[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะจากพระอาจารย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: พัดลมเพดานหมุนติ้ว ที่ 21 ตุลาคม 2557 12:36:00



หัวข้อ: ญาณทัศนะของหลวงปู่มั่น หยั่งรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของศิษย์
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลมเพดานหมุนติ้ว ที่ 21 ตุลาคม 2557 12:36:00
ญาณทัศนะของหลวงปู่มั่น หยั่งรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของศิษย์

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10659431_10153334428896490_5001976527671848803_n.jpg?oh=0490760f925240056d7b9602b5f8aa20&oe=54C535FA&__gda__=1420481455_0303913a4773e8aad7ad8bb2b3fa4a93)

หลวงปู่มั่นเปิดเผยแก่พระเณรว่า พระอาจารย์เนียมไม่น่าเป็นห่วง เพราะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และไปอุบัติใน "พรหมโลกชั้นอาภัสรา" (เรื่องนี้บันทึกลงในประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
(เรื่องเล่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ)
เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ท่านพระอาจารย์เล่าเองบ้าง พระอาจารย์เนียม โชติโก เล่าบ้าง

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พอไปถึงวันแรกก็เจอเข้าแล้ว พักที่ริมป่า การต้อนรับ การจัดสถานที่จากชาวบ้านอย่าหวัง
มีแต่พื้นดินและร่มไม้เท่านั้น เป็นสถานที่พัก เวลาเช้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านนั่งจับกลุ่มผิงไฟกัน

พอเห็นท่าน ก็ถามว่า "ตุ๊เจ้ามาเอาหยัง" ดีแต่เขาพูดภาษาคำเมืองได้

ท่านตอบว่า "ตูมากุมข้าว"

เขาเอาข้าวสารมาจะใส่บาตรให้ ท่านบอก "ตูเอาข้าวสุก"

จึงเอาข้าวสุกมาใส่บาตรให้ เขาถาม "กินกับหยัง"

"สูกินหยัง ตูก็กินนั้น"

เขาถาม "หมูสับสูกินก๊า"

ตอบ "กิน"

เขาเอาเนื้อหมูดิบมาให้ ท่านบอก "ตูบ่มีไฟปิ้ง เอาสุก"

เขาก็เอาเนื้อสุกมา

เขาถาม "พริกเกลือ สูกินก๊า" เขาก็เอามาใส่บาตรให้

ตอนขากลับ ชาวบ้านตามมาหลายคน เขามาเห็นที่พัก เขาถาม "ตุ๊เจ้านอนบ้านบ่ได้ก๊า"

ตอบ"นอนได้"

"ตูจะเยียะบ้านให้ เอาก๊า"

"เอา"

"ตุ๊เจ้าเยียะบ่ได้ก๊า"

"เยียะบ่ได้ เขาบอก

"ตูเยียะบ่ถือ บอกเน้อ" (ท่านพระอาจารย์ว่า คำนี้เป็นคำปวารณา เราก็ใช้เขาได้ตามพระวินัย)

เขามาจัดที่พักจนเสร็จ และมาบอกรับใช้ปวารณาทุกวัน

ท่านถือโอกาสแนะนำสั่งสอนเขา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจครอบครัว เพราะเขาจนมาก เขาทำไร่เลื่อนลอย ปลูกพืชผลทุกชนิด แต่ไม่พอกิน ต้องเอาของป่าลงมาแลกข้างล่าง ลำเลียงขึ้นไปกินกัน ท่านบอก ไม่ให้บุกเบิกถางป่าต่อ ให้ทำซ้ำที่เดิมที่เคยทำมาแล้ว 1-2 ปี เขาบอกว่า"บ่งามก๊า" ท่านรับรองว่างาม เขาก็เชื่อ

เพื่อนสหธรรมิกมีพระมหาทองสุก สุจิตโต พระอาจารย์มนู พระอาจารย์เนียม โชติโก และน้องชาย (พระอาจารย์เนียม)ชื่อโยมแพง

การทำไร่แบบชาวเขานี้ พระอาจารย์เนียมท่านเชี่ยวชาญมาก เพราะท่านเคยทำสมัยยังไม่บวช ท่านจะชี้แนะเริ่มตั้งแต่ การขุด การพรวนดิน การปลูก การหว่านข้าวไร่ และพืชอื่นๆ มีข้าวโพด ฟักทอง ฟักแฟงแตงเต้าทุกชนิด หลังปลูกมีการดายหญ้า พรวนดิน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ตามสูตรของท่าน ปีนั้นพืชผลงอกงามดีมาก

ลืมบอกไปว่า ชาวเขาชอบเลี้ยงหมูไว้รับประทานเนื้อทุกครัวเรือน ฆ่ากินแจกเพื่อนบ้าน แลกข้าวบ้าง ข้าวโพดเป็นอาหารหมูของเขา

ริมทางขณะไปบิณฑบาต ข้าวโพดฝักใหญ่กำลังผลิดอกออกผล ท่านอาจารย์เนียม นักเกษตรจำเป็นพบเห็นทุกวัน แต่ไม่เห็นเขาปิ้งเผาใส่บาตรสักที
ท่านก็เลยบอกเขาว่า "สูเอาข้าวโพดปิ้งใส่บาตรให้ตูกินบ้างก๊า"

เขาตอบ "ข้าวโพดของหมูกินก๊า"

ท่านว่า "ตุ๊เจ้าก็กินได้ก๊า"

เขาว่า "ตุ๊เจ้าอยากกินอาหารหมู" ตั้งแต่วันนั้นเขาปิ้งใส่บาตรทุกวัน

ตามริมทางยอดฟักทองงอกงามน่ารับประทาน แต่เขาไม่กินกัน ท่านอาจารย์เนียมนักเกษตรจำเป็นก็บอกอีกว่า "สูแกงหมูก็เอายอดฟักทองใส่ลงไปด้วย"
เขาบอก "หมูก็ลำ (อร่อย) พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ยอดฟักทองอีก"

ท่านอาจารย์เนียมพอเจอคำว่า หมูก็อร่อยพอแล้วจะใส่ยอดฟักทองอีกทำไม ท่านก็อ้ำอึ้ง ครุ่นคิดอยู่ในใจ ไม่รู้จะพูดให้เขาเข้าใจอย่างไร

เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่นถือเป็นเรื่องขบขันมาก ทุกครั้งที่เล่าเรื่องนี้ ท่านจะหัวเราะชนิดหัวเราะใหญ่อย่างขบขัน แม้ผู้เล่าและผู้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้

คำตอบมีอยู่ว่า ที่ให้เอายอดฟักทองใส่แกงหมูนั้น ยอดฟักทองงามน่ากินและมีมาก ใส่ยอดฟักทองเพื่อประหยัดเนื้อหมู และทำให้มีรสชาดยิ่งขึ้นไปอีก เพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกด้วย นี่คือคำตอบ

ปีนั้นและปีต่อๆ มา พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวเขาอุดมสมบูรณ์ ทำบุญใส่บาตรรับพร เสียงสาธุการลั่นไปหมด กล่าวขวัญกันว่า ได้อยู่ได้กินเพราะบุญตุ๊เจ้าแต๊แต๊

(พระอาจารย์เนียม โชติโก ภายหลังมามรณภาพที่วัดป่าบ้านหนองผือ ท่านพระอาจารย์มั่นพาเผาศพกลางวัดในวันที่มรณภาพนั้น และได้เปิดเผยแก่พระเณรว่า พระอาจารย์เนียมไม่น่าเป็นห่วง เพราะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และไปอุบัติในพรหมโลกชั้นอาภัสรา เรื่องนี้มีบันทึกชัดเจนอยู่ในหนังสือประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต -ภิเนษกรมณ์)