นิทานสอนใจ : อดีตชาติของ "พระโลสกติสสะ" ผู้ทำบาปต่อคนดี
Life & Family - Manager Online
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
2 พฤษภาคม 2553 09:56 น.
ในอดีตกาล สมัยศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป ภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ในวัดหมู่บ้านหนึ่ง ท่านเป็นผู้มีศีล สงบเสงี่ยม เรียบร้อย หมั่นบำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนาอยู่เสมอ ได้กุฎุมพี (ผู้มีทรัพย์ มีอันจะกิน เป็นชนชั้นกลาง เป็นคนมั่งคั่ง แต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐี) เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติบำรุง (อุปัฏฐาก) อยู่เป็นสุขเสมอมา
ต่อมามีพระอรหันต์ท่านหนึ่ง จากป่าหิมพานต์ จาริกผ่านหมู่บ้านนั้น กุฎุมพีเห็นท่านแล้วมีจิตเลื่อมใส จึงรับบาตร นิมนต์ให้นั่งในเรือน ถวายอาหารด้วยความเคารพ สดับธรรมกถาเล็กน้อยแล้ว ไหว้พระเถระแล้วกล่าวว่า
"พระคุณเจ้า นิมนต์ไปพักที่วัดใกล้บ้านของกระผมเถิด ตอนเย็นพวกกระผมจะไปเยี่ยมท่าน"
พระขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวกิเลส) จึงไปสู่อาวาสที่กุฎุมพีแนะนำ นมัสการภิกษุเจ้าอาวาสแล้ว สนทนาปราศรัยกันเล็กน้อยพอให้เกิดความคุ้นเคย ท่านเจ้าอาวาสถามว่า
"ฉันอาหารมาเรียบร้อยแล้วหรือ"
"เรียบร้อยแล้วครับท่าน" พระอาคันตุกะตอบ
"ได้ที่บ้านของกุฎุมพีใกล้อาวาสนี้เองครับท่าน"
พระขีณาสพ ถามถึงเสนาสนะอันตนจะพึงได้เพื่อพักอยู่ชั่วคราว เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสแล้ว ก็จัดแจงปัดกวาดให้เรียบร้อย เก็บบาตรไว้ในที่ควรวาง นั่งเข้าฌาน และผลสมาบัติ (ผู้ได้ฌาน และชำนาญในการเข้า ย่อมเข้าฌานได้เสมอทุกเวลาที่ต้องการ ส่วนผลสมาบัตินั้นแปลว่า เข้าเสวยรสแห่งอริยผลที่ตนได้แล้ว พระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันเท่านั้นจึงจะเข้าได้ ปุถุชนเข้าไม่ได้)
พอถึงเวลาเย็น กุฎุมพีก็ให้คนถือพวงดอกไม้ และน้ำมันสำหรับเติมประทีปไปยังอาวาส พบภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสก่อน นมัสการแล้วถามว่า
"พระคุณเจ้า มีพระอาคันตุกะมาพักรูปหนึ่งไม่ใช่หรือ?"
"มีอุบาสก" พระตอบ
"ท่านพักอยู่ที่ไหนครับ?"
"โน้น อยู่กุฏิโน้น"
กุฎุมพีผู้มีศรัทธาเลื่อมใสไปหาพระขีณาสพ ฟังธรรมกถาอยู่จนค่ำ จุดประทีปสว่างไสวแล้วนิมนต์พระเถระทั้ง 2 เพื่อรับภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้นแล้วกลับไป
ฝ่ายพระภิกษุเจ้าอาวาสยังเป็นปุถุชน ยังมีกิเลสตัวโลภะและริษยาอยู่ เห็นกุฎุมพีเอาใจใส่เคารพนบนอบต่อพระขีณาสพเช่นนั้น คิดว่า "ถ้าพระรูปนี้อยู่ที่นี่นาน ก็จะทำให้กุฎุมพีไม่เคารพนับถือเราอย่างเช่นเคย คงจะโอนความเคารพนับถือไปให้พระอาคันตุกะเสียหมด เราควรแสดงอาการไม่พอใจให้ปรากฏ เพื่อไม่ให้เขาพักอยู่ที่นี่นาน"
คิดดังนี้แล้วก็ลงมือทำ คือ เมื่อพระขีณาสพมาปรนนิบัติมาสนทนาด้วยก็ไม่ยอมพูดด้วย เห็นอาการเช่นนั้น พระขีณาสพก็รู้และเข้าใจคิดว่า"พระเถระ เจ้าอาวาสนี้ไม่รู้หรอกว่า เราไม่ติดไม่ห่วงใยในลาภ ในตระกูล หรือความเป็นใหญ่ในหมู่คณะ" ดังนี้แล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน มีความสุขอยู่ในฌานและในผลสมาบัติ
วันรุ่งขึ้น ก่อนออกบิณฑบาต เจ้าอาวาสไปตีระฆังแต่ถ้าตีตามปกติ เกรงพระขีณาสพจะไปด้วย จึงเอาหลังเล็บเคาะระฆัง ไปเคาะประตูเหมือนกัน แต่เคาะด้วยหลังเล็บนั่นเอง เป็นทำนองว่าได้ทำแล้ว ไปเรือนของกุฎุมพีแต่ผู้เดียว
กุฎุมพีรับบาตร นิมนต์ให้นั่ง พลางถามว่า "ท่านพระอาคันตุกะไปไหนเสียเล่า ทำไมจึงไม่มาด้วย?"
เจ้าอาวาสตอบอย่างประชดประชันแดกดันว่า
"อาตมาไม่ทราบความประพฤติ ความเป็นไปของพระผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของท่าน อาตมาตีระฆังก็แล้ว เคาะประตูก็แล้ว ก็ยังเงียบอยู่ เมื่อวานคงฉันอาหารอันประณีตในบ้านท่านอิ่มหมีพีมันแล้วหลับเพลินไปกระมัง? ภิกษุอย่างนี้ ท่านยังเลื่อมใสได้ลงหรือ?"
ฝ่ายพระขีณาสพ ออกจากฌานและผลสมาบัติกำหนดบิณฑบาตของตนแล้ว ทรงบาตรจีวรเหาะไปทางอากาศแต่ไปที่อื่น
กุฎุมพีนิมนต์เจ้าอาวาสให้ฉันข้าวปายาสอันปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดเรียบร้อยแล้ว รับบาตรด้วยของหอม ใส่ข้าวปายาสจนเต็มแล้วกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ! พระเถระอาคันตุกะเห็นจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาไม่ได้ ขอฝากข้าวปายาสนี้ไปถวายด้วยเถิด"
เจ้าอาวาสรับบาตรมาแล้ว เดินทางกลับวัด เดินไปคิดไปว่า "ถ้าภิกษุอาคันตุกะได้บริโภคมธุปายาสอันอร่อยเช่นนี้ เราจับคอฉุดให้ออกจากวัดไปก็คงไม่ไป ถ้าเราเอาข้าวปายาสนี้ให้คนอื่น กุฎุมพีก็คงจะไม่รู้ภายหลัง ถ้าทิ้งลงในน้ำ เนยใสจะลอยเป็นแผ่นอยู่เหนือน้ำ ถ้าทิ้งไว้บนแผ่นดิน พวกนก กา ก็จะพากันมาล้อมกิน สิ่งที่เราทำก็ไม่เป็นความลับ เราควรทิ้งข้าวปายาสนี้ในที่ใดหนอ"
มองไปเห็นไฟกำลังไหม้ซังข้าวอยู่ในนาแห่งหนึ่ง คุ้ยถ่านขึ้นมา เทข้าวปายาสลงไปแล้วกลบด้วยขี้เถ้าแล้วกลับวัด เมื่อไปถึงวัดไม่เห็นพระอาคันตุกะ จึงฉุกคิดว่า "ชะรอยภิกษุนั้นจะเป็นพระขีณาสพผู้ได้ เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจผู้อื่น)รู้ใจของเราแล้วจึงไปเสียที่อื่น โอ เพราะปากท้องเป็นเหตุ เราทำกรรมหนักอันไม่ควรเสียแล้ว"
ทันใดนั้น ความเสียใจอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นแก่ท่านตั้งแต่วันนั้นมา ร่างกายของท่านก็ซบซีดผ่ายผอม (อรรถถา ใช้คำว่าเป็นมนุษย์เปรต) มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกไม่นานก็มรณภาพไปเกิดในนรก หมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลาหลายแสนปี
ด้วยอำนาจแห่งเศษกรรมนำให้เกิดในกำเนิดยักษ์อีก 500 ชาติ ไม่เคยได้กินอาหารเต็มท้องเลยสักวันเดียว ได้กินรกคนเต็มท้องอยู่มื้อหนึ่งแล้วก็ตายในวันนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขอีก 500 ชาติ ไม่เคยได้อาหารเต็มท้องเช่นเดียวกัน มาได้เต็มท้องเอาวันสุดท้ายคือวันตายได้กินอาเจียนของคนๆ หนึ่งแล้วตาย เขายังท่องเที่ยวเสวยวิบากแห่งกรรมในสังสารวัฏอีกนาน
ในชาติสุดท้าย เกิดเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงในแคว้นโกศลซึ่งอยู่รวมกันประมาณหนึ่งพันครอบครัว ในวันที่เด็กถือปฏิสนธิชาวประมงทั้งหมดเที่ยวหาปลาแต่ไม่มีใครได้ปลาเลยสักตัวเดียวแม้แต่ตัวเล็กๆ ตั้งแต่วันนั้นมา หมู่บ้านชาวประมงก็เสื่อมโทรมลงมากทีเดียว ขณะที่เขาอยู่ในท้องมารดา หมู่บ้านชาวประมงถูกไฟไหม้ถึง 7 ครั้ง ถูกพระราชาลงโทษปรับสินไหม 7 ครั้ง ชาวประมงทั้งหลายจึงลำบากแร้นแค้นลงเรื่อยๆ
ชาวประมงประชุมกัน คิดกันว่า ก่อนหน้านี้ พวกเราไม่เคยลำบากเช่นนี้เลย เดี๋ยวนี้พวกเราย่ำแย่ มีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิด เกิดขึ้นอย่างน่าพิศวง ในหมู่พวกเราต้องมีตัวกาลกรรณีเป็นแน่ ทำอย่างไรจึงจะค้นหาตัวกาลกรรณีในหมู่พวกเราได้ ตกลงแยกออกเป็น 2 พวก คือฝ่ายละ 500 ครอบครัว เมื่อแยกแล้วมารดาของเขาอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มนั้นก็ลำบากแร้นแค้น ส่วนอีกกลุ่มก็เจริญรุ่งเรืองดี เขาแยกกลุ่มออกไปเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มน้อย จะน้อยเพียงใด กลุ่มที่เขาอยู่ก็ย่ำแย่ ในที่สุดเหลือครอบครัวของเขาเพียงครอบครัวเดียว คนอื่นๆ เขาทำมาหากินได้ตามปกติ คนทั้งหลายจึงรู้ว่าคนในครอบครัวนี้เป็นกาลกรรณี จึงขับไล่ โบยตีให้ออกไป