[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 22 พฤศจิกายน 2554 15:46:08



หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๗ รังดักแด้
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 22 พฤศจิกายน 2554 15:46:08


(http://hiddenyogin.com/awareness_holders/large/naropa.jpg)

ชัมบาลา : บทที่ ๗ รังดักแด้

" หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองไว้
ภายในรังนั้นเองที่เราพยายามสืบต่อนิสัยใจคอเฉพาะตัวไว้
เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐานของนิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่
อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์
ออกมาสู่โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย "

......ในบทก่อน เราพูดกันถึงรุ่งอรุณแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วเราคุ้นเคยกับความมืดของโลกแห่งอาทิตย์อัสดงมากกว่าแสงสว่างของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น หัวข้อที่จะพูดถัดมาก็คือการเข้าเผชิญกับความมืดมน เมื่อพูดถึความมืดนี้เราหมายถึงการปิดตัวเองอยู่ในโลกที่คุ้นเคย ซึ่งเราสามารถหลบซ่อนหรือนอนหลับได้อย่างปลอดภัย ดังประหนึ่งว่าเราอยากจะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดา และซ่อนตัวอยู่ในนั้นตลอดกาล เพื่อว่าจะได้หลีกเลี่ยงการจุติออกมาสู่โลก เมื่อยามที่เราหวาดกลัวการตื่นขึ้นมาและกลัวที่จะสัมผัสได้ถึงความกลัวของตนเอง เมื่อนั้นเราก็จะสร้างรังดักแด้ขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันเราไว้จากญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เราสมัครใจที่จะซ่อนตนอยู่ในป่าและในถ้ำของตนเอง เมื่อเราซ่อนตัวจากโลกด้วยอาการดังนี้ เราก็ย่อมรู้สึกปลอดภัย เราอาจคิดว่าเราได้ทำให้ความกลัวสงบราบคาบลง แต่โดยแท้จริงแล้ว เรากลับทำให้ตัวเองตกตะลึงจังงังด้วยความกลัว เราหุ้มห่อตัวเองด้วยความคิดที่คุ้นเคย เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งที่เจ็บปวดหรือแหลมคมมาทิ่มแทงเราได้ เราหวาดกลัวความกลัวของตนอย่างเหลือเกิน จนกระทั่งทำให้หัวใจของตนชาด้าน
 
.....หนทางของคนขลาดคือการสานทอรังขึ้นมาห่อหุ้มตัวเองไว้ ภายในรังนั้นเองที่เราพยายามสืบต่อนิสัยใจคอเฉพาะตัวไว้ เมื่อเราสร้างรูปแบบพื้นฐานของนิสัยและความคิดขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นเราก็ไม่มีทางผ่านพ้นออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ออกมาสู่โลกภายนอกอันสดชื่นได้เลย ตรงข้ามกลับห่อหุ้มตัวเองไว้ในสิ่งแวดล้อมอันดำมืดของตน มีเพื่อนอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือกลิ่นเหงื่อไคลของตนเท่านั้น เรากลับถือเอาเจ้ารังดักแด้อันอับชื้นนี้ว่าเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูล และเราก็ไม่ปรารถนาที่จะสละละเจ้าความทรงจำดี ๆ เลว ๆ เลว ๆ ดี ๆ นี้ไปเสีย ในรังดักแด้นั้นไม่มีการเริงรำ ไม่มีการเดินเหินหรือหายใจ ไม่มีแม้แต่การกระพริบตา มันสุขสบายและง่วงงุน เป็นบ้านและที่พำนักอันคุ้นเคยอย่างยิ่ง ในโลกของรังดักแด้นั้นเป็นสิ่งเช่นการทำความสะอาดในฤดูใบไม้ผลิไม่เป็นที่รู้จัก เรารู้สึกว่าการทำความสะอาดไม่เป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป เป็นงานหนักเกินไป เราอยากจะเพียงแต่กลับไปหลับไหลเท่านั้น
 
.....ในรังดักแด้ไม่รู้จักแสงสว่างเลย จนกว่าเมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกต้องการความเปิดโล่ง เกิดมีความปรารถนาในบางสิ่งบางอย่างที่นอกเหนือไปจากกลิ่นเหงื่อไคลของตนเอง เมื่อใดที่เราพิจารณาดูความมืดอันแสนสบายนั้น มองดูมัน ดมและสัมผัสถึงมัน และพบว่าห้วงมืดนั้นน่าหวาดหวั่นแรงกระตุ้นแรกสุดที่ชักนำเราออกจากความมืดดำของรังดักแด้ ไปสู่แสงสว่างของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นั้นคือ ความปรารถนาในอากาศสดชื่น ในทันทีทันใดที่เราเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของอากาศสดชื่น เราก็จะตระหนักว่า แขนขาของเราถูกบังคับให้งองุ้มอยู่ เราอยากที่จะเหยียดมันออกและก้าวเดินไป เริงรำหรือแม้แต่กระโดดโลดเต้น เราประจักษ์ได้ว่ามีทางเลือกอื่นอีกนอกจากรังดักแด้ เราค้นพบว่าเราอาจหลุดพ้นจากกับดักนี้ได้ อาศัยแรงปรารถนาในอากาศสดชื่น ในสายลมเย็นฉ่ำแห่งความเบิกบานใจ เราก็ได้ลืมตาขึ้น เริ่มมองดูค้นหาสภาพแวดล้อมอื่นที่น่าพึงใจกว่ารังดักแด้ของเราและเราจะต้องประหลาดใจเมื่อเริ่มแลเห็นแสงสว่าง แม้ว่าหะแรกจะแลดูมืดมัวก็ตามที การเจาะผ่านรังดักแด้เริ่มจากจุดนี้เอง
 
.....ครั้นเมื่อเราเริ่มตระหนักได้ว่าเจ้ารังดักแด้อันตนเคยใช้เร้นกายนั้นเริ่มเป็นสถานที่อันไม่น่าอภิรมย์ เราก็ต้องการที่จะเปิดแสงสว่างให้ส่องเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ แต่โดยแท้จริงแล้ว เราไม่ได้กำลังเปิดแสงสว่างเลยเราเพียงแต่เปิดตาให้กว้างขึ้น แลหาแสงที่เจิดจ้าที่สุด ด้วยเหตุนี้เราจึงจับไข้ เป็นไข้ของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ แต่เราจำเป็นต้องมาทบทวนถึงความมืดในรังดักแด้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะเกิดกำลังใจก้าวไปเบื้องหน้า เราต้องมองย้อนกลับไปดูความแตกต่างของสถานที่ที่เราผละจากมา
 
.....ถ้าเราไม่มองย้อนกลับไป เราก็จะพบอุปสรรคในการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความจริงของฟากฝ่ายอัสดง เราคงไม่สามารถเพียงแค่ปฎิเสธโลกแห่งรังดักแด้อย่างลอย ๆ เท่านั้นกระมัง แม้ว่าโลกนั้นจะแลดูน่าสะพรึงกลัวและไร้สาระก็ตาม หากเราจะต้องปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ ที่แท้จริงต่อประสบการณ์ในด้านที่มืดมิดของเราเช่นเดียวกับของผู้อื่น มิเช่นนั้นแล้วการเดินทางออกจากรังดักแด้ของเรา จะกลายเป็นเพียงการหยุดพักผ่อนของโลกอัสดงเท่านั้น หากปราศจากการมองย้อนกลับเพื่อเปรียบเทียบเราก็มีแนวโน้มที่จะสร้างรังดักแด้ขึ้นมาใหม่ในโลกอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ เช่นกัน มาบัดนี้ เมื่อเราได้ละทิ้งความมืดดำไว้เบื้องหลังแล้ว เราย่อมรู้สึกได้ว่าเราอาจนอนอาบแดดอย่างนิ่งนอนใจบนพื้นทรายได้
 
.....แต่เมื่อไรที่เรามองย้อนกลับไปดูรังดักแด้และได้แลเห็นถึงความทุกข์ทรมานซึ่งดำรงอยู่ในโลกของคนขลาด การแลเห็นนั้นจะช่วยอุดหนุนเป็นแรงใจให้เราก้าวต่อไปในหนทางของการเป็นนักรบ มิใช่การเดินทางแบบการเดินทางในทะเลทราย ซึ่งได้แต่จับตามองเส้นขอบฟ้าเบื้องหน้า ทว่ามันคือการเดินทางไปภายในตัวเอง ดังนั้นเราจึงเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ มิใช่อยู่ในฐานะของสิ่งที่อยู่นอก เหมือนดังเช่นอาทิตย์ในฟากฟ้า หากแต่เป็นอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหัวของเรา อยู่ในหลังและในไหล่ อยู่ในหน้าและในผม ในริมฝีปากและในทรวงอก ถ้าเราพิจารณาท่าทาง นิสัยใจคอ การดำรงอยู่ของเราให้ดี เราจะพบคุณลักษณะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ สะท้อนอยู่ในทุก ๆ แง่มุมของการดำรงอยู่
 
.....จากสิ่งนี้เองก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้วยกาย หรือ ด้วยจิต ด้วยโลกหรือ ด้วยธรรม เราอาจรู้สึกได้ว่าเราดำเนินชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม จะมีความรู้สึกสมบูรณ์เต็มเปี่ยมอุบัติขึ้นกับชีวิต ดังว่าเรากำลังถือทองคำแท่งอยู่ในมือ มันทั้งหนัก ทั้งเต็ม ส่องประกายทองระยิบ มีบางสิ่งบางอย่างในภาวะการดำรงอยู่ของมนุษย์ซึ่งจริงอย่างยิ่งและลุ่มลึกอย่างยิ่ง จากความรู้สึกอันนี้เอง ความรู้สึกสมบูรณ์อย่างใหญ่หลวงจะหลั่งล้นออกไปสู่ผู้อื่น ความจริงก็คือการสรรสร้างความสุขสมบูรณ์ขึ้นมาในโลกของเรา ได้กลายเป็นวินัยรากฐานของความเป็นนักรบ วินัยนี้มิได้หมายถึงสิ่งที่ไม่น่ายินดีหรือฉาบฉวยซึ่งถูกกำหนดออกมาจากภายนอก หากแต่วินัยนี้คือกระบวนการซึ่งเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันซึ่งแผ่ขยายออกอย่างเป็นธรรมชาติ จากประสบการณ์ของตนเอง เมื่อเรารู้สึกสุขสมบูรณ์และเปี่ยมล้น เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการแบ่งปันความสุขสมบูรณ์ให้แก่ผู้อื่นได้
 
.....ญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมก่อให้เกิดความสนใจโดยธรรมชาติต่อโลกภายนอก โดยปกติแล้ว "ความสนใจ" ย่อมมีขึ้นเมื่อมีสิ่งพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น และเร้าให้คุณรู้สึก "สนใจ" ในสิ่งนั้น หรือความสนใจนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายได้ด้วยเช่นกัน คุณแสวงหาสิ่งที่น่าสนใจก็เพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านพ้น ความสนในนั้นยังอาจเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกบีบคั้นด้วย คุณกลายเป็นคนช่างซักช่างถามขี้สงสัยและแหลมคมเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อว่าจะได้ไม่มีภัยใด ๆ เกิดขึ้น แต่สำหรับนักรบความสนใจเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเหตุว่ามีความสุขสมบูรณ์และความเป็นเอกภาพอยู่ในชีวิตของเขาหรือของหล่อนอย่างล้นปรี่ นักรบย่อมรู้สึกได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าสนใจอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะในโลกของภาพที่ดวงตามองเห็น โลกของอารมณ์ความรู้สึกหรือโลกใด ๆ ที่เขามีอยู่ ดังนั้นความสนอกสนใจหรือความใคร่รู้ใคร่เห็นจึงสำแดงออกด้วยความร่าเริงอย่างไม่เสแสร้ง เต็มไปด้วยความร่าเริงเบิกบานพร้อม ๆ กันกับความไม่เสแสร้ง และความอ่อนโยน
 
......ตามธรรมดาแล้วเมื่อคุณรู้สึกร่าเริงเบิกบานในบางสิ่งบางอย่าง คุณก็ได้สร้างหนังหนา ๆ ขึ้นมาห่อหุ้มตัวเอง และก็รู้สึกพึงพอใจ คุณกล่าวกับตนเองว่า "ผมรู้สึกเบิกบานที่ได้อยู่ที่นี่" นั่นเป็นเพียงการยืนยันถึงการมีอยู่ของตัวตนเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ ความเบิกบานย่อมมีความรู้สึกเจ็บปวดผสานอยู่ด้วย ด้วยเหตุที่คุณรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกระคายเคืองในความสัมพันธ์ที่คุณมีต่อโลก แท้ที่จริงแล้ว ความอ่อนโยนหรือความเศร้าและความนุ่มนวลนี้ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นโดยธรรมชาติ คุณเต็มไปด้วยความเปิดโล่ง จนช่วยไม่ได้ที่จะต้องถูกโลกเข้ามากระทบ มีพลังแห่งการปกปักรักษาบางอย่างหรือความสุขุมรอบคอบ ที่ช่วยนักรบไว้มิให้ประสบหายนะ หรือต้องสร้างหนังหนา ๆ ขึ้น ที่ใดก็ตามที่มีความสนใจอยู่ นักรบย่อมสะท้อนย้อนกลับไปสู่ความเศร้า ไปสู่ความอ่อนโยน ซึ่งจะเกื้อหนุนให้เกิดของจริงสิ่งแท้ขึ้น และเป็นตัวจุดประกายความสนอกสนใจขึ้นอีกทีหนึ่ง
 
.....ดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ย่อมส่องสว่างหนทางแห่งการฝึกฝนตนเองของนักรบ เปรียบประดุจลำแสงที่คุณแลเห็นยามเมื่อดวงอาทิตย์อุทัยไขแสง รัศมีที่ส่องต้องตัวคุณนั้นคล้ายดังหนทางซึ่งคุณอาจเดินไปบนนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน ดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ย่อมสร้างบรรยากาศชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งคุณอาจก้าวล่วงไปเบื้องหน้า เติมพลังให้แก่ตนเองอยู่ตลอดเวลา ชีวิตทั้งหมดของคุณย่อมก้าวไปเบื้องหน้า ถึงแม้ว่าคุณอาจจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังเช่นการทำงานในโรงงานหรือขายแฮมเบอร์เกอร์ ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งใดก็ตาม แต่ละนาทีต่างก็ล้วนเป็นสิ่งสดใหม่ นักรบไม่จำเป็นต้องมีทีวีสี หรือวีดีโอเกมส์ นักรบไม่จำเป็นต้องอ่านเรื่องขำขันเพื่อช่วยให้ตัวเองเพลิดเพลินหรืออารมณ์ดี โลกซึ่งดำเนินไปรอบ ๆ ตัวนักรบก็ล้วนเป็นอย่างที่เป็น และในโลกนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการแสวงหาความเพลิดเพลินอยู่เลย ดังนั้นอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่จึงเอื้อให้เกิดหนทางที่คุณจะหยิบฉวยเอาจากชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อนั้นคุณจะพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องไปขอให้สถาปนิกหรือช่างตัดเสื้อให้มาช่วยออกแบบ ตกแต่งโลกของคุณเสียใหม่ ตรงจุดของการประจักษ์แจ้งนี้เอง ความหมายอันลึกล้ำยิ่งขึ้นของความเป็นนักรบย่อมอุบัติขึ้น นั่นคือการเป็นนักรบที่แท้จริงของความเป็นนักรบย่อมอุบัติขึ้น นั่นคือการเป็นนักรบที่แท้จริง
 
......สำหรับนักรบที่แท้จริงนั้นไม่มีสงครามใด ๆ อยู่เลย นี่คือหลักการของผู้กำชัยชนะตลอดกาล เมื่อคุณกลายเป็นผู้กำชัยชนะตลอดกาล ก็ไม่มีสิ่งใดที่คุณจะต้องพิชิตอีก ไม่มีปัญหารากฐานหรืออุปสรรคใด ๆ ให้คุณฝ่าข้ามไป ทัศนะอย่างนี้มิได้มีรากฐานอยู่บนการเก็บกดหรือการมองอย่างประมาท เพราะถ้าคุณมองย้อนกลับไปตลอดสายชีวิตของตนเอง ถามว่าตัวคุณเองคือใคร กำลังทำอะไรอยู่ และทำไมจึงมาอยู่ในโลกนี้ ถ้าคุณมองดูแต่ละขั้นตอนให้ดี คุณจะไม่พบปัญหาพื้นฐานอยู่เลย
 
......นี่มิใช่การหว่านล้อมตัวเองให้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่มีปัญหา ถ้าคุณมองดูจริง ๆ ถ้าคุณเปิดตัวตนออกและพิจารณาดู คุณจะพบว่าคุณเป็นสิ่งจริงแท้และดีงามดังที่เป็นอยู่ แท้จริงแล้วภาวะการดำรงอยู่ทั่งหมดล้วนสร้างขึ้นมาอย่างดีเยี่ยม จึงมีโอกาสของความผิดพลาดอยู่เพียงน้อยนิดแน่นอนยังมีสิ่งท้าทายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่ความรู้สึกท้าทายนี้แตกแต่งกับความรู้สึกในโลกอาทิตย์อัสดง ซึ่งคุณรู้สึกถูกสาปแช่งให้ต้องอยู่ในโลกและในปัญหาของตัวเอง บางครั้งผู้คนก็พากันตื่นกลัวต่อญาณทัศนะอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ถ้าคุณไม่ได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติของความกลัว แน่นอน.. คุณย่อมไม่มีทางขึ้นอยู่เหนือมันได้ หากมีสักครั้งทีคุณได้รู้จักความขลาดของตนเอง ครั้งหนึ่งที่คุณได้รู้ว่าอุปสรรคของคุณอยู่ตรงไหน เมื่อนั้นคุณก็อาจข้ามพ้นไป บางที แค่อาศัยสามก้าวครึ่งของการป่ายปีนเท่านั้น

(http://statics.atcloud.com/files/comments/73/731562/images/1_display.jpg)

- http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6632.0.html (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,6632.0.html)