การบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานทักษิณานุปทาน เมื่อมีผู้ตายลง ถ้าผู้นั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ เช่น เป็น ปู่ ย่า ตา ยาย บิดามารดา หรือเป็นที่เคารพนับถือมากเป็นอุปัชฌาย์ อาจารย์ พอทราบว่าท่านสิ้นลมปราณแล้วก็ให้บุตรหลานเหลนหรือศิษยานุศิษย์ที่อยู่ในที่นั้น พร้อมกันกราบศพเป็นการคารวะส่งวิญญาณของท่าน ต่อนี้ให้จัดการเอาเทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ บาท ไส้ ๙ เส้น จุดไว้ทางศีรษะศพ เทียนนี้ต้องเตรียมไว้ก่อน ถ้าหาไม่ทันจะจุดตะเกียงตั้งไว้ก็ได้ ส่วนศพให้เอาผ้าคลุมไว้ให้มิดชิดไม้ให้เห็นหน้า จะกางมุ้งไว้ด้วยก็ได้ แล้วเตรียมจัดการอย่างอื่นต่อไป (อย่ามัวเศร้าโศก ให้มีสติอดกลั้นไว้บ้างงานอื่นที่จะต้องทำยังมี)
๑. เตรียมหาผู้ทำหน้าที่ห่อและมัดศพไว้ แจ้งเวลารดน้ำศพ จะใช้ส่งบัตร ส่งทางวิทยุกระจายเสียง หรือให้คนไปบอกก็ได้ตามแต่สะดวก แก่ญาติมิตรของผู้ตาย
๒. เตรียมหีบใส่ศพ ขี้ผึ้งทำเป็นแผ่นขนาดเท่ารูปหน้าศพปิดทองคำเปลว หรือใช้แต่ขี้ผึ้งล้วน ๆ ก็ได้ไว้สำหรับปิดหน้าศพเวลาเอาเข้าหีบ ผ้าขาวกว้างยาวให้พอห่อศพ ด้ายดิบ ผ้าคลุมหีบ ภูษาโยง
๓. เตรียมต้มน้ำอาบศพ ผิวมะกรูดตำกับขมิ้นชันสดคั้นเอาน้ำไว้ทาศพเมื่ออาบน้ำแล้ว จะใช้น้ำต้มกับสบู่ฟอกทำความสะอาดแก่ศพก็ได้
๔. เตรียมหาดอกบัวเล็กๆหรือดอกไม้อื่นก็ได้ ธูปและเทียนนอย่างละหนึ่งสิ่ง ถ้ามีหมากพลูก็เอาหมากพลู ๑ คำ รวมเย็บกรวยใส่ไว้สำหรับใส่มือศพ
๕. เตียงเล็กๆ สำหรับวางศพเวลารดน้ำ ขันรับน้ำรดมือศพ น้ำหอมจัดใส่พานตั้งไว้บนโต๊ะข้างศพ เวลารดน้ำศพผู้รดพึงนึกในใจว่า อิทํ มตกสรีรํ อุทกํ วิยอโหสิกมฺมํ แปลว่าร่างกายที่ตายแล้วนี้ เป็นอโหสิกรรมเหมือนน้ำที่รดลงไปนี้ เป็นการขอขมาเพื่อความเป็นอโหสิกรรมต่อกันเป็นครั้งสุดท้าย
๖. เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวศพ ควรเลือกเอาของที่ผู้ตายรักและชอบ กับหวีใส่พานตั้งไว้
๗. เตรียมที่ตั้งศพและเครื่องตั้งศพ มีพานดอกไม้ แจกัน เชิงเทียน กระถางธูป เป็นต้น พร้อมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน จะใช้มากหรือน้อยสุดแต่จะตั้ง
๘. กระทงเล็ก ๘ กระทง ใส่อาหารอย่างละเล็กละน้อย เทียน ๘ เล่ม ขั้นน้ำ ๑ ขัน สำหรับเบิกหีบ
๙. เครื่องใส่ในหีบศพกันกลิ่นกล้า ก็มีขมิ้นผง กระดาษฟาง ใบชา ใบฝรั่งตำ หรือใช้ยาฉีดเข้าในศพกันกลิ่นได้ก็ยิ่งดีกว่าอย่างอื่นหมด เมื่อเอาศพเข้าหีบแล้ว ก็ยกขึ้นตั้งบนที่ซึ่งเตรียมไว้เสร็จแล้ว ต่อไปนี้ก็จัดการบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานศพต่อไป
๑. บังสุกุลปากหีบ
๒. สวดพระอภิธรรม
๓. บำเพ็ญกุศลสัตตมวาร ปัญญสมวาร สตมวาร
๔. บำเพ็ญกุศลเนื่องในงานฌาปนกิจ
๕. บำเพ็ญกุศลอัฐิ๑. บังสุกุลปากหีบเมื่อจัดตั้งหีบศพเรียบร้อยแล้ว มีการบังสุกุล วิธีนี้เรียกว่าบังสุกุลปากหีบ (ถ้าเป็นโกศก็เรียกว่าบังสุกุลปากโกศ) บางมติว่าเสร็จพิธีรดน้ำศพแล้ว ก่อนเอาเข้าหีบจึงมีพิธีบังสุกุลก็มีจะใช้พระ ๕ รูป หรือ ๑๐ รูปก็ได้ แต่พระต้องเตรียมนิมนต์ไว้ก่อน มิฉะนั้นจะขลุกขลักชักช้า
การบังสุกุล จะให้ถูกแก่เรื่องก็ต้องมีผ้าทอด จะเป็นผ้าไตรจีวร อังสะ ผ้าขาวพับหรือผ้าเช็ดหน้าก็ได้ ตามแต่จะสะดวกและหาได้ทัน เพราะคำว่า “บังสุกุล” เป็นชื่อใช้เรียกผ้าที่เปื้อนฝุ่น โดยที่เดิมทีภิกษุเที่ยวแสวงหาเก็บผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ เช่น ป่าช้า กองหยากเยื่อร้านตลาด เป็นต้น ตลอดจนผ้าที่เขาห่อศพได้แล้วเอาไปซักเย็บย้อมทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เคยเสด็จไปชักผ้าที่เขาห่อศพนางปุณณทาสี ทรงทำเป็นจีวรทรงเรียกว่า “มหาบังสุกุลจีวร” คำนี้ยังใช้เรียกผ้าที่เขาทอดบนหีบศพ เวลาจะฌาปนกิจ และภิกษุไปชักบังสุกุลว่า “ชักมหาบังสุกุล” โดยอนุโลมสืบมาจนบัดนี้
ครั้นต่อมาภายหลัง มีผู้เห็นภิกษุเที่ยวแสวงหาผ้าโดยวิธีนั้น มีศรัทธาปรารถนาจะให้ภิกษุได้ผ้าโดยวิธีซักผ้าบังสุกุล จึงได้นำผ้าไปทอดไว้ที่ศพบ้าง ตามกิ่งไม้ใกล้ทางเดินบ้าง ตามกองหยากเยื่อบ้าง จึงเรียกวิธีหาผ้าของภิกษุด้วยอาการเช่นนั้นว่า “ชักบังสุกุล” ไม่ใช่เป็นชื่อของพิธี ของด้ายสายสิญจน์หรือของภูษาโยงที่ทอดไว้ แต่จะเนื่องด้วยขาดผ้าจะทอดหรือหันเข้าหาความสะดวก แต่ต้องการจะให้บังสุกุล จึงได้กลายมาจากความหมายเดิมเหลืออยู่เพียงพิธีใช้ด้ายสายสิญจน์โยงมาจากศพ หรืออัฐิ แล้วให้พระจับด้ายสายสิญจน์ทำพิธีชักบังสุกุล เสร็จแล้วถวายกัปปิยภัณฑ์ (เงิน) แทนผ้าอยู่โดยมาก แต่ที่ยังรักษาธรรมเนียมเดิมใช้ผ้าทอดอยู่ก็ยังมีบ้าง
วิธีทอดผ้า ให้เอาผ้าวางทอดคามขวางบนด้ายสายสิญจน์หรือภูษาโยง และวางให้ตรงหน้าภิกษุผู้ชัก
อนึ่ง ควรทราบ และระวังในเรื่องด้ายสายสิญจน์และภูษาโยงที่ทอดโยงมาจากศพหรืออัฐิ ถ้ายังไม่ได้เก็บไปให้พ้น ห้ามข้ามเป็นอันขาด ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทข้ามศีรษะศพ เพราะเป็นของโยงมาจากศีรษะศพเป็นการเสียมรรยาทอย่างแรง เวลาบังสุกุลแล้วจะถวายของต้องเก็บเสียก่อน๒. สวดพระอภิธรรมที่สำหรับนั่งสวดพระอภิธรรม วิธีจัดอาสนพึงทราบตามที่กล่าวแล้ว ในตอนว่าด้วยการจัดอาสนในการมงคล จะใช้ยกพื้นตั้งเตียงให้สูงขึ้น หรือจัดกับพื้นธรรมดาก็ได้แต่ต้องกะให้พอแก่พระ ๔ รูป จะนั่งสวดได้ไม่เบียดกันและต้องจัดที่บูชาตั้งพระพุทธรูปอีกที่หนึ่งด้วย
เครื่องบูชาพระธรรมเวลาพระสวด จะใช้เชิงเทียนคู่ ๑ แจกันดอกไม้คู่ ๑ กระถางธูป ๑ ที่ ตามธรรมดาก็ได้ จะใช้อย่างตั้งกระบะเครื่องบูชาก็ได้ ตั้งเครื่องบูชาหน้าตู้พระธรรม ต้องมีตู้พระธรรม ๑ ตู้ ตั้งหน้าพระสวด
การที่นิมนต์ภิกษุมาสวดพระอภิธรรมหรือสวดพระอภิธัมมัตถสังคหะในงานศพนั้น ความประสงค์ก็เพื่อจะให้เจ้าภาพได้สดับธรรมเป็นการบรรเทาความทุกข์โศก ไม่ใช่สวดให้ศพฟังหรือสวดเฝ้าศพเพื่อแก้เงียบเหงา ซึ่งเจ้าภาพศพบางรายก็ขอร้องให้พระสวดนอกเรื่อง เป็นการตลกเฮฮา เสียสมณสารูปไปก็มี ไม่ใช่นิมนต์มาสวดให้เป็นการบุญนอกเรื่องแท้ๆ
เวลาสวดนั้น เห็นว่าเพียงสี่ทุ่มเป็นพอดี หรืออย่างดึกเพียงสองยามไม่มีเหตุจำเป็นจะให้พระสวดอยู่จนตลอดรุ่ง ถ้าเพียงคืนเดียวก็พอทำเนา หากถูกหลายคืนเข้าก็จะทำให้เสียอนามัย เรานิมนต์พระมาสวดเป็นการบุญ ไม่ใช่มาเป็นยามเฝ้าศพ ต้องรู้จักกาลอันควร๓. บำเพ็ญกุศล สัตตมวาร ปัญญาสมวาร สตมวารเมื่อศพยังมิได้บรรจุหรือทำฌาปนกิจเสียในระหว่างถึง ๗ วันก็มีนิยมบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร คือ ทำบุญ ๗ วัน กิจอันเกี่ยวด้วยการจัดสถานที่ ตั้งที่พระพุทธรูป เป็นต้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ว่าด้วยการมงคล ต่างแต่ในการนี้ไม่ต้องใช้สายสิญจน์วงบ้าน และให้พระถือ ไม่ต้องตั้งภาชนะน้ำมนต์
กำหนดวันบำเพ็ญกุศลสัตตมวารนั้น ถ้าถึงแก่กรรมวันพฤหัสบดี ก็สวดมนต์เย็นวันพุธ (ถ้าจะมีกงเต๊กด้วยก็ให้มีแต่วันพุธ) รุ่งขึ้นในวันพฤหัสบดีจะเลี้ยงพระเช้าหรือเพลก็ตามแต่จะสะดวก ถ้าจะทำบุญให้เสร็จในวันเดียวก็มีสวดมนต์เลี้ยงพระเช้าหรือเพลในวันที่ถึงแก่กรรม ส่วนการบำเพ็ญกุศลในงานนี้ โดยปกติถ้าทำเป็นสองวันก็มีสวดมนต์เย็น เสร็จแล้วก็มีเทศน์แล้วบังสุกุล หรือจะเลื่อนการบังสุกุลไปไว้ตอนวันรุ่งขึ้น เมื่อเลี้ยงพระแล้วก็ได้ ตอนกลางคืนวันสวดมนต์ก็มีสวดพระอภิธรรม ถ้าทำเป็นงานวันเดียว ก็มีสวดมนต์เลี้ยงพระแล้วมีเทศน์บังสุกุลกลางคืนสวดพระอภิธรรม เรื่องการบำเพ็ญกุศลนี้ที่ถือเป็นเกณฑ์อยู่ก็สวดมนต์เลี้ยงพระ นอกนั้นจะมีหรือจะลดเสียก็สุดแต่กำลังของเจ้าภาพ
เครื่องไทยธรรมสำหรับพระเทศน์ก็ดี พระสวดมนต์ก็ดี บังสุกุลก็ดี ควรมีผ้าด้วย จะได้ทอดเมื่อเทศน์จบพระสวดมนต์ฉันแล้ว ก่อนถวายไทยธรรมอื่นๆ และทอดเวลาบังสุกุล
ในงานนี้มีธรรมเนียมว่า ถ้ามีสวดมนต์แล้วมีเทศน์ในลำดับต่อไป ตอนสวดมนต์ไม่ต้องอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตรทีเดียว ตอนมีเทศน์จึงอาราธนาศีล
อนึ่ง ในงานศพถ้าจัดให้มีเครื่องบูชาพิเศษที่เรียกว่าเครื่องทองน้อย หรือเครื่อง ๕ เพราะประกอบด้วยเชิงเทียน ๑ เชิงปักธูป ๑ กรวยใส่พุ่มดอกไม้ ๓ ตั้งหน้าศพด้วย เมื่อประสงค์จะให้เป็นการที่ศพบูชาเวลาพระสวดมนต์หรือเทศน์ ก็ให้ตั้งเอาธูปและเทียนไว้ข้างในกรวยพุ่มดอกไม้ไว้ข้างนอก ถ้าประสงค์จะให้เป็นการที่เจ้าภาพบูชาศพ ก็ให้เอาธูปเทียนไว้ข้างนอก กรวยดอกไม้ไว้ข้างใน เทียนอยู่ขวามือคนจุด ธูปอยู่ซ้าย
เวลาจุด ถ้าประสงค์ให้ศพบูชา ไม่มีเทศน์ให้จุดตอนเวลาสวดมนต์ มีเทศน์ให้จุดตอนพระเทศน์ ถ้าประสงค์ให้เป็นการเจ้าภาพบูชาศพ ให้จุดหลังจากการจุดเครื่องบูชาพระพุทธรูปแล้ว เมื่อครบ ๗ สัปดาห์ คือ ๔๙ วัน ก็มีการบำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร คือทำบุญ ๕๐ วันอีกครั้งหนึ่ง ถึงแก่กรรมวันไหนก็เลี้ยงพระวันนั้น เช่นถึงแก่กรรมวันอังคารก็เลี้ยงพระให้ตรงกับวันอังคาร
เมื่อครบร้อยวันก็มีการบำเพ็ญกุศลสตมวารอีกครั้งหนึ่ง แต่การนับวันต้องขาด ๒ วัน จึงจะตรงกับวันถึงแก่กรรม เพราะนับ ๑๔ สัปดาห์คือ ๙๘ วัน ส่วนการบำเพ็ญกุสลต่างๆ ก็มีสวดมนต์เลี้ยงพระมีเทศน์บังสุกุล และสวดพระอภิธรรมเหมือนทำบุญสัตตมวารทั้งสองคราว๔. บำเพ็ญกุศลเนื่องในงานฌาปนกิจการฌาปนกิจศพนั้น จัดทำบุญที่บ้านแล้วชักศพไปวัด มีเทศน์ บังสุกุลแล้วทำฌาปนกิจ หรือถ้าที่บ้านไม่สะดวก ก็ชักศพไปวัดแล้วจัดการบำเพ็ญกุศลแล้วจึงทำฌาปนกิจ หรือเมื่อศพอยู่วัดแล้วก็จัดทำที่วัดเหมือนกัน บางรายก็มีการบำเพ็ญกุศลที่เรียกว่า ทำบุญเปิดศพ เช่น สวดมนต์เลี้ยงพระ มีเทศน์แล้วจึงจัดการบำเพ็ญกุศลเนื่องในการฌาปนกิจต่อไป บางรายก็ไม่มี ถ้าเจ้าภาพศพประสงค์จะทำเมื่อไร ที่ไหน ควรจะเตรียมการดังนี้
๑. ติดต่อเจ้าอาวาสหรือผู้จัดการฌาปนสถานของวัด ในเรื่องเมรุ เครื่องตั้งศพและอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการฌาปนกิจ
๒. มะพร้าว ๑ ผล กะเทาะเปลือกให้หมด ปอกให้ขาวสำหรับล้างหน้าศพเวลาจะฌาปนกิจ สตางค์ ๓๒ สตางค์สำหรับซื้อที่ฌาปนกิจ สตางค์สำหรับทิ้งทานก่อนฌาปนกิจ
๓. โกศสำหรับใส่อัฐิ เงินเหรียญหรือสตางค์ขาวแดงก็ได้ ดอกพิกุลเงินหรือทอง ถ้าไม่มีใช้ดอกมะลิแทนก็ได้ สำหรับโปรยอัฐิเวลาจะเก็บ
๔. ของชำร่วย จะแจกหนังสือ ผ้าเช็ดหน้า หรือของอื่นๆก็ได้
๕. เครื่องกัณฑ์เทศน์ก็มีผ้า เช่น ผ้าไตร ดอกไม้ ธูปเทียน หมากพลู บุหรี่ ไม้ขีดไฟ ใบชา เป็นต้น เงินบูชาธรรม รวมใส่ตะลุ่ม ถาด หรือพานก็ได้ ตั้งเป็นเครื่องกัณฑ์ ยิ่งกว่านี้ก็มีพัด ย่าม เครื่องใช้ต่าง ๆ ยิ่งได้ของรักของชอบใจของผู้ตายก็ยิ่งดี ใส่ตู้ประดับให้ดูงามทำเป็นเครื่องสังเค็ต
๖. ผ้าไตร จีวร สบง หรือผ้าห่มหนาวก็ได้สำหรับทอดชักมหาบังสุกุลเวลาจะฌาปนกิจ ๓ ไตร หรือ ๓ ผืน ก็ได้
๗. พระสวดหน้าไฟ ๔ รูป พระนำศพ ๑ รูป
๘. เครื่องสามหาบ ผ้าไตร จีวร หรือสบงก็ได้ ๓ ไตร หรือ ๓ ผืน เตา ๓ เตาทาดินสอพอง ไม้คาน ๓ อัน สาแหรก ๓ คู่ พันผ้าขาว หม้อขาว ๓ หม้อ ทาดินสอพองใส่ข้าวสาร หม้อแกง ๓ หม้อ ทาดินสอพองใส่ของแห้ง เช่น พริก หอม กะปิ เกลือ นอกจากนี้จะมีอะไรอีกก็ได้ สำหรับคาวหวาน ๓ คู่ ใส่อาหารคาวหวานเสร็จจะใช้ปิ่นโต ๓ คู่ บรรจุอาหารแทนสำรับก็ได้ พิธี ๓ หาบนี้จะทำอย่างสังเขปเพียงสำรับคาวหวานหรือปิ่นโต ๓ คู่ บรรจุอาหารคาวหวาน ผ้าจีวรหรือสบงอย่างละ ๓ ผืนก็ได้
พิธีเดินสามหาบ ให้บุตรหลานและญาติของผู้ตายแต่งเครื่องขาวไว้ทุกข์ จัดสามหาบไปฌาปนสถาน ในหาบหนึ่งๆ มีหม้อข้าวหม้อแกงและเตารวมใส่ถาดใส่สาแหรกข้างหนึ่ง สาแหรกอีกข้างหนึ่งใส่สำรับคาวหวานสำหรับพระฉันในวันนั้นเหมือนกันทั้ง ๓ หาบ แล้วหาบไปคนละหาบ เดินเวียนเมรุไปทางซ้าย ๓ รอบ มีคนถือผ้าไตรนำหน้าไปคนละไตร เวลาเดินให้คนข้างหน้ากู่เรียกกันวู้ ๆ แล้วคนอยู่ข้างหลังกู่รับกันไปครบ ๓ รอบ แล้วตั้งหาบเรียงกันไว้ที่อาสนสงฆ์ แล้วเอาผ้าไตรไปทอดที่กองฟอน เวลาเก็บอัฐิพระชักบังสุกุล ครั้นเก็บอัฐิแล้วจึงถวายสำรับคาวหวานแก่พระสงฆ์ ๓ รูปนั้น จะฉันในที่นั้นหรือจะเอาไปฉันที่วัดก็ได้ พิธีของหลวง พระฉัน ณ ที่นั้นอนุโมทนาแล้วจึงกลับ
อนึ่งเวลาจะเก็บอัฐิ เมื่อแปรรูปและบังสุกุลเสร็จแล้ว ก่อนเก็บอัฐิให้ประพรมอัฐิด้วยน้ำหอม แล้วเอาดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ถ้าไม่มีเอาดอกมะลิแทน หรือเหรียญเงิน สตางค์ขาวแดงก็ได้โปรยลงบนอัฐิ แล้วให้บุตรหลานเก็บเงิน และทองนั้นเอาไปใส่ไว้ในที่เก็บเงิน สมมติว่าอัฐิเงินอัฐิทอง รักษาทรัพย์เป็นของดีให้เกิดความเจริญงอกงาม แล้วจึงเลือกเก็บอัฐิไปอย่างละเล็กละน้อย ใส่โกศไว้สำหรับสักการบูชา เพื่อเป็นที่ระลึกเมื่อมีกำลัง และสามารถอยู่ถึงวันมรณกรรมครบรอบในปีหนึ่ง จะได้บำเพ็ญกุสลมตกวัต อุทิศกุสลไปให้เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีตามวิสัยของสัปปุริสชนต่อไป๕. บำเพ็ญกุศลอัฐิ ในการทำบุญอัฐินี้ ให้จัดที่บูชา ๒ ที่ พระพุทธรูปที่ ๑ อัฐิที่ ๑ แต่ที่บูชาอัฐิให้จัดต่ำกว่าที่บูชาพระพุทธรูป มีสายสิญจน์โยงจากอัฐิใส่พานตั้งไว้ที่นั้นด้วย เมื่อพระฉันแล้วจะได้ชักบังสุกุลแล้วจึงถวายไทยธรรมต่อไป ให้ใช้สายสิญจน์วงบ้านและให้พระถือสวดมนต์ พร้อมด้วยตั้งภาชนะน้ำมนต์ได้ เพราะศพทำฌาปนกิจแล้ว วิธีต่างๆ มีการจัดที่สวดมนต์ เป็นต้น พึงทราบและปฏิบัติตามที่ได้กล่าวมาแล้วในงานมงคล
วันนี้ทางบ้านก่อนอัฐิมาถึง ให้เจ้าภาพออกทุกข์แต่งสีไว้รับอัฐิ เพราะเป็นวันออกทุกข์เมื่อประสงค์จะไว้ทุกข์ต่อไปอีกก็ควรเอาไว้ในวันต่อไป เวลาอัฐิมาถึงบ้านให้เชิญอัฐิบรรพบุรุษในบ้านออกไปรับ และโปรยสตางค์ทิ้งทานเรื่อยไป จนถึงที่บูชาสำหรับตั้งอัฐิ แล้วจึงเริ่มบำเพ็ญกุศลต่อไป
ถ้าเจ้าภาพประสงค์จะบรรจุอัฐิเลยทีเดียว ก็ต้องสร้างที่บรรจุเตรียมไว้ เมื่อเสร็จงานทำบุญเจ็ดวันแล้วจะได้บรรจุ เวลาบรรจุ ก่อนเอาอัฐิเข้าบรรจุก็มีบังสุกุลเวลาเอาอัฐิเข้าบรรจุก็มีพระสวดชยันโตคัดจาก - หนังสือศาสนพิธี ของ พระเทพเมธี เจ้าคณะจังหวัดธนบุรี จัดพิมพ์เพื่อแจกเป็นธรรมบรรณาการแก่ผู้ไปร่วมในงานการแสดงออกซึ่งกตัญญูกตเวทิตาธรรม แด่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณราชรัตนมุนี (แช่ม จนฺนทาโภ ป.ธ.๗) เจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๑๓
- หนังสือดังกล่าวได้แนะแนวการพิธีทำบุญ เพื่อให้งานมีจังหวะเรียบร้อยงดงาม เหมาะแก่กาลเทศะเป็นสำคัญ และไม่เป็นที่สับสนแก่เจ้าภาพ