[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 พฤษภาคม 2567 19:27:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไสยเวทย์ในอดีต  (อ่าน 23546 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2334


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 สิงหาคม 2556 14:29:25 »

.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/hr1667/630.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

     ซีโนเต้

ในอดีตกาลนั้น แต่ละชาติศาสนาจะมีพิธีกรรมต่างๆแตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งร่องรอยที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ได้สร้างความพิศวงให้แก่ผู้ที่สนใจในโบราณคดีต้องขบคิด เพราะพิธีกรรมอันน่าจะประกอบด้วยการใช้ ไสยเวทลี้ลับนั้นเป็นไปได้หรือไม่ จึงได้ค้นคว้าเบื้องหลังและนำมารายงานวิจารณ์กัน ดังจะเล่าในหนนี้ครับ

เรื่องแรกได้แก่ หนทางไปสู่ดินแดนใต้พิภพ หลังมรณกรรมของชนชาวมายา (Maya) แห่งทวีปอเมริกากลาง เมืองสำคัญได้แก่ ชิเชน อิทซา (Chichen Itza) ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง

วิหารของชนมายานั้นสูงเสียดฟ้าดุจสื่อสารให้ใกล้ชิดกับสุริยเทพและดวงดาราเบื้องบน แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็มีอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งสื่อสารกับเทพแห่งความตายผู้สถิตอยู่ใต้พิภพ

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o5/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

     เดินทางตัดป่าไปยังซีโนเต้

นับเป็นโชคดีของผู้สนใจในเรื่องชนชาตินี้ เพราะชาวมายาได้จารึกวิถีชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆของพวกเขาไว้ทั้งในรูปแบบอักขระและจิตรกรรมประติมากรรม รวมทั้งเป็นคัมภีร์ที่ทำขึ้นในศตวรรษที่ 16 ในชื่อ "โปปอล วูห์ (Popol Vuh)"คัมภีร์นี้กล่าวถึงอาณาจักรบาดาล "ซิบาลบา (Xibal ba)" ที่ซึ่งวิญญาณทุกดวงปรารถนาที่จะไปอยู่อย่างสุขสำราญ หากเป็นเรื่องไม่ง่ายในการไปถึงยังดินแดนแห่งนี้

วิถีทางเดียวในการลงไปสู่ใต้พิภพก็โดยการผ่านแอ่งน้ำ หรือ "ซีโนเต้ (cenote)" อันเป็นหลุมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปนับพันปีก็มีน้ำฝนใสสะอาดขังอยู่เต็ม และเป็นแหล่งน้ำใช้อันสำคัญยิ่งของชาวมายา กระทั่งว่าพวกเขาได้ตัดถนน (sacbe) จากเมืองผ่านป่าดงดิบไปสู่แอ่งน้ำซีโนเต้ เชื่อกันว่าในเทศกาลศาสนาได้มีการบูชายัญถวายเทพเจ้า จากหลักฐานโครงกระดูกทั้งของเด็กและสตรีที่ถูกโยนลง แอ่งน้ำทั้งเป็น


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o4/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

   โปปอล วูห์

คณะนักโบราณคดีได้เคยลงไปสำรวจใต้แอ่งน้ำ ศักดิ์สิทธิ์ และก็พบว่าได้มีการทำช่องทางเดินปูด้วยหินที่ชาวมายาสกัดและขนมาจากภูเขา  เชื่อกันว่า ช่องทางซึ่งยาวนับร้อยเมตรนี้ได้นำไปสู่แท่นบูชาสำหรับสักการะ ชาแอก (Chaac) เทพเจ้าแห่งวสันต์

คัมภีร์โปปอล วูห์ กล่าวถึงห้องโถงอันร้อนรุ่มด้วยเพลิงนรก  ซึ่งก็น่าแปลกที่เมื่อทีมสำรวจสัมผัสได้ ว่าภายใต้แอ่งน้ำลึกและมืดนั้น มีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 100 องศาฟาเรนไฮต์


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o6/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

   กางเขนแห่งพระมหากรุณา

นอกจากนี้ คัมภีร์ยังระบุว่า มีห้องโถงแห่งค้างคาว ด้วย ซึ่งนักสำรวจก็พบถ้ำซึ่งมีค้างคาวบินว่อนอยู่นับพันๆ ตัว  และเมื่อทีมสำรวจดำลึกลงไปอีกก็ได้พบห้องหรือโพรงถ้ำอีกหลายแห่ง บางถ้ำมีโพรงอากาศอัดอยู่ ทำให้นักดำน้ำสามารถถอดหน้ากากหายใจออกได้ บางห้องมีการประดับประดาด้วย หินสตาแล็กไตต์ (stalactite)  และ สตาแล็กไมท์ (stalacmite) ซึ่ง หินทั้ง 2 ชนิดนี้จะเกิดมีขึ้นได้ในที่มีอากาศเท่านั้น จึงเป็นหลักฐานว่าแต่เดิมนั้น ช่องทางเดินเหล่านี้ปราศจากน้ำขัง ครั้นกาลต่อมา ระดับน้ำใต้ดิน (water table)  เอ่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจมมิด

ภายใต้แอ่งน้ำอันมืดมิด เมื่อสิ้นสุดช่องทางแซคเบ ก็จะเป็นถ้ำที่มีแนวไปทางทิศตะวันตกไม่สิ้นสุด เป็นทิศทางที่ชาวมายาเชื่อว่าไปสู่ดินแดนแห่งยมโลกซิบาลบานั่นเอง



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o7/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

นักบวชสื่อสารกับวิญญาณ

ความลี้ลับของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สองได้แก่ ปรากฏการณ์มีชีวิตแห่งรูปสลักจีซัส ไครสท์ บนไม้ กางเขนในโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ (Boxley Abbey) ซึ่งอยู่ห่างกรุงลอนดอนไปทางตะวันออก 30 ไมล์ จนเป็นที่เลื่องลือ และได้รับการขนานนามว่า "the Holy Cross of Grace" หรือ "the Rood of Grace" (กางเขนแห่งพระมหากรุณา)  โดยรูปแกะสลักไม้ขนาดเท่า คนจริงนี้ สามารถขยับเขยื้อน  เลิกคิ้วได้ สรวลได้ ขยับแขนขาได้ ทั้งนี้... นักบวชประจำอาราม แห่งนี้ ได้บอกเล่ายืนยัน และเมื่อผู้คนทั่วสารทิศหลั่งไหลมาชมก็ประจักษ์จริงในคำเล่าขานดังกล่าว

รูปสลักตรึงกางเขนนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าฉากกลางโบสถ์ ซึ่งเรียกว่า "ฉากกางเขน (rood screen)" ด้านหลังฉากถือเป็นที่บูชาศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งขนมปังและไวน์ จะแปรสภาพเป็นเนื้อหนัง และโลหิตขององค์พระไครสท์  บรรดาศาสนิกชนได้มาสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าดลบันดาลให้ทุกข์โศกของพวกเขาได้ บรรเทาลง และเมื่อพระองค์ทรงได้รับทรัพย์สินสักการะบูชาแล้ว ก็จะรับรู้ด้วยการลืมพระเนตรและขยับพระโอษฐ์

อะไรทำให้รูปสลักนี้เคลื่อนไหวได้?  เป็นเพราะอภินิหารจริงๆ หรือมีกลไกอะไรแอบแฝง?

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o8/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

   เฮนรี่ที่ 8

โดยที่เหตุปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16 ซึ่งผู้คนมีความเคร่งในศาสนาสูงสุด ยอมแม้กระทั่งสละชีวิตเพื่อบูชาแก่ความเลื่อมใสศรัทธา  และก็เป็นช่วงขณะเดียวกันกับที่กษัตริย์อังกฤษผู้อื้อฉาว เฮนรี่ย์ที่ 8 (Henry VIII) ทรงครองราชย์

เฮนรี่ย์ที่ 8 นั้น มีพระประสงค์ที่จะโค่นล้มอำนาจ ขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม-ผู้ซึ่งขัดขวางมิให้เฮนรี่ย์ทรงหย่าขาดกับมเหสีองค์แรก-แคทเธอรีน แห่งอารากอน (Catherine of Aragon) ดังนั้น พระองค์จึงต้องหาหนทางลบล้างศรัทธาที่ราษฎรอังกฤษ มีต่อนิกายโรมันคาทอลิก อันมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ด้วยการทำลายโบสถ์วิหารคาทอลิกทุกแห่งในอังกฤษ

ปี 1538 สายลับของกษัตริย์เฮนรี่ย์ก็ได้นำข่าวสำคัญมาให้พระองค์เผยแพร่ป่าวประกาศ นั่นคือหลังทำลายโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์ก็ได้พบเครื่องกลไก ซึ่งทำขึ้นเพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อในการคืนชีพขององค์พระไครสท์ โดยบุรุษนามว่า เจฟเฟอรีย์ แชมเบอร์ (Jeffery Chamber) กล่าวว่า  "เมื่อทุบโบสถ์แห่งบ็อกซลีย์และรื้อถอนรูปสลักตรึงกางเขน ก็พบเครื่องกลไกและเส้นลวดเก่าๆ รวมทั้งก้านไม้อยู่ทางด้านหลังของรูปสลัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รูปสลักสามารถเคลื่อนไหว ลืมตาผงกหัวได้..."

การพบของแชมเบอร์เป็นการสันนิษฐานว่า ช่างไม้สมัยนั้นได้ประดิษฐ์ อุปกรณ์เหล่านี้ และนักบวชในโบสถ์เป็นผู้ ดำเนินการให้เกิดสิ่งอัศจรรย์แก่ศาสนาขึ้น ดังนั้น เฮนรี่ย์ที่ 8 จึงทรงได้โอกาสนำเอาซากศักดิ์สิทธิ์นี้มาแห่แหนป่าวประกาศทั่วกรุงลอนดอน ถึงการโกหกหลอกลวงของนักบวชคาทอลิกภายใต้บังคับ บัญชาขององค์สันตะปาปาแห่งกรุงโรม และเมื่อชาวอังกฤษเสื่อมศรัทธาลงแล้ว การก่อตั้งนิกายใหม่ "Church of England"  ของพระองค์จึงประสบผลสำเร็จ หากทว่าเบื้องหลังข้อเท็จจริงเหล่านั้นเป็นฉันใดก็ยากที่จะรู้ได้  เพราะหลักฐานสำคัญต่างๆ ก็ไม่เหลือพอที่จะ ศึกษาค้นคว้าแล้ว

เรื่องสุดท้ายคือ เบื้องหลังการสื่อสารกับดวงวิญญาณในวิหารเทพีเพอร์ซีโฟน (Persephone) มเหสีของ เฮเดส (Hades) เทพพญายม ณ ตอนเหนือของประเทศกรีซ

ทั้งนี้ ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้มีการขุดค้นพบอุปกรณ์ประหลาด เป็นโลหะลักษณะคล้ายเครื่องยิงกระสุน (catapult) หลายเครื่องใกล้กับวิหารเพอร์ซีโฟน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวกรีกนิยมมากระทำพิธีพบดวงวิญญาณของญาติที่ล่วงลับ ภายใต้ การดำเนินการของนักบวชประจำวิหาร  พวกเขาจะได้พูดคุยและไถ่ถามสิ่งที่อยากรู้กับดวงวิญญาณ เรื่องนี้ มีบันทึกไว้เมื่อ 500 ปีก่อน ค.ศ. โดย ฮีโรโดตุส (Herodotus) นักประวัติศาสตร์กรีกคนสำคัญ เขาเรียกการสนทนากับคนตายว่า "nekromanteion (อังกฤษ ใช้ว่า necromancy)"



http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2010/10/23/121091/o10/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

   เครื่องยิงหิน

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะสนทนากับดวงวิญญาณจะต้องผ่านกรรมวิธีอดอาหารราว 29 วัน ทำกายให้บริสุทธิ์ แล้วเดินเข้าสู่วิหารตามเส้นทางแคบๆ และลดเลี้ยวจนถึงสถานที่ประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้รับสมุนไพรบางอย่างมากินและเกิดความเคลิบเคลิ้มกระทั่งขั้นสุดท้ายก็ได้แลเห็นร่างของญาติที่ตายไปแล้วลอยมาปรากฏให้เห็น

และนี่เองที่เป็นความลับของอุปกรณ์คล้ายเครื่องยิงกระสุนดังกล่าว นั่นคือเมื่อผู้มีศรัทธาผ่านกระบวนการอันทำให้เคลิบเคลิ้มแล้ว  ทางนักบวชก็จะอาศัยอุปกรณ์นี้ อันประกอบด้วยเฟืองและรอก ชักตัวสมุนผู้ร่วมงานให้ลอยขึ้นลงได้ ท่ามกลางความสลัวและควันธูป...ดั่งวิญญาณมาปรากฏ

ก็นับเป็นการหากินอันแยบยล โดยใช้ศาสนาบังหน้าของเหล่านักบวชในอดีต


......ทีมงานต่วย'ตูน'

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 สิงหาคม 2556 14:33:32 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2334


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2556 05:17:05 »

.
พิธีกรรมไล่ผี มีอยู่ทั่วโลก

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143360/hr1667/630.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

ไม้กางเขนเป็นสิ่งสำคัญในการไล่ผีของชาวคริสต์

คราวนี้พาท่านผู้อ่านไปที่ประเทศเฮติ ไปดูการ "ไล่ผี" ซึ่งจะว่าไปแล้วระยะหลังๆนี้ เฮติก็เกิดเรื่องราวมาก ไหนจะธรณีพิโรธ ตามมาด้วยโรคระบาด โดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกันมากในหลักหลายพันคน และป่วยอีกหลายหมื่น ก็เลยเกิดเป็นข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้าน ว่า ไอ้โรคร้ายทั้งหลายนี่แหละ เกิดมาจากผี หรือถ้าไม่ใช่ผีจริงๆ ก็ต้องเป็นหมอผีที่ทำพิธีมนตร์ดำแบบวูดู และด้วยความเชื่อนี้ ก็เลยเกิดการล่าผี รวมถึงล่าหมอผีกัน เพื่อหวังจะขจัดโรคร้าย จนเกิดการฆ่ากันตายไปหลายศพ เรียกว่าหากมองหน้าแล้วคิดว่าใครเลี้ยงผี ก็ไม่พูดพรํ่าทำเพลงกัน จัดการไล่ผีซะ ด้วยการฆ่ามันเสียก่อนที่มันจะฆ่าเรา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลกุมขมับ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o6/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

พิธีกรรมของผู้บูชาลัทธิวูดู.

จากเรื่องที่เกิดในเฮติ หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นประเทศไม่เจริญ ก็เลยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ กันง่ายๆ แต่ประเทศที่เจริญแล้วก็ไม่ใช่ย่อยหรอก ในสหรัฐอเมริกาเอง ก็มีคนเชื่อเรื่องผี และมีกลุ่มนักไล่ผีที่ทำงานกันเป็นอาชีพทีเดียว

การไล่ผีของพวกฝรั่ง มักจะอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม้กางเขน และคำสวดมนต์เป็นหลัก หรือบางทีก็อาจมีน้ำมนต์เข้ามาช่วยด้วย เวลาที่ฝรั่งเจอผี บางคนที่เชื่อมั่นในนักบวช ก็จะเรียนเชิญพระสงฆ์มาช่วยทำพิธีให้ แต่คนที่ไม่ค่อยไว้ใจพระ ก็ไปจ้างผู้ประกอบการที่เปิดบริษัทไล่ล่าผีมาจัดการ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของบริษัทจัดการผีก็คือ นักร้องชื่อดังแห่งยุค เลดี้ กาก้า ที่เชื่อว่ามีวิญญาณคอยตามรังควานเธอ สาวเจ้าก็เลยจ้างคนมาคอยไล่ผีในทุกๆที่ที่เธอเดินทางไป เรียกว่า ถ้าเป็นซุปเปอร์สตาร์ หรือคนสำคัญคนอื่นๆ ก่อนจะไปไหนต้องส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยไปดูสถานที่ล่วงหน้า แต่ถ้าเป็นเลดี้ กาก้า หน่วยที่ต้องไปตั้งหลักก่อนคือหน่วยไล่ผี


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o4/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

เลดี้กากา ซุปเปอร์สตาร์ ที่ต้องพึ่งพาหน่วยไล่ผี.

หน่วยไล่ผีของเลดี้ กาก้า นอกจากจะทำการสวดมนต์ หรือทำอะไรในแบบดั้งเดิมต่างๆแล้ว ยังใช้ วิทยาศาสตร์เข้าช่วยด้วย โดยมีการใช้เครื่องตรวจจับวิญญาณด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเครื่องมือแบบอื่นๆ มาช่วย ก็ไม่รู้ว่างานนี้เลดี้   กาก้า  จะปลอดภัยจากผีที่คอยตามหลอกหลอนเธอได้จริงๆ หรือว่าจะถูกหลอกเพราะคนที่มาช่วยไล่ผีกันแน่ ก็คงต้องติดตามข่าวกันต่อไป

แต่ นอกจากผีที่มาตามหลอกหลอนแล้ว ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ผีสิง หรือผีเข้า ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเรา ก็เห็นกันบ่อยๆ บางคนก็บอกว่าของจริง แต่คนที่ไม่เชื่อก็บอกว่า อุปาทาน ก็ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้จะเชื่อหรือไม่ ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละท่าน ส่วนด้านโลกตะวันตก ก็มีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ฝรั่งเองก็มีเรื่องราวในทำนองคนถูกผีเข้า ผีสิงกันเยอะเหมือนกัน ทำให้บาทหลวงในหลายๆพื้นที่ โดยเฉพาะแถบชนบทจะต้องออกโรงไปช่วยไล่ผีกันบ่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่า พิธีไล่ผีของฝรั่งมักจะไม่ค่อยตื่นเต้นมาก เพราะอุปกรณ์ไม่เยอะ

แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่การไล่ผีเกิดเป็นเรื่องรุนแรง เช่น มีการกักขังคนที่ถูกผีเข้า การเฆี่ยนตี ซึ่งบางครั้ง บทสรุปก็ไปจบลงที่โรงพยาบาลโรคจิต กลายเป็นเรื่องน่าสงสารไป รวมไปถึงบางกรณีที่รุนแรงถึงตาย และบาทหลวงหลายท่านถูกดำเนินคดีในฐานฆาตกรรม ซึ่งบางท่านก็แก้ต่างไม่หลุด แต่ก็มีบางท่าน ที่แม้สำนักสงฆ์ระดับสูงยังออกมารับรองว่าไม่ใช่ฆาตกง...ฆาตกรรมอะไรกันหรอก แต่เหยื่อที่เสียชีวิตเป็นเพราะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และบาทหลวงท่านเอาไม่อยู่ต่างหาก

สำหรับกรณีการไล่ผีที่ขึ้นชื่อว่า เป็นเรื่องโด่งดังที่สุดในโลก เห็นทีจะเป็นชีวิตจริงของอันเนลีส มิเชล (Anneliese Michel) สาวน้อยชาวเยอรมันผู้เคร่งในศาสนา แต่ต่อมาเธอก็มีอาการเหมือนถูกผีสิง จนต้องอัญเชิญบาทหลวง 2 ท่านมาช่วยทำพิธีให้ แต่ระหว่างการไล่ผีที่เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง เธอก็ทนไม่ไหว ตายจากไปเสียก่อนในตอนที่อายุเพียง 23 ปี และได้เปลี่ยนจากเด็กสาวหน้าตาสะสวย เป็นหน้าตาสยดสยอง กลายเป็นเรื่องครึกโครม และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Exorcism of Emily Rose ซึ่งในภาพยนตร์ ได้เปลี่ยนชื่อตัวเอกของเรื่องเสียใหม่ ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดไปเหมือนกันว่า Emily Rose เป็นชื่อจริงของเธอ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o8/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

สาวน้อยอันเนลีส มิเชล ก่อนจะถูกผีเข้า.

http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o7/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

สภาพที่เปลี่ยนไปของอันเนลีส หลังถูกผีเข้า.

หมุนโลกไปอีกด้าน ทางฟากกาฬทวีป มีรายงานจากองค์การสหประชาชาติว่า ในแอฟริกันนั้น มีคนเชื่อเรื่องผีสางอยู่มากทีเดียว และแม้โลกจะพัฒนาขึ้น แต่ความเชื่อเรื่องผีของคนแอฟริกันก็ไม่ลดลง แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคนที่ถูกอ้างว่าผีเข้ามักจะเป็นเด็กที่มีปัญหา เช่น เด็กพิการ เด็กเร่ร่อน ซึ่งพอถูกจับได้ ก็จะมีการนำหมอผีมาไล่ผีด้วยวิธีการน่าตกใจทีเดียว เช่น กรอกน้ำมันปลุกเสกเข้าไปในลูกตา หรือหูของเด็ก รวมถึงการบังคับให้กินของปลุกเสกแปลกๆเพื่อไล่ผี ไล่ความชั่วในตัวออกไป ซึ่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า สามารถไล่ผีได้จริงหรือไม่ แต่ในมุมมองของฝรั่งก็ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และเป็นการทำร้ายกัน แต่ก็คงต้องยอมรับด้วยว่า ความเชื่อ และวัฒนธรรมของแต่ละสถานที่ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามความเชื่อที่สืบเนื่องกัน มานาน อาจจะเป็นศตวรรษ หรือสหัสวรรษ


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o5/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

หมอผีชาวกาฬทวีป.

ที่ว่านานขนาดนั้นก็เพราะมีหลักฐานที่สามารถย้อนไปไกลได้ถึงยุคสุเมเรียนอันเก่าแก่เลยทีเดียว อันว่าชาวสุเมเรียนนี้เก่าขนาดที่ว่า เป็นพวกแรกๆ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวๆเมโสโปเตเมีย เมื่อ 4,000 ปีก่อน คริสตกาลชนกลุ่มนี้มีอารยธรรมสูง สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้มากมาย ทั้งวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฯลฯ จนบางคนบอกว่า พวกเขาได้ความรู้ต่างๆ มาจากผู้ส่งสารผ่านดาวอันไกลโพ้นนู่น...

เก่งแค่ไหน ชาวสุเมเรียนก็ "ตาขาว" เหมือนเราๆ นี่แหละ คือกลัวผี ดังนั้น ในขณะที่เหล่านักคิดนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเทคโนโลยีและถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ในอีกด้านหนึ่ง ก็มีนักบวชที่ต้องศึกษาเรื่องการไล่ผีอย่างจริงจัง และมีชาวบ้านจำนวนมากทีเดียว ที่มาขอร้องเหล่านักบวชให้ช่วยไปปราบผีให้หน่อย โดยเฉพาะผีที่ชอบมาสิงสู่ผู้คน ซึ่งชาวสุเมเรียนเชื่อว่า คนที่อ่อนแอนั้น ผีจะเข้าสิงได้ง่าย เวลาใครเจ็บป่วย หรือมีอาการผิดประหลาดไป ก็เลยต้องตามนักบวชมาจัดการ ซึ่งนักบวชสุเมเรียนก็ใช้วิธีง่ายๆ คือสวดมนต์ไล่ผี และมีหลักฐานสืบต่อมาจนปัจจุบันว่า มีคาถาไล่ผีอยู่ หลายบทที่นักบวชสุเมเรียนต้องท่องให้ได้ เพื่อช่วยขจัดผีร้ายให้ประชาชน

เรื่องแบบนี้มีมานานหลายพันปีแล้ว และน่าจะมีอยู่ต่อไปอีกหลายพันปี หากคนเราไม่ขนเอาอาวุธนิวเคลียร์มาล้างโลกกันเสียก่อน "คาถาไล่ผี" ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น และถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น วัฒนธรรมสู่อารยธรรมกันต่อไป แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็เถอะ

ด้าน วาติกัน แม้ว่าบาทหลวงในคริสต์ศาสนา ส่วนใหญ่จะใช้บทสวดจากไบเบิล แต่ก็มีบทสวดมากมาย จนเมื่อ ค.ศ.1998 ก็ได้มีการสังคายนาคาถาไล่ผีอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะกับตำราปราบผีชื่อดังเล่มหนึ่งคือ De  Exorcismis et Supplicationibus Quibusdam หรือการสวดเพื่อไล่ผี บทสวดยาว 84 หน้า ที่บาทหลวงจำนวนมากใช้เป็น "อาวุธ" หนักในการปราบผี และยังมีการแต่งตั้งบาทหลวงผู้มีหน้าที่ไล่ผีอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้ออกสืบสวนกรณีผีสิงต่างๆ และประกาศว่า หลายเรื่องเป็นเรื่องจริง


http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2011/01/22/143323/o3/420.jpg
ไสยเวทย์ในอดีต

คัมภีร์ปราบผี De Exorcismis et Sup-plicationibus Quibus-dam.

คนสำคัญที่สุดของวาติกัน คือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เอง ก็มีรายงานว่า พระองค์ให้ความสำคัญกับกิจกรรมไล่ผีของบาทหลวงต่างๆ มาก ส่วนพระสันตะปาปาพระองค์ก่อน คือ จอห์น ปอลที่ 2 นั้น ก็มีรายงานว่า พระองค์เคยช่วยทำพิธีไล่ผีให้ผู้ที่มาร้องขอด้วย แต่เป็นการกระทำแบบลับๆ

ส่วนที่เปิดเผยอย่างชัดแจ้งเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาว่า รายงานหลวงพ่อโธมัส ปาปรอกคิ (Thomas  Paprocki) บาทหลวงระดับบิชอปแห่งบัลติมอร์ได้รวบรวมพระในนิกายคาทอลิกมาร่วมกันศึกษา และสอนวิธีไล่ผีกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะในระยะหลังนี้ แม้วิทยาการจะมากขึ้น แต่ความต้องการของอเมริกันชนในการอัญเชิญบาทหลวงไปช่วยไล่ผีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนท่านผู้อ่านที่อยากรู้ว่า ฝรั่งเขาไล่ผีกันอย่างไร เหมือนหมอผีของไทยหรือเปล่า หรือว่าจะโหดกว่านั้น มีหนังดีวีดีสยองขวัญเรื่อง The Last Exorcism หรือ "นรกเฮี้ยน" ซึ่งในเนื้อเรื่องมีทั้งการถูกผีเข้า และพิธีกรรมการไล่ผี ให้ผู้ชมได้เห็นว่าผีฝรั่งเขาปราบกันอย่างนี้นี่เอง.

ทีมงาน ต่วย'ตูน
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.4 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 09 กุมภาพันธ์ 2567 07:32:40