[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 พฤศจิกายน 2567 02:25:34 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายแรงแล  (อ่าน 3002 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 12 เมษายน 2553 08:13:07 »




เมื่อลูกข้าพเจ้าป่วยด้วยโรคร้ายแรงและเรื้อรัง
โดย นางศิราณี เอกัคคตาจิต 38/31บ้านธรรมรัตน์
ซอยธานี11 ถ.ธานี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ 31000
โทร ,แฟ็ค 044-615040

ครอบครัวเรามีลูก 4คน ผู้ชายล้วน พ่อบ้านชื่อ นพ.ศิริพงษ์ เอกัคคตาจิต รับราชการทำงานที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จบแพทย์จุฬารุ่น 24 ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ซี 9 ข้าพเจ้าเป็นแม่บ้านเต็มขั้น และความไม่เที่ยงก็เกิดขึ้น เช้าวันที่26 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ตื่นเช้ามาดูลูกคนที่ 3 ชื่อศักดา เอกัคคตาจิต เขาบอกยืนได้ขาข้างเดียว เจ็บข้อเท้าและเข่ามาก เราก็ไม่คิดว่าเป็นอะไรมาก เป็นจังหวะใกล้จะเปิดเทอมแรกของการเข้ามหาวิทยาลัย เขาเรียนแพทย์ศิริราชโดยสอบเข้าโคต้า แพทย์ศิริราช และสอบแข่งขันวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2539 ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช 2อาทิตย์ หมอบอกให้ยาแก้ปวด แล้วดูอาการ ให้ใช้ไม้เท้าไปเรียนได้ 2อาทิตย์ ปรากฏว่าอาการกำเริบเจ็บขยายมาที่หัวไหล่ทั้ง2ข้าง ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนี้หมอตรวจอาการแล้วถามข้าพเจ้าว่ามีลูกกี่คน ตอบว่ามี 4คน คนโตทำงานแล้ว คนที่2 เรียนแพทย์ขอนแก่น คนป่วยเป็นคนที่3 รู้สึกหมอที่ถามมีสีหน้าดีขึ้นเพราะเขารู้แล้วว่าโรคที่ลูกเป็นอยู่นี้เข้าข่ายปวดข้อจูวีหน่ายรูมาตอย เพราะเจ็บข้อก่อนอายุ 17 ปีซึ่งค่อนข้างร้ายแรง เพราะแม้สถิติการรักษาต่างประเทศก็ยาก มีให้ได้ก็ยาแก้ปวดเท่านั้น เป็นมากหลายปีหน่อยก็จะพิการได้ หมอที่รักษาเขาก็บอกให้แม่ทำใจ และให้ยาแก้ปวดมากินที่บ้าน ความรู้สึกของแม่แทบล่มสลาย วันแล้ววันเล่าไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น จุกปวดกระเพาะอาหารขนาดหนักเพราะกินยาแก้ปวด กินยาเคลือบกระเพาะอาหารเต็มที่ ก็ยังเจ็บท้องอยู่ นรกบนดินเป็นเช่นนี้เอง กินยาแก้ปวดข้ออย่างแรงเช้าเย็นแก้ได้ชั่วคราวต้องกินประจำแม้ปวดกระเพาะอาหารก็ต้องกิน เจาะเลือดค่าอีเอสอาร์อยู่ระหว่าง50-90 มม.ต่อชม.ซึ่งค่าปรกติไม่เกิน 20 มม.ต่อชม.

กินยามากจนถึงหูอื้อแต่ก็ยังไม่ดีขึ้นช่วงนี้เขาก็ไปอยู่วัดกับหลวงพ่อ 5-6เดือน ทำเรื่องลาเรียน 1ปีระยะนี้ขาเริ่มลีบเพราะเจ็บข้อเท้ามากต้องนอนกับที่ เราเป็นชาวพุทธช่วงไหนที่จิตมีสมาธิก็อธิฐานขอให้ลูกได้พบหนทางรักษาที่ถูกต้องด้วยเถิดจะได้หยุดยาแก้ปวดนี้เสียที ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จะขวนขวายทำแต่ความดี แล้วโชคก็มาถึง วันที่7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ดร.พรพรรณและคุณเฉซึ่งเป็นญาติกับอาจารย์นิศา เชนะกุล ได้มาที่บ้านเพื่อไปกราบหลวงปู่ที่วัดเขาน้อย เขามาเห็นลูกชายป่วยเขาก็แนะนำให้ทานนมธัญญพืช และน้ำผักปั่นที่มีคุณค่าอาหารโดยทานนมธัญญพืชก่อนอาหารวันละ1แก้วและน้ำผักปั่นวันละ4-5แก้วทานได้20วันหมอก็ให้เจาะอีเอสอาร์ดูปรากฏว่าอีเอสอาร์ลดเหลือ36มม.ต่อชม.

ลูกชายก็ร้องออกมาว่าเขาคงรอดตายและหายได้จากการทานอาหารนี้ก็เริ่มมีกำลังใจรับประทานนมธัญญพืชและน้ำผักปั่นมากขึ้นกินนมธัญญพืชและน้ำผักปั่นอย่างละ6-7แก้วทุกวันและแช่น้ำร้อนสลับกับน้ำเย็นอย่างละ3นาทีและเริ่มไปอยู่วัดอีกเพื่อจะได้อยู่กับธรรมชาติ นอนหัวค่ำ(3ทุ่ม)และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด พอทานได้ 1เดือนก็หยุดยาทุกชนิด อีเอสอาร์ก็ลดลงเรื่อยๆ เหลือ 20มม.ต่อชม. ต่อมาก็เหลือ 12 ก็เท่ากับคนปกติ เจาะอีกครั้งหนึ่งก่อนไปเรียนวันที่1มิถุนายน 2541ค่าอีเอสอาร์เท่ากับ1มม.ต่อชม. เม็ดเลือดแดงจาก 33% เป็น 48% เม็ดเลือดขาวจาก 13500 ก็เหลือ 6500 พอไปเรียนได้ 5-6 เดือน เขาก็สามารถบริจาคเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชได้ ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดแม้นเพื่อนหมอด้วยกันก็รู้สึกเหมือนปาฎิหาริย์ใครจะคาดคิดว่าจะหายจากโรคด้วยอาหาร




Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กรกฎาคม 2553 05:30:03 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 12 เมษายน 2553 08:40:34 »




ข้าพเจ้าจึงต้องการเผยแพร่ให้ผู้ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรังลองมาดื่มน้ำผักปั่น และนมธัญพืช อย่างละ8-12แก้วต่อวันเพื่อไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อยาแก้ปวดข้อและยาป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศทำให้เสียดุลย์การค้าระหว่างประเทศ และให้นอนแต่หัวค่ำ 3ทุ่ม ทำจิตใจให้เบิกบาน นั่งสมาธิ ถ่ายอุจจาระทุกวันโดยกินอาหารที่มีกากใย ซึ่งเป็นอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง ได้แก่เมล็ดธัญพืช ผักสด ผลไม้สด ไข่ขาว ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ สัตว์ปีก กินแต่เนื้อ ปลาโดยนึ่งหรือต้มไม่ควรทอด เพราะจะมีไขมันมาก ไม่กินอาหารกระป๋องเพราะต้อง ผ่านขบวนการปรุงแต่ง ทำให้เสียคุณค่าอาหาร ไม่นอนอยู่ใกล้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยอย่าให้มีเครื่องทีวี ,วิทยุ,เครื่องคอมพิวเตอร์และตู้เย็นอยู่ในห้องนอน ออกกำลังกาย ทำกายภาพบำบัด เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ ก็อาจหายจากโรคปวดข้อเรื้อรังและไม่มีความพิการของแขนขาข้างที่ปวดข้อได้โดยปกติ



สูตรน้ำผักปั่น

ผักกาดหอม 2 ใบ (กล้ามเนื้อกระดูก เส้นเอ็น และทำให้ปอดแข็งแรง)
คื่นฉ่าย 2 ก้าน (ช่วยการหมุนเวียนโลหิตและหลอดเลือดแข็งแรง)
มะเขือเทศ 1 ลูก (เม็ดเลือดแข็งแรง)
หอมใหญ่ 1/4 ลูก ( หัวใจ แข็งแรง)
น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ ( ให้พลังงานรวม)
มะนาว 1 ลูก (ช่วยฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน)
แอปเปิ้ล 1 ลูก (ให้พลังงานสำรองม้ามสูงมาก)
น้ำเปล่า 2-4 แก้ว

วิธีล้างผัก
ข้อควรระวังเรื่องการล้างสารพิษตกค้าง


น้ำส้มสายชู 1ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1ลิตร แช่ผัก 1 กก. นาน 45 นาที กรณีพืช ผักและผลไม้มากควรใช้อ่างใบใหญ่ และแช่พืช ผักในอ่างที่ผสมน้ำส้มสายชู แล้ว เมื่อล้างเสร็จแล้วปั่นกินได้เลยผักที่เหลือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ปั่นวันหลัง

ปั่นส่วนผสมทั้งหมดแล้วต้องกินทันทีถ้าจะเก็บไว้กินต้องแช่ตู้เย็นไว้ ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 1วัน


สูตรนมธัญพืช

1. เม็ดบัว 1 ส่วน

2. ลูกเดือย 1 ส่วน

3. ข้าวกล้อง 1 ส่วน

วิธีทำ

แช่เม็ดบัว และลูกเดือยในน้ำร้อน 2 ชม. แล้วนำไปต้มจนสุกประมาณ ครึ่งชม. หุงข้าวกล้องจนสุก แล้วเอามาอย่างละ1 ขีดหรือ 100 กรัม ปั่นจนเข้ากันดีใส่น้ำสะอาดต้มสุกพออุ่นพร้อมกัน จะได้นมธัญพืชที่มีคุณค่าอาหารดื่มได้เลย แต่มันจะจืด ถ้าใส่นมไวตามิ้นคนให้เข้ากันจะได้นมธัญพืชที่หวานตามจำนวนที่ใส่ตามต้องการ ถ้าต้องการเก็บเม็ดบัวและลูกเดือยที่ต้มสุกแล้วเอาไว้ปั่นกับข้าวกล้องวันหลังให้แช่ไว้ตู้เย็นช่องแข็งจะเก็บไว้ได้นาน







เอกสารอ้างอิง

ดร. รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ ความรู้เบื้องต้นเรื่องสุขภาพและธรรมชาติ
โดยชมรมบ้านสุขภาพสมุทรปราการและระยอง

เอกสารเผยแพร่ ปี 2540
โทร 02-3944267


Credit by : http://hospital.moph.go.th/Bureerum/myson.html
Pics by : Google

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาค่ะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 03:45:00 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 12 เมษายน 2553 09:10:23 »




อายจัง อายจัง อายจัง



บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.662 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 05 พฤศจิกายน 2567 10:19:41