[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 16 พฤษภาคม 2553 13:17:42



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เพราะตามฝรั่ง-จึงโง่ติดแต่รูปกายวัตถุ
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 16 พฤษภาคม 2553 13:17:42
(http://www.noeticsciences.co.uk/wp-content/uploads/2010/01/noetic-sciences-image.png)


ตั้งแต่ในช่วงประมาณ 150-300 ปีที่แล้ว เป็นยุคสำรวจโลก หรือจริงแล้วคือยุคล่าอาณานิคมเราดีๆ นี่เอง ทั่วทั้งโลกยกเว้นประเทศที่เรียกว่ายุโรปเก่าหรือชาวฝรั่งตะวันตก

     เพราะเหตุว่าพวกฝรั่งมักไปเชื่ออดีตนักปรัชญาชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติลที่เชื่อเฉพาะโลกที่เห็นโลกนี้ และเชื่อแต่รูปกายวัตถุที่ตั้งอยู่ที่ภายนอกเท่านั้น กำลังเหลิงอำนาจ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นกรรมร่วมของชาวโลกที่ไม่ถูกยกเว้นเหล่านั้นที่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งในครั้งนั้น ที่พูดมานั้นไม่ว่าผู้เขียนไม่ชอบฝรั่งหรือชอบการแตกแยก เพราะการแตกแยกแย่งกันเป็นใหญ่นั้นผิดธรรมชาติที่มีแต่พึ่งพาอาศัยกัน นั่นเป็นการเกริ่นนำของบทความวันนี้

     ผู้เขียนเชื่อเช่นเดียวกับนักจิตวิทยาและนักการศึกษาทั้งหลาย - เชื่อรวมทั้งเคน วิลเบอร์ ที่เชื่อว่างานวิจัยของฌ็อง เปียเจต์ (Jean Piaget) ที่ใช้เวลาถึง 40 ปี เป็นผลงานวิจัยที่ดีที่สุดและทรงคุณค่าที่สุด - ว่าด้วยจิตวิทยาของการเจริญเติบโตของมนุษย์ (developmental psychology) เปียเจต์บอกว่าเด็กปกติจะใช้เวลา 0-11 ปี สำหรับการเจริญเติบโตทางจิตรู้ที่ควบคุมร่างกายจนถึงระดับ "ตัวกู" (egocentric or formal operation) ส่วน "ของกู" และจริยธรรมสังคมแสะวัฒนธรรม (sociocentric and ethnocentric) ที่ขึ้นกับการเลี้ยงดูอุ้มชูนั้นมาทีหลัง (เรียกว่า postconventional) วัยของคนที่พ้นวัยเด็กไปแล้ว หากจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transform) ได้ก็มีน้อย และซับซ้อนยิ่ง ผู้เขียนคิดว่ามันเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ในดินที่จะงอกเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ได้ย่อมขึ้นกับดิน น้ำ อากาศ ปุ๋ย และอื่นๆ ที่จะเอื้อให้เมล็ดพันธุ์นั้นงอกงามได้ ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลใดเมื่อมีวัยมากขึ้น เช่นผู้เขียน คงไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึกธรรมดาๆ น่าจะเป็นจิตใต้สำนึกหรือแม้จะเป็นจิตไร้สำนึกก็เป็นได้ ทั้งยังซับซ้อนยิ่งอีกด้วย


     เมื่อไม่นานนักมานี้ ผู้เขียนได้ถามลูกสาวของเพื่อน - ซึ่งจบดอกเตอร์มาจากเมืองนอก - ลูกสาวที่มีอายุประมาณ 6-7 ขวบ ว่าอะไรคือความจริงที่แท้จริง ซึ่งเด็กตอบทันทีว่าก็อะไรที่หนูม
องเห็นต้องเป็นความจริงทั้งนั้น เร็วๆ นี้มีลูกสาวบุญธรรมคนหนึ่งพาเพื่อนที่จบแพทย์แล้ว 2 คนมาหาที่บ้าน พร้อมกับพาลูกสาวอายุ 5 ขวบพอดี หรือ 5 ขวบต้นๆ มาด้วย ตอนหนึ่งขณะเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วพูดกันในเรื่องของศาสนา พูดถึงความเป็น 2 (dualism) ที่มี 2 ความจริง ทั้งในทางพุทธศาสนา มายาและทวิตา กับทั้งในทางวิทยาศาสตร์หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ ทฤษฎีควอนตัม (duplex worlds of Heisenberg) - ที่ต้องเอามาคิดต่อว่าทำไมเราถึงได้มาพบทฤษฎีควอนตัมในช่วงนี้ ช่วงที่จิตมีความสำคัญและกำลังยอมรับกันว่าเป็นความรู้เป็นวิทยาศาสตร์ (science of consciousness) - หลานสาวที่ง่วนอยู่กับดินน้ำมันและไม่คิดว่าจะฟังอยู่ด้วยก็ได้พูดขึ้นว่า "คุณตาพูดอะไร? ฟังไม่รู้เรื่องเลย" ก็แปลกใจที่เด็กในวัยแค่นั้นก็อยากรู้เรื่องว่าผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องอะไรด้วย แถมยังมีหมอคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็พูดขึ้นว่า "นั่นซี เข้าใจนั้นก็เข้าใจอยู่ แต่รู้แล้วเข้าใจแล้ว สงสัยว่ามีประโยชน์อย่างไร?" ก็ยิ่งแปลกใจใหญ่ พอดีเมื่อวานนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่ของกระทรวง - ซึ่งประกอบด้วย พยาบาล เภสัชกร วิศวกร นิติกร - มาตรวจสถานพยาบาล (ที่ในบ้านเรามีมาตรฐานอย่างเดียวกับโรงพยาบาล) ที่มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่ทุกคนแล้วว่าเป็นการให้การรักษาเรื่องทางจิตหรือจิตวิญญาณ และความสุขปราศจากทุกข์ทางร่างกาย โดยเฉพาะทางจิตใจหรือจิตวิญญาณผู้ป่วยคือเป้าหมาย ฉะนั้น การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคอง คิดถึงจิตใจของผู้ที่กำลังจะจากโลกไปในไม่ช้านี้เป็นสำคัญ แต่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงทุกๆ คนเลย คล้ายๆ ว่ารับคำสั่งมาอย่างนั้น หรือเคยเรียนแบบตะวันตก คือเท่าที่ตาเห็นหรือใช้อุปกรณ์ช่วยเห็นช่วยการรับรู้เท่านั้น ดังนั้นจึงตรวจและถามมาเท่าที่ตนรู้ หรือเรียนมาแบบฝรั่งแบบตะวันตกเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งผู้เขียนอดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า "เราจะพูดกันแต่ในเรื่องกายภาพหรืออย่างไร?" นั่นคือ ผู้เขียนคิดตามพุทธศาสนาว่าสรรพสิ่งต้องมีทั้งกายกับจิต


     เพราะฉะนั้น จากที่เล่ามานั้น เราชาวตะวันออกถึงได้ไม่มีความรู้อะไรเลยที่เป็นของตัวเองแม้แต่น้อย ความรู้ที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้ล้วนเป็นความรู้ของฝรั่งตะวันตกทั้งสิ้น ที่พูดนี้ตอนนั้นผู้เขียนยังหนุ่มๆ อยู่ จะหมายถึงนักวิชาการหรือปัญญาชนคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าความรู้ของเราชาวตะวันออกที่มีอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โบราณจริงๆ เรากลับโยนทิ้งไปทั้งหมด เพราะเหตุว่าเราไม่เชื่ออย่างแรง และโดยสิ้นเชิงว่า ความรู้ของชาวตะวันออกเราที่มีมาอย่างช้านานตั้งแต่ชาวตะวันตกยังไม่นุ่งผ้าแสดงแต่ขนรกรุกรังนั้น ฉะนั้น เราชาวตะวันออกได้เจริญศิวิไลซ์มานานแล้ว แต่เพราะว่าในตอนหลัง เราคิดว่าฝรั่งตะวันตกเจริญกว่าเรา ฉลาดกว่าเรา และที่สำคัญ เก่งกว่าเรา โลกของฝรั่งเป็นไปตามปรัชญาฝรั่ง อริสโตเติลเฉพาะรูปกายวัตถุที่มองเห็นเท่านั้น ส่วนเรามีแต่ความรู้ที่เราได้มาจากความเชื่อ จากภายในเป็นลักษณะของความจริงแท้ที่สอดคล้องต้องกันกับธรรมชาติ ที่เรารู้ว่ามีอยู่ 2 ระดับ คือ หนึ่ง เป็นธรรมชาติระดับหยาบ หรือระดับล่าง เช่น ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ และเฉพาะแต่ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น สอง ธรรมชาติอันละเอียดยิ่งที่มีพลังอำนาจลึกลับ แต่กอปรด้วยความรักเมตตา ธรรมชาติอันหลังนี้ซึ่งละเอียดจนมองเท่าไรก็ไม่เห็น ได้แก่ เจ้าพ่อเจ้าแม่เทพเทวาทั้งหลาย (spirit) นั่นเอง เจ้าพ่อเจ้าแม่หรือสปิริตที่มีนิยายจักรๆ วงศ์ๆ ตามที่เป็นลักษณะของจิตนิยม ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นส่วนที่สอดคล้องต้องกันกับศาสนาที่มาทีหลัง - ที่เป็นจิตด้วยกันและต่างก็มองไม่เห็นด้วยกัน - ศาสนาที่มาทีหลังมากนัก นั่นคือ ที่มาของความเชื่อความรู้ของเราที่เป็นชาวตะวันออกอันแตกต่างไปจากความรู้ภายนอกที่ตามองเห็นของชาวตะวันตก ทั้งยังประกอบด้วยกายวัตถุและมีรูปธรรมสัณฐานที่ประมาณได้ตรวจวัดได้ ความรู้ของชาวตะวันออกนั้นที่แม้จะเป็นความเชื่อที่ไม่มีระเบียบหรือเหตุผลและตรวจวัดไม่ได้ แต่เราก็นำมาใช้ดำเนินเป็นวิถีชีวิตของเราชาวตะวันออกที่ปัจจุบันนี้จะเรียกกันว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เราเพิ่งมารู้ในตอนหลังเพียงกว่า 200 ปีที่แล้วว่า ที่ฝรั่งชาวตะวันตกเดินทาง
ไปสำรวจโลกนั้นก็เพื่อตัวของตัวเอง หรือเพื่อล่าอาณานิคมเป็นของตนเอง เพราะความโลภเท่านั้น เราเพิ่งมารู้ว่า ความฉลาดแกมโกงเอาตัวรอดและความโหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์ร้ายคือความเก่งกาจฉลาดเฉลียวก็เมื่อมีลัทธิล่าอาณานิคมได้ตามหลังยุคของการสำรวจ และได้ค้นพบโลกของชาวตะวันตกเท่านั้น           

                                                                                                                                                                           
     ฉะนั้น จึงไม่เป็นการเกินเลยไปแต่อย่างใด หากเราจะพูดว่าพฤติกรรมทั้งหมดของฝรั่งตะวันตกในอดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่อย่างดีที่สุดก็เป็นเพียงทารกที่ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนม 2 คนที่เล่ามาในตอนแรกนั้น เราชาวตะวันออกอุตส่าห์โยนทิ้งความรู้ความเชื่อที่อยู่กับเราเป็นพันๆ ปี เพื่อไปรับสิ่งใหม่ ไปรับวัฒนธรรมใหม่ของฝรั่งตะวันตก เราร่ำเรียนความรู้ที่มีแต่รูปธรรมกายวัตถุที่มองเห็นตั้งอยู่ข้างนอกนั่น เราแสวงหาแต่ความเท่าเทียมกันและประชาธิปไตยทางรูปกาย โดยไม่สนใจในเรื่องความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตและจิตใจอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ทั้งหมดนั้นคือวิถีชีวิตของฝรั่งตะวันตกและความเป็นตะวันตกของอดีตและคนฝรั่งส่วนใหญ่ในปัจจุบัน - ที่ไม่สมบูรณ์เลย แต่เราคิดว่าถูกต้องสมบูรณ์มาแทนของเราที่ใช้มานาน - ทั้งนี้ ที่เอามาเล่านี้ไม่มีอะไรที่ชาวตะวันออกที่โดยหลักการของศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออกทุกศาสนาเลยก็ว่าได้ ต่างล้วนแล้วแต่มองมนุษย์ทั้งโลกในทางจิตอันเป็นเรื่องภายใน คือเป็น "สัตว์ผู้ประเสริฐ" ของจักรวาลซึ่งเขื่อมโยงติดต่อกับสรรพสิ่งทั้งหมดของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน (All Is One, One Is All)

     จริงๆ แล้วเราชาวตะวันออกอยู่กับความเป็นตะวันออกและมีความรู้ที่เราใช้เป็นวิถีของชีวิตวิถีของสังคมมาตั้งแต่ต้น หรืออาจจะมีมาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเลยก็ได้ แต่ฝรั่งตะวันตกไม่ยอมรับ เพราะเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น ซึ่งดังที่บอกไปแล้วฝรั่งตะวันตกจะเชื่อเฉพาะแต่อะไรๆ ที่มองเห็นและตั้งอยู่ข้างนอกเท่านั้น เชื่อแต่รูปกายวัตถุสสารที่ตาหรืออวัยวะประสาทสัมผัสรับรู้บอกเราเท่านั้นคือความจริง แล้วก็จะไม่มีความจริงอื่นใดอีก ดังนั้น ถ้าเราตะวันออก "ต้อง" รับตะวันตก เราก็ต้องยอมรับวิถีชีวิตความเป็นตะวันตกของฝรั่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ที่ฝรั่งคิดว่าเป็นความจริง ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าจะให้ดี เราตะวันออกจึงเชื่ออะไรๆ ที่ฝรั่งเชื่อ ฝรั่งคิด ฝรั่งปฏิบัติ ต่อไปเถิดแล้วจะดีเอง...จบ และตั้งแต่นั้น กว่า 100 ปีแล้วที่เราในประเทศไทยหลับหูหลับตาลอกเลียนแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝรั่งชาวตะวันตกทำ มิหนำซ้ำบางครั้งและบางคน แม้แต่ใประเทศไทยเราเอง ก็มักจะเป็นฝรั่งมากกว่าเป็นฝรั่งเสียอีก ยิ่งรัฐบาลหรือองค์กรส่วนรวมอะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ "สมัยใหม่" ซึ่งเราไม่เคยมีหรือปฏิบัติมาเลยนับพันนับหมื่นปี จะให้เราคิดว่าอะไรที่ฝรั่งคิด ฝรั่งใช้ ฝรั่งมี เป็นถูกทั้งหมด ความไม่เคยชินต่อความรู้ชาวตะวันตก ตลอดจนวิถีชีวิตที่แปลกต่างหรือไม่รู้จริงคือสิ่งที่กลายเป็นสิ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่เผอิญไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร พูดกันตามความจริง ความแตกแยกของคนในชาติ หรือหลักการใหญ่ๆ ของชาติที่ไม่ใช่ของเราตะวันออก เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยตัวแทน รัฐธรรมนูญ ฯลฯ รวมระบบต่างๆ ที่ไม่นำความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตที่มองไม่เห็นมาพิจารณา แต่ยังคงมุ่งที่จะพิจารณาแต่เฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น สิ่งที่เป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปกายสสารวัตถุ เราจึงไม่รู้ ไม่สนใจมาตั้งแต่นั้น

     แต่ชาวตะวันออก โดยเฉพาะชาวไทยคนไทยเรา รวมทั้งประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ๆ ต่างหารู้ไม่ว่า อุปนิสัยและบุคลิกของชาวตะวันออกนั้นแตกต่างกันมากกับฝรั่งชาวตะวันตก โดยเฉพาะในด้านของภายในหรือเรื่องของจิต รวมทั้งเรื่องศิลปศาสตร์ต่างๆ เพราะฉะนั้น ชาวตะออกจะเป็นคนอ่อนไหว เจ้าอารมณ์ และละเอียดลออกว่าคนฝรั่งตะวันตกมาก อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าชาวตะวันตกได้หันมาสนใจจิตและจิตวิญญาณมากขึ้นมาก โดยเฉพาะนักวิชาการปัญญาชน ทั้งนี้ เราทั่วทั้งโลกที่จริงๆ แล้วต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่านั่นคือความจริงที่แท้จริง แต่เราก็ยังอยู่ในโลกในจักรวาลอันเป็นโลกและจักรวาล 4 มิติ หรือสังสารวัต ความจริงจึงมี 2 ความจริงที่เราต้องรู้ แม้ว่าความจริงที่แท้จริงจะมีแต่ความจริงทางจิตหรือความจริงทางศาสนาเท่านั้น.


http://www.thaipost.net/sunday/160510/22245 (http://www.thaipost.net/sunday/160510/22245)