ธุดงค์ ทำอะไร ที่ไหน เพื่ออะไร?
เมื่อรู้ว่าศัพท์มันเพี้ยน ความหมายมันคลาดเคลื่อนเสียไป ก็ชวนกันหันกลับมาใช้คำว่า "ไปรุกขมูล" หรือ "ออกรุกขมูล" ดีไหม จะเข้าใจง่าย มองเห็นโยงกับของจริงสภาพที่เป็นจริงได้ชัดดีด้วย
พอรู้เรื่องได้หลักแล้ว ก็ชัดแน่ลงไปว่าธุดงค์ไม่ใช่เดิน แม้ว่าบางครั้งธุดงค์จะพ่วงเอาเดินติดมาด้วย แต่ที่แท้นั้น "ธุดงค์" คือองค์คุณหรือข้อปฏิบัติสำหรับผู้ขัดเกลากิเลสที่จะฝึกตัวเองให้เป็นอยู่ง่าย มีความมักน้อยสันโดษ จะได้มุ่งไปกับกิจหน้าที่ของตัว
แทนที่จะเอาเวลาไปยุ่งกับเรื่องลาภผล เที่ยวหาเที่ยวรอรับ ปัจจัย ๔ ที่เหลือเฟือเกินจำเป็น ก็จะได้ตั้งหน้าตั้งตาเอาเวลานั้นมาใช้ปฏิบัติกิจหน้าที่ในการฝึกหัดพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะศึกษาเล่าเรียน เจริญสมถะวิปัสสนา ให้ก้าวไปในไตรสิกขา พอมักน้อยสันโดษแล้ว ก็ทำได้เต็มที่ ก็ให้เข้าใจธุดงค์กันอย่างนี้
บอกแล้วว่าธุดงค์มี ๑๓ ข้อ เกี่ยวกับปัจจัยสี่ ใน ๓ ข้อแรก เพราะข้อที่ ๔ เรื่องยานั่นไม่ต้องฝึก มันแล้วแต่โรค แต่ปัจจัย ๓ ข้อแรกนี่ทำให้คนผันแปรวิปริตได้ง่าย มันจะฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จะทำอะไรที่วุ่นวายกันนักหนา ก็มักจะมาจากปัจจัย ๓ ข้อแรกนั้นแหละ เที่ยวหาอาหาร หาเครื่องนุ่งห่ม หาที่อยู่อาศัยกันไป ไม่รู้จักจบ
อย่างเรื่องที่อยู่อาศัย ก็สร้างกันไป จนกระทั่งว่าไม่รู้จะสร้างขนาดไหน ให้เป็นวิมานอะไร ท่านก็อยู่โคนไม้ซะ ให้หมดเรื่องไปเลย ได้อยู่วิมานต้นไม้อย่างกะรุกขเทวดา เทวดาก็อยู่วิมาน อ้าว...ใครบอกว่าอยากอยู่วิมาน ก็นี่ไง รุกขเทวดาก็มีวิมาน คือต้นไม้นั้นแหละ เราก็มีวิมานอยู่ที่ต้นไม้นั่นได้ นี่เข้าใจแล้วใช่ไหม ธุดงค์น่ะ
ถาม : จะธุดงค์ได้ ต้องสมาทาน ช่วงเวลาเท่าไร กับใครคะ?
หลวงลุง : ใช่ ต้องสมาทาน เป็นการตั้งกำหนดลงไปแก่ตัวเองว่า เอาละ เริ่มลงมือทำจริงจังละนะ บอกแล้วว่าจะสมาทานถือในระยะสั้นหรือยาวนานก็ได้
ที่ต้องสมาทาน ก็อย่างที่ว่าเป็นการตั้งกำหนดให้เป็นการจริงจังแน่ชัดลงไป อย่างพระที่เดินบิณฑบาตไปน่ะ ถ้าไม่สมาทานให้เป็นธุดงค์ ท่านไปบิณฑบาตเรื่อยก็จริง แต่บางทีคนนิมนต์ท่านไปรับอาหารที่เขาจัดถวาย หรือในพิธีเป็นงานเป็นการก็ไม่เป็นธุดงค์
เมื่อกี้ถามว่าสมาทานกับใคร ก็สมาทานกับตัวเองน่ะสิ มันเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นข้อปฏิบัติสำหรับฝึกตัวเองนี่ เมื่อตกลงใจแล้ว ใจเราเข้มแข็งพอ ก็เอาเลย...ตกลงว่า คราวนี้ฉันสมาทานละนะ ฉันถือธุดงค์ข้อนี้นะ ๓ เดือน หรือนานเท่าไร ก็ว่าไป
ธุดงค์ถือหลายข้อพร้อมกันได้ แต่บางข้อขัดกัน เช่น ถือรุกขมูลแล้วจะอยู่กลางแจ้งได้อย่างไร มันขัดกันเอง ข้อไหนถือได้เหมาะกับตน ถ้าใครเข้มแข็งก็สมาทานเลย อย่างพระมหากัสสปะที่เป็นเอตทัคคะทางถือธุดงค์ เช่นข้ออยู่ป่า ท่านก็ถือตลอดชีวิตเลย
ถาม : ถือหลายๆ ข้อก็ได้หรือคะ?
หลวงลุง : ได้ซิ เรื่องผ้าก็ถือ เรื่องอาหารก็ถือ เรื่องที่อยู่ก็ถือ อย่างจีวรก็ถือผ้าบังสุกุล อาหารก็ถือบิณฑบาตประจำ เสนาสนะก็ถืออยู่ป่าอยู่รุกขมูลก็ได้นี่ พร้อมกันไปเลยหลายข้อ
ถือธุดงค์ มีอานิสงส์อะไร?
ถาม : แล้วอานิสงส์ของการถือธุดงค์ล่ะ ?
หลวงลุง : อย่างที่ว่าแล้ว เมื่อถือธุดงค์ ก็จะได้ขัดเกลากิเลสของตัว จะมีความเข้มแข็ง อยู่ในความมักน้อยสันโดษ บอกตัวว่าแค่นี้พอแล้ว ฉันอยู่ได้สบายแล้ว ไม่ต้องข้องห่วงกังวลอะไรแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตน ฝึกตัวเองไป แล้วก็มุ่งหน้าไปในการปฏิบัติ ในการพัฒนา ศึกษาเล่าเรียน เผยแผ่ธรรม ก้าวไปได้เต็มที่
ฉะนั้น ธุดงค์จึงมากับความมักน้อยสันโดษ เป็นอยู่ง่าย ต่อด้วยการฝึกฝนขัดเกลาตนเอง แล้วก็เข้าถึงธรรมชาติด้วย แถมว่าเมื่ออยู่กับธรรมชาติได้ดีแล้ว ก็มีความสุขได้ง่าย โดยตัดความวุ่นวายหลุดพ้นไปมากมาย
เมื่อพระถือธุดงค์ ก็ทำให้พระอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น มีเวลาเป็นของตัวเอง เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพามาก เพราะว่าคนที่ยังต้องพึ่งพานั้น ก็พึ่งพาอาศัยเนื่องมาจากปัจจัย ๔ นี่แหละ ท่านจึงพยายามให้เป็นอิสระในเรื่องปัจจัย ๔ เท่าที่จะทำได้ แล้วตัวเองก็จะมุ่งไปในงาน ในการฝึกตน ปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ พออยู่ง่ายอย่างนี้ ไม่มีอะไรพะรุงพะรัง แทบไม่ต้องมีอะไรติดตัว ไม่ติดข้องห่วงกังวลอะไรแล้ว เป็นอิสระ จะไปไหนก็ไปง่าย ก็จะเข้าคติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า พระนี่ถ้าเป็นอยู่ถูกต้อง จะเหมือนกับนกที่มีแค่ปีก ๒ ปีก จะบินไปไหนก็บินไป พระก็เป็นอย่างนั้น มีแต่บาตรกับจีวร ยิ่งถือธุดงค์ก็ยิ่งตัวเบา เหมือนกับนกที่มีแต่ปีก ๒ ปีก นึกจะบินไปไหน ก็บิน...ปรู๋ ไปได้เลย
เอ...ปรู๋ หรือ ปร๋อ อย่างไหนนะ (เสียงว่า "ปร๋อ" หัวร่อกันดัง)
พระอย่างท่านที่ถือธุดงค์นี้ ก็เป็นอย่างนั้น ท่านจะไปไหน ก็ไปได้สะดวก ไปได้คล่อง ท่านก็ไปชนบทนั้นชนบทนี้ ไปพบประชาชนชาวบ้านถิ่นทุรกันดาร ที่อยู่ในดงพงไพร เขาจะยากจนอยู่กันอย่างไรท่านก็ได้รู้ได้เห็น แล้วท่านก็มีโอกาสได้สั่งสอนแนะนำ มีธรรมะให้ ช่วยให้เขาอยู่กันดี ก็เลยกลายเป็นว่าธุดงค์นั้นไม่เฉพาะขัดเกลาตนเอง แต่เอื้อในการสั่งสอนคนอื่นด้วย ทำให้ไปเข้าถึงประชาชนได้ทั่วทุกถิ่นฐาน นี่คือมีประโยชน์เยอะเลย
วันก่อนนั้น มีเหตุให้พบกับญาติโยมบางท่าน ก็ได้เล่าให้ญาติโยมฟังเป็นเรื่องแทรกว่า นานนักแล้ว มีฝรั่งที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องเอเชียอาคเนย์ แล้วเขียนเป็นหนังสือหนาเล่มหนึ่ง เป็นตำราประวัติศาสตร์ Southeast Asia ซึ่งนิยมใช้กันเป็นหลักมานาน
เขามีข้อสันนิษฐานอันหนึ่ง เขาบอกว่าดินแดนแถบประเทศไทยนี้ แต่ก่อนอยู่ใต้อำนาจของขอม อย่างที่เรารู้กัน คืออาณาจักรขอมโบราณ ซึ่งยิ่งใหญ่มาก ขอมนั้นมาตั้งละโว้ (ที่ลพบุรี) เป็นเมืองหลวงย่อยสำหรับปกครองดินแดนที่ปัจจุบันคือไทย
ที่นี้ ขอมนั้นมีศาสนาหลัก คือศาสนาพราหมณ์/ฮินดู แล้วก็พุทธศาสนามหายาน เป็นสองศาสนาใหญ่ของมหาอาณาจักรนั้น
ทีนี้ พระและพราหมณ์ในสองศาสนานั้น ก็อยู่กับความยิ่งใหญ่ที่ศูนย์กลางอำนาจในมหานคร โดยเป็นเจ้าพิธีอันมโหฬารพันลึก ทิ้งส่วนใหญ่ห่างไกลความเจริญให้แปลกแยกว้าเหว่อ้างว้าง
ในสมัยนั้นเองซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนาน พระภิกษุเถรวาทผู้มีความเป็นอยู่ง่ายๆ มักน้อยสันโดษดังที่ว่า ได้จาริกกันไปเรื่อยๆ จนไปๆ มาๆ ก็ถึงกันใกล้ชิดกับมวลประชาชน กระจายไปทั่วทุกถิ่นดินแดน จนชนบทน้อยใหญ่กลายเป็นพุทธศาสนิกของเถรวาท
กาลนานผ่านมา ในที่สุดอาณาจักรขอมโบราณเจ้าของนครวัด-นครธม ก็ล่มสลาย และศาสนาพราหมณ์กับพุทธศาสนามหายาน ซึ่งผูกตัวติดอยู่กับศูนย์กลางอำนาจที่ยิ่งใหญ่ก็ล้มหายไปด้วย ในขณะที่พุทธศาสนาเถรวาทเข้าไปอยู่ในชีวิตของชาวบ้านทั่วผืนแผ่นดินหมดแล้ว นี่คือที่เขาว่าเป็นด้านหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งเอเชียอาคเนย์ แถบที่มาเป็นประเทศไทย
นาฬิกาปลุกดังเกร๊งกร๊าง
ตื่นขึ้นมา ตาสว่าง เดินถูกทางกันเสียที
ธุดงค์เป็นข้อปฏิบัติตามสมัครใจ ที่ทำได้ยากมากบ้างยากน้อยบ้าง แต่ก็มีพระที่ใจเข้มแข็งสมาทานถือสืบกันมาจนแน่นแฟ้นเข้าอยู่ในวิถีชีวิต เป็นความรู้ความเข้าใจสามัญในสังคมไทย
แต่น่าแปลกใจว่า เวลานี้คนไทยชาวพุทธมากหลายจนเรียกได้ว่าทั่วๆ ไป แม้กระทั่งชาวบ้านพื้นถิ่นก็ไม่รู้จักพอ ที่จะมองออกได้ว่าธุดงค์คืออย่างไร พากันตื่นเต้นไปกับปรากฏการณ์วูบวาบแวววาว แล้วก็ไขว้เขวสับสนกันไป
นี่เป็นสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาของคนไทย มีสภาพเป็นอย่างไร คลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน ผุกร่อนเลือนราง หรือว่าไปกันถึงแค่ไหน ควรจะปฏิบัติหรือจัดการให้เป็นอย่างไร
มองในแง่ดี ปรากฏการณ์เป็นเรื่องเป็นราวครึกโครมอื้อฉาวที่โด่งดังเด่นขึ้นมา เป็นอาการที่ผู้ทำนั้นท่านช่วยกระตุกหรือกระแทกกระทุ้งให้คนไทยสะดุ้งตื่น หรือแม้แต่ตระหนกตกใจขึ้นมา ซึ่งน่าจะช่วยให้เกิดความสนใจใส่ใจที่จะแก้ไขกันให้จริงจัง มิฉะนั้นก็จะไม่ตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรให้เป็นสาระชิ้นอัน
ถ้ามองอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าดีแล้วที่มีเรื่องแรงร้ายน่าตระหนกตกใจมาทำให้ตระหนักรู้ อะไรที่ตูมตามให้ตื่นเต้น แต่ช่วยปลุกให้ลุกขึ้นมาศึกษาหาความรู้กันให้เท่าทันเข้าใจที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล้วช่วยกันแก้ไข ชวนกันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องต่อไปก็เป็นอันถือได้ว่านั่นก็ดีแล้ว
จะจบเล่มลงท้าย จึงนำเอาหลักความรู้เรื่อง "ธุดงค์" มาบอกกันไว้จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ยาวถึง ๔ หน้าจัดได้ว่าเป็นภาคผนวก นับว่าไม่น้อย เรื่องธุดงค์ รู้เท่านี้น่าจะพอทีหนึ่งก่อน