Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2558 16:26:39 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤษภาคม 2559 18:57:44 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 9.0
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2558 15:10:45 » |
|
. รัชกาลที่ ๖ ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯเปิดพระบรมรูปทรงม้า ตุ๊กตาจีนรูปคนชาวยุโรป เป็นอับเฉาสำหรับถ่วงน้ำหนักเรือสำเภา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่วัดโพธิ์ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๕ ทรงฉายกับกล้องถ่ายรูป เรือพระที่นั่งสุพรรณหงษ์สำหรับเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ สะพานพระพุทธยอดฟ้า ภาพถ่ายทางอากาศพระบรมหาราชวัง ถ่ายเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๖๖ ภาพถ่ายทางอากาศวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร(วัดโพธิ์) พระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ ๑ บริเวณสะพานผ่านพิภพลีลา ปี พ.ศ.๒๔๔๕ มองเห็นพระบรมหาราชวัง พิธีคล้องช้างในเพนียด งานประชุมรถยนต์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่านการค้าบริเวณถนนเยาวราช เริ่มที่ประเด็นชื่อชุมชนป้อมมหากาฬที่ไม่เคยพบพานในเอกสารโบราณใดๆ ต่างจากบ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านพานถม ฯลฯ
เรื่องนี้ต้องผายมือไปที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ ผู้มีผลงานมากมายเกี่ยวกับ “กรุงเทพฯ” ซึ่งตอบทันควัน ว่าชื่อชุมชนป้อมมหากาฬจะมีได้อย่างไร เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกันภายหลัง แต่เดิมนั้น รู้จักกันในชื่อ “ตรอกพระยาเพชร” เพราะเป็นที่ตั้งของวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ ๕ ของพระยาเพชรปาณี โดยแต่งตัวเลียนแบบละครพันทางของเจ้าคุณมหินทร์ วิกปรินซ์เธียเตอร์ ท่าเตียน แต่แหกคอก นอกกรอบละคร ชาวบ้านจึงนิยมมาก เพราะดูรู้เรื่องและสนุก
นอกจากนี้เมื่อเขยิบออกไปอีกนิด ก็มีชุมชนยุคต้นรัตนโกสินทร์ชื่อว่า “บ้านสาย” เพราะทำสายรัดประคดของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน ชาวบ้านก็เป็นพวกเดียวกันไม่อาจแยกขาดจากกันได้ แล้วจะบอกว่าป้อมมหากาฬไม่ใช่ชุมชนประวัติศาสตร์ได้อย่างไร
“จะมีชื่อชุมชนป้อมมหากาฬในประวัติศาสตร์ได้ยังไง เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกัน จะโดยสื่อมวลชนหรือใครก็แล้วแต่ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นชุมชนใหม่ เพราะมีหลักฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกตรอกพระยาเพชร มีวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ของพระยาเพชรปาณี เขยิบไปนิดเดียวเป็นบ้านสาย ชุมชนทำสายรัดประคด อยู่ติดกัน แล้วจะไปแยกกันยังไง จะบอกว่ามีบ้านสาย แต่ตรงป้อมไม่มีชุมชนมันเป็นไปไม่ได้ ตอนเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นเด็กวัดเมื่อปี ๒๔๙๗ คนบ้านสายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดก็มาใส่บาตรที่วัดเทพธิดารามนี่แหละ” สุจิตต์เล่าอย่างออกรส‘ลาว’ สร้างกำแพงเมืองกรุงเทพฯ ๒๓๔ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ คนลาวในอีสาน และเวียงจันทน์เป็นผู้สร้างกำแพงเมือง และป้อมปราการในกรุงเทพฯ (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕) เมษายน ๒๓๒๕ รัชกาลที่ ๑ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีกรุงเทพเป็นราชธานี บัดนี้ ครบรอบ ๒๓๔ ปีของมหานครแห่งนี้ ซึ่งไม่ได้ถูกเนรมิตขึ้นในชั่วข้ามคืน หากแต่สร้างขึ้นโดยบรรพชนที่ประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ ‘ลาว’ ซึ่งมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้สร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการอันแข็งแกร่ง
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ จดจารไว้ว่า ให้ตั้งกองสักเลกไพร่หลวงสมกำลัง และเลกหัวเมืองทั้งปวง แล้วให้เกณฑ์ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง ให้ไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าบ้าง ลงมือก่อสร้างพระนคร ทั้งพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคล
โปรดให้เกณฑ์ลาวทางภาคอีสานของไทย ลาวจากเวียงจันทน์ ตลอดจนหัวเมืองลาวริมแม่น้ำโขงฟากตะวันตก เข้ามาขุดรากก่อกำแพงพระนคร และสร้างป้อมเป็นระยะๆ รอบพระนคร
ลาวที่ถูกเกณฑมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้กลับถิ่นเดิม เพราะการสร้างแปลงเมืองไม่ได้เสร็จในคราวเดียว แต่ทำต่อเนื่องหลายรัชกาล ชาวลาวเหล่านี้ จึงตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนกรุงเทพที่มีลูกหลานสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ผศ.ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกไว้ชัดเจนว่า คนลาวเป็นผู้สร้างกำแพงเมืองกรุงเทพรวมถึงป้อมปราการต่างๆ โดยถูกเกณฑ์มาจากลุ่มน้ำโขง เนื่องจากหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แรงงานไพร่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเหลือน้อย หากไม่มีแรงงานลาว คงใช้เวลาสร้างนานกว่าที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างมาก
“ผลจากปัญหาสงครามเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ คนในลุ่มน้ำภาคกลางเหลือน้อย เพราะฉะนั้น พอต้องมีการก่อกำแพงพระนคร อำนาจราชสำนักแผ่ถึงลุ่มน้ำโขง จึงเกณฑ์ลาวมาช่วยสร้างพระนครเป็นการใหญ่ ถ้าไม่ได้แรงงานเหล่านี้ ๓ ปีก็ก่อกำแพงไม่เสร็จ ที่ต้องเน้นกำแพงเพราะใช้เตรียมรับศึก” ผศ.ดร. รุ่งโรจน์กล่าวยุคแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คนลาวถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงและป้อมปราการในกรุงเทพฯ (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕) แม่หญิงลาวมณฑลอุดร ที่มา (ภาพ-ข้อมูล): มติชนออนไลน์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 13:51:39 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2559 16:11:29 » |
|
ฟ้าผ่าเจดีย์ราย วัดภูเขาทอง ทุ่งภูเขาทอง อยุธยา ฟ้าผ่าเจดีย์เมื่อฝนตก เคยเกิดขึ้นเสมอ จึงมีบันทึกในตำนานพงศาวดารบ่อยๆ ฟ้าผ่าเจดีย์ราย วัดภูเขาทอง ทุ่งภูเขาทอง อยุธยา วันพายุร้อนฝนถล่ม ช่วงปลายเมษายน ต้นพฤษภาคม
ฟ้าผ่าเจดีย์เมื่อฝนตก เคยเกิดขึ้นเสมอ จึงมีบันทึกในตำนานพงศาวดารบ่อยๆ
แต่ครั้งสำคัญราว ๖๐๐ ปีมาแล้ว ฟ้าผ่าเจดีย์วัดแห่งหนึ่งในเมืองเชียงราย (จ.เชียงราย) เจดีย์พัง พบพระแก้วมรกตซ่อนในเจดีย์ ร.๔ เคยมีพระราชนิพนธ์เล่าไว้ จะเชิญตอนสำคัญมา โดยจัดย่อหน้าใหม่ ดังนี้
“พระแก้วมรกตองค์นี้อยู่ในพระสถูปใหญ่เก่าองค์หนึ่ง ณ เมืองเชียงราย ครั้นพระสถูปเจดีย์นั้นต้องอสนีบาตพังลงมาแล้ว ชาวเมืองเชียงรายได้เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปปิดทองคำทึบทั่วทั้งองค์ ก็สำคัญว่าพระพุทธรูปศิลาสามัญ จึงเชิญไปไว้ในวิหารที่ไว้พระพุทธรูปในวัดแห่งหนึ่ง แต่นั้นไป ๒ เดือน ๓ เดือน ปูนที่ลงรักปิดทองหุ้มทั่วพระองค์นั้น กะเทาะออกที่ปลายพระนาสิก เจ้าอธิการในอารามนั้นได้เห็นเป็นแก้วสีเขียวงาม จึงแกะต่อออกไปทั้งพระองค์ คนทั้งปวงจึงได้เห็น และทราบว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วแท่งทึบทั้งแท่งบริสุทธิ์ดีไม่บุบสลาย
คนชาวเชียงรายและเมืองลาวอื่นๆ ก็ตื่นกันไปบูชานมัสการมากมาย”วัดพระแก้ว ตั้งอยู่บนถนนไตรรัตน์ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เดิมชื่อวัดป่าเยี๊ยะ หรือวัดป่าญะ (ไม้เยี๊ยะ เป็นไม้ไผ่พันธุ์พื้นเมืองชนิดหนึ่ง ชาวบ้านนิยมนำไม้ชนิดนี้ไปทำหน้าไม้หรือขาธนู) จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ.๑๙๗๗ ได้ค้นพบพระแก้วมรกต ชาวบ้านจึงขนานนามใหม่ว่าวัดพระแก้ว (ภาพจากหนังสือตำนานพระพุทธรูปสำคัญ พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพ หม่อมแช่ม กฤดากร ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๔) |
พระเจดีย์วัดพระแก้ว (ก่อนบูรณปฏิสังขรณ์) ถูกอสนีบาต (ฟ้าผ่า) เมื่อ พ.ศ.๑๙๗๗ เมื่อพระเจดีย์พังทลายลงจึงได้ค้นพบพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ต่อมาชำรุดทรุดโทรมลง เช่น ตอนบนและตอนกลางมีต้นโพธิ์เถาวัลย์และหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ตอนล่างอิฐปูนที่โบกไว้ก็หักและพังลง จึงซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์โดยรักษาทรวดทรงเดิม ไว้ทุกประการ เสร็จและสมโภชเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๙๗ (รูปและคำอธิบายจากหนังสือ พระแก้วมรกต สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๔๖ หน้า ๒๒๐) ที่มา (ภาพ-ข้อมูล): สุจิตต์ วงษ์เทศ : ฟ้าผ่าเจดีย์เมืองเชียงราย พบพระแก้วมรกตในเจดีย์ มติชนออนไลน์ | 'ลิเก' แรกมีสมัย รัชกาลที่ ๕ พระยาเพชรปาณี สร้างสรรค์ลิเกก้าวหน้า ลิเก แรกมีสมัย ร.๕ จากสวดแขกตามประเพณีในศาสนาอิสลามของชาวมุสลิมจากมลายูปัตตานี ที่ถูกกวาดต้อนขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ สมัย ร.๑ (พร้อมปืนใหญ่พญาตานี หน้ากระทรวงกลาโหม)
ดังนั้น จึงมีกลองรำมะนาตีประโคมรับลิเกในยุคแรกเริ่ม (เหมือนลำตัด เพราะมีกำเนิดจากสวดแขกมาด้วยกัน) ลิเกยุคแรกไม่เล่นเป็นเรื่องอย่างละคร แต่เล่นเป็นจำอวดชุด เช่น ชุดสิบสองภาษา ต้องเล่นออกสำเนียงภาษาต่างๆ ละแวกเพื่อนบ้านโดยรอบ
เจ้านายนักปราชญ์องค์หนึ่งเขียนเล่าเรื่องลิเกไว้ (จากบทความเรื่อง บ่อเกิดของลิเก โดย ว. ชยางกูร พิมพ์ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ มิ.ย.-ส.ค.๒๕๑๐ หน้า ๔๑-๔๖) คัดมาลงตั้งแต่เมื่อวาน จะคัดมาอีก ดังนี้
“ในลิเกชุดสิบสองภาษานี้ ข้าพเจ้าจำได้ว่าชุดที่เราชอบเอามาเล่นมาร้องมากที่สุดคือ ชุดมอญ ตอนพระยาน้อยชมตลาด ขึ้นต้นร้องเกริ่นว่า ‘พระสุริยงส่องฟ้าพระสุริยาเยี่ยมอัมพร ฝ่ายสมิงพระยามอญ ให้เร่าร้อนในอุรา’
ครั้นแล้วพระยาน้อยก็เดินกรีดกรายไปช้าๆ จนมาถึงร้านขายหมากขายพลู จึงมีคำบรรยายว่า ‘ถึงร้านขายหมากพลู นักเลงเจ้าชู้ดูดีดดิ้น ขายหมากไม่อยากกิน เอานมออกปลิ้นให้ชายดู’”
ในขณะนั้น แขกก็เดินตามมาด้วย คราวนั้นพวกแม่ค้าก็โจมตีอาบังเข้าบ้าง แม่ค้าถามอาบัง “อาบังรักที่ตรงไหน จงบอกไปเสียเถิดพี่ รักเนื้อหรือรักนม หรือรักผ้าห่มของน้องนี้” พี่บังตอบว่า “อะไรมันไม่สำคัญ เหมือนน้ำมันตานี” ลูกคู่ร้องรับว่า “เยลันยา ตูหนาลั้นกั่น อะไรมันไม่มันสำคัญเหมือนน้ำมันตานี”
“เมื่อจางวางแย้มออกโรงมาได้สักหน่อยก็เกิดมีผู้เอาอย่าง มีลิเกขึ้นอีกหลายโรง พระยาเพ็ชรปาณีตั้งโรงอยู่นอกกำแพงพระนคร ตรงหน้าวัดราชนัดดา ประชาชนเรียกว่า ลิเกพระยาเพ็ชร”
“พระยาเพ็ชรปาณีได้ดัดแผลงจากของเดิม โดยมีเครื่องแต่งตัวขึ้นบ้าง มีพระ มีนาง และตัวลิเกต่างก็มีบทร้องและเล่นเป็นเรื่องราวตามเรื่อง วงศ์ๆ จักรๆ จากหนังสือซึ่งหลังปกมีปรากฏว่า
‘เล่มละสลึงพึงรู้ท่านผู้ซื้อ ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะ เพราะหนักหนา ฯลฯ’ เรื่องที่ดื่นอยู่ในเวลานั้นก็คือ จันทโครบ และลักษณวงศ์ และอื่นๆ”
“ตั้งแต่พระยาเพ็ชรปาณีได้พัฒนามาถึงมีลิเกลูกบท ก็เกือบใกล้ ‘นาฏะดนตรี’ อยู่แล้ว คือ มีปี่พาทย์ลาดตะโพนและดนตรีประกอบคล้ายละคร ผิดกันแต่เพียงตัวลิเก ร้องเอง ไม่มีใครบอกบท”
“ถัดพระยาเพ็ชรปาณีมาก็มีลิเกนาวาตรี หลวงสันทนาการกิจ (โหมด) ประชาชนเรียกว่าลิเกวิกหลวงสัน ตั้งอยู่ตำบลสะพานหัน ถัดจากวิกหลวงสันมาก็มี ลิเกวงหม่อมสุภาพ ซึ่งเป็นวงสุดท้ายที่ข้าพเจ้ารู้จัก”
“จำเนียรกาลนานมาก็มีราษฎรตั้งคณะยี่เกขึ้นอีกหลายคณะ และการพัฒนาก็ตามมาอย่างรวดเร็ว จนถึงบางวงมีพระเอก (ชายจริง) และนางเอก (หญิงแท้) เมื่อลิเกได้บรรลุถึงขีดมาตรฐานอันสูงส่ง ท่านที่คิดแปลกๆ ก็สถาปนาขึ้นเป็น ‘นาฏะดนตรี’ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ‘ลิเกทรงเครื่อง’”
ข้อความว่า “ท่านที่คิดแปลกๆ” น่าจะหมายถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ชื่อจริงว่า แปลก) ผู้มีคำสั่งให้เรียกลิเกด้วยชื่อใหม่ว่า นาฏดนตรีที่มา (ภาพ-ข้อมูล): สุจิตต์ วงษ์เทศ : พระยาเพชรปาณี สร้างสรรค์ลิเกก้าวหน้า มติชนออนไลน์ลิเกบันตน มีกลองรำมะนา คณะหมื่นขับคำหวาน แสดงตอนพระยาน้อยชมตลาด ที่สังคีตศาลา กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ | 'ลิเก' ลิเกยุคแรกสุด ไม่เป็นละคร ลิเก มีกำเนิดยุคกรุงเทพฯ มีในข้อเขียนของเจ้านายรุ่นเก่าก่อน [บ่อเกิดของลิเก โดย ว. ชยางกูร พิมพ์ในสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ มิ.ย.-ส.ค.๒๕๑๐ หน้า ๔๑-๔๖] จะคัดมาดังนี้ “ลิเกมิใช่เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยเลย เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ รัชกาลที่ ๕ เท่านั้นเอง ข้อพิสูจน์นั้นหาไม่ยาก ถ้าท่านขยันค้น โปรดเปิดดูพงศาวดารไทยตั้งแต่ต้นลงมา ท่านจะไม่พบคำว่า – ลิเก ยี่เก หรือดิเก เลยเป็นอันขาด”
ลิเกยุคแรกสุดไม่เป็นละคร เพราะไม่ได้กำเนิดจากละครรำราชสำนัก อย่างที่วารสารวัฒนธรรม (ของกระทรวงวัฒนธรรม) บอกไว้ ขอให้อ่านหลักฐานดังนี้
“ข้าพเจ้าได้ดูลิเกเป็นครั้งแรกที่วังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นราชศักดิ์สโมสร คิดตามอายุของข้าพเจ้า คงจะเป็นราว ร.ศ.๑๐๘ ลิเกวงนี้เป็นของจางวางแย้ม (นามสกุลยังไม่มี) เป็นจางวางในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย”
“วิธีดำเนินการเล่นนั้นหาเหมือนละครไม่ คือไม่มีพระเอก นางเอก เล่นแสดงเป็นชุดๆ เรียกว่า ชุดสิบสองภาษา เครื่องประกอบดนตรีก็มีแต่รำมะนา (กลองหน้าเดียว) ใช้ตีให้จังหวะในการร้องเท่านั้นเอง”“การร้องนั้น ร้องทำนองลิเกเป็นพิเศษ บรรยายเรื่องราวของชุดนั้นๆ เมื่อโหมโรง ด้วยการร้องเกริ่นพอสมควร แล้วแขกก็ออกมาสัมภาษณ์พวกสิบสองภาษา มีการเจรจาด้วยข้อความตลกคะนอง หรือบางทีก็มีหยาบโลนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอนาจารเอาทีเดียว ลิเกเลิกก็เมื่อแสดงจบสิบสองภาษาแล้ว”
ลิเกมาจากแขก (ไม่ได้มาจากละครรำราชสำนัก) จึงมีออกแขก แล้วใช้คำแขกๆ มีคำอธิบาย ดังนี้
“ลิเกจางวางแย้ม เห็นจะเป็นวงแรก ซึ่งเล่นมหรสพเช่นนี้ในประเทศไทย เพราะไม่ปรากฏว่ามีวงอื่นอีกต่อมาเป็นเวลานาน โหมโรงเสร็จแล้ว แขก (ของวงลิเก) ก็ออกมาสนทนากับหัวหน้าชุด ถ้าลองสังเกตดู จะทราบว่า แขกที่ออกมานั้นใช้ภาษาแขกถึงสามภาษาคือ
ภาษาฮินดูในคำว่า ฮัชฉาแฮ่ แปลได้ความว่า สวัสดี และแขกว่าอะไรต่อไปเราได้ยินเป็น เต๋าระกินหนา แต่คำว่าเต๋าระกินหนานั้นแขกอะไรก็แปลไม่ได้เพราะเราฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด
อีกคำหนึ่งคือ อาบัง คำนั้นแปลว่าพี่ชายในภาษาชวามลายู
อีกภาษาหนึ่งที่แขก (ลิเก) ใช้คือภาษาทมิฬ ซึ่งอยู่ภาคใต้ของประเทศอินเดีย อันเป็นประเทศที่เกิดของพระนางมัทรี ภาษาทมิฬนี้ ฟังเสียงได้ว่า อะเหลวังกา ลักกะตาสิงกะโป คงแปลว่า เชิญมาลักกะตา สิงกะโป สองคำหลังนั้นคือ เมืองที่เราเรียกว่า กะลักกะตา และ สิงคโปร์ เป็นภาษาแขกฮินดูทั้งคู่
เป็นอันว่าแขกในลิเกนั้นใช้ภาษาแขกถึงสามภาษา สักแต่ว่าอะไรเรียกว่าคำแขก เป็นใช้เอามารวมกันได้ที่มา (ภาพ-ข้อมูล): สุจิตต์ วงษ์เทศ : 'ลิเก' ลิเกยุคแรกสุด ไม่เป็นละคร มติชนออนไลน์เครื่องบินและสนามบินแห่งแรกในสยามประเทศ โดย พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็กเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ บนเครื่องบิน ( ภาพ: pantip.com) ย้อนไปเมื่อ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๖ สองพี่น้องตระกูลไรท์ (Orville-Wilbur Wright) ชาวอเมริกัน ประสบความสำเร็จนำเครื่องบินปีก ๒ ชั้นที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง ขึ้นบินให้ชาวโลกได้ตื่นเต้นนาน ๑๒ วินาที บินสูง ๒๐ ฟุต ไปไกล ๑๒๐ ฟุต นับถือกันว่ามนุษย์บินได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๔ ในสมัยในหลวง ร.๖ มร.วอนเดน บอร์น (Vanden Born) นักบินชาวเบลเยียม ถอดเครื่องบินปีก ๒ ชั้น แบบออวิลไรท์บรรจุใส่กล่องใหญ่บรรทุกใส่เรือมาบางกอก แล้วประกอบขึ้นใหม่ บินโชว์อย่างสง่างาม ณ สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่เรียกว่า สนามสระปทุม โดยมีกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ และพระราชวงศ์ พ่อค้า ประชาชนในบางกอกมารอชมเครื่องบินลำแรกและสนามบินแห่งแรกในสยาม ปัจจุบันคนกรุงเทพฯ เรียกว่าสนามแข่งม้าฝรั่ง (ปทุมวัน)
ชาวสยามต่างตื่นเต้น ฮือฮากับฝรั่งที่สามารถสร้างเครื่องบินและเดินทางไปในอากาศได้เหมือนนก แถมบินมาให้เห็นตัวเป็นๆ สร้างแรงบันดาลใจกับชาวสยามให้เห็นความสำคัญของอากาศยานที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก
ภาพข้างบน กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงขึ้นไปประทับบนเครื่องบินเครื่องบินลำแรกมาลงในสยาม ( ภาพ: pantip.com) ข้อมูลจากหนังสือ “เจ้าชีวิต” บันทึกว่า กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ และกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงสลับกันขึ้นไปบินกับเครื่องบินลำนี้
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๗ มีการพิจารณาหาพื้นที่แห่งใหม่สำหรับอากาศยานขึ้น-ลงโดยพื้นที่ดังกล่าวจะต้องอยู่บนที่ดอน (ที่สูง) น้ำท่วมไม่ถึง ซึ่งพื้นที่ทางเหนือของอำเภอบางเขนเหมาะสมที่สุด และตรงนั้นคือ ท่าอากาศยานดอนเมืองที่ใช้มาถึงปัจจุบัน
เป็นปฐมบทของการบินและสนามบินในแผ่นดินนี้ครับนักบินสยาม ๓ ท่านแรก นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบก คือ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และชาวสยามทุกหมู่เหล่าได้ประจักษ์ชัดต่อความสำคัญของกิจการบินของสยามในอนาคต
กระทรวงกลาโหมไม่รอช้า คัดเลือกนายทหารบก ๓ นายไปเรียนวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส คือ พันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) ไปเรียนบินเครื่องบินเบรเกต์ (Brequet) ปีก ๒ ชั้นที่เมืองวิลลาคูเบลย์ (Villacoublay) ส่วนร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร (หลง สิน-ศุข) และร้อยโททิพย์ เกตุทัต ไปเรียนบินเครื่องแบบนิเออปอร์ต(Nieuport) แบบปีกชั้นเดียว
นายทหารทั้ง ๓ ท่านสำเร็จจากโรงเรียนการบินฝรั่งเศสพร้อมประกาศนียบัตรเดินทางกลับถึงบางกอกเมื่อ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๖
ในขณะที่นายทหารทั้งสามกำลังศึกษาวิชาการบินอยู่นั้น ทางราชการได้สั่งซื้อเครื่องบิน รวมทั้งมีผู้บริจาคเงินร่วมสมทบซื้อด้วยเป็นครั้งแรก จำนวน ๘ เครื่อง คือเครื่องบินเบรเกต์ปีก 2 ชั้น จำนวน 4 เครื่อง และเครื่องบินนิเออปอร์ตปีกชั้นเดียว จำนวน 4 เครื่อง
อาจกล่าวได้ว่ากิจการบินของสยาม เริ่มต้นจากนักบินเพียง ๓ คน และเครื่องบินอีก ๘ เครื่อง วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๗ กระทรวงกลาโหมจัดตั้ง “กรมการบินทหารบก” เพื่อให้นายทหารนักบิน ๓ ท่านเป็นครูฝึกนักบินชาวสยามรุ่นต่อมา
ในช่วงแรกยังคงใช้สนามบินสระปทุมฝึกนักบินของไทยบินขึ้น-ลง ต่อมานายทหารนักบินทั้ง ๓ ท่านเสนอให้ย้ายสนามบิน อาคารและเครื่องมือทั้งปวงไปหาสนามบินแห่งใหม่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างสูง ณ ตำบลดอนเมือง อำเภอบางเขน
นักบินทั้ง ๓ ท่านนี้ ในเวลาต่อมา ได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ตามลำดับ คือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และนาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต และกองทัพอากาศได้ยกย่องให้เป็น “บุพการีของกองทัพอากาศ”
ปวงชนชาวไทยขอยกย่องนายทหาร ๓ ท่านนี้ครับ ที่มา (ภาพ-ข้อมูล): ภาพเก่า…เล่าตำนาน โดย พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก หนังสือพิมพ์มติชน
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 14:12:25 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 01 กันยายน 2559 14:40:58 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2559 16:37:39 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 11 ตุลาคม 2559 18:42:54 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 พฤศจิกายน 2559 19:04:20 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2559 15:37:03 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 14:19:54 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2559 15:51:48 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2560 15:14:10 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 27 มกราคม 2560 14:32:05 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2560 15:16:58 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 27 มกราคม 2560 16:04:32 » |
|
สิบโทโทน บินดี นายสิบนักบินคนแรกของสยาม (๑) เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๕๓ ชาวเบลเยียมขับเครื่องบินแบบอ็องรีฟาร์มัง มาลงที่สนามราชกรีฑาสโมสร หรือสนามม้าสระปทุมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม ต่อมาในหลวง ร.๖ โปรดเกล้าฯ ให้คัดเลือกนายทหารบก ๓ นาย คือ พันตรีหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ร้อยเอกหลวงอาวุธสิขิกร และ ร้อยโททิพย์ เกตุทัต ไปเรียนวิชาการบินในประเทศฝรั่งเศส นายทหารบกทั้ง ๓ ท่านนี้ออกเดินทางใน ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๔ และในเวลาเดียวกันกระทรวงกลาโหมก็สั่งซื้อเครื่องบินแบบนิเออปอร์ต (Nieuport) ปีกชั้นเดียว ๔ เครื่อง เครื่องแบบเบร์เกต์ (Brequet) ปีก ๒ ชั้น ๓ เครื่อง รวม ๗ เครื่อง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) บริจาคเงินซื้ออีก ๑ เครื่อง รวมเป็น ๘ เครื่อง เมื่อสำเร็จการฝึกจากโรงเรียนการบินของฝรั่งเศส นายทหารนักบินทั้ง ๓ กลับมาถึงกรุงเทพฯ
๑๓ มกราคม ๒๔๕๖ ในหลวง ร.๖ เสด็จไปที่สนามบินในสนามม้าสระปทุม โปรดเกล้าฯ ให้นักบิน ๓ ท่านนี้บินถวายตัวโดยใช้เครื่องบินที่กลาโหมสั่งซื้อมา อันเป็นที่พอพระราชหฤทัยยิ่งนักกลาโหมออกคำสั่งให้ย้ายสนามบินออกไปอยู่ทุ่งดอนเมือง ต่อมา ๘ มีนาคม ๒๔๕๗ การก่อสร้างอาคารโรงบินเสร็จ นักบินทั้ง ๓ ท่านขับเครื่องบินจากสนามม้าสระปทุมไปลงที่ดอนเมือง และ ๒๗ มีนาคม ๒๔๕๗ กลาโหมมีคำสั่งจัดตั้ง “กองบินทหารบก”
กองบินทหารบกเริ่มภารกิจฝึกนักบิน โดยรุ่นแรกคัดเลือกมาจากหน่วยทหารในกองทัพบก เพื่อเข้าฝึกบินชั้นประถม มีนายทหารที่ผ่านการทดสอบ ๘ นาย คือ ร.ท.เจริญ, ร.ต.เหม ยศธร, ร.ต.นพ เพ็ญกูล, ร.ต.ปลื้ม สุคนธสาร, ร.ต.สวาสดิ์, ร.ต.หนอม, ร.ต.ปิ่น มหาสมิติ และ ร.ต.จ่าง นิตินันท์ หากแต่มีนายทหารที่สำเร็จการศึกษาเพียง ๕ นาย
กองบินทหารบกยังขอโอนพลทหารจำนวน ๖๒ นาย ที่มีความรู้ ประสบการณ์งานช่างจากกองพลทหารบกที่ ๑ และกองพลทหารบกที่ ๒ เพื่อมาเป็นช่างเครื่องบินในขั้นตอนตั้งหน่วยใหม่ย้อนไปปลายปี พ.ศ.๒๔๕๔ นายโทน ใยบัวเทศ ชาวนนทบุรี สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก เป็นสิบตรี เงินเดือน ๓๐ บาท เกิดนึกเบื่องานประจำ ประสงค์จะมีวิชาชีพติดตัวไปทำมาหากิน ต้องการไปหาความรู้ในกรมอากาศยาน ใฝ่ฝันอยากทำงานเกี่ยวกับเหล็ก เพื่อจะกลับไปตีเหล็กทำมีดขายตอนเกษียณราชการ
สิบตรีโทนรวบรวมความกล้าพร้อมเพื่อนอีก ๓ คน ชักชวนกันไปกราบพระยาเฉลิมอากาศ เพื่อขอย้ายไปเป็นช่างที่กรมอากาศยาน ที่สระปทุม (สนามม้าสระปทุม)
เจ้ากรมอากาศยานเมตตารับฟังนายสิบชั้นผู้น้อยด้วยความเมตตา แต่ลังเลใจพอสมควร เพราะทหารบกทั้ง ๔ คน ไม่เคยมีพื้นฐานงานทางช่างมาก่อน กรมอากาศยานจะรับเฉพาะคนที่ผ่านงานช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างเครื่องยนต์ มาก่อนเท่านั้น ประการสำคัญจะมีเบี้ยเลี้ยงเพียงเดือนละ ๗ บาท ๕๐ สตางค์เท่านั้น
นายสิบตรีทหารราบทั้ง ๔ คน ตกตะลึงกับจำนวนเบี้ยเลี้ยงที่ลดลงเมื่อเทียบกับเบี้ยเลี้ยงที่หน่วยเดิม ๓ คนกราบลาเจ้ากรมอากาศยาน
เหมือนชะตาฟ้าลิขิต สิบตรีโทนกัดฟันตอบรับ ตกลงกับท่านเจ้ากรม ขอย้ายมาทำงานกรมอากาศยานแต่ผู้เดียวสิบตรีโทนย้ายเข้าไปกรมอากาศยาน ในขณะที่กลาโหมเพิ่งออกคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกรมอากาศยานออกไปอยู่แถวดอนเมืองพอดี งานหลักที่หมู่โทนต้องทำคือคุมทหารปรับพื้นที่ท้องนา และทำรั้วทุ่งดอนเมือง ที่จะเป็นสนามบินแห่งแรกของสยาม
นายสิบชาวนนทบุรีคนนี้ทำงานกลางแจ้งอยู่ ๖ เดือน คุมพลทหารทำรั้วสนามบิน ไปผูกปิ่นโตกับร้านข้าวแกงเดือนละ ๗ บาท เหลือเงินไว้ซื้อใบจากและยาตั้งเดือนละ ๕๐ สตางค์ อดทนกับความยากลำบากทั้งปวงโดยไม่ปริปาก และไม่เคยติดต่อกับพ่อแม่ ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะกลับไปกราบบุพการีเมื่อลืมตาอ้าปากได้เท่านั้น
สวรรค์มีตา นับเป็นโชคดีของสิบตรีโทน เจ้าคุณเฉลิมอากาศเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีคุณธรรม เห็นความดีงาม ความซื่อสัตย์ของสิบตรีโทน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จึงเมตตาให้สิบตรีโทนเข้าเรียนเป็นช่างเครื่องบิน พร้อมกับนายทหารสัญญาบัตร โดยมีพันตรีทะยานพิฆาต และพันโทพระยาเวหาสยานศิลปะสิทธิ์ เป็นครูประจำหลักสูตร
ความฝันที่จะมีความรู้ติดตัวออกไปเป็นช่างตีเหล็กของผู้หมู่โทน เริ่มใกล้ความจริงแล้ว และได้รับการเลื่อนยศเป็นสิบโท
กรมพระกำแพงเพ็ชรฯ เจ้าคุณเฉลิมฯ เจ้าคุณเวหาสฯ และเจ้าคุณทะยานฯ มาเป็นคณะกรรมการสอบไล่เมื่อกำลังพลจบหลักสูตรช่างเครื่องบินนาน ๖ เดือน ปรากฏว่าสิบโทโทน สอบไล่ได้เป็นลำดับที่ ๒ ในขณะที่นายทหารอีกหลายนายถูกลงโทษ
เจ้าคุณเฉลิมอากาศฯปรับเงินเดือนของสิบโทโทนขึ้นมาเป็น ๕ ตำลึงเกือบเท่ากับเงินเดือนตอนเป็นสิบโททหารราบ
สิบโทโทนมุ่งมั่นทำงานช่างเครื่องบินด้วยความรัก ต่อมากระทรวงกลาโหมออกคำสั่งให้นายทหารสัญญาบัตรที่เรียนจบหลักสูตรช่างเครื่องบิน ๕ นายคือ ร.ท.นพ เพ็ญกุล, ร.ท.ปลื้ม คชสาร, ร.ต.จ่าง นิตินนท์, ร.ท.เหม ยศธร และ ร.ต.ปิ่น มหาสมิติ เข้าไปเรียนในโรงเรียนการบิน เจ้าคุณเฉลิมอากาศท่านมีเมตตาให้โอกาสนายสิบที่มีคะแนนการศึกษาดีเยี่ยมคือสิบโทโทนเข้าร่วมฝึกเป็นนักบินในหลักสูตรนี้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติที่นายสิบจะมาเรียนร่วมกับนายทหารสัญญาบัตร
กองบินทหารบกใช้เครื่องบินฝึกเพียง ๒ ลำ คือ แบบเบร์เกต์ (Brequet) ๕๐ แรงม้า และเครื่องแบบนิเออปอร์ต (Nieuport) ปีกชั้นเดียว อีก ๑ เครื่องผลัดกันขึ้นบิน ศิษย์การบินทั้ง ๖ นาย ช่วยกันเติมน้ำมัน เช็ดคราบน้ำมัน บินไปซ่อมไป ในการฝึกช่วงแรกครูจะให้นักบินฝึกบังคับเครื่องบินวิ่งไป-กลับบนทางวิ่งเท่านั้น เจ้าคุณทะยานพิฆาตจะตรวจสอบว่า ถ้าใครเร่งเครื่องเต็มที่ให้หางขนานกับพื้นดินได้อย่างนุ่มนวล ราบรื่นจึงจะอนุญาตให้บินขึ้นสู่อากาศ
ทุกครั้งที่จะอนุญาตให้ศิษย์การบินคนใดนำเครื่องบินขึ้นสู่อากาศได้ จะเป็นความตื่นเต้นของกำลังพลและครอบครัวที่จะต้องมาคอยดูกันแน่น สิบโทโทนบันทึกปูมชีวิตด้วยความน้อยใจว่า ตัวเองเป็นนายสิบเลยไม่ค่อยมีโอกาสได้ฝึกบินตามตาราง เพราะเกรงใจนายทหารสัญญาบัตรอีก ๕ นายที่ฝึกอยู่ด้วยกัน
เช้าวันหนึ่ง เจ้าคุณทะยานพิฆาตขอนำเครื่องนิเออปอร์ตขึ้นบินเองเพื่อทดสอบ เมื่อบินลงมาแล้วท่านสั่งให้สิบโทโทนขึ้นบินทดสอบฝีมือ โดยสั่งให้บินขึ้นสูง ๒๐๐ เมตร เลี้ยวซ้ายและนำเครื่องลง ผลปรากฏว่าสิบโทโทนบินตามสั่งได้อย่างนุ่มนวล และท่านออกปากต่อหน้ากำลังพลทุกคนที่ยืนดูว่าโทนบินได้ดีราวกับนักบินที่บินมาแล้ว ๑๐๐ ชั่วโมง
เจ้าคุณเฉลิมอากาศถอดเครื่องหมายปีกนกจากอินธนูของท่านส่งให้สิบโทโทน “หวังว่าโทนคงเป็นนักบินที่ดีคนหนึ่งของกองทัพ ฉันหวังเป็นอย่างมากว่า เอ็งจะเป็นผู้นำนายสิบทั้งหลายในเรื่องการบิน”
เจ้าคุณกล่าวให้พรอันเป็นมงคลชีวิตแก่สิบโทโทน
การกล่าวชมฝีมือการบินของสิบโทโทนของเจ้าคุณ ต่อหน้ากำลังพลทั้งหลาย เป็นนัยแอบแฝง เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนทราบว่า เรื่องฝีมือการบินนั้น นายสิบก็บินได้ถ้ามีความตั้งใจฝึกฝน อดทนและไม่กลัวตาย (ในขณะนั้นมีกระแสความไม่พอใจที่ให้นายสิบมาเรียนบินพร้อมกับนายทหารสัญญาบัตร : ผู้เขียน )
สิบโทโทนเจียมเนื้อเจียมตัว จนผ่านการฝึกทั้งภาคอากาศและภาคพื้นดิน ในที่สุด กลาโหมอนุมัติให้เข้าเป็นศิษย์การบินมัธยมหมายเลข ๖ ได้เครื่องหมายปีกนกติดอินธนู ได้เงินเพิ่มอีกเดือนละ ๒๐ บาท รวมเป็นเงินเดือนทั้งสิ้น ๔๐ บาท
สิบโทโทนพร้อมที่จะกลับบ้านไปกราบพ่อแม่ ตามที่สัญญาไว้กับตัวเอง หายจากบ้านไป ๒ ปี เด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นศิษย์การบินของกองทัพไปแล้ว ญาติพี่น้องปลื้มใจสุดขีดแต่ก็แฝงด้วยความห่วงใย
โทนกลับไปฝึกบินต่อ โดยต้องทดสอบการบินเป็นรูปสามเหลี่ยม จากดอนเมืองไปนครปฐม แล้วบินต่อไปอยุธยา และบินกลับดอนเมือง ในระยะความสูง ๘๐๐ เมตร โดยมีเครื่องวัดความสูงแขวนคอไปด้วย สิบโทโทนสำเร็จการศึกษาบรรจุเป็นนักบินกองทัพบก
ผู้เขียนต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่านที่จะต้องเปิดเผยวีรกรรมของสิบโทโทน ใยบัวเทศ ในตอนต่อไป ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นเสืออากาศที่ไปสำแดงฝีมือในฝรั่งเศส ที่คนไทยควรรู้จักอย่างยิ่งครับสิบโท โทน บินดี ไปแสดงฝีมือการบินในท้องฟ้าฝรั่งเศส (๒) ความเดิมจากตอนที่แล้ว สิบตรี โทน ใยบัวเทศ นายสิบทหารราบ ผู้ใฝ่ฝันจะมีความรู้เป็นช่างตีเหล็กเพียงเพื่อจะไปทำมีดขายตอนแก่ ได้รับความเมตตาจากเจ้าคุณเฉลิมอากาศให้เข้าเรียนเป็นช่างเครื่องบิน ตอนจบสอบไล่ได้ที่ ๒ และท่านสนับสนุนให้สิบโท โทน เข้าไปฝึกต่อเป็น ศิษย์การบิน เพื่อเป็นนักบินรุ่นแรกของสยามประเทศ
นายทหารสัญญาบัตร ๕ นายและนายสิบ ๓ นายสำเร็จการฝึกเป็นนักบินกองทัพบกเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์สยาม ๔ เดือนต่อมา ไปบินถวายตัวต่อในหลวง ร.๖ ที่สนามบิน (สนามม้าสระปทุม) ซึ่งประกอบด้วย ร.ท.ปลื้ม สุคนธสาร ร.ต.นพ เพ็ญกูล ร.ต.ปิ่น มหาสมิติ ร.ต.จ่าง นิตินันท์ ร.ต.เหม ยศธร ส.ท.โทน บินดี ส.ท.เปลื้อง คล้ายเนตร และ ส.ท.เล็ก ทองจรัส
เมื่อในหลวง ร.๖ เสด็จพระราชดำเนินตรวจแถว เจ้าคุณเฉลิมอากาศตามเสด็จฯ แนะนำ ยศและชื่อนักบิน สิบโท โทน คือ ๑ ในบรรดานักบินรุ่นแรกที่ได้ถวายตัว นับเป็นมงคลชีวิตหาที่สุดมิได้ ที่ชะตาชีวิตให้เขามีบุญได้ถวายตัวต่อในหลวงในฐานะนักบิน
โชคชะตาช่างเกื้อกูลต่อชะตาชีวิตของนักบินสยาม ๘ คนแรก เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ ระเบิดขึ้นในยุโรปเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๗ ในหลวง ร.๖ เคยทรงใช้ชีวิตศึกษาในอังกฤษนาน ๙ ปี พระองค์เฝ้าติดตามสถานการณ์สงคราม เพราะตั้งพระทัยจะใช้จังหวะนี้ส่งทหารจากสยามไปร่วมรบ เพื่อจะขอบอกเลิกสัญญาทั้งหลายกับประเทศตะวันตก สยามวางตัวเป็นกลางเฝ้าดูสถานการณ์ราว ๓ ปี
เมื่อสถานการณ์เริ่มกระจ่างจนกระทั่ง ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ รัฐบาลสยามประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน
ในหลวง ร.๖ รับสั่งให้กลาโหมเปิดรับทหารอาสาสมัครที่จะไปร่วมสงครามในยุโรป มีการจัดหน่วยทหารขนส่ง หน่วยบิน และหน่วยพยาบาล
กองทหารอาสาสมัครของสยามที่ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน ๑,๒๘๔ นาย ฝึกยิงปืน ขับรถ ขับเครื่องบินอยู่แถวทุ่งดอนเมือง
กลางดึก ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ กองทหารอาสาขึ้นรถไฟจากดอนเมืองเข้ามากรุงเทพฯ ทำพิธีที่หน้ากระทรวงกลาโหม กราบอำลาพระแก้วมรกต แล้วเดินทางไปท่าราชวรดิฐ ลงเรือราชนาวีไทย ๓ ลำ มุ่งหน้าไปเกาะสีชัง ทหารหนุ่มจากสยามทั้งหมดย้ายไปลงเรือชื่อ “มิเตา” ของฝรั่งเศส มุ่งหน้าไปสิงคโปร์-โคลัมโบ-เอเดน-ปอร์ทเสด ไปขึ้นฝั่งที่เมืองมาร์แซลล์ของฝรั่งเศส
หน่วยบินจากสยามพักคอย จัดระเบียบอยู่ ๑๕ วัน หลังจากนั้นได้รับคำสั่งให้ไปเข้าฝึกบินปรับมาตรฐานในหน่วยบินของฝรั่งเศสที่ตำบลเอ็กซ์ ห่างจากชายฝั่งทะเลราว ๑๕ กม. ใช้เวลาฝึกกับครูการบินฝรั่งเศสราว ๑ เดือนร่วมกับศิษย์การบินของญี่ปุ่น โปรตุเกส นักบินจากสยามทั้งหมดสำเร็จตามหลักสูตรการบินของฝรั่งเศส
นักบินหนุ่มจากสยาม รวม ๘ นายและเพื่อนต่างชาติ ถูกส่งไปฝึกบินรบต่อที่โรงเรียนบินผาดโผนที่เมืองโป (Pau) บริเวณชายแดนฝรั่งเศส-สเปน
นายกิมหิน นักเรียนไทยที่ไปเรียนทางด้านศาสนาอยู่ที่ฝรั่งเศสถูกส่งมาเป็นล่ามประจำคณะของนักบินสยาม ที่นี่ฝึกบินด้วยเครื่องแบบนิเออร์ปอร์ต ๘๐ แรงม้า และเมื่อผ่านเกณฑ์ ครูฝึกจึงเริ่มให้บินผาดโผนด้วยการควงสว่าน (Spin Turn)
ผู้เขียนได้พูดคุยกับนายทหารนักบินในปัจจุบัน ได้ความรู้ว่า เครื่องบินในยุคนั้น มีเพียงเครื่องวัดความสูง ไม่มีอุปกรณ์ เครื่องมือที่จะช่วยนักบินตรวจสอบหรือเตือนภัย ต้องใช้สมาธิและความบ้าบิ่น เป็นหลัก
การบินแบบควงสว่านที่ครูการบินฝรั่งเศสให้ฝึก คือ การท้ามฤตยู ล้อเล่นกับความตาย ที่นักบินรบจะต้องปฏิบัติให้ได้เช้าวันนั้น สิบโท โทน ก้าวออกไปหน้าแถว รับคำท้าครูฝึกนักบินฝรั่งเศส เพื่อขอ “ควงสว่าน” โดยเครื่องนิเออร์ปอร์ท ๑๓ ตารางเมตร ๘๐ แรงม้า เป็นคนแรก พร้อมกับหันมาพูดกับ ร.ท. ประเสริฐ ว่าหากพลาดพลั้งเสียชีวิต ให้นำกระดูกกลับเมืองไทยด้วย
สิบโท โทน นำเครื่องแบบนิเออร์ปอร์ตขึ้นสูงได้ ๒,๐๐๐ เมตร แล้ว ผ่อนกำลังเครื่องยนต์จนหมด ถีบขวาให้เครื่องบินพลิกคว่ำลง
นิเออร์ปอร์ทปักหัวหมุนเป็นเกลียวสว่านลงพื้นดินเหมือนใบไม้ร่วง เมื่อได้ระยะพอสมควร ครูฝึกสั่งให้โทน แก้อาการควงสว่าน เครื่องหยุดหมุนและเงยขึ้นตามเดิม สิบโทน ขนหัวลุก หัวใจสูบฉีดเลือดแรงปรี๊ดทั่วสรรพางกาย และนำเครื่องลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย
เด็กหนุ่มจากนนทบุรี ฝันจะเป็นแค่ช่างตีเหล็ก กลายมาเป็นนักบินสยามคนแรกที่ไปบินผาดโผนในฝรั่งเศสสำเร็จ บรรดาทีมนักบินของสยามที่เฝ้าเอาใจช่วย ต่างกรูกันเข้าไปยินดีกับสิบโทโทน ซึ่งยังอกสั่นขวัญแขวน ใจเต้นระทึก พูดไม่ออก
“เราต้องทำตามที่ครูสอนทุกประการ ต้องกล้าเสี่ยงตาย ขณะที่ถีบขวาให้เครื่องบินพลิกคว่ำลง ถ้าลังเลใจกลัวตายอาจเป็นอันตรายได้ หรืออาจจะควงไม่สวย ลองกัดฟันยอมตายจริงๆ ไม่ปอดลอยแล้ว มันไม่ยากเย็นอะไรเลย “สิบโท โทน ระบายความดีใจอย่างออกหน้าออกตา หลังจาก “ควงสว่าน” บนท้องฟ้าเมืองน้ำหอมสำเร็จ
ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดนักบินสยามทั้ง ๘ นายก็ผ่านหลักสูตรทั้งหมด บางคนก็ทำได้สวยงาม บางคนก็ทุลักทุเล บางคนบินขึ้นไปแล้วไม่ยอมควงลงมา
นักบินด้วยกันเอง จะทราบดีว่า คนบางคนเกิดมามีพรสวรรค์ที่จะบังคับเครื่องบินได้อย่างห้าวหาญและสวยงามในทุกลีลา ที่ฝรั่งจะใช้คำชมว่า Born to Fly สิบโท โทน คือ ๑ ในคนจำพวกนั้นที่โชคชะตานำพาเขามาไกลสุดขอบฟ้าตามที่ลูกผู้ชายเคยฝันไว้
หลักสูตรต่อไปคือ ฝึกการยิงจากอากาศ ยาน ที่โรงเรียนการใช้อาวุธตำบลบิสกาโร (Biscarrotte) นาน ๔๐ วัน เมื่อจบหลักสูตรแล้วนักบินสยามทั้ง ๘ นายได้รับอนุมัติให้เข้าไปพักผ่อนในมหานครปารีส กิน ดื่ม เที่ยวอย่างจุใจนาน ๑๕ วัน แล้วเก็บของย้ายไปฐานทัพอากาศเมือง นังซี (Nancy) เพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบ
นักมวยต้องชก นักบินรบจะต้องฝึกฝนการบิน ร.อ.ปูร์ปอง ผู้บังคับฝูงบินชาวฝรั่งเศสที่มีบุคลิกภาพบ้าบิ่น โลดโผน มักจะท้าทาย ทดสอบนักบินในฝูงให้ห้าวหาญไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะการบินลอดสายไฟฟ้าตามถนนที่ สิบโท โทน ก็บ้าดีเดือด ไม่ยอมให้ฝรั่งดูแคลน
ในเวลาต่อมา ฝูงบินนี้ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายไปอยู่ที่เมืองเดรสนัก ในดินแดนเยอรมันซึ่งสัมพันธมิตรยึดครองไว้ได้ นักบินรบร้อนวิชาทั้งหลายดีใจสุดขีดที่จะได้ออกไปทำศึกในอากาศ หลังจากรอมานาน
เมื่อเดินทางไปถึง นักบินจากสยามได้ไปรายงานตัวกับจอมพล ฟ้อช (Field Marshal Foch) แม่ทัพใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร
วันรุ่งขึ้นนักบินได้รับคำสั่งให้ไปรับกระสุนคนละ ๔๐๐ นัดแล้วบรรจุสำหรับปืนกลอากาศ ร.อ.ปูร์ปองสั่งขึ้นเครื่องแล้วส่งสัญญาณให้บินขึ้นตามไป โดยที่ไม่มีใครทราบว่าจะไปที่ไหน ทำอะไร โดยแบ่งเป็นหมู่ละ ๙ เครื่อง ๒ หมู่
บินไปสักพัก นักบินมองเห็นสะพานคอนกรีตยาวประมาณ ๗๐๐ เมตร ข้ามแม่น้ำไรน์อยู่ตรงหน้า ตัวสะพานกว้าง ๓๐ เมตร ใต้สะพานมีช่องตอม่อ ๑๒ ช่อง ผู้นำฝูงนำบินเป็นวงกลมแล้วจิกหัวลงต่ำให้สัญญาณซ้ำ “ตามข้าพเจ้า” ผู้บังคับฝูงเล่นเสียวนำเครื่องบินมุดลอดใต้สะพานช่องที่ ๖
ลูกหมู่ทั้งหลายที่ไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ต้องทำตามคำสั่ง ต้องแสดงฝีมือบินลอดใต้สะพานเสี่ยงตายตามกันไป ทุกลำปลอดภัย บินวนอยู่พักใหญ่ นึกว่าจะบินกลับ ผู้ฝูงจอมเพี้ยนพาลูกหมู่บินลอดใต้สะพานซ้ำอีกเป็นรอบที่ ๒ เพื่อตอกย้ำความมั่นใจ ความห้าวหาญ
กลับถึงสนามบิน นักบินทุกคนลงจากเครื่องด้วยสีหน้าบึ้งตึงด้วยความเครียด ไม่มีใครพูดเล่นหยอกล้อ บางคนถอดหมวกเอามาเตะเล่นเพื่อระบายความกดดัน นักบินทุกคนเดือดดาลที่ผู้นำฝูง สติเฟื่องพาไปร้องท้ายมบาลเรียกหาความตาย
ตำนานชีวิตของนักบิน ๘ นายของสยามในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ยังมีสีสันที่ห้าวหาญ น่าภาคภูมิใจ ดีใจ และเศร้าใจ ที่ลูกหลานเหลน ต้องระลึกถึง โปรดติดตามตอนต่อไปครับภาพเก่าเล่าตำนาน : สิบโทโทน บินดี นายสิบนักบินคนแรกของสยาม (๑), (๒) โดยพลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก, หนังสือพิมพ์มติชน สิบโท โทน บินดี วีรบุรุษนักบินผู้อาภัพ (อวสาน) ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๖๑ เยอรมันประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๑ นักบินรบจากสยาม ๘ นายที่ฝึกบินรบจนกล้าแกร่งในฝรั่งเศสถูกยกเลิกภารกิจ ถ้าเปรียบเหมือนนักมวย คือขึ้นเวทีไปแล้ว แต่ไม่ได้ชก กำลังทหารอาสาสมัครจากสยามบางส่วนได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับมาตุภูมิ
กลุ่มชาติพันธมิตรที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ ๑ ตระหนักถึง “ความเป็นหุ้นส่วนของสยาม” จึงให้เกียรติกองทหารสยามไปเดินสวนสนามพร้อมธงไชยเฉลิมพลใน ๓ เมืองหลวง คือ ปารีส ลอนดอน และบรัสเซล
ถือว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ลูก-หลาน-เหลนของทหารอาสาอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง ลองไปค้นหาภาพดูนะครับ
ระหว่างรอเดินทางกลับสยาม รัฐบาลสยามสั่งซื้อเครื่องบิน ๑๒ ลำ รวมทั้งเครื่องอะไหล่ เครื่องยนต์ โดยมอบให้ ร้อยโทชิด มัธยมจันทร์ เป็นผู้ประสานงาน จ่าโทนรับหน้าที่เป็น “นักบินลองเครื่อง” คือจำต้องนำเครื่องบินที่ประกอบขึ้นเสร็จใหม่ๆ ขึ้นบิน เพื่อทดสอบความสมบูรณ์ นี่ก็เป็นภารกิจที่เสี่ยงตาย ที่บรรดานักบินทราบกันดี
รัฐบาลสยามสั่งซื้อ เครื่องบินสปัด ใช้เครื่องยนต์ซุยซ่า ๒๒๐ แรงม้า เครื่องบินนิเออร์ปอร์ต ๑๓ ตารางเมตร และ ๑๕ ตารางเมตร เมื่อทดสอบผ่านแล้ว ร.ท.ชิตจะลงนามให้ทางการฝรั่งเศสถอดประกอบเครื่องบินและเครื่องยนต์ใส่หีบลงเรือกลับมาเมืองไทย
ตามสุภาษิต “ไปลา มาไหว้” นักบินรบของสยามไปอำลาจอมพล ฟ้อชรถไฟขบวนพิเศษนำทหารผ่านศึกของสยามออกจากปารีสไปเมืองมาแซลล์ ลงเรือเดินสมุทรใช้เวลา ๓๑ วันกลับถึงเกาะสีชัง กองทัพเรือสยามนำทหารผ่านศึกทั้งหมดมาขึ้นที่ราชวรดิษฐ มีพิธีต้อนรับมโหฬาร นักรบไทยที่ไปสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทั้งหมดเข้าไปทำพิธีในกระทรวงกลาโหม แล้วแยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา
ตามข้อมูลของทางราชการระบุว่า ทหารอาสาของสยามในหน่วยบิน บรรดาช่างเครื่องทั้งหมดได้รับการฝึกจากฝรั่งเศส กลายเป็นช่างเครื่องบินจบจากนอกไปโดยปริยาย
หลังจากลาพักผ่อน ๑ เดือน จ่าโทน บินดี กลับไปทำงานที่ดอนเมือง ทำหน้าที่ประกอบเครื่องบินที่สั่งซื้อมาจากฝรั่งเศส
ผู้เขียนไปพบเรื่องที่ประหลาดนึกไม่ถึง และต้องนำมาเผยแพร่ต่อลูกหลานครับ
ในยุคสมัยนั้น หาคนที่จะสมัครเป็นนักบินยากมาก ทางราชการจึงมีนโยบายให้ใช้เครื่องบินโชว์ต่อประชาชน เพื่อให้คนสนใจกิจการบิน นายทหารและนายสิบที่เพิ่งกลับมาจากยุโรป จึงใช้การขึ้นบินจากสนามดอนเมืองในราวบ่าย ๔ โมงของทุกวัน เพื่อรอให้ขบวนรถไฟขบวนกรุงเทพฯ-พิษณุโลก มาผ่านช่วงดอนเมือง จ่าโทนและเพื่อนนายสิบจะนำเครื่องลงต่ำ บินขนานไปกับขบวนรถไฟ ตีลังกาบินท่าพลิกแพลงในอากาศ ให้ผู้โดยสารบนรถไฟส่งเสียงกรี๊ด
ผู้โดยสารบนรถไฟ เห็นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตจะตื่นตาตื่นใจ โบกไม้โบกมือกับนักบินจอมทะเล้น บ้างก็โบกผ้าส่งเสียงกันไปมาเอิ๊กอ๊าก สร้างมิตรไมตรีต่อกัน นักบินนายสิบทั้ง ๓ จ่าเปลื้อง จ่าเล็ก และจ่าโทน ปฏิบัติเช่นนี้แทบทุกวัน ชาวสยามเริ่มรู้จักเครื่องบิน เริ่มรู้ว่าคนไทยนี่แหละเหาะได้จริง ขับเครื่องบินตีลังกาได้ด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง…จ่าเปลื้องต้องไปแสดงบินควงสว่านให้ทูตอเมริกันชม ขณะปักหัวลงมาเครื่องขัดข้องแก้ไขไม่ทัน โหม่งโลกแหลกละเอียด จ่าเปลื้องตายคาที่
ส่วนจ่าเล็กขณะฝึกศิษย์การบินในช่วงปล่อยเดี่ยว เครื่องบินจ่าเล็กโดนปีกของเครื่องบินลูกศิษย์กระแทกอย่างแรงขณะจะร่อนลง เครื่องของจ่าเล็กตกตายคาที่อีกเช่นกัน คงเหลือเพียงจ่าโทน
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๒ สยามริเริ่มใช้อากาศยานบินส่งถุงเมล์ใส่จดหมาย จ่าโทนได้รับมอบภารกิจ ๑ ลำและของ ร.อ.ชิด รวดเร็วอีก ๑ ลำ ในการบินระหว่างกรุงเทพฯ – จันทบุรี เครื่องจ่าโทนไปขัดข้องต้องร่อนลงในทุ่งนาห่างสนามบิน ๒๐ กม. ชาวบ้านไปเรียกตำรวจให้มาคุมตัว กว่าจะรู้ว่าใครเป็นใครเกือบซวย แต่ก็จบลงแบบพระเอกหนังไทย คือ ชาวบ้านเอาเหล้ายาปลาปิ้งมาเลี้ยงกันเอิกเกริก ติดต่อช่างมาซ่อมเครื่องบินให้เรียบร้อย จ่าโทน ฯ ขอให้ชาวบ้านถากถางทุ่งนาพอเป็นทางวิ่งขึ้นได้ จ่าโทนนำเครื่องบินขึ้นไปส่งถุงเมล์ที่สนามบินพลอยแหวน จันทบุรี
วันต่อมา จ่าโทน และ ร.อ.ชิด รวดเร็ว นำเครื่องบินโชว์แบบเสียวจี๊ดโดนใจ ชาวเมืองจันท์รวบรวมเงินใส่ถุงให้ทหารนักบินคนเก่งเอาไปให้ทางราชการซื้อเครื่องบินเป็นเงิน ๙,๒๕๐.๗๒ บาท
จ่าโทนได้รับคำสั่งให้บินไปโชว์ที่โคราช ปรากฏว่ามีแถวทหารพร้อมวงดุริยางค์มาบรรเลงเพลงต้อนรับประชาชนแน่นขนัด
ดับเครื่องยนต์แล้ว ประชาชนจำนวนมหาศาลกรูกันเข้ามาขอจับมือ จ่าโทนพักหายเหนื่อยแล้ว ผู้บัญชาการทหารโคราช สั่งให้จ่าโทนขึ้นบินโชว์พี่น้องชาวอีสานที่รอคอยมาแสนนาน
จ่าโทนนำเครื่องนิเออร์ปอร์ตแหวกอากาศทะยานขึ้นบนฟ้า ชาวโคราชตะโกนเชียร์ก้องสนาม จ่าโทนบ้ายอ บินแสดงลวดลาย เหาะเหินเดินอากาศ หกคะเมนตีลังกาแบบ “ตายไม่ว่า ต้องการชื่อเสียง” ทำเอากองเชียร์ตีกลองยาว ฟ้อนรำ ไชโยโห่ฮิ้วกันสนั่นทุ่งโคราช
นักบินสยามบินได้จริงเหมือนพญาอินทรีเสร็จแล้ว เมื่อกลับลงมา ยังได้รับการขอร้องให้กล่าวโฆษณากิจการการบินของสยามให้กับประชาชน จ่าโทนกล่าวเสียงดังว่า
“ทหารสยามได้ไปร่วมในสงครามและฝึกบินจากฝรั่งเศส ฝรั่งบินได้อย่างไร จ่าโทนทำได้ทุกอย่าง หรืออาจจะทำได้ดีกว่าฝรั่ง ไม่ต้องกลัวฝรั่ง ตายเป็นตาย” จ่าโทนตะโกนสุดเสียงบอกชาวสยามที่ปรบมือเชียร์พระเอกตัวจริง เย็นวันนั้นเจ้าคุณรามผู้บัญชาการกองพลโคราชจัดเลี้ยงนักบินเอิกเกริก วันรุ่งขึ้นจ่าโทนบินกลับดอนเมือง
กิจการการบินของกองทัพเจริญขึ้นมาก สร้างฐานทัพอากาศแห่งที่ ๒ ในประจวบคีรีขันธ์ ใช้นักโทษไปหักล้างถางพง ปรับพื้นที่ จ่าโทนได้รับการเลื่อนยศเป็น “นายดาบ” แล้วได้รับคำสั่งให้ไปเป็นครูฝึกการยิงปืนบนอากาศและพื้นดิน และเป็นผู้ฝูงซ่อมเครื่องบิน
ในเวลานั้น กองอากาศยานที่ดอนเมืองประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องบินขึ้นเอง (ยกเว้นเครื่องยนต์ ) ใช้ไม้ทำใบพัด โลหะทุกชิ้นผลิต-เชื่อมต่อขึ้นเอง วัสดุที่นำมาขึงทำเป็นปีก ทำเองได้หมด ข้อบกพร่องทั้งปวงจะพบเมื่อนักบินนำเครื่องขึ้นบินไปแล้ว
“นักบินลองเครื่อง” มีชีวิตสุ่มเสี่ยงที่สุด จ่าโทนเดนตายประสบเหตุแทบเอาชีวิตไม่รอดนับครั้งไม่ถ้วน เช่น กรณีใบพัดแตกในอากาศ โลหะที่เชื่อมไว้หลุดออกจากกัน มีการสูญเสียนักบินจากการลองเครื่อง และข้อบกพร่องหลายราย ทำไป-เรียนรู้ไป-บินไป นับเป็นชีวิตและผลงานของบรรพบุรุษไทยในยุคบุกเบิกการบินที่น่าสรรเสริญ
๒๑ ธันวาคม ๒๔๖๔ จอมพลจอฟฟร์ (Joffre) ของฝรั่งเศสเดินทางมาสยามประเทศเพื่อขอบคุณรัฐบาลที่ส่งทหารไปช่วยทำศึก ในหลวง ร.๖ ทรงให้การต้อนรับ มีพิธีมอบเหรียญให้กับทหารผ่านศึกจ่าโทน คือ ๑ ในจำนวนนั้นครับ
ฝีมือการบินและจิตใจที่กล้าแกร่ง ทำให้โทนได้รับการเลื่อนยศเป็น ร้อยตรี ที่ยังใช้ชีวิต ใช้ลมหายใจไปกับการบิน จนกระทั่งเติบโตได้ยศ ร้อยเอก และในหลวง ร.๖ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงสันทัดยนตกรรม ต่อมาได้รับคำสั่งให้ย้ายไปประจำที่ฐานบิน โคกกะเทียม ลพบุรีเพื่อสร้างสนามบินขึ้นใหม่ในพื้นที่ ๔ พันไร่
หมวดโทนคุมชาวบ้านราว ๗๐๐ คน หักล้างถางพงในพื้นที่ใช้เวลา ๔ เดือน ด้วยงบประมาณ ๙ หมื่นบาท นับเป็นความภาคภูมิใจของนายทหารท่านนี้ยิ่งนัก
บ้านเมืองในยุคสมัยนั้นมีกลิ่นไอของความขัดแย้งคุกรุ่น๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎร นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ทำการยึดอำนาจพลโทพระยาเฉลิมอากาศ นักบินหมายเลข ๑ ของสยามประเทศ บุพการีทหารอากาศ เจ้ากรมอากาศยาน ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในวัยเพียง ๔๕ ปี กลายเป็น “นายทหารนอกราชการ” รับพระราชทานบำนาญตั้งแต่ ๑ สิงหาคม ๒๔๗๕
๑๓-๑๗ ตุลาคม ๒๔๗๖ เกิดกรณี กบฏบวรเดช ทหารจากโคราชและภาคอีสานเคลื่อนทัพเข้ากรุงเทพฯ ต้องการยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หลังจากเหตุการณ์สงบ ร้อยเอกหลวงสันทัดยนตกรรม หรือ ร้อยเอกโทน บินดี ได้รับคำสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งท่านเองเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ขอกล่าวถึงในบันทึก คงมีแต่ความเจ็บปวดสุดชีวิต
ร้อยเอกโทน บินดี หรือ ร้อยเอก หลวงสันทัดยนตกรรม นักบินสยามผู้สำเร็จการบินผาดแผลงเป็นคนแรกในฝรั่งเศสระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ สร้างเกียรติภูมิแก่ประเทศชาติ ได้รับการยอมรับจากเพื่อนนักบิน ถูกปลดออกจากราชการ หลังจากนั้นไม่มีใครทราบเรื่องราวชีวิตของท่านอีก
มีข้อมูลว่า ท่านเสียชีวิตเมื่อ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ ที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง หากท่านผู้ใดทราบข้อมูลชีวิตของวีรบุรุษนักบินท่านนี้หลังจากถูกปลดออกจากราชการ กรุณาแจ้งให้ผู้เขียนทราบด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก โทน บินดี จ้าวอากาศคนแรกของเมืองไทย โดย สมบูรณ์ วิริยศิริ ภาพเก่าเล่าตำนาน สิบโท โทน บินดี วีรบุรุษนักบินผู้อาภัพ (อวสาน) โดยพลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก, หนังสือพิมพ์มติชน
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กุมภาพันธ์ 2560 06:33:06 โดย กิมเล้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2560 07:03:15 » |
|
เมืองสยาม…เมื่อแม่น้ำสกปรก โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน รายวัน คนไทยในอดีตมักจะเล่าความหลังเรื่อง การอาบน้ำในคลอง การใช้น้ำในแม่น้ำล้างหน้า ล้างตา ใช้หุงต้มทำอาหาร แหล่งน้ำตามธรรมชาติที่ใสสะอาดบางแห่ง ชาวสยามไม่ลังเลใจที่จะใช้ดื่มกินแบบมีความสุข ไม่ต้องหวาดระแวงต่อสิ่งเจือปนทั้งหลาย
ฟังแล้วอยากจะเชื่อ แต่นึกภาพไม่ออก
วันเพ็ญเดือน ๑๒ น้ำนองเต็มตลิ่ง ชาวสยามออกมาลอยกระทงเพื่อระลึกถึงพระคุณ ขออภัยต่อพระแม่คงคา กระทงพร้อมดอกไม้ธูปเทียนลอยกันเต็มท้องน้ำ วัตถุลอยน้ำสารพัดชนิดน้อยใหญ่บรรจุเอาคำอธิษฐานร้องขอสารพัดนึก พอหลุดมือไปแล้วจะลอยไปกระจุกตัวเป็นของเสียขนาดมหึมาเต็มแม่น้ำ มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นขยะลอยน้ำได้ เป็นภาระที่แสนขมขื่น จะต้องมีคนล่องเรือเก็บกวาด นำไปทำลายทิ้งในวันรุ่งขึ้น แต่บอกกับตัวเองว่า “ได้บุญ”
มีการอวดอ้างสารพัดวัสดุที่เอามาทำกระทง ระบุว่าจะย่อยสลายได้ แต่ในความเป็นจริงเราก็ไม่ควรจะนำวัสดุทั้งปวงไปเจือปนในแม่น้ำลำคลอง เพราะมาถึงปัจจุบัน แหล่งน้ำ แม่น้ำลำคลองทั้งหลายในชุมชนเมืองของแผ่นดินนี้ ปู ปลา กุ้ง หอย ทั้งหลายก็แทบจะอาศัยอยู่ไม่ได้แล้วชาวต่างชาติที่เคยได้อ่านหนังสือท่องเที่ยวว่า กรุงเทพฯคือ นครเวนิสแห่งตะวันออก ชอบหยุดถ่ายภาพบนสะพานข้ามคลองโดยเฉพาะย่านเกาะรัตนโกสินทร์ บางลำพู คลองมหานาค เพื่อจะนำภาพไปอวดเพื่อนๆ ว่า กรุงเทพฯมีแต่ “น้ำมันดิบ” ไหลไปมาทั้งเมือง
รูปแบบของมหานครที่น่าจะมีประชากรมากกว่า ๑๐ ล้านคนแห่งนี้อำนวยให้อาคาร ที่ทำงาน ตลาดสด ชุมชน หมู่บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า และโรงงานสารพัด กระหน่ำระบายน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลองได้ ซึ่งบางแห่งก็มีการบำบัดก่อนปล่อยทิ้ง ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ คลองแสนแสบ ที่เคยมี “ขวัญกับเรียม” ที่ปัจจุบันสัญญากันว่าไม่ขอลงไปพลอดรักกันในคลองแสนแสบแถวบางกะปิอีกต่อไป
เมื่อเทียบกับในอดีต แม่น้ำลำคลองในปัจจุบันไม่สามารถรองรับสิ่งปฏิกูล ขยะ น้ำเสีย วัตถุมีพิษ ได้อีกต่อไปแล้วครับ นิสัยคนไทยที่ชอบจะนำสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ไปโยนทิ้งน้ำ คำกล่าวติดปากว่า “เอาไปโยนทิ้งน้ำ” หรือแช่งให้ใครให้ “ไปโดดน้ำตาย” เหมือนในอดีตต้องได้รับการแก้ไข โดยเริ่มจากตัวบุคคล
ภาพเก่า..เล่าตำนาน ตอนนี้ขอนำเสนอสุขนิสัยที่ไม่ค่อยดีของชาวสยามในอดีตเพื่อเป็นการปรับแก้พฤติกรรมด้านลบของคนไทยครับนายแพทย์มัลคอม สมิธ (Dr.Malcolm Smith) ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แพทย์ในราชสำนักในสมัยในหลวง ร.๔ พรรณนาภาพพจน์ของกรุงเทพฯในราว พ.ศ.๒๓๙๔ ไว้ในหนังสือ A Physician at the Court of Siam (แปลโดย พิมาน แจ่มจรัส) อย่างตรงไปตรงมาว่า
เมืองใหม่ (กรุงเทพฯ : ผู้เขียน) เจริญอย่างรวดเร็ว พลเมืองที่ปะปนกันหลายเชื้อชาติ มีจำนวนถึงหนึ่งในสี่ล้าน มีชาวจีนมากกว่าชาวสยาม เป็นปรากฏการณ์ประหลาด ชาวจีนเป็นเจ้าของร้านและนายวาณิช การค้าทั้งหมดของเมืองอยู่ในกำมือของคนเหล่านี้ ส่วนชาวสยามเป็นฝ่ายปกครอง มียศถาบรรดาศักดิ์ และตั้งบ้านเรือนอยู่รายล้อมราชสำนัก
ขอให้ท่านผู้อ่านจินตนาการนะครับ พระมหากษัตริย์ในเวลานั้นประทับในพระบรมมหาราชวัง (ในบริเวณวัดพระแก้ว) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพิ่งก่อสร้างหลังจากย้ายเมืองหลวงมาจากกรุงธนบุรี ดังนั้นพระบรมมหาราชวัง พื้นที่สนามหลวง วัดมหาธาตุฯ จึงเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน ชาวจีนเกาะกลุ่มตั้งร้านทำมาค้าขายอยู่เยาวราช สำเพ็ง มีการขุดคลองในกรุงเทพฯ หลายสาย
แม่น้ำลำคลองในกรุงเทพฯทุกสาย เป็นเส้นทางการเจริญเติบโตของชุมชนที่เกาะแนวขยายตัวออกไปทุกทิศทาง
หมอสมิธพรรณนาต่อไปว่า ในกรุงเทพฯมีคนต่างด้าวจากประเทศใกล้เคียง มีญวน เขมร มอญ มาเลย์ พม่า ใช้ภาษาผสมผสานกันหลายภาษา แต่ละชุมชนแต่งกายตามวัฒนธรรมของตัวเอง ชุมชนยุโรปเกือบทั้งหมดประกอบด้วยมิชชันนารีจำนวนไม่ถึง ๒๐ คน
หมอสมิธ (อังกฤษ) เซอร์จอห์น เบาริ่ง (อังกฤษ) บาทหลวงปาเลอกัวซ์ (ฝรั่งเศส) บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตรงกันว่าว่าประชากรของกรุงเทพฯเกินกว่าครึ่งใช้ชีวิตอยู่บนเรือแพ การสัญจรของคนกรุงเทพฯทั้งในและนอกเมืองใช้ทางน้ำ ใช้เรือเป็นหลัก
มีถนนก็เฉพาะในตัวเมืองแถวใกล้ๆ ตลาดเท่านั้น ถนนดังกล่าวปูด้วยอิฐแผ่นใหญ่ ในเมืองหลวงไม่มีรถม้าแม้แต่คันเดียว ตอนปลายฤดูฝน เมื่อชนบทที่อยู่โดยรอบเกิดน้ำท่วม พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองหลวงก็จะจมอยู่ใต้น้ำเช่นเดียวกัน
นี่เป็นข้อมูลที่ชาวต่างชาติบันทึกไว้เมื่อราว ๑๗๐ ปีที่แล้วครับ ชาวสยาม โดยเฉพาะชาวบางกอก อาศัยริมน้ำและบนเรือแพเป็นส่วนใหญ่ น้ำท่วมน้ำน้อยก็อยู่ได้ สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดคือ แม่น้ำ
เราลองมาดูข้อมูลในด้านลบของหมอสมิธ ที่อ่านแล้วอึดอัดไม่อยากอ่านต่อ
“ไม่มีสุขาภิบาลและการจัดหาน้ำดื่มที่ถูกต้อง ไม่มีรูปแบบของการควบคุมทางการแพทย์สมัยใหม่ เชื้อโรคแพร่ระบาด แมลงวันชุกชุม โรคบิดและท้องร่วงทำให้เด็กๆ เสียชีวิต อัตราการเสียชีวิตวัย ๓-๔ ขวบอยู่ระหว่าง ๗๐-๗๕% ไข้ทรพิษคือภัยพิบัติประจำ”
มิชชันนารีอเมริกันเป็นผู้นำการปลูกฝีมาใช้ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ.๒๓๘๖ ด้วยวัคซีนสะเก็ดส่งมาจากบอสตัน ใช้เวลาเดินทางราว ๕-๖ เดือน พระเจ้าแผ่นดินทรง (ในหลวง ร.๓ : ผู้เขียน) ไว้วางพระราชหฤทัย ส่งบรรดาหมอหลวงไปศึกษาวิธีการปลูกฝี
ผู้เขียนดีใจมากที่หมอสมิธบรรยายกายภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาไว้อย่างละเอียดครับ
แหล่งน้ำใช้ คือแม่น้ำ ในบางกอกมีน้ำขึ้น-ลงตลอดฤดูฝน จากเดือนตุลาคมถึงเมษายนจะไม่มีฝนตก น้ำในแม่น้ำจะค่อยๆ แห้ง น้ำจะขุ่นมากขึ้น พอถึงเดือนเมษายนน้ำจะกร่อย อหิวาตกโรคเป็นอาคันตุกะประจำปี และในปีที่โชคร้ายจะมีคนตายนับพัน ขบวนแห่ศพจากทุกหมู่บ้านไม่ขาดระยะ
บันทึกทางการแพทย์ของสยามระบุว่า อหิวาตกโรคพบครั้งแรกในสยามเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๒ โดยแพร่ระบาดมาจากอินเดีย
ในปี พ.ศ.๒๓๖๓ เป็นหายนะของชาวสยาม ผู้คนในเมืองล้มตายกันจนเผาไม่ทันเพราะฟืนไม่พอ วัดสระเกศ คือตำบลรวบรวมศพขนาดมหึมา ในที่สุดก็ต้องใช้การโยนศพลงในแม่น้ำให้น้ำพัดพาลับหูลับตาออกไป ศพลอยแพร่กระจายออกไปทุกที่ที่มีลำน้ำ
การระบาดของโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำในยุคสมัยนั้น ประชาชนไม่สามารถทำอะไรได้ แม้แต่ในยุโรปโดยใช้ยาฝาดสมาน ฝิ่น และแอลกอฮอล์ ก็รักษาไม่ได้
ผู้เขียนพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อเกิดวิกฤตโรคระบาดอันเกิดมาจากการบริโภคน้ำ มีคนตายนับหมื่นในห้วงเวลานั้น ทางราชการมีคำสั่ง มีการแก้ปัญหาอย่างไร
หนังสือ “แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล” ซึ่งกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ซึ่งพอจะตอบโจทย์ของปัญหาโรคระบาด และยังสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต สุขนิสัยด้านลบของชาวสยามในเรื่องความไม่สะอาดของส่วนรวม ชุ่ย เห็นแก่ตัว จึงต้องมีประกาศทางราชการดังนี้ :
ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ เล่ม ๑ ประกาศทรงเตือนไม่ให้ทิ้งศพสัตว์ลงน้ำ และให้ทอดเตาไฟอย่าให้เป็นเชื้อเพลิง พ.ศ.๒๓๙๔-๒๔๐๐, หน้า ๒๕๖-๒๕๘
เรื่องห้ามทิ้งซากสัตว์ลงน้ำ
…ทรงพระกรุณาโปรดฯ สั่งสอนเตือนสติมาว่า แต่นี้ไป ห้ามมิให้ใครผู้ใดผู้หนึ่งทิ้งสุนัขตาย แมวตาย และซากศพสัตว์ต่างๆ ลงในแม่น้ำและคลองใหญ่น้อยทั้งปวงเป็นอันขาด ขอให้คิดอ่านใช้สอยจ้างวานใครๆ เอาไปทิ้งเสียที่ป่าช้าดังซากศพคนนั้นเถิด ถ้าบ้านเรือนอยู่ที่ริมแม่น้ำจะเอาไปป่าช้ายาก ก็ให้ฝังเสียในดินในโคลนให้ลับลี้อย่าให้ลอยไปลอยมาในน้ำได้ และการทิ้งซากศพสัตว์ต่างๆ ลงในน้ำให้ลอยขึ้นลอยลงอยู่ดังนี้ คิดดูโดยละเอียดก็เห็นเป็นที่รังเกียจแก่คนที่ได้ใช้น้ำอยู่ทั้งสิ้นด้วยกัน
พระสงฆ์สามเณรเป็นพระสมณะชาวนอกกรุงเทพฯ คือเมืองลาวและหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวง และชาวราษฎรชาวนอกกรุงเทพฯ เมืองมีเหตุติดลงมายังกรุงเทพฯนี้แล้ว ก็รังเกียจติเตียนว่า เพราะวัดใช้น้ำไม่สะอาดจึงเป็นโรคต่างๆ ไม่เป็นสุขเหมือนอยู่นอกกรุงฯ ถึงคนนอกประเทศ คือ ฝรั่ง อังกฤษ จีน แขก ทั้งปวงซึ่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯก็ติเตียนดังนั้นอยู่โดยมาก…
ข้อความข้างต้นคัดลอกมาจากประกาศในสมัยในหลวง ร.๔ ซึ่งเป็นการใช้สำนวนภาษาไทยที่ตรงไปตรงมา บ่งบอกสถานการณ์ในยุคนั้นชัดเจนว่า ประชากรมีนิสัยมักง่าย ชอบทิ้งซากสัตว์ทั้งหลายลงในแม่น้ำลำคลอง
แม้ในปัจจุบันผ่านมานานนับร้อยปี คนไทยจำนวนไม่น้อยยังมีนิสัยการทิ้งขยะ ทิ้งของเสียสิ่งปฏิกูลให้ลอยไปตามน้ำจนกระทั่งลอยออกไปในทะเล ความตั้งใจลักลอบปล่อยน้ำเสีย ปล่อยสารพิษจากโรงงานลงแม่น้ำ คู คลอง เป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าการทิ้งศพสัตว์ลงน้ำเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วพระเอก-นางเอกยอดฮิต มิตร-เพชรา โดย พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ผู้เขียนต้องขออภัยท่านผู้อ่านในบางช่วงอายุ ที่จะเข้าใจบทความตอนนี้ได้ยากสักนิด เพราะเรื่องของ มิตร-เพชรา ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ความปลื้ม ความปีติเฉพาะกลุ่มอายุคนไทย ที่มีความหมายลึกซึ้ง งดงาม มีคุณค่าเกินกว่าหน้ากระดาษนี้จะบรรยายได้หมด
มิตร-เพชรา เป็นดาราชาย-หญิง แสดงภาพยนตร์ร่วมกันแบบพระเอกนางเอกให้คนไทยได้ดูรวมแล้วเกือบ ๓๐๐ เรื่องครับ คนไทยในช่วงอายุหนึ่ง จดจำผลงานการแสดงของ ๒ ดาราคู่ขวัญไม่มีวันลืม มีปฏิทินของดาราคู่นี้แทบทุกบ้าน ทุกร้านค้า ร้านตัดผม ตลาดสด
การโฆษณาภาพยนตร์ วิทยุ และรถติดเครื่องขยายเสียงที่วิ่งไปรอบเมืองจะประกาศชื่อภาพยนตร์ และบอกสั้นๆ ว่า นำแสดงโดย มิตร-เพชรา จนกระทั่งคนรุ่นหลังที่มีชีวิตต่างห้วงเวลาจะเข้าใจว่า มิตร นามสกุล เพชรา
มิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกหนังชายรูปหล่อ สูงใหญ่เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นนางเอกหนังแสนสวย ได้รับฉายาว่า “นางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง”
มิตร ชัยบัญชา เป็นใคร มาจากไหน?
พลตำรวจ ชม ระวีแสง และ นางสงวน ระวีแสง คือบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่งที่ตลาดท่ายาง จ.เพชรบุรี เกิดมาไม่นานพ่อ-แม่แยกทางกัน ชื่อที่เหมาะที่สุดในยุคสมัยนั้น คือ เด็กชายบุญทิ้ง แม่ต้องเอาไปฝากปู่ย่าให้เลี้ยงดู และต่อมาปู่ย่าก็เอาไปฝากอาที่บวชเป็นสามเณรเลี้ยงดูกันต่อไปอีก ชีวิตของ ด.ช.บุญทิ้งซึมซาบความเป็นเด็กวัดที่ต้องรับใช้พระ-เณร ที่วัดสนามพราหมณ์ เพชรบุรี เมื่อแม่ตั้งหลักได้จึงนำบุตรชายเข้ามากรุงเทพฯ อาศัยอยู่แถววัดแคนางเลิ้ง
ด.ช.บุญทิ้งคนนี้สู้ชีวิตทุกรูปแบบ รับจ้างทำงานสารพัด เรียนหนังสือดี เก่งงานศิลปะ เป็นนักกีฬา ชกมวยได้เหรียญทองในรุ่นไลต์เวตและเฟเธอร์เวต ชีวิตของเด็กหนุ่มต้องถูกโอนไปเป็นบุตรบุญธรรม ใช้นามสกุลญาติคนนั้นคนนี้แบบชุลมุนแสนจะวกวน
บุญทิ้งจบมัธยมจาก ร.ร.พระนครวิทยาลัย แล้วไปสอบเข้า ร.ร.จ่าอากาศรุ่น ๑๑ จบแล้วรับราชการในปี พ.ศ.๒๔๙๙ ในกรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ดอนเมือง จ่าบุญทิ้งเปลี่ยนชื่อเป็น จ่าโท พิเชษฐ์ พุ่มเหม
ในยุคสมัยนั้นมีโฆษณารับสมัครพระเอกหนังกันแบบเปิดเผย ใครอยากเป็นพระเอก ใครคิดว่าหล่อพอ ก็ให้ส่งภาพถ่ายทางไปรษณีย์มาดูกัน จ่าโทสมจ้อยมองเห็นจ่าเชษฐ์เพื่อนร่วมอาชีพมีรูปร่างสูงสง่า หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย หน่วยก้านดี ๑ ประเภท ๑ เลยส่งภาพเพื่อนรักไปเข้าประกวดกะเค้าด้วย
ประทีป โกมลภิส คือผู้สร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ ที่ต้องชะตาเข้าอย่างจังกับจ่าหนุ่มสูงใหญ่คนนี้ โดยเมื่อประทีปตั้งคำถามให้ตอบ ข้อ ๑ “ในชีวิตสิ่งใดสำคัญที่สุด” จ่าพิเชษฐ์ตอบว่า “เพื่อนครับ” ผู้กำกับประทีปชอบใจบอกว่า “เพื่อน คือ มิตร รักเพื่อนก็ดี ให้ใช้ชื่อใหม่ว่า มิตร ก็แล้วกัน”
ยุคสมัยนั้น ชื่อพระเอก-นางเอก เป็นเรื่องคอขาดบาดตายครับ ชื่อพระเอกต้องสั้น พยางค์เดียว หรือ ๒ พยางค์ ถึงจะเท่ ชื่อ-นามสกุลต้องหล่อล้อตามชื่อ และต้องจดจำได้ง่าย ชื่อเดิมไม่สำคัญ ตัดทิ้งไป ให้ใช้ได้เฉพาะในสำมะโนครัว ชื่อ-นามสกุลแบบฝรั่งหรือลูกครึ่งฝรั่งในยุคนั้นยังไม่กล้าเปิดหน้า เปิดตัว เพราะเขินอายที่แม่ไปได้ผัวฝรั่ง
พระเอก-นางเอกต้องหน้าตาคมเข้มและมีอวัยวะเป็นของจริงทั้งเรือนร่าง ไม่มีของปลอมเจือปน ศัลยกรรมตกแต่งทำหน้า ทำนม ทำผม ยังมาไม่ถึงโลกใบนี้
ผู้กำกับประทีปทดสอบทัศนคติของจ่าเชษฐ์ต่อไปอีก โดยตั้งคำถามข้อ ๒ ว่า “ในชีวิตเกิดมาภูมิใจสิ่งใดมากที่สุด” จ่าเชษฐ์อมยิ้มเท่แบบพระเอก แล้วตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ผมเคยได้รับหน้าที่อัญเชิญธงชัยเฉลิมพลของหน่วยในพิธีสวนสนามวันปิยมหาราชครับ”
แน่นอนที่สุดครับ ทหารคนที่ได้ทำหน้าที่อัญเชิญธงชัยเฉลิมพลของหน่วยจะต้องผ่านการคัดเลือกในเรื่องรูปร่าง ลักษณะที่สง่างาม ธงชัยเฉลิมพลของหน่วยทหารเปรียบเสมือนหลักชัยของหน่วย ที่จะต้องเทิดทูนปกปักรักษาไว้ด้วยชีวิต ในหน่วยทหารจะต้องมีห้องเก็บรักษาธงอย่างดี จะอัญเชิญธงนี้ไปในเฉพาะพิธีการสำคัญ ทหารทุกนายจะได้รับการสั่งสอนอบรมเรื่องของธงชัยเฉลิมพล ในเรื่องแบบแผนและการปฏิบัติต่อธงอย่างเข้มงวด
พิธีการที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “สวนสนามสาบานธง” นั่นแหละคือพิธีการทางทหารที่จ่าเชษฐ์ได้รับมอบให้เป็น “ผู้เชิญธง” ซึ่งตัวธงมีน้ำหนักพอสมควร คนถือจะเป็นลมล้มคว่ำกลางแดดไม่ได้เป็นอันขาด ไอ้พวกตัวเตี้ยผอมแห้งแรงน้อยที่เรียกว่า “อวบ อกโรย” จะไม่มีวันได้เป็นคนเชิญธงอันทรงเกียรตินี้
สมัยก่อนจัดพิธีสาบานธงใน ๒๕ มกราคม ของทุกปี ต่อมาเปลี่ยนเป็นวันที่ ๑๘ มกราคม ซึ่งตรงกับวันที่พระนเรศวรทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพม่าในปี พ.ศ.๒๑๓๕
เรื่องการอัญเชิญธงชัยเฉลิมพล จ่าเชษฐ์กินขาดทุกเรื่อง ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด และเขาได้ทำหน้าที่นี้ทุกปีตลอดการเป็นทหาร และคำตอบดังกล่าวทำให้ผู้กำกับประทีปตั้งนามสกุลให้พระเอกอย่างเป็นสิริมงคลว่า “ชัยบัญชา”
มิตร ชัยบัญชา ก้าวสู่วงการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือเรื่อง ชาติเสือ บทประพันธ์ของเศก ดุสิต กำกับโดยประทีป โกมลภิส เป็นเรื่องแรกที่มิตรได้ประกบกับนางเอกที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นถึง ๖ คน เช่น เรวดี ศิริวิไล นัยนา ถนอมทรัพย์ ประภาศรี สาธรกิจ และน้ำเงิน บุญหนัก เป็นภาพยนตร์ที่เริ่มถ่ายทำในปลาย พ.ศ.๒๕๐๐ และเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๑ ภาพยนตร์ทำรายได้กว่าแปดแสนบาท ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต้อง “ตกใจตาย” ของคนสมัยนั้น เรื่องชาตินักเลง หรืออินทรีแดง เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สอง หนังเรื่องนี้ทำรายได้เกิน ๑ ล้านบาท เป็นเรื่องใหญ่สำหรับการสร้างภาพยนตร์ในเมืองไทย
มิตร ชัยบัญชา แจ้งเกิดในสังคมไทยสนั่นเมือง ลั่นทุ่ง เจ็ดคุ้งแม่น้ำ แผ่นโปสเตอร์โฆษณาหนังที่ไปแปะทุกที่ทั่วประเทศ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์มีรูปของมิตร ชัยบัญชา และนางเอกสาวสุดสวย และตัวประกอบ คิวแสดงของมิตรทะลักเข้ามาแน่นเอี้ยด อินทรีแดง จ้าวนักเลง ทับสมิงคลา แสงสูรย์ นวนิยายในอดีตที่เป็นเพียงแค่หนังสือเก่าเก็บบนหิ้ง ถูกขุดมาสร้างเป็นภาพยนตร์เพราะหนุ่มหล่อที่ชื่อ มิตร ชัยบัญชา
เมื่อพระเอกหนังกลับเข้าหน่วยทหาร เขาจะเป็นจ่าโท พิเชษฐ์ พุ่มเหม อันเป็นที่รักของเพื่อนๆ และผู้บังคับบัญชา
นาทีทองของวงการภาพยนตร์ไทยได้มาถึงแล้ว โดยมีมิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกหมายเลข ๑
มิตรดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ มิตร ชัยบัญชา จ่าโททหารอากาศ แสดงได้ทั้งบทบู๊ บทรัก รันทด ตลก เชย เฟอะฟะ เด๋อด๋า ชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา คนไทยให้การยอมรับในตัวพระเอกหนุ่มคนนี้
การถ่ายทำภาพยนตร์มีปัจจัยสำคัญประการ ๑ คือ การตรงต่อเวลา ผู้แสดงจะต้องให้เวลากับงานถ่ายทำ จนกว่าผู้กำกับจะพอใจ อาจจะถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเอกหนุ่มชื่อมิตรเป็นดาราที่ตรงต่อเวลา ทุ่มเท ให้เกียรติกับทีมงานตลอดชีวิตการแสดง ซึ่งดาราอื่นๆ หลายคนลืมตัวลืมตน เป็นที่น่ารังเกียจของเพื่อนร่วมงานยิ่งนัก
พ.ศ.๒๕๐๖ ภาพยนตร์เรื่อง ใจเพชร ทำรายได้สูงสุด ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่มีมิตรแสดงทำรายได้เกินล้านบาท
พ.ศ.๒๕๐๘ ภาพยนตร์เรื่อง เงิน เงิน เงิน ทำเงินได้ ๓ ล้านบาทในเวลา ๑ เดือน และมิตรเข้ารับพระราชทานรางวัลดาราทอง ต่อมา พ.ศ.๒๕๐๙ ภาพยนตร์เรื่อง เพชรตัดเพชร ก็โกยเงินไปอีกมหาศาล
พ.ศ.๒๕๑๓ ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของรังสี ทัศนพยัคฆ์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่วงการภาพยนตร์ไทย ทำรายได้มากกว่า ๖ ล้านบาทและยืนโรงได้นานกว่า ๖ เดือนในกรุงเทพฯ ทำรายได้ทั่วประเทศกว่า ๑๓ ล้านบาท
มิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกที่ทำรายได้เป็นอันดับ ๑ ของประเทศแบบไม่มีใครมาเบียดแทรก มิตรใช้ชีวิตเรียบง่าย ประหยัดมัธยัสถ์ ชอบช่วยเหลือผู้คนทั่วไป แสดงหนังแล้วบางทีก็ได้เงินไม่ครบ ให้เพื่อนยืมเงินแล้วเพื่อนหายตัวได้ ชอบทำบุญโดยเฉพาะวัดแคนางเลิ้ง ที่กินข้าววัดมาแต่เด็ก มิตรดูแลวัดนี้เป็นพิเศษ
ชีวิตของมิตร ชัยบัญชา มีแต่คนรัก ชื่นชม นับถือโดยไม่ต้องปรุงแต่ง มีนางเอกผ่านเข้ามาในชีวิตการแสดงถึง ๒๙ คน
โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน คุณเพชรา เชาวราษฎร์ เธอสวยมาตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ เกิดปี พ.ศ.๒๔๘๖ ที่จังหวัดระยอง ชื่อเล่นว่าอี๊ด พ่อแม่ตั้งชื่อจริงว่า เอก ชาวราษฎร์ คุณพ่อมีเชื้อสายจีน คุณแม่เป็นคนไทย ครอบครัวของเธอทำไร่ ทำสวน ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เด็กหญิงอี๊ดเรียนระดับประถมที่บ้านเกิด ยิ่งโตขึ้นยิ่งเปล่งประกายความสวย โตขึ้นมาหน่อยไปเรียนระดับมัธยมที่กรุงเทพฯ
เรียนจบมัธยม คุณอี๊ดไปทำงานที่ร้านเสริมสวยของญาติในกรุงเทพฯ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ความงามที่ปกปิดไม่อยู่ ทำให้แมวมองมาทาบทาม ชวนเธอไปประกวดเทพธิดาเมษาฮาวาย ที่มีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นผู้จัด เธอใช้ชื่อในการประกวดว่า ปัทมา ชาวราษฎร์ ผลปรากฏว่าสาวงามจากระยองคนนี้ชนะใจกรรมการแบบเอกฉันท์ เธอแจ้งเกิดกลายเป็นนางงามในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร
มิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอกดาวรุ่งเกิดใหม่ที่คนไทยปลื้มมาก ผู้สร้างภาพยนตร์มองเห็นเงินลอยอยู่ตรงหน้ากองมหึมา ถ้าจับมิตรประกบเพชราในภาพยนตร์ไทย
“บันทึกรักของพิมพ์ฉวี” เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มิตร-เพชราโคจรมาพบกันในปี พ.ศ.๒๕๐๕ โดย ดอกดิน กัญญามาลย์ และศิริ ศิริจินดา คุณเพชราตอนนั้น เธออายุ ๑๙ ปี ดอกดินเป็นผู้ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “เพชรา เชาวราษฎร์” โดยให้เหตุผลว่าชื่อ “ปัทมา” ไม่โดนใจ ส่วนเจน จำรัสศิลป์ ได้ตั้งฉายาให้ว่า “นางเอกสาวนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง”
เพชรามาแจ้งเกิดตูมตามจากภาพยนตร์เรื่องที่สอง คือเรื่องดอกแก้ว แล้วตามด้วย หนึ่งในทรวง อ้อมอกสวรรค์ และได้แสดงคู่กับมิตร ชัยบัญชา รับบทคู่รักในภาพยนตร์อีกหลายเรื่องจนเป็นที่ชื่นชอบของแฟนภาพยนตร์ คนไทยเรียกกันติดปากทั้งเมืองว่า มิตร-เพชรา
ยุคที่เธอโด่งดังมากๆ แต่ละเดือนมีคิวถ่ายหนังประมาณ ๑๒-๑๘ เรื่อง แต่ละวันต้องถ่ายทำภาพยนตร์วันละ ๓-๔ เรื่อง ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ คุณเพชราเข้ารับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุด
คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ได้รับฉายาว่า “ราชินีจอเงิน”
แฟนภาพยนตร์คนไทยมักเข้าใจว่าทั้งสองเป็นคู่รัก ถึงไม่ใช่ก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมิตร-เพชรามีความสนิทสนมจริงใจ เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี มิตรดูแลเพชราเหมือนน้องสาว คอยปกป้องและเป็นที่ปรึกษาให้เพชรา แต่ก็เคยโกรธกันอยู่บ่อยๆ บางครั้งไม่พูดกันเป็นช่วงๆ ทั้งๆ ที่แสดงหนังด้วยกันอยู่ เพชราเคยปรารภว่า มิตรเป็นคนขี้ใจน้อย
พ.ศ.๒๕๐๖ เมื่อชีวิตของหนุ่มหล่อ มิตรรุ่งโรจน์เจิดจรัสแสดงหนังรับเงินแทบไม่มีเวลาหายใจ ในที่สุด จ่าโทพิเชษฐ์ พุ่มเหม จึงตัดสินใจลาออกจากกองทัพอากาศ เป็นมิตร ชัยบัญชา เต็มพิกัด
มิตร-เพชราเล่นหนังแบบไหน เล่นบทอะไร คนดูชอบไปหมด ชีวิตส่วนตัวนอกจอของดาวค้างฟ้าคู่นี้ไม่เคยมีข่าวในทางลบ ทั้งสองคนมีวินัยในการทำงาน นิสัยและอัธยาศัยต่อเพื่อนร่วมงานเป็นที่กล่าวขวัญในด้านบวกเสมอ คุณกิ่งดาว ดารณี เคยให้สัมภาษณ์ว่า มิตร ชัยบัญชา มีภาพยนตร์ต้องถ่ายทำเดือนละประมาณ ๓๐ เรื่อง ภาพยนตร์เรื่องต่อมาที่สร้างชื่อเสียงให้กับมิตร ชัยบัญชา ได้แก่ ใจเดียว ใจเพชร จำเลยรัก เพลิงทรนง อวสานอินทรีแดง นางสาวโพระดก เก้ามหากาฬ ชายชาตรี ร้อยป่า สมิงบ้านไร่ หัวใจเถื่อน สาวเครือฟ้า ทับเทวา สิงห์ล่าสิงห์ ๕ พยัคฆ์ร้าย ทาสผยอง อินทรีมหากาฬ เดือนร้าว ดาวพระศุกร์ มือนาง พนาสวรรค์ ลมหนาว แสงเทียน พระอภัยมณี ปีศาจดำ พระลอ ทรชนคนสวย ๗ พระกาฬ พยัคฆ์ร้ายใต้สมุทร ชุมทางเขาชุมทอง ไฟเสน่หา ฟ้าเพียงดิน เงิน เงิน เงิน เพชรตัดเพชร มนต์รักลูกทุ่ง ฯลฯ กล่าวกันว่าในช่วงนั้นมิตรมีรายได้เข้าบัญชีธนาคารเฉลี่ยสัปดาห์ละ ๑ แสนกว่าบาท มิตรไปชำระภาษีเงินได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่สังคม
“ค่านิยม” ในสมัยโน้นหรือแม้ในปัจจุบัน การเป็นดาราขวัญใจประชาชนต้องเป็นคนของประชาชนเท่านั้น การมีคู่ครอง การเป็นผัว เป็นเมียในชีวิตจริง ถือเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย ดารายอดนิยมทั้งหลายจะต้องปกปิดซ่อนเร้นคู่ชีวิตจริงอย่างมิดชิด กระแสความนิยมจะตกลงทันทีถ้ามีข่าวระแคะระคายว่าพระเอกคนนี้มีเมียแล้ว หรือนางเอกคนนี้มีสามีแล้ว
ปลาย พ.ศ.๒๕๑๑ ไม่ทราบว่าปีศาจร้ายตัวไหนดลใจให้มิตรตัดสินใจเข้าสู่การเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ในนามกลุ่มหนุ่ม เมื่อ ๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๑ มิตรหาเสียงในเขตบางรัก ยานนาวา สัมพันธวงศ์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย มิตรไม่ได้รับเลือก เสียใจมาก หลบไปเลียแผลพักผ่อนในป่าไทรโยค กาญจนบุรีพักใหญ่
เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ มิตรขอพิสูจน์ความนิยมในตัวเองอีกครั้งตามคำขอของเพื่อนๆ โดยขยับขึ้นไปสมัคร ส.ส.เขตพระนคร เพื่อต้องการเข้าไปในสภา จะช่วยเป็นปากเสียงสนับสนุนกิจการภาพยนตร์ไทย ช่วยนักแสดงไทยให้เป็นอาชีพที่มั่นคง มีสวัสดิการ และได้รับการดูแล
คู่แข่ง ส.ส.ของมิตรในเขตไปหาเสียงกับประชาชนว่า ถ้ามิตร ชัยบัญชา ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เข้าสภา มิตรจะต้องเลิกแสดงหนัง มิตรเลยแพ้การเลือกตั้งอีกเป็นครั้งที่ ๒ ทรัพย์สินเงินทองของมิตรละลายไปมากโข พร้อมกับบ้าน ๑ หลังที่จำนองกับธนาคาร พระเอกมิตรเสียใจแบบซ้ำซาก
พ.ศ.๒๕๑๓ มิตรลงทุนสร้างภาพยนตร์ที่แสดงนำและกำกับการแสดงเองเป็นเรื่องแรก เรื่องอินทรีทอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชุด “อินทรีแดง” เรื่องที่ ๖ ที่มิตรแสดงในบท โรม ฤทธิไกร หรืออินทรีแดง โดยแสดงร่วมกับเพชรา ที่รับบทเป็น “วาสนา”
๘ ตุลาคม ๒๕๑๓ การถ่ายทำอินทรีทองดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งมาถึงฉากสุดท้าย ซึ่งถ่ายทำที่หาดดงตาล พัทยาใต้ ชลบุรี ในบทภาพยนตร์ อินทรีแดงจะต้องหนีออกจากรังของคนร้าย โดยการโหนบันไดเชือกจากเฮลิคอปเตอร์
มิตรตัดสินใจว่าจะแสดงฉากนี้ด้วยตัวเอง มิตรเกาะที่บันไดลิงของเฮลิคอปเตอร์ที่ต้องบินขึ้น โดยที่มิตรยังไม่ได้ใช้เท้าเหยียบบนบันไดลิง พระเอกตัวจริงต้องโหนตัวอยู่กับบันไดด้วยแรงแขนเท่านั้น มิตรกระเสือกกระสนหนีตายด้วยการตบเท้าเข้าหากันขณะเกาะบันไดลิงแกว่งในอากาศ แต่กองถ่ายทำไม่เข้าใจ นักบินเองก็มองไม่เห็นและยังดึงเครื่องขึ้นต่อไป ในจังหวะที่เครื่องเลี้ยวกลับเกิดแรงเหวี่ยงมหาศาล นาทีนั้นเชือกบาดข้อมือพระเอกจนเกือบขาด มิตรทนความเจ็บไม่ไหว ปล่อยตัวลงมาจากความสูง ๓๐๐ ฟุต ร่างของพระเอกยอดนิยมขวัญใจชาวไทยกระแทกกับพื้นดินเลือดท่วมตัว
ผลการชันสูตรศพจากโรงพยาบาลศรีราชายืนยันว่าเขาเสียชีวิตทันที เพราะร่างกายเหลวน่วมไม่มีชิ้นดี เชือกบาดข้อมือเป็นแผลลึก ๒ ซม. ยาว ๘ ซม. กระดูกขากรรไกรข้างขวาหัก กระดูกโหนกแก้มซ้ายขวาหัก มีเลือดออกทางหูขวา กระดูกซี่โครงขวาหัก ๕ ซี่ กระดูกโคนขาขวาหัก กระดูกต้นคอหัก โดยเสียชีวิตเมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๑๓ น.
๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๓ สื่อไทยและต่างประเทศทุกแขนงพาดหัวการเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชา โดยตั้งสวดศพที่วัดแคนางเลิ้ง หลังจากครบ ๑๐๐ วัน พิธีพระราชทานเพลิงศพจัดเมื่อ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ ซึ่งต้องย้ายจากวัดไปเผาที่วัดเทพศิรินทร์ เพราะสถานที่กว้างขวางกว่า
หลังจากมิตรเสียชีวิตในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องอินทรีทอง คุณเพชราก็ยังรับบทนางเอกภาพยนตร์ต่อเนื่องมาอีกหลายปี คู่กับสมบัติ เมทะนี, ไชยา สุริยัน, ลือชัย นฤนาท และพระเอกใหม่ ครรชิต ขวัญประชา, นาท ภูวนัย, ยอดชาย เมฆสุวรรณ, กรุง ศรีวิไล
ประมาณ พ.ศ.๒๕๑๕ คุณเพชราเธอเริ่มมีปัญหาเรื่องสายตา จักษุแพทย์รักษานัยน์ตาที่แสนหวานจนสุดความสามารถ และในที่สุดตาของเธอบอดสนิททั้งสองข้าง เมื่อราว พ.ศ.๒๕๒๐ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เธอแสดงคือเรื่อง ไอ้ขุนทอง หลังจากนั้นเธอก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีก หากแต่ทุกกิจกรรมที่เธอมีส่วนร่วมเล็กๆ น้อยๆ ในเวลาต่อมาล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อการกุศลทั้งสิ้น ล่าสุด ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เธอไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โรงพยาบาลจุฬาฯ ในเรื่องของการดูแลสุขภาพพร้อมกับคุณชรินทร์ นันทนาคร สามีที่ให้การดูแลเธอมาตลอด
เรื่องชีวิตส่วนตัวของคุณมิตร-เพชรา ผู้เขียนให้ความเคารพในสิทธิส่วนบุคคล ไม่ขอล่วงเกินครับ ที่ย้อนอดีตเรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟังก็ด้วยชื่นชมท่านทั้งสองเป็นแบบอย่างของชีวิตที่ดีงาม มีเมตตา กรุณา มีไมตรีจิตกับสังคมมาโดยตลอด มีแต่คนยกย่องสรรเสริญครับภาพเก่า “บุนสงกานลาว” ในอดีตจากยุคขาว-ดำ สู่ความวินเทจ ภายใต้วัฒนธรรมหลากหลายที่ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีร่วมกัน ก็คือ “สงกรานต์” ที่ไม่ได้มีแค่ในไทย หากแต่มีทั่วไปในแทบทุกประเทศในเขตแดนอุษาคเนย์
สงกรานต์ปีนี้ เพจดังของ สปป.ลาว อย่าง “Laos 1,000,000 SHARE” ได้ประมวลภาพถ่ายเก่างานฉลองสงกรานต์ตั้งแต่อดีต หรือ “บุนปีใหม่” ในยุคภาพขาวดำซึ่งคาดว่ามีอายุเฉียดร้อยปี หรือมากกว่านั้น ไล่มาจนถึงภาพสีที่ให้อารมณ์วินเทจ เหตุการณ์ในภาพ สะท้อนวิถีอันงดงาม ทั้งในวัดวาอารามที่ภิกษุสามเณรร่วมกันสร้างหัตถศิลป์พื้นถิ่นเพื่อใช้ในงานดังกล่าว , ภาพของชาวบ้านนั่งเรียงแถวสองข้างทาง รอสรงน้ำพระพุทธรูปในกระบวนแห่, นาฏยศิลปินลาวร่ายรำทำท่าฟ้อนอย่างงดงาม
นี่คือสงกรานต์ในความทรงจำวันวานของประเทศเพื่อนบ้านที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มา ภาพ-ข้อมูล : มติชนออนไลน์ (ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ)
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2560 15:21:02 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2560 15:42:58 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 14:24:29 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 28 กรกฎาคม 2560 17:13:43 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 14:26:34 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2561 16:20:41 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 พฤษภาคม 2561 16:25:12 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2561 18:19:47 » |
|
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ขอขอบคุณภาพจาก : atom.rmutphysics.comร.๔ ทรงออก กม. เอาผิด “พระสงฆ์สามเณร” ผู้มี “ประพฤติการนักเลงแปลงเพศเป็นคฤหัสถ์” “…พระสงฆ์สามเณรทุกวันนี้มักประพฤติการนักเลง แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถือศาสตราวุธเที่ยวกลางคืนชุกชุมมากขึ้น จับได้มาเนืองๆ
ครั้นแปลงเพศมาถึงกุฎีแล้วก็สำคัญใจว่าตัวไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับเอาผ้าเหลืองนุ่งห่มเข้าตามเพศเดิม
การที่ถือใจว่าไม่ได้ปลงสิกขาบท กลับนุ่งห่มผ้าเหลืองนั้น เป็นความในใจ จะเชื่อถือเอาไม่ได้
ฝ่ายคฤหัสถ์ที่แปลงเพศเป็นภิกษุเข้าร่วมสังฆกรรมในคณะสงฆ์นั้น ตามพระวินัยบัญญัติก็มีโทษห้ามอุปสมบท
เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้สืบไป พระสงฆ์สามเณรรูปใดๆ แปลงเพศเป็นคฤหัสถ์ปลอมไปเล่นเบี้ย เล่นโป แลสูบฝิ่น กินสุรา ถืออาวุธเที่ยวกลางคืน อย่างใดอย่างหนึ่งที่กล่าวห้ามไว้นั้น มีผู้จับตัวมาได้ หรือสึกแล้วยังไม่พ้นสามเดือน มีโจทก์ฟ้องกล่าวโทษพิจารณาเป็นสัจแล้ว จะให้สักหน้าว่าลักเพศภิกษุ ลงพระราชอาญาเฆี่ยน ๒ ยก ๖๐ ที ส่งตัวไปเป็นไพร่หลวงโรงสี…”พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศพระราชบัญญัติเรื่องพระสงฆ์สามเณรลักเพศ พ.ศ.๒๔๐๔ ภาพถ่าย "ชีวิตในวังของหม่อมคัทริน ณ พิศณุโลก" จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หม่อมคัทริน ณ พิศณุโลก และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ขอขอบคุณภาพจาก : scontent-ort2-1.cdninstagram.comชอบพัดลมไฟฟ้าหรือเปล่า "ชอบพัดลมไฟฟ้าหรือเปล่า" เป็นพระดำรัสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ตรัสกับหญิงสาวชาวรัสเซียนางหนึ่ง เป็นพระดำรัสที่เกิดขึ้นขณะที่มีพระอารมณ์สับสนกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น และต้องทรงเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ทรงหลงรัก พระดำรัสนี้เองที่นำไปสู่การขอแต่งงานกับหญิงสาวชาวรัสเซียนางนั้น และเป็นการเริ่มต้นของความเป็นพระสุณิสาชาวต่างชาติคนแรกในราชวงศ์จักรี
หญิงสาวชาวรัสเซียนางนั้นคือ นางสาวเอกาเทรินา อิวาโนวา เดสนิตสกี้ (Ekaterina Ivanova Desnitsky) ซึ่งภายหลังก็คือหม่อมคัทริน หรือที่เรียกเป็นสามัญว่า แคทยา นับเป็นพระสุณิสาชาวต่างชาติคนแรกในราชจักรีวงศ์
เพราะสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงอยู่ในฐานะเจ้าฟ้าผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ทรงเป็นเจ้าชายที่มีพระสติปัญญาฉลาดเฉลียว มีพระปรีชาสามารถ จึงทรงเป็นความหวังของสมเด็จพระบรมราชชนกชนนี โดยโปรดเลือกให้เสด็จไปทรงศึกษาวิชาทหารบกที่ประเทศรัสเซีย
ด้วยพระคุณสมบัติที่เพียบพร้อม คือ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ตลอดจนฐานันดรศักดิ์อันสูงส่ง ทำให้ทรงเป็นที่สนใจของชาวรัสเซียโดยเฉพาะสตรี ทรงไม่อาจหลีกพ้นจากความสัมพันธ์กับสตรีต่างชาติ สตรีหลายคน ทำให้ทรงพอพระทัย ประทับพระทัย แต่ก็ทรงหักพระทัยเมื่อทรงรำลึกถึงพระบรมราชชนกชนนี หน้าที่ที่ทรงมีต่อบ้านเมืองและฐานันดรศักดิ์ของพระองค์ ดังที่ปรากฏในบันทึกถึงสตรีนางหนึ่งว่า
“ฉันคิดว่าถึงเวลาเสียที ที่ฉันควรต้องเลิกติดต่อกับเธอ ในเมื่อเรื่องนี้รู้ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว”
แต่เมื่อทรงได้พบกับ “แคทยา” ความงดงามน่ารักดังที่ทรงพรรณนาว่า เป็นสุภาพสตรีสาวผมสีทอง เกล้าพันรอบศีรษะ ดวงตาสีฟ้าฉายแววซื่อไร้จริตมารยา ท่าทีสง่างาม แคล่วคล่องแต่แฝงไว้ด้วย ความนอบน้อม อ่อนโยนและขี้อาย ยิ่งเมื่อได้ทรงสนทนาด้วยก็ยิ่งทรงรู้สึกว่าพระทัยของพระองค์ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความรัก เพราะน้ำเสียงที่สดใสอ่อนหวาน ความฉลาดเฉลียวในการโต้ตอบทำให้ทรงถวิลหาจนไม่อาจถอนพระทัยจากเธอได้ ยิ่งเมื่อทรงทราบว่า เธอจะต้องจากไกลในฐานะนางพยาบาลอาสาสมัครที่ต้องเดินทางไปกับกองทัพรัสเซีย สู่สนามรบในไซบีเรีย เป็นระยะเวลาที่เจ้าฟ้าชายหนุ่มต้องทรงทุรนทุรายด้วยความคิดถึงห่วงใย และได้แปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ลึกซึ้งชนิดที่ทรงรู้สึกว่าในพระชนมชีพจะขาดหญิงสาวผู้นี้เสียมิได้
ในส่วนแคทยา แม้จะมีใจต่อเจ้าชายหนุ่มแห่งสยาม แต่เมื่อรำลึกถึงความแตกต่างกันของเชื้อชาติ ศาสนา ความมืดมนของชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ในอนาคต หากตกลงปลงใจรับรัก จึงเกิดอาการลังเล แต่อานุภาพของความรักนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคาดถึง ทำให้ความคิดอ่านไตร่ตรองและความลังเลสูญสลายไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการจากกันไกลยิ่งทำให้ความรักของหนุ่มสาวทั้งคู่ยิ่งทวีคุณค่าและรู้สึกตรงกันว่าชีวิตที่จะดำเนินต่อไปนั้นจะขาดซึ่งกันและกันเสียมิได้
เจ้าฟ้าชายชาวสยามทรงคิดถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่จะต้องทรงพบเมื่อเสด็จกลับถึงบ้านเมือง พร้อมกับหม่อมแหม่ม ความรักและความปรารถนาในตัวหญิงสาวทำให้ทรงมองข้ามอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพระบรมราชชนกชนนี หรือฐานันดรศักดิ์ มีพระดำริว่าน่าจะทรงสามารถแก้ไขได้ แต่ปัญหาความแตกต่างกันของชีวิต ความเป็นอยู่ โดยเฉพาะอากาศซึ่งแตกต่างอย่างตรงข้าม และไม่อาจทรงแก้ไขได้ ทำให้ทรงพระวิตกถึงเรื่องนี้ มีพระดำริวนเวียนสับสนในระหว่างที่หนุ่มสาวห่างไกลกัน จนเมื่อทั้งสองได้มีโอกาสพบกัน แม้ใจจะตรงกัน แต่ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในใจทำให้หนุ่มสาวมิอาจกล่าวสิ่งใด ประโยคหนึ่งที่เจ้าชายหนุ่มทรงเอ่ยออกมา ก็คือสิ่งที่มีพระดำริ ว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่ค้างคาในพระทัยได้ นั่นคือ
“ชอบพัดลมไฟฟ้าหรือเปล่า”
ท่ามกลางอากาศหนาวจัดที่ต้องเผชิญมาตลอดชีวิต ทำให้หญิงสาวไม่น่าจะมักคุ้นกับพัดลมไฟฟ้าได้ แต่เพราะใจที่เอนเอียงอยู่แล้ว ประกอบกับความที่ไม่อยากแสดงตนว่าไม่รู้จักกับเรื่องราวหรือสิ่งของในบ้านเมืองของคนที่เธอพอใจ จึงทูลตอบว่า “ชอบมาก”
คำตอบของหญิงสาวเป็นเสมือนฟ้าที่เปิดหมอกมัวในพระทัยสลายจนหมดสิ้น ด้วยทรงรู้สึกว่าทรงสามารถ แก้ไขปัญหาสุดท้ายได้ลุล่วงพระองค์จึงตรัสขอหญิงสาวแต่งงานและขอให้เธอติดตามไปใช้ชีวิตคู่ที่เมืองสยาม ด้วยกัน(คัดมาบางส่วนจากหนังสือ วาทะเจ้านายเล่าประวัติศาสตร์ เขียนโดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย พิมพ์โดย สนพ.มติชน.๒๕๕๘) ทีมา - นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ภาพประกอบ -กรมหมื่นอลงกฎกิจปรีชา รัชกาลที่ ๔ ทรงสั่งไม่ให้ขุนนางเข้าเฝ้าเจ้านายองค์นั้น
“ประกาศให้ส่งต่อๆ ไปในข้าราชการในพระบรมมหาราชวังทุกหมู่ทุกกรม ว่ากรมหมื่นถาวรวรยศ กรมหมื่นอลงกฏปรีชาเมื่อเสด็จอยู่วังมักทรงเมาอยู่โดยมาก
เพราะฉะนั้นเว้นเสียแต่คนในกรมฝีพาย แลเกณฑ์ขาดกวาดสนามซึ่งเป็นกรมขึ้นกรมหมื่นถาวรวรยศได้ทรงบังคับบัญชาอยู่ แลกรมแสงปืน แลช่างในกรมแสง ซึ่งกรมหมื่นอลงกฏปรีชาได้ทรงบังคับบัญชาอยู่แล้วนั้น ห้ามไม่ให้คนอื่นนอกนี้ไปเฝ้าที่วังด้วยธุระใดๆ ก็ดี ถึงจะมีผู้บอกว่ารับสั่งให้หาก็อย่าให้ไป ให้คอยเฝ้าเอาเมื่อเสด็จเข้ามาในพระราชวังนี้เถิด อย่าให้ไปเผ้าที่วังเลย เพราะไปพบเสด็จกำลังเมาอยู่เกลือกจะทรงกริ้วด้วยเหตุอันมิได้ควร แลจะทรงเตะถีบชกถองทำการเกินๆ …”
(จาก ประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ เรื่อง ประกาศห้ามมิให้เฝ้ากรมหมื่นถาวรวรยศแลกรมหมื่นอลงกฎปรีชาที่วัง นอกจากผู้เป็นกรมขึ้น) ที่มา : วาทะประวัติศาสตร์ "เมื่อเจ้านายทรงเมา" silpa-mag.com
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 14:30:49 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5470
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 30 มิถุนายน 2561 18:03:45 » |
|
ภาพเก่าพระราชวังบวรสถานมงคลภาพจากเว็บไซต์กรมศิลปากร พระราชวังบวร คชกรรมประเวศ คชกรรมประเวศ เอกอลงกต เอกอลงกต ผังวังหน้า พ.ศ.๒๔๖๑ พระราชวังบวร พระราชวังบวร พระเมรุมณฑป พระเมรุพิมาน ตึกกระทรวงธรรมการ ผังวังหน้า พ.ศ.๒๔๕๐ ผังวังหน้า พ.ศ.๒๔๖๘ เสด็จเปิดพิพิธภัณฑฯ หอพระสมุดวชิรญาณ ผังโอนที่ดินให้ธรรมศาสตร์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 มิถุนายน 2561 18:23:07 โดย Kimleng »
|
บันทึกการเข้า
|
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
|
|
|
|
กำลังโหลด...