พระฤาษี***
โอม นะโม นะมัสสะการะ อะหังเม สาธุ
สะระนัง ปัญจะพุทธา นะมามิหัง นะโมยะมะ
สิตะวายะ อะหังระอะ ติการะรันตะรัง อิศะ วะรัง
อุมา นารายะรัง พรหมมะธาดา มะหาวิยัง
เนาวะสัพพะเทวานัง ธุสาสะนัม โลเกตรียัมพะยัม
ชัยยะมังคะละ สาธุสะ ประสิทธิเม***
***
โอม อิมัสมิง สักการะวันทานัง มุนิพรหมานัง
ปุชิตตะวา มะหาลาโภ สุขขัง พะลัง ปูชายะ ภะวันตุเม***
***
โอม นะโม นะมัสสะการะ อะหังเมสา ธุสระนัง
ปัญจะพุทธา นะมามิหัง นะโมยะมะ สิตะวายะ
อะหังระอะ สาธุ ติกานะนัน ตะรัง มุนิเทวา
มะหามุนิเทวา วันทะนานัง สัพพะกัมมะ ประสิทธิเม***
***
โอม อิมัง วันทานัง สันติโลเก อิมัสมิง มุนิมะนุสสานัง
ปูชา อาราธะนานัง สัพพะกัมมะ ประสิทธิเม มะหาลาโภ
ประสิทธิเม***
ตำนานพระฤาษี ตอนที่ 1 ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ หมายความว่า ศาสนาพุทธล่วงเลยมาแล้วถึง ๒๕๕๐ ปี
นับว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่และมั่นคงมาก แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ต่างๆผันแปร
ทำให้ศาสนาพุทธ สึกกร่อน ลงไปบ้าง แต่ปัจุบันศาสนาพุทธก็ยังเป็นศาสนาหนึ่ง
ที่มีผู้คนนับถือมากมายและกระจายไปทั่วทุกมุมโลก
ก่อนศาสนาพุทธ
ยังมีศาสนาและ
ลัทธิต่างๆอีกมากมายเช่น ศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น
ปัจจุบันศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ใกล้ชิดสนิทสนมจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อมี
พิธีทางศาสนาพุทธ ก็จะต้องมี
พิธีทางศาสนาพราหมณ์ร่วมด้วยทุกครั้งเพราะคนไทยเราเก่งในการ
ผนวก พระฤาษี เป็นคำเรียกขานของคนที่
บำเพ็ญเพียรด้วยความอุตสาหะ เป็น
ความเชื่อของ คนว่าต้องการจะ
หลุดพ้นจากความทุกข์บ้าง ก็ต้องการที่จะสร้างฤทธิ์ สร้างบารมี จึงเกิดมีลัทธิ มีการตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้ พระฤษี เป็นคำที่เรียกคนที่มี
พลังจิตเด็ดเดี่ยว
มุ่งปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จในอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆอย่าง เช่น สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีวาจาสิทธิ์ และอีกมากมาย บางท่านก็เก่งเรื่องยาสมุนไพรเช่น
ปู่ชีวกโกมารภ้ทร ซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็รวมเรียกท่านอยู่ในกลุ่มของฤาษีเช่นกัน พระฤาษีจัดคัดแยกเอาไว้
๔ ชั้น หรือ ๔ จำพวก คือ
ชั้นที่ ๑ เรียกว่า ราชรรษี แปลว่า เจ้าฤษี ชั้นนี้จะมีความเป็นอยู่ตามพื้นธรรมชาติ คือมีความปกติเป็นพื้นฐานเพียงแต่มีความริเริ่มและความพยายามที่จะบำเพ็ญเพียรในเบื้องต้น และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ชั้นที่ ๒ เรียกว่า พรหมรรษี แปลว่า พระพรหมฤาษี เมื่อปฏิบัติเพียงพอกับความต้องการ ในเบื้องต้นแล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็น พระพรหม
ชั้นที่ ๓ เรียกว่า เทวรรษี แปลว่า เทพฤาษี ผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นด้วยตบะ จึงมีบารมีมาก พร้อมทั้งมีอิทธฤทธิ์และมีอำนาจมหาศาล
ชั้นที่ ๔ เรียกว่า มหรรษี แปลว่า มหาฤาษี ชั้นนี้นอกจากมีอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากบารมีแล้ว ยังมีภูมิปัญญามาก มีอาคมแก่กล้าเป็นที่สุดเมื่อนำ เอามาเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นชัดเจนว่าทั้ง ๔ ชั้นมีความสามรถไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
แล้วแต่การปฏิบัติของแต่ละตน ผู้ใดมีความมุ่งมั่นหมั่นเพียรและตั้งใจปฏิบัติ ทำ ได้เท่าใดผลก็จะส่ง บุญก็จะบันดาล ให้ไปถึงขั้นนั้นๆ พระฤาษีที่ปรากฏในวรรณคดีมีอยู่หลายท่าน โดยมากมักเป็นฤาษี
ที่ละจากเรื่องทางโลก มุ่ง สู่การบำเพ็ญบารมี เป็นที่นับถือแก่มนุษย์และเทพเทวดาทั่วไป ยิ่งบำเพ็ญบารมีมากเท่าไรก็มีอำนาจวิเศษตามบารมีที่สั่งสมมามากขึ้นเท่านั้น ฤาษี ตามรากศัพท์ดูเหมือนจะแปลกันว่า
เป็นผู้มี ปัญญา อันได้มาจาก
พระเป็นเจ้า ตามพจนานุกรมฉบับมติชนปี ๒๕๔๗ ว่า
ฤษี (รือ-สี) ผู้สละบ้านเรือนออกบำเพ็ญพรต ส่วนฤาษีที่ปรากฎชื่อใน
ทศฤาษี หรือที่เรียกกันว่า เป็น
พระประชาบดี นั้นใน
มานวธรรมศาสตร์กล่าวว่ามี ๑๐ ตน คือ
๑.มรีจิ
๒.อัตริ
๓.อังคีรส
๔.ปุลัสยตะ
๕.ปุลหะ
๖.กรตุ
๗.วสิษฐ
๘.ประเจตัส หรือ ทักษะ
๙.ภฤคุ
๑๐.นารทแต่บางตำราว่ามีแค่ 7 เรียกกันว่า
สัปตฤาษี หรือมานัสบุตร (ลูกเกิดแต่มโนของพระพรหมา) ทั้ง 7 ตน มีชื่อดังนี้
๑.โคดม (โคตม)
๒.ภรัทวาช
๓.วิศวามิตร
๔.ชมัทอัคนี(บางตำราว่า ชมทัศนี)
๕.วสิษฐ
๖.กศป(กัศย์ป)
๗.อัตริส่วน
มหาภารตะระบุไว้ว่า
๑.มรีจิ
๒.อัตริ
๓.อังคีรส
๔.ปุละหะ
๕.กระตุ
๖.ปุลัสตยะ
๗.วสิษฐ วายุปุราณะเติม ภฤคุ อีก ๑ ตน แต่ยังเรียกรวมว่า
สัปตฤาษี ส่วน
วิษณุปุราณะเพิ่ม
อีก ๒ ตน คือ
ภฤคุ กับ
ทักษะ เรียกแปลกไปอีก
ว่า
พรหมฤาษีทั้งเก้า ตามชั้นและฐานะของพรหมฤษีนั้น
ก็ยัง
แยกระดับตามสรรพนามออกไป และชั้นที่ได้ยกระดับหรือแยกออกมาอีกก็คือ
๑.พระสิทธา
๒.พระโยคี
๓.พระมุนี
๔.พระดาบส
๕.ชฎิล
๖.นักสิทธิ์
๗.นักพรต
๘.พราหมณ์เมื่อรวมทั้งแปดนามเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือท่านเป็น”ผู้ทรงศีล”
ผู้ที่มุ่งหวังตั้งใจบำเพ็ญเพียรตบะ
เพื่อเสริมสร้างบารมี มุ่งหวังในผลสำเร็จ ถึงกับยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันหมดในบรรดากลุ่มพระฤษีที่มีชื่อแยกออกไป ก็ยังมีความหมายต่างๆกัน เช่น๑.พระสิทธา แปลว่า พระฤาคี ประเภทมีคุณธรรมวิเศษ มีหลักฐานมั่นคง ที่สถิตสถาน
มีวิมานอยู่บนเทือกเขาและถ้ำ ตามแต่ว่าจะเห็นสมควรในความสะดวกสบาย
อยู่ในระหว่างพระอาทิตย์ลงมาสู่พื้นแห่งโลกมนุษย์โดยกำหนด
๒.พระโยคี แปลว่า เป็นผู้ที่มีความสำเร็จ หรือผู้ที่กำลังศึกษาสังโยค ในด้านหลักวิชาโยคกรรม
มักจะเที่ยวทรมานตนอยู่ตามเทือกเขาและป่าตามความเหมาะสมในความสันโดษ ที่จะมีและเท่าที่จะเห็นว่าสมควร
๓.พระมุนี แปลว่า ในกลุ่มพราหมณ์ที่มีความพยายาม กระทำกิจพิธีบำเพ็ญ
ด้วยความพากเพียร มุมานะพยายามจนกระทั่งพบความสำเร็จ
จึงกลายเป็นผู้ที่มีปัญญาและมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับสูง
๔.พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตนสร้างบารมี มุ่งมั่นในตบะธรรมที่คิดว่า
จะเผาผลาญกองกิเลสให้หมดสิ้นไปใช้ความพยายามพากเพียร พยายาม
มุ่งแต่ในทางทรมานร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งหวังในโลกุตตรสุขที่เป็นผลแห่งบารมี
๕.ชฎิล แปลว่า นักพรตจำพวกหนึ่ง ที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมเป็นแบบชฎาเอาไว้
หนวดเครารกรุงรังราวกับคนบ้า ทั้งผ้าที่นุ่งห่มก็รุ่มร่าม
ไม่ชอบในการรักสวยรักงาม ทำตนเป็นพราหมณ์รอนแรมอยู่ตามป่าดงพงไพร
๖.นักสิทธิ์ แปลว่า เป็นผู้ทรงศีลที่กึ่งมนุษย์กึ่งเทพ หรือเทวดา พวกนี้มักจะรักสัจจะวาจา
มีความเที่ยงธรรมเป็นที่ตั้งชอบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ
มีที่อยู่อาศัยอยู่ในระหว่างกลางที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์วัดระยะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลงมาจนกระทั่งถึง
โลกมนุษย์ พวกนี้มีอยู่กันเป็นจำนวนมากมายหลายแสนองค์
เที่ยวตระเวนไปในที่ต่างๆ เพื่อที่จะสอดส่องหาทางลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์
๗.นักพรต แปลว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีเคร่งครัดในการปฏิบัติ ทรงศีลอันประเสริฐมิยอมให้ศีลบกพร่อง
แต่ประการใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ เพื่อที่จะเสริมสร้างบารมีให้มากๆ อยู่ประจำ
ชอบสถิตย์อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร และตามถ้ำหน้าผา มักไม่ยอมให้ผู้ใดได้พบเห็น มีความเป็นอยู่
อย่างเรียบง่าย แต่มีอิทธิฤทธิ์มาก
๘.พราหมณ์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับฤษีเหมือนกัน แต่เป็นด้านการปฏิบัติบูชาบำเพ็ญตบะ
สร้างบารมีอย่างมุ่งมั่นเป็นผู้สละแล้ว สละเรื่องของโลกภายนอกได้หมดแล้วมีความมุ่งมั่นว่า
จะต้องออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือมนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วไป พราหมณ์มักจะชุมนุมรวมกลุ่มกัน
เป็นหมู่คณะ ตามเทวสถานต่างๆ ด้วยความพร้อมเพรียงและสามัคคีกันอย่างดี
เมื่อมีผู้ใดเชิญให้ช่วยกระทำพิธีให้ ไม่ว่าจะเป็นพิธีอะไร
ที่จะต้องเกี่ยวกับพระฤษีหรือองค์เ้ทพต่างๆ
พราหมณ์ก็ออกไปทำพิธีให้ทันที ไม่เรียกร้องค่าป่วยการหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลาภ ไม่เห็นกับประโยชน์ส่วนตัว (นั่นเป็นพราหมณ์สมัยก่อน สมัยนี้ก็คงจะต้องมีค่าใช้จ่าย
มากน้อยตามแต่จะเห็นสมควร) สำหรับพราหมณ์พวกนี้ก็มักมีกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ชอบฝักใฝ่ในธรรม โปรดสัตว์ ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความเต็มใจ เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจแล้ว ก็จะเข้าจำศีลภาวนาต่อไปอย่างไม่มีคำว่าพอ
http://www.maameu.net/forum/index.php?topic=6575.0