คือพระคู่หมั้นคนใหม่  นั่นเองเธอจึงยอมให้พระเจ้าเฮนรี่ขึ้นเตียงด้วย หลังจากที่เฝ้ารอมานานหลายปี แอนน์มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะตั้งครรภ์ได้ทันที  และด้วยทารกผู้จะเป็นรัชทายาทที่ยิ่งใหญ่สุดของประเทศนี้ จะต้องประสูติภายใต้ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการอภิเษกสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยปราศจากเสียงโต้แย้ง  พระเจ้าเฮนรี่จึงอภิเษกสมรสกับแอนน์อย่างเงียบๆ ในเดือนมกราคม ปี ๑๕๓๓

ภายหลังการอภิเษกสมรสครั้งที่สองไม่นาน แทนที่จะให้กำเนิดเจ้าชาย  แอนน์ โบลีน กลับให้กำเนิดพระธิดา (ผู้ซึ่งในกาลต่อไปจะได้เถลิงราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ ๑) และราชินีองค์ใหม่นี้ก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนชาวอังกฤษมากนัก มีประชาชนน้อยคนมากที่ออกมาส่งเสียงไชโยโห่ร้องในพิธีสวมมงกุฎราชินีของแอนน์ในปี ๑๕๓๓ จนทำให้บรรยากาศดูเหมือน “งานศพมากกว่างานเฉลิมฉลอง”

หลังแท้งบุตรครั้งแรกในปี ๑๕๓๔ แอนน์ก็รู้ตัวทันทีว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก พระนางตั้งครรภ์ถึงสองครั้งแต่ไม่อาจให้กำเนิดพระโอรส  

พระเจ้าเฮนรี่เริ่มร้อนใจ ดวงเนตรหรี่แคบลงยามจ้องมององค์ราชินี  แอนน์พยายามสวมบทบาทหว่านเสน่ห์ยั่วยวน ทำตัวร่าเริงสดใส แต่กระนั้นก็มีบ่อยครั้งที่ราชินีเครียดจนสุดกลั้น และระเบิดคำพูดรุนแรงใส่บุรุษผู้ที่ยอมสร้างความสะท้านสะเทือนทั่วสรวงสวรรค์และพื้นพสุธา ในคราวที่มอบตำแหน่งราชินีองค์ใหม่ให้กับเธอ อีกทั้งยังใช้วาจาเชือดเฉือนบุรุษนั้นด้วยคารมคมกริบอย่างชนิดที่พระราชินีแคทเธอรีนไม่เคยประพฤติมาก่อน

ร่างกายที่ผ่ายผอมและจิตใจที่หดหู่ ทำให้แววตาของราชินีดูกร้าว ความผิดหวังอย่างรุนแรง ความหวาดวิตกที่เข้ารุมเร้า และกับความรู้สึกที่ว่าหายนะกำลังจะมาถึงตนในไม่ช้า ทำให้ราชินีดูแก่กว่าวัย เป็นภาพที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเรือนร่างอวบอ่อนเยาว์วัยของเหล่านางสนองพระโอษฐ์ที่วนเวียนอยู่รอบตัว  แล้วแอนน์ก็สังเกตเห็นว่า แววพระเนตรของพระราชาจับจ้องอยู่ที่บรรดานางสนองพระโอษฐ์ของเธอเอง ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของแอนน์กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ในที่สุด

ระหว่างที่แอนน์ตะกายขึ้นไปสู่จุดสูงสุดนั้น เธอได้กำจัดข้าราชบริพารผู้ทรงอำนาจไปไม่ใช่น้อย  เมื่อทุกคนเห็นว่าพระเจ้าเฮนรี่เริ่มเบื่อหน่ายแอนน์มากขึ้นทุกขณะ กลุ่มคนเหล่านั้นจึงลุกขึ้นเคลื่อนไหวต่อต้านราชินี

แอนน์เป็นต้นคิดเรื่องการปฏิรูปศาสนา ดังนั้น หลายฝ่ายในราชสำนักจึงอยากกลับไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของศาสนาเดิม พวกเขาจึงคิดว่าหากปราศจากแอนน์สักคน พระราชาก็คงโอนอ่อนไปตามที่พวกตนต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นแอนน์ยังให้การสนับสนุนฝรั่งเศส เพราะเธอเติบโตในราชสำนักฝรั่งเศส  เธอเป็นนางสนองพระโอษฐ์ พระราชินีแมรีในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๒ แห่งฝรั่งเศส เป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ ๘ แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ จึงเกลียดชังสเปน ซึ่งเป็นแผ่นดินเกิดและเป็นฝ่ายสนับสนุนราชินีแคทเธอรีน มเหสีองค์แรกของพระเจ้าเฮนรี่  ในขณะที่หลายฝ่ายในราชสำนักต้องการล้มเลิกสัมพันธภาพกับฝรั่งเศส และหันมาผูกมิตรกับสเปน

นอกจากนี้ พี่น้องตระกูลซีมัวร์จอมเจ้าเล่ห์ก็พลอยร่วมผสมโรงด้วย เพราะรู้ดีว่าพระราชาทรงเริ่มให้ความสนพระทัยในตัวเจน ซีมัวร์ (Jane Seymour) จึงคิดขจัดแอนน์เพราะความละโมบส่วนตัว พวกเขามองเห็นโอกาสร่ำรวยและอำนาจที่จะตกมาอยู่ในมือทันทีที่แอนน์พ้นจากตำแหน่ง

ถึงตอนนี้ พระเจ้าเฮนรี่ซึ่งเฝ้ารอถึงเจ็ดปีที่จะอภิเษกสมรสกับแอนน์ โดยหาเหตุหย่าร้างกับมเหสีองค์แรกด้วยกลวิธีอันซับซ้อน กลับชิงชังขยะแขยงแอนน์ขึ้นมาเต็มกลืน และแทบจะอดใจรอต่อไปไม่ไหวที่จะอภิเษกสมรสกับเจน ซีมัวร์ พระองค์ไม่อาจรอการหย่าร้างที่กินเวลาเนิ่นนานและรังแต่จะทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องความชอบธรรมของโอรสธิดาในอนาคต  วิธีที่พระองค์จะเป็นอิสระจากแอนน์ได้ง่ายที่สุดก็คือ ตั้งข้อหาร้ายแรงกับเธอ คือ คบชู้ อันเปรียบได้กับอาวุธอันทรงประสิทธิภาพที่ยิงใส่ราชินีอย่างได้ผลเสมอ แล้วพระองค์ก็มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเธอเสีย นั่นเอง พระราชาที่เป็นม่ายหมาดๆ จึงสามารถอภิเษกสมรสใหม่ได้อย่างทันใจ

การกล่าวหาว่าคบชู้ ต้องมีการระบุชื่อชายชู้ด้วยทุกครั้ง และจะดีมากถ้าบุคคลผู้นั้นคือศัตรูทางการเมือง
 
จอร์จ โบลีน (George Boleyn) ไวส์เคานต์ร็อกฟอร์ด น้องชายผู้มีอิทธิพลของแอนน์ จะต้องถูกกำจัดไปเสียพร้อมๆ กัน

เลดี้เจน ร็อกฟอร์ด ภรรยาของจอร์จ หนึ่งในกลุ่มคนที่ต้องการกำจัดแอนน์  อยากจะแก้แค้นเพราะถูกจอร์จทอดทิ้ง ก็มีส่วนช่วยไม่น้อยในแผนของพระราชา หล่อนให้การยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้หลายประการที่แสดงว่าจอร์จมีความสัมพันธ์ทางเพศกับพี่สาว

พระเจ้าเฮนรี่ทรงพยายามอย่างหนักในการทำใจให้เชื่อตามข้อกล่าวหาต่างๆ ที่จะเปิดทางให้พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับเจน ซีมัวร์ ยอดรักภายในไม่กี่วัน ได้จมปลักอยู่กับความสมเพชตัวเอง  พระราชาส่วนใหญ่ที่มีมเหสีไม่ซื่อสัตย์ หมายถึงไม่ซื่อจริงๆ จะพยายามทุกวิถีทางให้มีการหย่าร้างเกิดขึ้น โดยไม่ยอมเอ่ยถึงคำว่า "คบชู้" แม้แต่คำเดียว เพราะการทำเช่นนั้น รังแต่จะทำให้เกิดข้อกังขาว่าโอรสธิดาที่ประสูติระหว่างการสมรสเป็นสายพระโลหิตแท้จริงของพระราชาหรือไม่  ไม่เคยมีผู้ชายคนใดป่าวประกาศว่าภรรยาของตนไม่ซื่อสัตย์บ่อยเท่าพระเจ้าเฮนรี่ และพระองค์ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นแม้แต่น้อยว่าทรงเสียพระทัย พระเจ้าเฮนรี่ประกาศรายชื่อชายชู้ของแอนน์จนแน่ใจว่าเธอคบชู้ทั้งสิ้นไม่น้อยกว่าร้อยคน



ภาพถ่ายจาก ภาพวาดในหอคอยแห่งลอนดอน

การพิจารณาความผิดฐานคบชู้ของราชินีแอนน์ โบลีน เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม มีการอ้างถึงวันเวลาและสถานที่ประกอบคำกล่าวหา แต่เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น วันเวลาที่ถูกยกขึ้นมากล่าวอ้างสองครั้ง คือวันที่ ๖ และ ๑๒ ตุลาคม ปี ๑๕๓๓ ณ พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่แอนน์ยังอยู่ระหว่างการพักฟื้นหลังประสูติเจ้าหญิงเอลิซาเบธในเดือนกันยายน ราชินีถูกกักขังอยู่ในห้องมืดครึ้ม ห้อมล้อมด้วยบรรดาสตรีผู้ดูแลและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าจะผ่านพิธี “สมโภช” ทางศาสนาตอนปลายเดือนเดียวกันนั้น  จากหลักฐานที่ยกขึ้นมากล่าวอ้างยี่สิบครั้ง มีถึงสิบเอ็ดครั้งที่เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้นอย่างแน่นอน

โดยกฎหมายแห่งสหราชอาณาจักร พระนางต้องรับโทษประหารชีวิต ดังนั้น คำพิพากษาสำหรับพระนางก็คือ ถูกเผาทั้งเป็น ณ หอคอยแห่งลอนดอน หรือไม่ก็ด้วยการตัดศีรษะ ทั้งนี้ พระราชาจะมีพระประสงค์ให้ใช้วิธีใดนั้น จะมีประกาศให้ทราบกันต่อไป

วันประหาร แอนน์ ปรากฏตัวออกมาจากสถานคุมขัง ณ หอคอยแห่งลอนดอน ด้วยใบหน้าซีดขาวและดวงตาแห้งผาก เพื่อเดินไปขึ้นตะแลงแกงที่สร้างไว้สำหรับเธอนั้น แอนน์เพิ่งอายุเพียงยี่สิบเก้าปี

ผู้อยู่ในเหตุการณ์ได้บันทึกไว้ว่า ในวันนั้นคือวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ปี ค.ศ. ๑๕๓๖ เธอดูสวยจับใจ ภายใต้เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวโพลนคือชุดกำมะหยี่สีดำสนิท ปักมุกตามขอบ สวมทับกระโปรงชั้นในสีแดงบุด้วยผ้าสองชั้น.. น่าจะเป็นสีที่เจาะจงเลือกให้บดบังสีของโลหิตที่จะไหลท่วมในไม่ช้า แม้แอนน์แทบจะไม่เคยวางตัวได้เหมาะสมกับตำแหน่งราชินีมาก่อน แต่ในวันนี้หล่อนดูสง่างามสมกับที่เป็นราชินีอย่างแท้จริง

ตะแลงแกงสูงสามหรือสี่ฟุต มีผ้าสีดำห้อยประดับ ล้อมรอบด้วยฝูงชนที่มีทั้งนายกเทศมนตรี เทศมนตรี และสามัญชนชาวอังกฤษหลายร้อยคน ไม่มีชาวต่างชาติคนใดได้รับอนุญาตให้เห็นการสิ้นพระชนม์ของราชินีอังกฤษ แอนน์มีนางสนองพระโอษฐ์สี่คนอยู่เป็นเพื่อนจนถึงวาระสุดท้าย
  
ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ระหว่างที่เดินไปยังตะแลงแกงด้วยระยะทางที่จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้นั้น แอนน์เหลียวมองรอบตัวตลอดเวลา อาจเป็นเพราะเธอหวังที่จะได้เห็นคนนำสาส์นถือพระบรมราชโองการอภัยโทษออกมาในนาทีสุดท้าย บางทีพระองค์อาจจะเนรเทศเธอให้ไปอยู่ที่ฝรั่งเศส หรือให้เธอปฏิญาณตนเป็นแม่ชีและในที่สุดก็เป็นเจ้าสำนัก แต่หลังจากที่ปีนขึ้นไปยืนบนตะแลงแกงและกวาดตามองรอบตัวเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังไม่มีร่างของคนนำสาส์นปรากฏให้เห็น

ในสมัยศตวรรษที่ ๑๖ นั้น ถือกันว่าคนที่ต้องโทษพึงแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยการยอมรับในพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า และถึงแสดงความกล้าหาญในวาระสุดท้ายที่สะท้อนให้เห็นความมีคุณค่าของชีวิตตน การส่งเสียงโวยวายเอะอะต่อต้านความอยุติธรรมและประท้วงว่าตนเองบริสุทธิ์ หรืออาการตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ถูกมองว่าเป็นความน่าสมเพช เพราะรู้ตัวดีว่าควรทำอย่างไร

แอนจึงก้าวไปข้างหน้าและหยุดยืนอยู่ที่กลางตะแลงแกงเพื่อกล่าวคำพูดต่อฝูงชน “ประชาชนชาวคริสเตียนทั้งหลาย ข้าไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เพื่อสั่งสอนพวกท่าน แต่มาเพื่อรับความตาย  โดยบทบัญญัติและอำนาจของกฎหมาย ข้าถูกตัดสินให้จบชีวิต ดังนั้น ข้าจะไม่พูดอะไรที่เป็นการต่อต้านคำพิพากษาดังกล่าว”

“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อกล่าวร้ายผู้ใด และไม่ได้มาเพื่อพูดถึงเรื่องที่ทำให้ข้าต้องรับโทษถึงตาย แต่ข้าขอสวดวิงวอนต่อพระเป็นเจ้า ขอให้พระองค์ปกป้องคุ้มครองพระมหากษัตริย์ และขอให้พระองค์เจริญพระชนม์ยั่งยืนนานเพื่อปกครองพวกท่านต่อไป เพราะไม่มีเจ้าชายองค์ใดอีกแล้วที่จะทรงอ่อนโยนและมีพระเมตตามากไปกว่านี้ สำหรับข้า พระองค์ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ดียิ่งและทรงมีเมตตาหาที่เปรียบมิได้ หากจะมีผู้ใดคิดยื่นมือข้ามาก้าวก่ายกับความผิดที่ข้าทำลงไป ก็ขอให้คนเหล่านั้นจงคิดอย่างรอบคอบ ข้าขอกล่าวคำอำลาต่อโลกนี้และต่อพวกท่านทุกคน และขอร้องด้วยความจริงใจ ขอให้พวกท่านจงสวดภาวนาเพื่อข้าด้วย”

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสะกดอารมณ์ได้ดีเยี่ยมของแอนน์  กับคำพูดที่กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและชัดเจนล่องลอยไปในท่ามกลางของฝูงชน  ขณะที่ผู้เฝ้าดูอยู่โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อสดับฟังทุกคำพูด

หลังจากกล่าวจบ นางสนองพระโอษฐ์ก็ช่วยกันปลดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกด้วยน้ำตานองหน้า  จากนั้นแอนน์จึงถอดเครื่องประดับศีรษะออก เผยให้เห็นเส้นผมดำขลับเป็นประกาย ก่อนที่จะขมวดมุ่นเข้าไปใต้หมวกแนบศีรษะ การทำเช่นนี้และคอเสื้อที่คว้านต่ำจะได้ไม่เป็นอุปสรรคขวางดาบคมกริบที่ฟันฉับลงมา

แอนน์กล่าวอำลาบริวารของตน และคนหนึ่งก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าผูกตาเธอไว้เพื่อจะได้ไม่เห็นคมดาบที่ฟันลงมา เธอคุกเข่าลงและเอ่ยคำพูดตามเสียงนำว่า “พระเยซูเจ้า โปรดรับเอาดวงวิญญาณของลูกไว้ด้วย พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาดวงวิญญาณของลูกด้วยเถิด ลูกขอมอบวิญญาณของลูกไว้ในอุ้งหัตถ์ของพระคริสต์”

ทันใดนั้น ด้วยคมดาบที่ฟันลงมาอย่างรวดเร็วเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น ศีรษะของแอนน์กลิ้งหลุนอยู่บนตะแลงแกง เพชฌฆาตจับเส้นผมยกศีรษะขึ้นชูขณะที่ริมฝีปากของแอนน์ยังขยับท่องบทสวดมนต์

เหล่านางสนองพระโอษฐ์คลุมร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด และศีรษะที่มีโลหิตไหลทะลักด้วยผ้าขาวที่กลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว สีแดงที่ค่อยๆ ซึมจนเปียกชุ่มไปทั้งผืน ไม่ว่าเฮนรี่หรือขุนวังประจำหอคอยไม่ได้นึกถึงเรื่องหีบศพที่จะใช้บรรจุร่างราชินี ร่างของแอนน์จึงถูกวางลงในลังสำหรับบรรจุไม้หัวเรือเพื่อการขนส่งจากหอศาสตราวุธไปยังไอร์แลนด์ แต่ลังที่ว่านั้นสั้นเกินไป บรรจุได้เฉพาะส่วนที่เป็นร่างกาย และต้องวางส่วนศีรษะไว้ที่ซอกแขน

ความจริงเพราะเรื่องนี้เอง ที่ทำให้คนงานในสมัยศตวรรษที่ ๑๙ ที่กำลังปูพื้นใหม่ในโบสถ์หลังที่ร่างของแอนน์ถูกฝังไว้ จำได้ว่านั่นคือร่างของเธอ เป็นสถานที่พักผ่อนชั่วนิรันดร์ที่น่าสมเพชอย่างยิ่งสำหรับราชินีที่ถูกประหารด้วยความผิดฐานคบชู้ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย.









Kimleng : ภาพ/ข้อมูล

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กันยายน 2558 12:40:54 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.673 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 08:51:10