03 พฤษภาคม 2567 00:50:10
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
.:::
เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2 (อ่าน 7824 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 16:50:20 »
Tweet
.............................ชื่อภาพทางเขึ้นสวรรค์.........................
เชิงผาหิมพานต์
นิยายอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย..นายช่างได้นำล้อรถทั้ง ๒ ข้างมาถวายให้ทอดพระเนตร แล้วลองหมุนล้อที่ทำเกือบ ๖ เดือน ล้อนั้นหมุนไปได้ เมื่อหยุดหมุนแล้วก็ไม่ล้ม ยังตั้งอยู่อย่างดีคล้ายมีอะไรยึดอยู่ ส่วนล้อรถที่ทำเสร็จภายใน ๖ วัน เมื่อลองหมุนดู แม้จะหมุนไปได้ แต่พอหยุดหมุนก็ล้มลง นายช่างจึงกราบทูลเหตุผลให้ทรงทราบว่า ล้อข้างที่หยุดหมุนแล้วตั้งอยู่ได้นั้น ไม่มีความคดอยู่เลย เพราะได้พยายามถากขัดเกลาเป็นเวลานานจนเรียบร้อยดีถึงขนาด ส่วนล้อรถข้างที่ทำเสร็จภายใน ๖ วันนั้น แม้จะชื่อว่าเสร็จ แต่ก็ยังมีความคดความไม่เรียบร้อยอยู่เป็นอันมาก พอหยุดหมุนจึงล้มลงด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! พระพุทธดำรัสเรื่องนี้ให้ประโยชน์ทั้งคดีโลกและคดีธรรม กล่าวโดยคดีธรรมก่อน การจะทำอะไรให้เกิดผลดีงาม ไม่ว่าจะเป็นการฝึกหัด กาย วาจา ใจ หรือในการปฏิบัติธรรมอื่น ๆ บางคราวจำเป็นต้องอาศัยกาลเวลา ค่อยขัดเกลาไปทีละเล็กละน้อย ไม่ใจร้อนเร่งผลจนเกินไป ในที่สุดก็จะได้บรรลุสิ่งที่มุ่งหมายได้ ในคดีโลกทำให้เราเห็นว่า คันธนูและลูกธนูพิเศษที่ท่านอาจารย์ให้มานั้น คงมิใช่ทำเพื่อสักว่าทำ อาจจะต้องเลือกไม้ที่มีเนื้อพิเศษ ต้องตากไม้ให้แห้งเป็นเวลาแรมเดือนหรือแรมปี แล้วลงมือทำด้วยความประณีตบรรจง ลองแล้วลองเล่า จนได้ผลเป็นที่ประจักษ์ ผิดแผกกว่าคันธนูและลูกธนูธรรมดาทั่ว ๆ ไป ส่วนเกราะพิเศษนั้น เป็นเรื่องของการรู้จักผสมโลหะให้เหนียวและทนทาน ทั้งไม่ต้องการความหนาเหมือนเกราะธรรมดา จึงมีน้ำหนักเบากว่าเกราะโลหะชนิดอื่น
บัดนี้เราได้รู้แล้วว่ามีเหตุอยู่หลายประการที่รวมกัน ช่วยให้บุคคลผู้ฝึกฝนอบรมในวิชาทั้งหลาย มีความรู้ความสามารถเหนือบุคคลอื่น ๆ เริ่มแต่การฝึกที่ตัวผู้นั้นเอง จนถึงการรู้จักสร้างเครื่องมือเครื่องใช้อันประณีตพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นึกสนุกในการศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ ซึ่งยังมีอีกมากมายหลายสาขา และเรายังมิได้รับการฝึกฝนอบรมเลย ความปรารถนาที่จะกลับสู่สำนักของท่านอาจารย์วิศวามิตรตามที่ท่านเปิดโอกาสไว้ จึงเกิดขึ้นแก่เราตั้งแต่นั้นมา
กาลเวลาล่วงไปประมาณ ๒ เดือน ก็ถึงสมัยที่มีการแข่งขันคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถในทางวิชาอาวุธประจำปี เพื่อแต่งตั้งให้มีหน้าที่ในการป้องกันแคว้นวัชชี เป็นโอกาสที่จะได้เห็นว่าราชกุมารผู้ท้ายิงธนูนั้น จะมีความสามารถสักเพียงไร ผู้เคยศึกษาในสำนักตักกสิลาและสำนักวิศวามิตร ที่มั่นใจความรู้ความสามารถของตนต่างก็สมัครเข้าแข่งขันตามสาขาที่ตนถนัด
ราชกุมารผู้ท้าในคราวก่อนเพื่อให้มีการแข่งขันในการยิงธนูก็สมัครในสาขานั้นด้วย จึงทำให้เกิดความสนใจของผู้อื่นอีกเป็นอันมาก
ครั้นถึงวันแข่งขัน ก็ปรากฏว่าราชกุมารผู้นั้นแสดงการยิงไวได้ดีมากเป็นอันดับแรก แต่คันธนูพิเศษของเราก็ได้ช่วยให้เราได้แสดงการยิงไวได้ไม่แพ้กัน ถึงกระนั้นก็ทำให้อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าราชกุมารผู้นั้นมีคันธนูพิเศษเช่นเรา ก็คงจะยิงได้เป็นเลิศยิ่งกว่าเราโดยแท้
การแข่งขันยิงไกลและให้ถูกเป้าหมายด้วย ซึ่งมีการเพิ่มระยะไกลขึ้นโดยลำดับนั้น ครั้งแรกปรากฏว่าต่างฝ่ายมีฝีมือทัดเทียมกัน แต่เมื่อเพิ่มระยะไกลถึงขนาด เราก็เป็นฝ่ายมีชัยในท่ามกลางความแปลกใจของคนทั้งหลาย แต่เรามิได้นึกหมิ่นฝีมือของราชกุมารนั้นเลย เพราะถ้าเขามีคันธนูดีเช่นที่เรามีก็คงยิงได้ดีกว่าเราเป็นแท้
ในลำดับสุดท้าย เป็นการแข่งขันยิงทำลายเป้าใหญ่แต่มีลักษณะเป็นเกราะโลหะ ราชกุมารผู้ท้าคราวก่อนยิงด้วยลูกธนูธรรมดาไม่เข้า จึงใช้ลูกธนูพิเศษของตนซึ่งมีอยู่ยิงอีก คราวนี้ยิงทะลุโลหะที่เป็นเป้านั้น ครั้นถึงคราวเรายิงบ้าง เราได้ใช้ลูกธนูปลายหักยิงแต่วาระแรก ปราฏกว่าสามารถทำลายเป้าให้แตกได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลายคนพากันตื่นเต้นในความสามารถของเรา นอกจากตัวเราเองที่รู้อยู่เต็มอก เราไม่มีอะไรที่น่านอนใจเลย เพียงมีคันธนู ลูกธนู และเกราะพิเศษ ช่วยแก้หน้าให้พ้นอายในคราวนี้เท่านั้น ถ้าถึงคราวอื่น จำเป็นต้องแสดงความสามารถอย่างอื่น ก็คงเอาตัวไม่รอดแน่นอน
เราได้ไปหาราชกุมารผู้นั้น แล้วกล่าวยกย่องชมเชยเขา พร้อมทั้งชี้แจงอย่างกึ่งเปิดเผยว่า ถ้าเราไม่มีคันธนูดีและลูกธนูดีแล้ว เราจะสู้เขาไม่ได้เลย การพูดอย่างนี้ทำให้ราชกุมารนั้นค่อยมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น
ตัวเราเองได้ตัดสินใจแต่วาระนั้นว่า จะยังไม่รับหน้าที่เป็นนายทหาร เพราะยังขาดความรู้ที่แท้จริงอีกมากมายหลายสาขา จึงตกลงขอถอนความจำนงในการเข้ารับหน้าที่นั้น ไปกราบลาท่านมารดาบิดาเพื่อขอกลับไปศึกษาต่อกับท่านอาจารย์ต่อไปอีก ซึ่งท่านก็ไม่ขัดข้อง แต่ได้ให้สังกิจจ์เด็กรับใช้ในบ้านเราร่วมเดินทางไปด้วย บัดนี้เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้รู้จักสังกิจจ์ ผู้นำอาหารมาเลี้ยงพวกเราหน่อยหนึ่งแล้ว
ภาค 1..........................
http://www.sookjai.com/index.php?topic=22674.msg43715#msg43715
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:43:10 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #1 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 16:55:34 »
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ! ยังมีเรื่องที่ข้าพเจ้าทั้งหลายสนใจใคร่รู้ต่อไปอีก รวมทั้งวิธีที่ท่านอาจารย์วิศวามิตรได้ช่วยฝึกอัธยาศัยของท่านให้ดีขึ้น เป็นคนสุขุมรอบคอบอดทน ไม่วู่วามอย่างแต่ก่อน ถ้าไม่เป็นการหนัก ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเล่าเรื่องทั้งปวง จนถึงวาระที่ท่านได้ตกลงปลงใจมาดำรงตำแหน่งผู้สืบแทนในสำนักวิศวามิตรนี้ แม้จะต้องค้างแรมเพื่อได้ฟังประวัติอันน่าสนใจอีกสักสองสามราตรี ข้าพเจ้าทั้งหลายก็พร้อมจะอยู่ในที่นี้
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! เราได้บอกกับสังกิจจ์ไว้แล้วว่าเมื่อเวลาตะวันบ่ายจะกลับ ถ้ายังคงอยู่ในที่นี้ต่อไป พวกเขาก็จะรู้สึกเป็นหน้าที่ในการหาอาหารมาเลี้ยงดู แม้เขาจะเต็มใจ เราก็อย่ารบกวนเขาเลยดีกว่า เป็นอันว่าเราจะเดินทางให้พ้นไปจากที่นี้ ถ้าท่านทั้งหลายมีความประสงค์จะฟังเรื่องราวต่อและยอมลำบากค้างคืนในระหว่างทาง รวมทั้งยอมอดอาหารบางมื้อด้วย เราก็ยินดีจะเล่าให้ฟังต่อไป
ข้าแต่ท่านอาจารย์ ! สำนักวิศวามิตรของท่านได้ฝึกให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย เห็นความลำบากตรากตรำเป็นของไม่มีความหมาย มาแต่วาระแรกที่มาศึกษาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงพร้อมที่จะต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ซึ่งดูก็ไม่มีอะไรมาก เพียงเดินทางไกล ต้องทนอากาศหนาวและต่อสู้กับความหิวบ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่มีใครขัดข้อง”
ท่านอาจารย์จึงถามความสมัครใจของราชกุมารเหล่านั้นเป็นรายบุคคล ก็ได้รับคำตอบแสดงความยินดีจะเดินทางไปที่อื่นต่อไป เพื่อฟังเรื่องราวอันน่าสนใจของท่านอาจารย์อีก
เมื่อเป็นที่ตกลงกันดังนั้น ท่านอาจารย์ก็เดินลงไปที่ใกล้กระแสน้ำ ใช้มือวักน้ำลูบหน้าลูบตัว แล้วแนะให้ศิษย์ทั้งหลายกระทำตาม เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มออกเดินทาง แต่ก็ไม่ก่อนที่สังกิจจ์จะเข้ามากราบแสดงคารวะ ถามถึงสิ่งที่ประสงค์ซึ่งอาจรับใช้สนองความปรารถนาได้ แต่ท่านอาจารย์ปฏิเสธ ให้พรเขาแล้วก็ออกเดินทางกันต่อไป
แสงแดดอ่อนลงไปมากแล้ว ท่านอาจารย์คงเดินนำศิษย์ทั้งหลายไปตามลำน้ำโรหิณีอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อมองไปทางทิศอุดรก็คงเห็นภูผาหิมพานต์ตั้งตระหง่านอยู่อย่างเดิมคล้ายกับว่า การเดินทางนั้นมิได้ทำให้คณะอาจารย์และศิษย์ห่างไกลออกไปได้เท่าไรเลย
จวบจนเวลาเย็นจึงผ่านพ้นที่ราบลุ่มเข้าสู่ดงไม้โปร่ง มีโขดหินเป็นแห่ง ๆ ทำให้การเดินทางลำบากขึ้นอีกเล็กน้อย ท่านอาจารย์คงนำเดินต่อไป จนกระทั่งถึงเนินผาเตี้ย ๆ อีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเหมาะสมเป็นที่พักผ่อนในราตรีได้ จึงตกลงจะพัก ณ ที่นั้น ลมเย็นจากหิมาลัยบรรพตเริ่มพัดมาแล้ว แต่อาจารย์และศิษย์ยังคงพักเหนื่อยอย่างเป็นที่สำราญ
ศิษย์บางคนออกสำรวจบริเวณใกล้เคียง เมื่อพิจารณาเรื่องที่พักให้รอบคอบ ตามแบบอย่างของชาวสำนักวิศวามิตร บางคนก็นำกล้วยป่าซึ่งสุกกับต้นมาได้ทั้งเครือ อีกคนหนึ่งได้ขนุนสุกมาด้วยความยินดีและตื่นเต้น
เมื่อพักผ่อนหายเหนื่อยแล้ว ต่างก็ลงสนานกายในแม่น้ำโรหิณี ซึ่งมีความเย็นใสและจืดสนิทน่าชื่นใจ ด้วยความสามารถของคณะศิษย์ที่เที่ยวเสาะแสวงผลไม้ เป็นอันว่าค่ำวันนั้นทุกคนได้อาศัยกล้วยป่าสุกกับขนุน ซึ่งหาได้ตามมีตามเกิดในบริเวณนั้น เป็นเครื่องยังชีพให้เป็นไปอีกมื้อหนึ่ง
มีข้อน่าสังเกตว่า แม้ท่านอาจารย์จะไม่ต้องสั่ง แต่คณะศิษย์เหล่านั้นก็รู้ดี เพราะได้รับการอบรมตั้งแต่เมื่อมาพำนักศึกษาใหม่ ๆ แล้วว่า เศษอาหาร เช่น เปลือกกล้วยป่าและเศษจากขนุนนั้น ควรจัดการให้เรียบร้อย ไม่แลดูเลอะเทอะหรือเป็นที่ตำหนิของผู้เดินทางผ่านไปมาในภายหลังอย่างไร
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:32:02 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #2 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 16:58:57 »
๖. บทเรียนจากอาจารย์
จะเนื่องด้วยความเงียบหรืออย่างไรก็ตามที ราชกุมารทั้งหลายรู้สึกว่า เมื่อราตรีย่างเข้ามาเสียงต่าง ๆ รอบบริเวณนั้น เช่น จักจั่น เรไร ดูเหมือนจะดังระงมไปหมด บางครั้งแม้กิ่งหรือใบไม้แห้งตกสู่พื้นก็มีเสียงให้รู้ได้
อากาศค่อย ๆ หนาวเย็นลงโดยลำดับ ไฟสักกองหนึ่งก็ยังมิได้ก่อขึ้น แต่ท่านอาจารย์มิได้สนใจเรื่องการก่อไฟมากนัก จึงมิได้สั่งการอย่างไรเลย ท่านกล่าวขึ้นว่า
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ผ้าโพกของพวกท่านจะมีประโยชน์ขึ้นกว่าเดิม ถ้าท่านรู้ว่าในราตรีที่หนาวเย็นแห่งภูมิประเทศใกล้หิมาลัยบรรพตเช่นนี้ การทำอก คอ และศีรษะให้อบอุ่น โดยใช้ผ้าโพกอันยาวพันรอบอก พันคอ โพกรอบศีรษะแล้วใช้ผ้าห่มทับอีกชั้นหนึ่ง ท่านก็จะไม่ต้องพึ่งความอบอุ่นจากใบไม้หรือกองไฟ
คนทั้งหลายที่เดินป่าย่อมใช้กองไฟเป็นเครื่องป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย และช่วยให้ความสว่างในราตรี แต่เราจะไม่ใช้ไฟเลยตลอดคืนนี้ เพราะเรามาด้วยกันกว่า ๒๐ คน กลิ่นของมนุษย์จำนวนมากนี้ มากพอจะเป็นเครื่องป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายได้เท่ากับกองไฟหลายกอง
แต่อันที่จริงตัวเราเองเคยเดินป่าโดยลำพัง ก็มิได้ก่อกองไฟเมื่อจำเป็นต้องค้างแรมในป่า เพราะมีวิธีป้องกันอย่างอื่นอีกหลายอย่าง ส่วนการอาศัยแสงสว่างนั้น คืนนี้เวลาดึกจะมีแสงสว่างจากดวงจันทร์จนตลอดรุ่งราตรี ตามที่คนทั้งหลายเรียกว่าเดือนค้างฟ้า คือจะค้างไปจนถึงจนถึงเวลากลางวัน แต่แล้วแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ก็จะกลบเกลื่อนให้มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! แม้ว่าขณะนี้ความมืดแห่งราตรีจะแผ่คลุมอยู่ทั่วไป ท่านทั้งหลายก็จงทำใจให้สว่าง ให้เสมือนหนึ่งว่าในจิตใจของท่านนั้น ไม่มีความมืดหลงเหลืออยู่เลย ครั้นแล้วจงคิดต่อไปว่า การที่พวกท่านต้องมาลำบากตรากตรำในแนวเขาลำเนาไพร แทนที่จะได้อยู่อย่างผาสุกในปราสาทราชมนเทียรนั้น เป็นการถางทางเพื่อไปสู่ความสุขและความเจริญที่ยั่งยืนกว่า
ท่านก็จะเห็นความลำบากยากเข็ญในสมัยที่ยังต้องเล่าเรียนศึกษา เป็นเสมือนหนึ่งบันไดทองอันจะส่งท่านทั้งหลายไปสู่ความสำเร็จแห่งชีวิต ความรังเกียจและความเกรงกลัวต่อความลำบากตรากตรำในขณะนี้ก็จะหายไป กลายเป็นความรู้สึกเต็มใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวง บางครั้งก็อาจถึงกับท้าทายให้ดาหน้ากันเข้ามา ในเมื่อจิตใจของท่านทั้งหลายแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญคลื่นลมทุกประเภทในทะเลแห่งชีวิต
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ในชั้นแรกนี้เราจะขอเล่าถึงวิธีที่ท่านอาจารย์วิศวามิตรท่านอบรมเรา ให้เป็นคนพูดขัดผู้อื่นน้อยลง พอใจในการทำตามใจตนเองน้อยลง ไม่เห็นว่าการแตกสามัคคีเป็นเพียงเรื่องธรรมดาสามัญอย่างแต่ก่อน การสังเกตอัธยาศัยและความประพฤติของเราอย่างใกล้ชิด ทำให้ท่านอาจารย์มองเห็นข้อบกพร่องที่จะพึงแก้ไข
วันหนึ่งท่านเรียกเราเข้าไปหา พร้อมด้วยราชกุมารอีกผู้หนึ่งแล้วกล่าวว่า ต่อไปท่านจะให้ราชกุมารผู้นั้นอยู่ใกล้ชิดเรา แต่เราจะต้องให้ปฏิญญาแก่ท่านข้อหนึ่ง คือจะไม่แสดงอาการโกรธเคืองราชกุมารผู้นั้น ถ้าเรื่องที่พูดจาขัดกันเกิดขึ้น เราได้ตกลงให้ปฏิญญาแก่ท่านอาจารย์ อย่างไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าท่านมีประสงค์อะไร
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ตั้งแต่นั้นมา เรากับราชกุมารผู้นั้นก็อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ครั้งแรกราชกุมารผู้นั้นก็เอาอกเอาใจเราเป็นอันดี ต่อมาก็เริ่มคอยจับผิดคำพูดของเรา และคอยพูดขัดอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพูดสองต่อสอง หรือการพูดกันในกลุ่มแห่งมิตรสหาย
ข้อที่น่าแปลกใจก็คือ ตัวเราเองนั้นก็เชื่อในความรู้ความสามารถบางประการของตนเองอยู่บ้างว่า สนใจใคร่รู้อะไรต่ออะไรมิใช่น้อย จึงมักจะเห็นความผิดพลาดในถ้อยคำของคนอื่น และอดพูดขัดไม่ได้ แต่ราชกุมารผู้ใกล้ชิดเรานั้น กลับรู้อะไรต่ออะไรละเอียดลึกซึ้งยิ่งไปกว่าเรา
บางครั้งพอเราคัดค้านคนอื่นว่าไม่ถูก เราก็จะถูกคัดค้านทันทีว่า แม้ข้อที่เราว่าถูก ก็ไม่ถูกด้วยเหตุนั้น ๆ ซึ่งเราต้องยอมนิ่งเพราะรู้ไม่ถึงก็มีบ่อย ๆ บางครั้งเราเองก็พูดพลาดไปบ้าง ซึ่งแม้ว่าใคร ๆ ก็จะต้องรู้ว่าเราไม่ได้โง่เง่า หากเป็นการพลั้งปากออกไปจริง ๆ แต่ราชกุมารผู้นั้นจะรีบค้านทันที ทำให้เราเกิดความโกรธถึงขนาดอยากทำร้ายร่างกาย ครั้นระลึกถึงคำปฏิญญาที่ให้ไว้แก่ท่านอาจารย์ ก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนความโกรธ ทำเป็นพูดกลบเกลื่อนไปอย่างอื่น ไม่กล้าแสดงอาการแค้นเคืองให้ปรากฏออกมา”
ในที่สุด เราก็เริ่มรู้สึกว่าท่านอาจารย์ส่งราชกุมารผู้นั้นมาคอยพูดขัดเรา เป็นคู่แข่งกับเรา ทั้งยังขอคำมั่นสัญญาไม่ให้เราโกรธเคืองด้วย เราก็เลยต้องระมัดระวังคำพูด และรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนที่ถูกพูดขัด ซึ่งในสมัยหนึ่งเราไม่เคยนึก มีแต่จะยิ้มเยาะในความพลาดพลั้งของผู้อื่นตลอดเวลา เราเพิ่งรู้ว่าแท้จริงคนที่ชอบพูดขัด คัดค้าน หรือยิ้มเยาะในความผิดพลาดของผู้อื่นนั้น ก็ไม่ชอบให้ใครพูดขัด คัดค้าน หรือยิ้มเยาะตนเลย ตนจะรู้สึกสนุกสนานเอร็ดอร่อย ก็ต่อเมื่อเป็นฝ่ายทำต่อผู้อื่นเท่านั้น ครั้นถึงคราวที่ผู้อื่นทำแก่ตนบ้าง ก็ไม่พอใจและรู้จักโกรธเคืองเหมือนกัน
นอกจากนั้น เรายังได้รับความรู้ต่อไปว่า ความรู้ทางโลกหามีที่สิ้นสุดหรือมีขอบเขตจริงจังไม่ เรานึกว่าเรารู้ดีแล้ว แต่บางครั้งก็ไม่รู้ในเรื่องง่าย ๆ หรือมีบางคนรู้จริงจังยิ่งขึ้นไปกว่า การที่จะถือว่าตัวเราเองเป็นยอดของผู้รู้แล้วนั้น เป็นความผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะยิ่งสังเกตไปก็ยิ่งเห็นว่า ยังมีความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ อันแสดงว่าความรู้ก็มีการเดินทาง เมื่อยังเดินทางอยู่เรื่อย ๆ จะคิดว่าถึงที่หมาย คือรู้รอบแล้วได้อย่างไร
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! คำที่เรากำหนดจดจำไว้ว่ามีผู้พูดผิดใช้ผิดเสมอ ๆ นั้น พอพบราชกุมารที่ค้านเก่งเข้า เราก็เริ่มรู้สึกทันทีว่าความภาคภูมิใจที่เคยมีนั้น เป็นการหลอกตัวเอง เพราะยังมีเรื่องที่จะต้องเรียนรู้อีกไม่สิ้นสุด เราจึงกลายเป็นผู้ระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่พูดคัดค้านใครง่าย ๆ หรือนึกยิ้มเยาะในความโง่เขลาของใครง่าย ๆ อย่างที่แล้วมา
เพราะสำนึกตัวดีว่ากำลังมีคนที่ติดตามมาคัดค้านเรา ยิ้มเยาะเราอีกผู้หนึ่งซึ่งเราจะประมาทมิได้ พอเริ่มเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อันเนื่องมาจากเห็นอกเห็นใจตนเองเมื่อถูกคัดค้านทุกวิถีทางเช่นนั้น อัธยาศัยของเราก็เปลี่ยนไป เป็นสนใจใคร่รู้มากขึ้น แทนการคอยคิดจับผิดคนอื่น คำใดที่เขาพูดกันจนเคยชินแล้ว เราก็พูดคำนั้น ความทะนงตนลดน้อยลงไป การทะเลาะวิวาทเบาบางลง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:32:51 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #3 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 17:02:02 »
ต่อมาท่านอาจารย์ได้เรียกพวกเราเข้าไปพบ แล้วกล่าวว่าท่านจะให้ศิษย์ทั้งหลายเดินทางเข้าไปในป่าหิมพานต์ มีกำหนดให้ไปและกลับภายในวันเดียว โดยไม่มีเสบียงหรือแม้น้ำติดไปด้วย แต่จะให้ศิษย์ในสำนักไปจัดที่ให้ดื่มน้ำ และอาหารเป็นระยะ ๆ
วิธีเดินทางก็จะไม่ให้ย้อนทางเก่า แต่จะให้เดินทางเป็นเส้นโค้งเข้ามาหาจุดเริ่มต้น คือสำนักศึกษานั้นเอง นอกจากนั้นก็ไม่ต้องกลัวการหลงทางด้วย เพราะได้เตรียมบากไม้ในป่าให้เห็นเป็นที่สังเกตอยู่ตลอดเวลาแห่งการเดินทาง เพียงคอยสังเกตเครื่องหมายเท่านั้นก็จะกลับได้เรียบร้อย
พวกเราได้รับแจ้งว่า จะมีที่ให้อาหารและน้ำบ้าง ให้น้ำเปล่า ๆ บ้าง รวมกันไม่น้อยกว่า ๖ แห่ง แต่ใครบ้างเป็นผู้ได้รับกำหนดหมายให้เป็นผู้คอยแจกน้ำแจกอาหาร ไม่มีใครทราบ
เรารู้สึกสนุกและตื่นเต้นมิใช่น้อย ในคำสั่งและบทเรียนพิเศษของท่านอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบดีนักว่าท่านมุ่งหมายอะไร ในที่สุดวันนัดก็มาถึง ทุกคนตื่นแต่เช้าและได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางเป็นรายตัวบุคคล ห่างกันคนละประมาณ ๓๐๐ ก้าว ในที่โล่งก็พอจะเห็นกัน แต่เดินในป่าเช่นนั้น ห่างกันเพียง ๕๐ ก้าวก็ไม่เห็นกันแล้ว นอกจากนี้ยังได้รับคำสั่งให้งดการสมทบเดินทางร่วมกัน โดยกำหนดให้ศิษย์ผู้เดินทางกลับถึงอาศรมทีละคน โดยมีระยะเวลาห่างกันเล็กน้อย
เราเป็นคนแรกที่ท่านอาจารย์สั่งให้ออกเดินทางแต่พอเวลาฟ้าสาง พอได้รับคำสั่งก็ออกเดินด้วยอาการยิ้มแย้ม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ก่อนการเข้าไปทำความเคารพก่อนตามระเบียบ เรามีกำลังใจอย่างสมบูรณ์ที่จะเดินให้ดีที่สุด มิให้ผู้มาทีหลังขับทันได้ เมื่อเป็นผู้ออกเดินก่อนก็จะกลับมาถึงก่อนให้จงได้
เมื่อเดินไปจนถึงเวลาสาย ก็พบเพิงซึ่งศิษย์ของสำนักนำอาหารและน้ำไปเตรียมไว้ล่วงหน้าแต่ตอนเช้ามืด เราดีใจตรงเข้าไปยังที่นั้น แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อปรากฏว่าศิษย์คนที่คอยแจกน้ำและอาหารเพียงคนเดียวนั้น เป็นผู้ที่ไม่ถูกกับเรา ต่างคนไม่พูดกันเพราะเคยทะเลาะกันมานานแล้ว เรารีบเดินออกจากที่นั้นทันที ด้วยคิดว่าทนเดินเอาอีกสักหน่อยก็จะไปกินอาหารและกินน้ำเอาข้างหน้า ดีกว่าการงอนง้อกับคนที่โกรธกัน
ครั้นเดินต่อไปอีกเป็นเวลานานประมาณเท่าระยะแรก ก็พบเพิงซึ่งมีศิษย์ของท่านอาจารย์ผู้หนึ่งนั่งคอยอยู่ คนนี้ไม่ได้โกรธกัน จึงเป็นการดีที่จะได้พักให้สบาย แต่เราก็ต้องเสียใจอย่างยิ่งที่เพิ่งแห่งนี้มีเพียงน้ำอย่างเดียว หามีอาหารแม้แต่เกลือสักเม็ดหนึ่งไม่ ตกลงเราก็ต้องดื่มน้ำต่างอาหาร เพราะไม่มีอะไรดีกว่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความหิวเริ่มรุกรานมาแล้วเมื่อถึงเพิงแรก
เรานึกในใจว่าถึงอย่างไรสู้อดทนเดินต่อไป จนถึงเพิงที่ ๓ ก็คงจะพอมีอาหารอะไรให้กินบ้าง
ทั้ง ๆ ที่หิวมากเช่นนั้น เราก็อดทนเดินต่อไปไม่หยุดยั้งเพราะยิ่งรีบเดินเท่าไร ก็หมายความว่าจะยิ่งใกล้ได้อิ่มท้องมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็ได้มาถึงเพิงกลางทางอันเป็นเพิงที่ ๓ ซึ่งเรามีความยินดีและตีราคาเพิงที่พักนั้นสูงยิ่ง ไม่ใช่เพราะอยากพักผ่อนเอนหลังหรืออย่างไร แต่เพราะต้องการอาหารเป็นที่สุด
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! เราแทบจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ เมื่อปรากฏว่าที่เพิงนั้นมีศิษย์คนที่โกรธเคืองกับเราเพราะเรื่องทะเลาะวิวาทกันนั่งอยู่ ความหิวซึ่งระดมกันมาสู่เรานั้นดูเหมือนจะเพิ่มทวีขึ้นอย่างไม่ปรานีเราเลย แต่เราก็นึกว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่จะเข้าไปงอนง้อขอกินอาหารจากคนที่โกรธกันนั้น อย่าหวังเลยว่าจะยอมทำ ตกลงเราต้องจากเพิงที่ ๓ ไปโดยยังไม่ได้แตะต้องอาหารเลย จำเดิมแต่เริ่มออกเดินทางมา
ในขณะนั้น เราเริ่มคิดหาอาหารและน้ำโดยไม่พึ่งเพิง จะแวะออกนอกทางเพื่อดูว่าจะมีน้ำหรือผลไม้อะไรอยู่บ้าง แต่เท่าที่สังเกตดู ก็หาไม้ผลยากเหลือเกิน ครั้นจะหาน้ำจากเถาวัลย์บ้างก็ไม่มีมีดติดไปด้วย นอกจากนั้นก็มีความเกรงว่าจะหลงทางไม่ได้กลับทันเวลาตามกำหนด ถ้าพลาดพลั้งอะไรลงไปคงเป็นที่เยาะเย้ยของศิษย์ทั้งหลาย กลายเป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันไปมิรู้แล้ว ในที่สุด จึงสู้อดทนเดินทางต่อไป แต่ในระยะนี้จะเนื่องด้วยจากหิวมากเกินไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ความหิวค่อยคลายลงไปมากกว่าเก่า แต่ความกระหายน้ำยังมีอยู่มาก
เราได้พยายามเดินทางต่อไป และนึกขอให้เพิงที่จะไปถึงนั้นเป็นเพิงของศิษย์ที่มิได้โกรธเคืองกัน จะได้บริโภคอาหารและดื่มน้ำให้สมกับที่ต้องทนหิวกระหายมานาน
เราดีใจมากเมื่อถึงเพิงที่ ๔ เพราะศิษย์ที่คอยอยู่นั้นเป็นผู้รู้จักชอบพอกัน แต่ก็ต้องเสียใจอีก เพราะที่เพิงนี้มีแต่น้ำเท่านั้น ไม่มีอาหารเลย
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:34:04 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #4 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 17:05:58 »
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ถ้าเป็นท่านทั้งหลาย ท่านจะทำอย่างไร จะเล่าความให้เขาฟังว่าตั้งแต่เช้ายังมิได้บริโภคอาหารเลย เพราะคนที่แจกอาหารล้วนเป็นคนที่โกรธกันทั้งนั้นได้หรือไม่ เราขอบอกว่าเราละอายใจที่จะเล่า จึงได้แต่ดื่มน้ำและนั่งพักด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ
เราเริ่มถามศิษย์ผู้ประจำอยู่ ณ เพิงที่ ๔ ว่า มีอาหารอะไรบ้างหรือไม่ ศิษย์ผู้นั้นตอบว่าเขามีอาหารมื้อเย็น ที่เตรียมมาสำหรับตนเองเพื่อบริโภคระหว่างที่เดินทางกลับ เมื่อผู้เดินทางคนสุดท้ายผ่านเสร็จแล้ว เมื่อได้ทราบดังนั้นเราก็จำเป็นต้องนิ่งอึ้ง เพราะจะไปแย่งอาหารของผู้อื่นก็ดูกระไรอยู่ ตกลงเราจึงเริ่มออกเดินทาง และคาดคะเนไว้อีกว่าเพิงที่ ๕ คงมีอาหารและมีน้ำ และคงไปพบคนที่โกรธกันอีก แล้วก็จะอดอีกทั้งอาหารและน้ำ พอคิดถึงดังนั้น ก็ให้รู้สึกว่าทุกอย่างในกายเราดูช่างหนักเหลือเกิน เพียงแต่จะย่างเท้าพาร่างกายไปก็เป็นภาระเสียเหลือประมาณ นี่ถ้าให้แบกหามสิ่งอื่นด้วยก็คงจะหมดแรงล้มลงเป็นแน่แท้
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ความคาดคะเนของเราไม่ผิดเลย เมื่อไปถึงเพิงที่ ๕ นั้นก็พบศิษย์ที่โกรธกันกับเราจริง ๆ เราแทบจะล้มพับลงเสียให้ได้ เพราะตั้งแต่เช้าจนบ่ายยังมิได้บริโภคอาหารเลย คงได้แต่เพียงดื่มน้ำในระหว่างทาง ๒ ครั้งเท่านั้น แต่ทิฐิมานะก็ทำให้เราไม่ยอมแพ้ เราอดทนเดินต่อไปอีก และสังเกตว่าคงใกล้จะกลับถึงอาศรมบ้างแล้ว เพราะตะวันบ่ายคล้อยไปมาก จากการที่สังเกตดูแสงแดดจากช่องว่างของต้นไม้ในบางครั้ง
เมื่อถึงเพิงที่ ๖ เราได้พบศิษย์ผู้รู้จักชอบพอกัน และได้ดื่มแต่เพียงน้ำเช่นเคย แต่เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องอดทนต่อสู้ต่อไป เมื่อออกจากเพิงที่ ๖ แล้ว เดินต่อไปอีกพักใหญ่จึงมาถึงอาศรม ได้เห็นท่านอาจารย์รออยู่แต่ผู้เดียว เราเข้าไปแสดงคารวะท่านเกือบไม่ไหว จะหมดแรงล้มสลบเสียให้ได้ ท่านตรงเข้ามาประคองพาไปหาที่พักผ่อน แล้วนำข้าวสาลีต้มเปื่อยกับเกลือที่กำลังร้อนใส่ภาชนะมาให้
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! เราไม่เคยนึกเลยว่าอาหารเพียงข้าวสาลีต้มเปื่อย จะเอร็ดอร่อยถึงเพียงนั้น รู้สึกว่าจะอร่อยที่สุดในชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็นึกแช่งด่าความร้อนอยู่ในใจ ที่ทำให้เราบริโภคไม่ได้ถนัดอย่างที่ใจอยาก นอกจากนั้นท่านอาจารย์ยังไม่ยอมให้เพิ่มอีกด้วยในเมื่อหมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรายังต้องการอยู่อีกสัก ๒ - ๓ เท่า
สักครู่หนึ่งก็มีราชกุมารอื่นอีก กลับมาด้วยอาการอิดโรย ไม่ต่างอะไรจากเรา ท่านอาจารย์ได้คอยต้อนรับและให้อาหารอ่อนอย่างที่ให้แก่เราเช่นเคย
เรามารู้ภายหลังว่า ท่านอาจารย์ปิดมิให้ศิษย์ทั้งหลายได้เห็นการกลับมาของพวกเรา โดยใช้ให้ไปทำธุระที่อื่นทั้งหมด เพราะต้องเดินทางหมุนเวียนกันอีกถึง ๓ วัน โดยสืบความมาก่อนว่าใครบ้างที่ไม่ถูกกัน แล้วก็จัดให้เดินทางไปพบกันในทางที่จะต้องอดอาหาร แบบที่เราประสบมาแล้ว แต่ศิษย์ชุดที่เดินทางในวันแรก เป็นผู้ต้องรับความหิวโหยมากกว่าชุดอื่น เพราะได้คัดเลือกชุดที่มีผู้ไม่ถูกกันมาก ๆ ไปเดินทาง”
เมื่อครบ ๓ วันแห่งการสับเปลี่ยนกันเดินทาง และแจกอาหารแล้ว เราจึงได้รู้กันว่า แต่ละคนก็ได้พบอะไรต่ออะไรในการเดินทางไม่มากก็น้อย เว้นแต่คนที่ไม่โกรธกับใครเลย ออกจะเป็นผู้มีโชคดีกว่าเพื่อนที่เพียงแต่เหน็ดเหนื่อย แต่ไม่ถึงกับอดอาหารอย่างตัวเรา
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:34:53 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #5 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 17:08:07 »
๗. นักปกครองที่ดี
ครั้นแล้วท่านอาจารย์ได้เรียกประชุมชี้แจงว่า แม้ไม่ต้องสั่งสอนอะไรมาก ทุกคนก็คงเรียนรู้ได้ดีแล้ว ว่าการแตกสามัคคีกันนั้น เพียงกับบุคคลบางคนก็เป็นเหตุให้เกิดความไม่สะดวกต่าง ๆ สู้กลมเกลียวรักใคร่กันไม่ได้ การอดอาหารและอดน้ำที่แล้วมา คงเป็นเครื่องสอนใจได้ตามสมควร
บางครั้งเพราะเหตุคะนองปากเพียงเล็กน้อย บุคคลก็แตกสามัคคีตั้งตนเป็นศัตรูกัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อควรทำไว้ในใจสองประการ คือ ก่อนที่จะล้อเลียนหรือว่ากล่าวใคร ควรนึกดูว่าถ้าตนเป็นผู้ถูกล้อเลียนว่ากล่าว จะโกรธเคืองหรือไม่ จะรู้สึกเก้อเขินอับอายผู้อื่นหรือไม่
ถ้าเห็นว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำเช่นนั้น จะไม่พอใจแล้ว ก็ไม่ควรกระทำต่อคนอื่น การเห็นแก่สนุกในการที่ทำให้คนอื่นให้ได้อาย เพราะการกล่าวล้อเลียนถากถางนั้น ไม่ทำประโยชน์อะไรให้เลย มีแต่จะนำความเสื่อมเสียมาแก่ทั้งสองฝ่าย ความเสื่อมเสียประการแรกก็คือ การแตกสามัคคี แต่ก็พึงทราบว่ามิได้หมายห้ามไปถึง การตักเตือนบอกกล่าวกันด้วยความปรารถนาดี”
“การทำในใจประการที่สอง คือเมื่อตัวเราถูกใครว่ากล่าวกระทบกระเทียบ ก็ควรมีอาวุธไว้สองอย่าง อาวุธอย่างหนึ่งคือความอดทน แต่ไม่ใช่อัด ๆ ไว้ เป็นการอดทนแบบมีปัญญากำกับ ช่วยระบายหรือผ่อนคลายความขุ่นเคือง
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า ขันติแบบมีโยนิโสมนสิการกำกับ คือความอดทนที่มีการพิจารณาโดยแยบคาย อาวุธอีกอย่างหนึ่งคือการให้อภัยแก่ผู้ที่ล่วงเกินเรา คนที่มีอาวุธคือการให้อภัยอยู่เนืองนิตย์จะเป็นคนหนักแน่น ไม่วู่วามเพราะถ้อยคำล่วงเกินเล็ก ๆ น้อย ๆ
การผูกใจเจ็บแค้นผู้อื่นนั้น ความจริงมันหนักอยู่ที่ใจของเราเอง ทำให้ครุ่นคิด กระวนกระวาย อยากจะเห็นเขาถึงความพินาศล่มจม ถ้าหัดให้อภัยแก่เขา ก็เป็นการช่วยตัวเราเองให้มีจิตใจเบาสบายขึ้น ปลอดโปร่งขึ้น ตกลงผลดีก็อยู่ที่ตัวเราเอง”
ครั้นแล้วท่านอาจารย์ก็ให้ศิษย์ทั้งหลายที่เคยโกรธเคืองกัน กลับดีกันหมดทุกคน ให้ขออภัยและให้อภัยกันโดยไม่ต้องย้อนไประลึกถึงเรื่องที่เป็นต้นเหตุแล้ว ๆ มาอีก
วิธีการของท่าน คือให้ศิษย์คนหนึ่งออกไปยืน ใครมีเรื่องโกรธเคืองไม่พูดกับศิษย์คนนั้นก็ก้าวออกมา น้อยคนบ้างมากบ้าง ครั้นแล้วก็ให้ทั้งสองฝ่ายประณมมือเสมออกเข้าหากัน กล่าววาจาขอขมากันตามที่ท่านอาจารย์แนะนำ โดยนัยนี้ศิษย์ทุกคนในสำนักวิศวามิตรก็ไม่มีใครที่ยังโกรธเคืองกัน ต่างเข้ากันได้โดยวิธีสั่งสอนของท่านอาจารย์ ผู้ซึ่งเราเองเคยนึกยิ้มเยาะท่านในตอนต้น ๆ ว่า มีความคิดแบบคนแก่
ก่อนปล่อยให้ศิษย์แยกย้ายกลับไป ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า “ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! การที่สอนท่านให้สามัคคีผูกไมตรีกันไว้ ดีกว่าการโกรธเคืองทะเลาะวิวาทกันนั้น เพื่อมิให้ทุกคนเสียเวลาโดยไม่จำเป็นในการเดินทางแห่งชีวิต ไม่ต้องแวะวนในระหว่างทางด้วยเรื่องไม่มีสาระอื่น ๆ ขอให้ทุกคนนึกดูว่า เราเกิดมานี้ เมื่อพอคิดอ่านและรู้เดียงสาแล้ว มีใครบ้างที่ตั้งใจไว้ว่าจะดำเนินชีวิตด้วยการทะเลาะวิวาท แท้จริงก็มุ่งหมายเดินทางไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ซึ่ง
แต่ละคนอาจตั้งความหมายไว้ไม่เหมือนกัน ว่าจะเป็นความเจริญในทางไหน เมื่อตั้งความปรารถนาไว้เช่นนั้นแล้ว จึงควรตั้งหน้าสร้างความเจริญนั้น ๆ ให้เกิดขึ้น อันเปรียบด้วยการมุ่งหน้าเดินทางไปสู่ที่หมาย โดยไม่ต้องเสียเวลากับการหยุดพักเพราะมีเหตุที่ตนเองก่อขึ้น หรือไม่รู้จักระงับในระหว่าทาง
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:35:36 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #6 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 17:09:58 »
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ตั้งแต่นั้นมาพวกเราก็เข้าใจท่านอาจารย์ดีขึ้น และเห็นว่าการตั้งสำนักศิลปศาสตร์ของท่านนั้น มิใช่เพียงให้ความรู้ความสามารถในวิชาทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมุ่งอบรมศิษย์ให้เป็นคนดี มีความเข้าใจในการดำเนินชีวิตอันถูกต้องตามหลักศีลธรรมเป็นส่วนสำคัญ
วันหนึ่ง ท่านอาจารย์เรียกศิษย์ทั้งหลายมาประชุมกันอีก แล้วตั้งปัญหาขึ้นว่า ขอให้ศิษย์ทุกคนในที่นี้ซึ่งเรียนวิชาปกครองคู่กับวิชาอื่น ๆ จงลองค้นหาความจริงอันเป็นข้อเปรียบเทียบในต้นไม้นี้ดู ท่านพูดพลางชี้มือไปที่ต้นอโศกใหญ่ ซึ่งกำลังมีใบดกหนา มีบริเวณร่มเงากว้างขวาง ต้นอโศกนี้ให้ความร่มเย็นแก่ผู้เข้ามาภายใต้ร่มเงาของมัน แต่ตัวมันเองกลับต้องตากแดดตากฝนอยู่กลางแจ้งเช่นนี้ ใครได้ข้อคิดอย่างไรขอให้บอกมา
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! เราได้กล่าวตอบท่านอาจารย์ไปว่า นักปกครองที่ดีจะต้องพยายามให้ความร่มเย็นแก่ผู้อยู่ใต้ปกครอง แม้ตนเองจะลำบากเหน็ดเหนื่อยก็จะต้องอดทน”
ท่านอาจารย์กล่าวถามขึ้นว่า แล้วใครคิดว่ามีคติอะไรอีกจากเรื่องนี้ เมื่อไม่มีใครตอบ ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า คำตอบที่เปรียบนักปกครองเหมือนต้นไม้ซึ่งให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น แต่ตนเองสู้กรำแดดคือทนต่อสู้กับความยากลำบากนั้นดีแล้ว มีข้อที่จะขอเพิ่มเติมก็คือว่า คนที่จะปกครองผู้อื่นนั้น อย่างน้อยจะต้องรู้จักปกครองตัวเองให้ได้ก่อน ถ้าไม่สามารถปกครองตัวเอง ก็จะไม่สามารถปกครองผู้อื่นได้ดี
ขอให้ดูตัวอย่างต้นไม้นี้ ก่อนที่จะสามารถให้ร่มเงาแก่ผู้เข้าไปภายใต้ได้ ก็จะต้องประคองลำต้นให้ตั้งขึ้นได้ บางคนอาจคิดว่าต้นไม้ไม่ต้องทำอะไรมากก็ตั้งลำต้นขึ้นได้ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า มันต้องใช้เวลาแรมปีหรือสิบ ๆ ปีในการส่งรากไปยึดเกาะรวมทั้งรากที่หยั่งลึกลงในดิน เพื่อมิให้ลำต้นที่โตขึ้นทุกวันโค่นล้มลง มันต้องตระเตรียมและทำงานในการช่วยตั้งตัวเองนี้ตลอดเวลาฉันใด
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ แม้จะเป็นนักปกครองหรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องมีภาระปกครองหรือควบคุมดูแลตนเองคนหนึ่งเป็นอย่างน้อย จึงควรพยายามสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเอง อย่าให้แพ้ต้นไม้ซึ่งเป็นเพียงพืชได้ คราวนี้ถ้าเป็นนักปกครองก็จะต้องสนใจในการปกครองตนเองเป็นพิเศษ เพราะถ้านักปกครองเป็นผู้ล่มจมทางศีลธรรมแล้ว เขาก็จะไม่ผิดอะไรกับต้นไม้ที่ล้ม นอกจากไม่มีใครได้เข้าไปอาศัยร่มเงาแล้ว ยังกีดขวางทางไปมา ก่อความลำบากเดือดร้อนแก่คนอื่น ๆ
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:36:31 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์
Nepal
กระทู้: 1921
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 12.0.742.122
Re: เชิงผาหิมพานต์ ภาค 2
«
ตอบ #7 เมื่อ:
24 กรกฎาคม 2554 17:12:46 »
เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการทดลองศิษย์ทุกคนซึ่งมาเรียนวิชาปกครองในที่นี้ เราขอให้เดินทางไปยังอาศรมโน้น ให้เข้าไปทางด้านหน้าแล้วออกทางประตูหลัง ตั้งแต่เข้าประตูจนออก ขอให้สังเกตพิจารณาให้ดีว่ามีอะไร เมื่อออกจากประตูหลังแล้วให้ตรงมาหาเรา เล่าสิ่งที่ตนเห็นมาให้ฟัง
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! บทเรียนจากการเดินป่าคราวที่แล้ว ทำให้ทุกคนระมัดระวังที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตน ในการเดินไปสู่อาศรมแล้วกลับมาบอกท่านอาจารย์อย่างเต็มที่ เพราะไม่มีใครเดาถูกเลยว่า ท่านอาจารย์มีความมุ่งหมายอย่างไร และท่านวางอะไรไว้บ้าง ดูเหมือนรอบ ๆ ตัวจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสงสัยชวนให้คิดไปหมด
การเดินคราวนี้เช่นเดียวกับคราวเดินป่า คือไปทีละคนเว้นระยะห่างกันพอสมควร พอย่างเข้าประตูก็พยายามสังเกตกันเป็นการใหญ่ว่าจะมีอะไรบ้าง อาศรมนั้นก็ไม่มีอะไรลึกลับที่น่าสงสัย มีแสงสว่างส่องเข้าไปอย่างเต็มที่ ทำให้มองเห็นภายในได้ถนัด”
ทุกคนดูเหมือนจะไม่สบายใจไปตาม ๆ กัน ที่ไม่เห็นมีอะไรในนั้นเลย เป็นห้องว่าง ๆ อยู่แท้ ๆ แล้วจะให้หาบทเรียนอะไรจากความว่างเปล่านั้น ผลที่ปรากฏก็คือทุกคนมาหาท่านอาจารย์แล้วบอกว่า ไม่เห็นมีอะไร เป็นอาศรมว่าง ๆ อยู่ เมื่อท่านอาจารย์ถามว่า ได้อะไรจากการดูอาศรมนั้นบ้าง ก็ได้แต่พูดอุบ ๆ อิบ ๆ ไม่เต็มปากว่าได้อะไร
ท่านอาจารย์สั่งให้เริ่มเดินไปดูใหม่อีกทีละคน โดยแนะให้ว่า คราวนี้ให้แหงนหน้าดูเบื้องบนภายในอาศรมด้วย
“ในการเดินทางครั้งใหม่ ทุกคนได้เห็นว่า เพดานของอาศรมซึ่งทำไว้ด้วยเสื่อลำแพนนั้นเอียงคล้ายจะพังลงมา และหลังคาที่มุงไว้ด้วยหญ้าก็เป็นช่องทะลุช่องใหญ่ ทั้งนี้เห็นได้จากทางที่เพดานเลื่อนหลุดลงมาแถบหนึ่งนั้นเอง”
พวกเรากลับมาหาท่านอาจารย์ แล้วกล่าวถึงเพดานและหลังคาของอาศรมนั้น แทนที่ท่านอาจารย์จะพอใจเพียงเท่านั้น ท่านกลับสั่งให้เดินกันอีกคนละเที่ยว คราวนี้ให้มองดูพื้นของอาศรม
เราได้เห็นกันอีกว่าพื้นของอาศรมด้านที่เรามิได้เดินผ่านนั้น เอียงทรุดอยู่แถบหนึ่ง และในคราวนี้หลายคนได้ตรวจดูที่ผนังด้านข้าง ด้านหน้า ด้านหลังด้วย เพื่อว่าเมื่อถูกถามจะได้ไม่ต้องเดินกันอีกหลายเที่ยว จากการสังเกตเพิ่มเติมครั้งหลังนี้พวกเราหลายคนจึงได้พบว่า ณ ผนังใกล้ประตูเข้าด้านในนั้นมีผ้าเก่า ๆ ผืนหนึ่งห้อยลงมาแนบกับผนัง เมื่อเปิดผ้านั้นดูก็เห็นข้อความที่จารึกไว้ว่า “ถ้ามองเห็นและใช้ปัญญา ก็จะพบสมบัติอันมีค่ายิ่ง แฝงอยู่ในความว่างเปล่า ไม่มีอะไรนั้นเอง
ข้อความสั้น ๆ ที่จารึกอยู่นั้น มีความหมายกว้างขวางพอใช้ ในเที่ยวที่ ๓ นี้ ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่พาซื่อ มองเห็นแต่พื้นอาศรมทรุด ยังมองไม่เห็นอักขระที่ผ้าปิดอยู่ ท่านอาจารย์จึงให้เดินอีกเที่ยวหนึ่งพร้อมทั้งสั่งให้เปิดผ้าดูว่ามีอะไรด้วย ตกลงบางคนต้องเดินถึง ๔ เที่ยว จึงไปได้คติหลังผ้านั้นมาเล่าให้ท่านอาจารย์ฟัง
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! ท่านอาจารย์ได้กล่าวสรุปในที่สุดว่า อย่าว่าแต่จะเป็นนักปกครองซึ่งต้องพินิจพิจารณาสิ่งที่พบเห็นโดยรอบคอบ ให้ทราบว่ามีอะไรบกพร่องที่ควรแก้ไขเท่านั้น แม้เป็นบุคคลธรรมดาสามัญนี้แหละ ก็จะต้องมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยใช้ปัญญา ต้องสังเกตตรวจตรา หาประโยชน์จากสิ่งที่พบเห็นให้จงได้ ข้อความที่ผ้าปิดอยู่อันแสดงว่า สมบัติมีค่าย่อมแฝงอยู่ในความว่างเปล่าได้ดังนี้ ควรเป็นคติเตือนใจให้ใช้ความคิดพิจารณาของทุกคนโดยทั่วกัน
ดูก่อนราชกุมารทั้งหลาย ! นี้คือตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่สุดในจำนวนสิบและร้อยที่ท่านอาจารย์อบรมสั่งสอนพวกเรา เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากวิชาความรู้ประจำที่ต้องเล่าเรียนศึกษาแต่ละวัน”
ท่านอาจารย์สามารถทำให้ศิษย์กลมเกลียวกันได้หมด โดยไม่มีการกระทบกระทั่งหมองใจกัน และยอมเลิกขุ่นข้องหมองใจกัน รวมทั้งสามารถทำเราซึ่งชอบพูดขัดคนให้บรรเทาความเคยชินเช่นนั้นลง เป็นเห็นอกเห็นใจคนที่พูดผิดพลาด สามารถตัดพวกเราซึ่งเป็นหนุ่มคะนองด้วยวิธีแยบคายหลายอย่างเช่นนี้
เมื่อกาลเวลาล่วงไปพวกเราก็ได้คิดกันว่า สำนักวิศวามิตรมีสิ่งพิเศษซึ่งที่อื่นไม่มีอย่างนี้เอง การเดินทางมาศึกษาจึงมิใช่เสียเวลาเปล่า และมิใช่เพียงมาเรียนวิชาความรู้ทั่ว ๆ ไป ซึ่งสอนกันอยู่แล้วในที่นั้น ๆ ความที่เคยนึกยิ้มเยาะอย่างคะนองต่อท่านอาจารย์ก็หมดไป กลายเป็นความเคารพนับถือและทำให้อดนึกไม่ได้ว่า ถ้าผู้เรียนวิชาปกครอง วิชารบในสำนักอื่น ๆ จะได้รับการอบรมอย่างที่ท่านอาจารย์กระทำแก่พวกเราบ้าง แล้วความกระหายสงครามและความวุ่นวายต่าง ๆ เพราะบกพร่องในเรื่องศีลธรรมนั้น คงจะลดน้อยลงเป็นแท้
ท่านอาจารย์หยุดเล่าชั่วขณะหนึ่ง แล้วบอกให้ศิษย์ทั้งหลายออกไปเดินพักผ่อนสักครู่ จึงค่อยมาประชุมกันใหม่ขณะนั้นดวงจันทร์ยังไม่ขึ้น ความมืดคงแผ่คลุมอยู่ทั่วไป แม้จะเป็นความมืดที่ไม่สนิททีเดียว เพราะยังมีแสงอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็เคลื่อนไหวในความมืดนั้นด้วยความระมัดระวัง
มองไปในลำน้ำโรหิณียังพอเห็นกระแสน้ำสลัว ๆ ไม่ถนัด อากาศเย็นสดชื่น นกราตรีเริงร้องเป็นบางครั้ง แต่เสียงแมลงและสัตว์เล็ก ๆ ดังติดต่อกัน ยังคงเป็นพื้นของเสียงราตรีอยู่ทั่วไป
{ขอยุติเชิงผาหิมพานต์ลงแต่เพียงเท่านี้ก่อนโอาสหน้าพบกันใหม่}
http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 กรกฎาคม 2554 17:37:43 โดย 時々sometime
»
บันทึกการเข้า
โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?
คำค้น:
ภาค 2
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
เชิงผาหิมพานต์ ภาค 1
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
時々๛कभी कभी๛
11
8828
23 กรกฎาคม 2554 16:35:04
โดย
時々๛कभी कभी๛
กำลังโหลด...