.รอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี
เป็นอีกหนึ่งความเชื่อของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธเจ้า
เชื่อว่าหากใครได้ไปกราบไหว้บูชา
เปรียบเสมือนกับได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ถือเป็นสิริมงคลต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง "เขาคิชฌกูฏ"ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพ จาก :
www.tlcthai.com(ผู้โพสท์ไปกราบรอยพระพุทธบาทในยามค่ำคืน
ซึ่งจำนวนคนมีมากมายมหาศาล ไม่สามารถถ่ายภาพได้สะดวก)
ซอสแม็กกี้ บนยอดเขาคิชกูฎในยามค่ำคืนประมาณ 4 ทุ่ม
บรรยากาศเต็มไปด้วยไอหมอกคละคลุ้ง
ภาพที่ปรากฎในกระทู้นี้จะมีแต่ความมัวๆ คิดซะว่าดูชมแก้กลุ้ม! ก็แล้วกัน
พิชิตยอดเขาคิชกูฎ จังหวัดจันทบุรีกราบรอยพระบาทพระบรมศาสดา อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏครอบคลุมพื้นที่อำเภอมะขาม และอำเภอเขาคิชฌกูฏ อุทยานแห่งนี้เป็นต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำจันทบุรี สภาพป่าในบริเวณนี้มีทั้งป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา และป่าไม้ผลัดใบ มีสมุนไพรและกล้วยไม้ป่านานาชนิด รวมทั้งมีพันธุ์ไม้หายากคือ ไม้กฤษณา มีสัตว์ป่าชุกชุม เช่น กระทิง เสือ หมี กวาง เก้ง เลียงผา และนกชนิดต่างๆ ตามลำห้วยมีปลาพลวง ปลาก้าง ปลาหนวด ปลาดุกรำพัน อาศัยอยู่
รอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏจังหวัดจันทบุรี พบโดยบังเอิญโดยพรานกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อประกฎคือ นายติ่ง นายนำ นายปลิ่ม นามสกุล สิงขรบาท ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๗ กลุ่มนายติ่งและคณะได้ขึ้นไปหาของป่า ซึ่งเมื่อขึ้นไปจะต้องไปทำที่พัก เพราะต้องไปค้างแรมบนเขาครั้งละหลายๆ วัน การขึ้นไปครั้งนี้นายติ่งและคณะเกิดหลงป่า พยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่สามารถหาทางกลับที่พักได้ และจะออกมาที่เดิมคือบริเวณลานหิน (รอยพระบาทในปัจจุบัน) สมัยนั้นลานบาทไม่ลาดเอียงเหมือนปัจจุบัน ที่สุดนายติ่งและคณะก็นั่งพักและปรึกษากันถึงสาเหตุการหลงป่า ในขณะที่นั่งพักนั้นก็ไปนั่งตรงบริเวณที่เป็นรอยพระบาทในปัจจุบัน สมัยนั้นบริเวณดังกล่าวจะมีหญ้างอกขึ้นในจุดที่เป็นรอยพระพุทธบาท ขณะที่ไปนั่งพักกันนั้น คนในกลุ่มก็ไปเจอแหวนนาคเข้าวงหนึ่ง นายติ่งก็คิดว่าใครเอาของมีค่ามาซุกซ่อนไว้ตรงนี้ จึงช่วยกันค้นหา แต่ก็ไม่พบ จึงมาพิจารณาตรงบริเวณที่นั่ง เห็นมีหญ้างอกขึ้นเพียงจุดเดียว จึงช่วยกันถอนหญ้าและทำความสะอาด หวังจะพบของมีค่าบ้าง แต่ก็ไม่พบของมีค่าอะไร แต่สิ่งที่พบกลับเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่ ในขณะนั้นนายติ่งและคณะไม่มีความรู้เรื่องรอยพระพุทธบาท จึงคิดไปว่าน่าจะเป็นรอยท้าวของผู้มีฤทธิ์ จากนั้นก็เกิดความกลัวว่าจะมีโทษเกิดขึ้นไปเพราะไปหยิบเอาของมีค่าเขาออกมา จึงพากันขอขมาต่อรอยเท้านั้น จากนั้นจึงพากันบอกกล่าวขอให้รอยเท้าของผู้ศักดิ์สิทธิ์นี้จงช่วยดลบันดาลให้ตนและคณะกลับที่พักได้ด้วยเถิด ซึ่งก็น่ามหัศจรรย์ นายติ่งและคณะสามารถหาทางกลับที่พักได้อย่างง่ายดาย จากนั้นจึงพากันเดินทางกลับลงไปด้านล่างตามปกติ
ต่อมาภายหลังนายติ่งและคณะมีลูกหลานที่อายุครบบวช จึงได้พาลูกหลานของตนไปฝากวัด โดยไปฝากที่วัดพลับ ซึ่งอยู่ในอำเภอเมืองในขณะนั้น พอครบกำหนดงานบวช ก็พาญาติพี่น้องไปร่วมงานบวช การเดินทางในสมัยนั้นจากบ้านพลวงถึงวัดพลับ ต้องใช้เวลาในการเดินทางถึงสองวัน หลังจากไปร่วมงานบวชเสร็จก็ต้องค้างแรมที่วัดพลับนั้น ประจวบกับที่วัดพลับมีการจัดงานบุญประจำปี นายติ่งและญาติพี่น้องก็ไปร่วมงานบุญและร่วมปิดทองรอยพระบาทจำลอง ขณะที่ปิดทองรอยพระบาทจำลองนั้น ก็พิจารณารอยพระบาทจำลองไปด้วย และก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองเคยพบรอยเท้าซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน แต่ที่พบบนเขาจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า จึงพากันปรารภพูดคุยเรื่องที่ตนไปพบรอยท้าวที่บนยอดเขา
ที่สุดความก็ทราบไปถึงหลวงพ่อเพชร ท่านพ่อเพชรจึงได้เรียกนายติ่งและคณะเข้าไปสอบถามเรื่องราวที่นายติ่งได้กล่าวว่าได้เคยพบรอยพระบาทบนยอดเขา นายติ่งก็เล่าสิ่งที่ตนเองได้พบให้ท่านพ่อเพชรได้ฟัง เมื่อท่านพ่อเพชรฟังแล้วก็สนใจเป็นอย่างมาก จึงได้ปรึกษากับนายติ่งและคณะว่า ถ้าหลวงพ่อและคณะพร้อมเมื่อใดจะนำกันไปหา และขอให้นายติ่งและคณะได้นำท่านพ่อเพชรและคณะเพื่อขึ้นไปบนเขาตรงที่นายติ่ง ได้พบรอยเท้าที่มีความเหมือนกับรอยพระพุทธบาทจำลองของวัดพลับ ต่อมาท่านพ่อเพชรจึงได้นำคณะของท่านไปพบนายติ่ง จากนั้นนายติ่งและพวกก็นำท่านพ่อเพชรและคณะขึ้นไปบนเขา เพื่อจะไปพิสูจน์ว่าเป็นจริงดังที่นายติ่งได้พูดหรือไม่ เทื่อคณะของนายติ่งนำท่านพ่อเพชรและคณะขึ้นไปถึงยังจุดดังกล่าว และพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว จึงเข้าไปสำรวจดูตรงบริเวณดังกล่าว ซึ่งก็น่ามหัศจรรย์เพราะมีหินก้อนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนแผ่นหินขนาดใหญ่ จากนั้นก็ไปสำรวจดูที่บริเวณรอยเท้า ท่านพ่อเพชรและคณะได้พิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ทั้งหมดก็ลงความเห็นว่า เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ท่านพ่อเพชรจึงปรารภกับทุกคนว่า เป็นบุญลาภของชาวจันทร์ที่ได้มีสิ่งอันล้ำค่าอย่างนี้ จากนั้นจึงพากันกราบไหว้ ด้วยความปลาบปลื้มใจ และพากันเดินทางกลับ
จากนั้น ท่านพ่อเพชรและคณะลูกศิษย์จะพากันขึ้นมากราบไหว้รอยพระพุทธบาททุกปีๆ ละครั้ง จึงถือได้ว่าหลวงพ่อเพชรเป็นพระสงฆ์ที่ได้นำพาให้เกิดประเพณีของการกราบไหว้บูชารอยพระพุทธบาท แต่ในสมัยนั้นไม่มีคนรู้จักแพร่หลายเหมือนในปัจจุบันนี้ ที่มา :
th-th.facebook.com บันทึกโดย เขาพระบาทพลวง จันทบุรี และ thai.tourismthailand.org