การละลาย สาทธนะแห่งเทวดาที่เราปฏิบัติอาจมีรายละเอียดของ
การปฏิบัติกายทั้งสาม แต่ก็เพียงพอที่จะกล่าวอย่างย่อดังต่อไปนี้ เรา
เริ่มด้วยการเตือนตัวเองให้ระ ลึกถึงการถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และบ่มเพาะแรงกระตุ้นโพธิจิตทาง ใจ เพื่อบรรลุการตรัสรู้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วเราฝึกคุรุโยคะ อันเป็น รากฐานของเส้นทางตันตระ เราสร้างมโนภาพเป็นอาจารย์ตันตระมาอยู่ตรง หน้า และเห็นท่านหรือเธอดั่งเป็นตัวแทนของคุณสมบัติการตรัสรู้ทั้งปวง ที่เราปรารถนาที่จะตระหนักรู้ได้ในตนเอง เราจินตนาการว่า
คุรุมาที่เหนือ ศีรษะเรา ละลายเป็นแสงและลงสู่หัวใจ เมื่อคุรุจมลงในตัวเราเช่นนี้
เรา สร้างมโนภาพว่าเราประสบภาพการตายหลากหลาย อันเป็นหนทางสู่อรุณ รุ่งแห่งสติสัมปชัญญะสว่างกระจ่างอันละเอียดอ่อนที่สุด ด้วยวิธีนี้เราทำ สมาธิถึงการวมตัวของปัญญาความสุขของคุรุกับจิตใจอันละเอียดอ่อนที่สุด ของเรา วาดภาพความทรงจำของการรับเข้าที่เรารับและติดต่อกับความกระ จ่างและเมตตาของคุรุ เราควรจินตนาการการรวมตัวกันเพื่อความสุขที่สุด เท่าที่จะทำได้ ยิ่งเราสามารถประสบความสุขเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อกระบวนการ แปรเปลี่ยนเท่านั้น
ประสบการณ์ละเอียดอ่อนอันเป็นสุขของการรวมตัวนี้ อยู่เหนือความคิด อันเป็นสองธรรมดาของเรา ดัง
รูปลักษณ์ธรรมดาทั้งหมดละลายลงสู่ที่ว่าง ของปัญญาอันไม่เป็นสอง และความสุขมหาศาลพร้อม ๆ กัน เราเพ่งไปที่ การละลายเป็นจุด ๆ เดียวเท่าที่จะทำได้ เราควรคิดว่า
" นี่เป็นกายสัจจะแห่ง การตรัสรู้ ( ธรรมกาย ) และนี่คือผู้ที่ฉันเป็นจริง ๆ " ด้วยการะบุว่าตนเอง สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยธรรมกาย เรา
แปลงประสบการณ์แห่งความ ตายธรรมดาสู่เส้นทางการตรัสรู้เมื่อเราทำ
สมาธิถึงธรรมกายเช่นนี้ ความคิดของตนเองที่เรายึดก็จะพังทลาย ลงบ้าง นี่เป็นสิ่งที่ดีพอที่จะทำให้เรามีคุณสมบัติดั่งการมี
ประสบการณ์แห่ง ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง อย่าเพิ่งหมดกำลังใจและคิดว่า " ฉันไม่ได้ตระ หนักถึงสิ่งใดในความว่างเปล่าเลย ฉันไม่แม้แต่เข้าใจคำว่าความว่างเปล่า หรือวิธีที่จะฝึกเลย " อย่าคิดเช่นนี้ เพราะความคิดเช่นนี้เป็นเพียงอุปสรรค ในที่สุดแล้ว เรามี
ประสบการณ์บางอย่างแห่งแสงสว่างกระจ่างในระดับหนึ่ง เราตายมาหลายครั้งในอดีต และ
ตันตระอธิบายว่ากระบวนการตายทางกาย เกี่ยวพันกับการค้นพบแสงกระจ่างและคุณสมบัติอันไม่เป็นสองแห่งความ บริบูรณ์ ไม่เพียงแต่
ขณะที่กำลังจะตาย แต่ขณะหลับและ
ถึงจุดสุดยอดทาง เพศ เราก็ได้ลิ้มรส
ความบริบูรณ์อันสว่างกระจ่างนี้ด้วยในระดับหนึ่ง ประ สบการณ์นี้พังความคิดอันหนักแน่นของจิตใจแห่งการสงสารตัวเอง ทำให้ จิตใจละเอียดอ่อนลงบ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าท่านควรจะเข้าใจความ ว่างเปล่าลึกซึ้งเพียงใด มันเพียงพอแล้วที่ท่านควรจะเข้าใจความว่างเปล่า ลึกซึ้งเพียงใด มันเพียงพอแล้วที่ท่านไม่เกี่ยวข้องกับความคิดอันหนักแน่น ของสิ่งนั้นสิ่งนี้
เพียงปล่อยวางและอนุญาติให้การยึดทั้งหมดละลายสู่ที่ว่าง กว้างขวางอันกระจ่างแจ้งคงความตื่นตัวและรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะที่ตื่นตัวนี้คือ
ปัญญาที่โอบล้อม จักรวาลกว้างแห่งที่ว่างอันสะอาดกระจ่าง ในที่ว่างนี้ การสงสารตัวเอง การคร่ำครวญและการร้องทุกข์เกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีอยู่ มันไม่มีอยู่ โดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ใจอยู่ในที่ว่างที่เป็นอิสระจากปริศนาที่สัมพันธ์กัน ทั้งปวง และเป็นอิสระจากหน้าที่ผิด ๆ ทั้งหลาย รับรู้สิ่งนี้ว่าเป็น
ประสบ การณ์ธรรมกายอันแท้จริงเป็นสภาวะสะอาดกระจ่างที่ปราศจากแม้แต่ ความคิดขยะเพียงเล็กน้อยนิด ว่างจากสมบูรณ์จากความขัดแย้งในอัตตา อันสับสน มันเป็นความจริง และท่านเพียงให้
จิตใจสถิตอยู่ที่นั่นอย่าง ตื่นตัวบางทีที่รู้สึกไม่สบายใจกับคำอธิบายเรื่อง
ประสบการณ์อันสว่างกระจ่าง นี้ ท่านอาจถกเถียงด้วยสติปัญญาว่า " เดี๋ยวก่อน ธูปเท็น เยเช่ ถ้าท่าน พูดว่าความว่างเปล่าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความว่างเปล่าของที่ว่าง ท่านผิด แล้ว ท่านทำให้เรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่งเป็นเรื่องง่ายเกินไป นี่ไม่ใช่มุมมอง ของมัญชุศรี นี่ไม่ใช่ปรัชญาของมาธยมิกา ความว่างเปล่าที่แท้ไม่เหมือน กับเพียงสมมติให้ละลายลงสู่ที่ว่าง "
ท่านสามารถโต้แย้งเช่นนี้ ท่านสามารถโต้เถียงประเด็นปรัชญาที่ดีทั้ง ปวง และพิสูจน์ว่าการละลายลงสู่ที่ว่างไม่ใช่สิ่งที่หมายความโดยความ ว่างเปล่า แต่ที่จริงแล้วนี่เป็นข้อโต้แย้งขยะทำไมน่ะหรือ เพราะว่าวิธี การทางปัญญาสู่ความว่างเปล่ามักกลายเป็นอุปสรรคในการค้นพบประ สบการณ์จริงแห่งความว่างเปล่าดั่งที่ว่าง หรือโต้แย้งและโต้เถียงชั่ว ชีวิต แต่ก็จะเป็นการเสียเวลาโดยสิ้นเชิง
จริงอยู่ว่าในการศึกษาของเรา เราพยายามที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องตาม ปรัชญาของความว่างเปล่าเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจเช่น เดียวกับท่านนาคารชุน และปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญสมาธิทั้งหลายเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้ ระหว่างการทำสมาธิ เราไม่ต้องห่วงกับการศึกษาและการ วิเคราะห์ เราห่วงแค่การกระทำ และในบริบทแห่งการทำให้
ประสบ การณ์แสงกระจ่างแห่งธรรมกายเป็นจริง คุรุชาวอินเดียและธิเบตกล่าว ว่าที่ว่างเป็นตัวอย่างอันดับแรกเพื่อความเข้าใจการไม่เป็นสอง หรือ ความว่างเปล่า
เพื่อจะมีประสบการณ์
ความว่างเปล่าที่แท้ ท่านต้องเริ่มที่ใดที่หนึ่ง ท่าน ต้องมีประสบการณ์หรือรสชาติบางอย่างว่าการไปไกลกว่าปริศนาสามัญ แห่งกาสร้างอัตตาของสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเช่นไร นี่คือประเด็นหลัก เราต้อง ปล่อยความคิดหยาบ หนักแน่น และจำกัดทั้งปวง ที่ทำให้เราติดอยู่ใน ความคิดไม่พอใจสามัญของตนเองและทุกสิ่งออกบ้าง
จากมุมมองทางปรัชญา กล่าวกันว่าใน
ความว่างเปล่าไม่มีรูปร่าง ไม่มี เสียง ไม่มีกลิ่น ฯลฯ มุมมองเช่นนี้สามารถแปลเป็นประสบการณ์จริง โดย
ทุกสิ่งละลายลงสู่ที่ว่างด้วยวิธีของการซึมซาบประสบการณ์แห่ง ความตาย ในเวลาแห่งการละลายนั้นจิตของท่านไม่มีทางที่จะดึงดูดติด ต่อกับโลกแห่งประสาทสัมผัสที่คุ้นเคย ใน
ที่ว่างสว่างกระจ่างของความ ว่างเปล่า ไม่มีสี กลิ่น ความรู้สึก ฯลฯ ปริศนาอันแคบแห่งความเป็น สองทั้งปวงหายไปและเป็นผลให้สภาวะที่ว่างอันไม่เป็นสองนี้ และรู้ สึกว่าการทำเช่นนี้ ท่าได้ไปถึง
ธรรมกายที่แท้ คือปัญญาไร้ความคลุม เครืออันสมบูรณ์