[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: ไอย ที่ 24 ธันวาคม 2552 18:26:06



หัวข้อ: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 24 ธันวาคม 2552 18:26:06

ถาม- ตอบปัญหาธรรมะนี้คัดมาจาก หนังสือมนุษย์….เกิดมาทำไม (เล่ม๔)
ซึ่งรวบรวมและเรียบเรียงโดย คุณสุวัฒน์ พิทักษ์วงษ์ ได้คัดเลือกเพียงบางคำถาม- ตอบ
ซึ่งเป็นคำถาม- ตอบที่ไม่ได้จัดเรียงกันไว้ แต่จะคละกันอยู่ตามเรื่องของทาน ศีล สมาธิ เป็นต้น
 

ถาม : ที่กล่าวว่าไม่ให้ยึดติดทั้งดีและเลวนั้นหมายความว่าอย่างไร

ตอบ : อุปมาเปรียบเหมือนแพ อันบุคคลอาศัยแพ (ความดี ,บุญกุศล)
ข้ามน้ำ (วัฏสงสาร)ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องแบกแพขึ้นฝั่ง (พระนิพพาน)



ถาม : อะไรเป็นเหตุให้เกิดภพเกิดชาติไม่มีจบหรือสิ้นสุดของวัฏสงสาร
 

ตอบ : อุปธิ คือกิเลส กิเลสทำให้เกิดโมหะ ความโง่ คืออวิชชา
ทำให้เกิดชาติ อันไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย วนเวียนเป็นวัฏฏะ
ทางแก้คือดับอวิชชา คือทำวิชชาให้เกิด วิชชาคือปัญญารู้แจ้ง
แก้ข้อสงสัยในโลกทั้งปวง โลกคือสังขาร เกิดแล้วแปรปรวน
เปลี่ยนแปลงสลายไป เมื่อรู้ก็ไม่ยึดถืออดีตไม่ยึดอนาคต
ไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นเขา สัตว์ บุคคล ฯลฯ ก็จะไม่ต้องถามหาภพชาติต่อไป


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 24 ธันวาคม 2552 18:28:36

ถาม : อยากทราบว่าพระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญาไว้อย่างไร
 

ตอบ : ปัญญาในพระพุทธศาสนามีหลายระดับ จากระดับต้นไปจนถึงระดับสูง ดังนี้
๑.สุตะมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง (การศึกษาเล่าเรียน)
๒.จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดพิจารณา
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการเจริญภาวนา
๔. อายะโกศล ปัญญาฉลาดสร้างความเจริญ
๕. อบายะโกศล ปัญญาฉลาดเลี่ยงความเสื่อม
๖. อุบายะโกศล ปัญญาฉลาดสร้างความเจริญ และเลี่ยงความเสื่อม
๗. อุทยัพพยปัญญา ปัญญาวิปัสสนาญาณ เห็นความเกิดดับของรูปนาม
๘. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอริยมรรค ฯลฯ

เรื่องญาณ(ปัญญา) ๗๓ประการ เป็นญาณทั่วไปของพระสาวก ๖๗ประการ
ส่วนอีก ๖ ประการมีเฉพาะในพระพุทธเจ้าเท่านั้น

(หาอ่านได้จากพระสุตตันตปิฎก ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค)


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 24 ธันวาคม 2552 18:43:00

ถาม : ธรรมะขั้นสูงข้อหนึ่งสอนให้รู้จักปล่อยวางนั้น
เข้าใจว่าไม่ต้องทำอะไรเลยใช่หรือไม่
 

ตอบ : การปล่อยวาง คือ การให้รู้จักสอนใจตนเอง ไม่ให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย
ให้รู้จักคลายความเครียด ความฟุ้งซ่าน ให้รู้จักเท่าทันความจริง(สัจจะ๔)
แห่งชีวิต มิใช่ปล่อยวางโดยไม่ทำอะไรเลย การไม่ยอมทำหน้าที่การงาน
ที่รับผิดชอบ เป็นการปล่อยปละละเลย เป็นการปล่อยวางที่ผิดก่อให้เกิดความเสียหาย


ถาม: ขอให้อธิบายคำว่า “โยนิโสมนสิการ”  

ตอบ: โยนิโสมนสิการ แปลว่า กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย
คือคิดเป็นคิดเชิงปัญญา พิจารณาสืบสาวหาเหตุปัจจัย รู้จักคิดให้เป็น
คิดถึงสภาพของจิตตน แยกแยะกุศลอกุศล ผลดีผลร้าย
ตรวจสอบสืบค้นสาวหาความจริง ถ้าระดับปุถุชนก็คงต้องอาศัย
“ปรโตโฆสะ” คือคำบอกเล่า แนะนำ สั่งสอน ชักจูง จากกัลยาณมิตร
มาประกอบ เพื่อให้เกิดกำลังมีโยนิโสมนสิการ (แต่ต้องไม่ใช่การคิด
ปรุงแต่งด้วยการยินดียินร้าย เป็นไปในทางทวารทั้งหกและล่วงล้ำ
เลยไปเป็นเวทนาไปสู่สังขาร การปรุงแต่งจนเกิดตัณหา
เกิดทุกข์โทษไม่เกิดปัญญา)

โยนิโสมนสิการที่ถูกจะเกิดโสมนัสเวทนาเป็นมหากุศล

โยนิโสมนสิการ คือ การพิจารณาธรรม พิจารณาสิ่งทั้งหลาย
โดยมองตามสิ่งนั้น ๆ ตามที่มันเป็นของมัน และคิดหาเหตุผล
สืบค้นต้นเค้าสืบสาวให้ตลอดสาย แยกแยะสิ่งนั้น ๆ หรือปัญหานั้นๆ
ออกให้เห็นตามสภาวะ และตามความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย
โดยไม่เอาความรู้สึกด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้าจับ
โยนิโสมนสิการเป็นองค์ประกอบภายในที่ต้องพัฒนาขึ้นเอง
แม้คบกัลยาณมิตรแล้วถ้าปราศจากโยนิโสมนสิการก็ไม่อาจเกิดปัญญา
พ้นจากอวิชชาได้ โยนิโสมนสิการไม่ใช่ตัวปัญญาเองแต่เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา

ความคิดปรุงแต่งคือ อภิสังขาร มี ๓ อย่างคือ
๑) ปุญญาภิสังขาร คือ การปรุงแต่งดีเป็นบุญ
    เป็นความสุขสร้างสรรค์ เป็นโยนิโสมนสิการ
๒) อปุญญาภิสังขาร คือ การปรุงแต่งไม่ดี
    เป็นบาปเป็นทุกข์ เป็น อโยนิโสมนสิการ
๓) อเนญชาภิสังขาร คือ การปรุงแต่งสูงสุดที่ประณีตขึ้น
    ได้แก่สมาธิขั้นอรูปฌาน มีความสุขติดเพลินในความสุขนั้น
    ซึ่งไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ และไม่เป็นโยนิโสมนสิการ แต่หากไม่ติดเพลิน
    สามารถใช้ปัญญาพิจารณาเป็นบาทฐานเจริญสติต่อ
    เป็นวิปัสสนาให้บรรลุธรรมพ้นทุกข์ได้

เอกนิบาต : “เมื่อบุคคลใดใส่ใจโดยแยบคาย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
ย่อมเกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป”


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:52:31
วิชาปราบมาร   
ที่มา : ธรรมะวัดสามแยก เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม , 2007 เวลา 08:45:45 am


กราบเรียนพระอาจารย์ครับ บังเอิญผมไปเจอคนที่เขาพูดถึงหนังสือเรื่องหนึ่งกัน
ชื่อเรื่อง วิชาปราบมารของหลวงปู่ท่านหนึ่ง เลยอยากให้พระอาจารย์ลองอ่านดูครับ

หลวงปู่บันทึกเรื่องของมารไว้ ควรนำมาพิจารณาตามสมควร

     ๑. พระพุทธเจ้าภาคขาวที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เหมือนอย่างพระสมณโคดม
สักกี่โกฏิกี่ล้านหรือสักกี่อสงไขยก็สู้มารไม่ได้สักองค์เดียว เพราพระพุทธเจ้าภาคขาว
ที่ดับขันธ์ถอดเอาธรรมกายเข้านิพพานไปนั้น เหมือนอย่างกุ้งหรือปูที่ลอกคราบ
ก้ามหรือกระดองอ่อน ๆ อย่างนั้น จะไปทำไรใครได้ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าชั้นก่อน ๆ
ที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ แม้อย่างนั้นก็ยังเต็มรับเต็มสู้

     ๒. พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านคิดจะเข้านิพพานทั้งเป็น ๆ
เหมือนกัน แต่สู้เขาไม่ได้ ก็ต้องดับขันธปรินิพพาน

     ๓. กล่าวถึงพระสมณโคดม เมื่อพระองค์สำเร็จโพธิญาณใหม่ ๆ ได้เสด็จไปประทับ
ที่ใต้ควงไม้อชปาลนิโครธ พระยามารนิมนต์ให้เข้านิพพานเสียทีเดียว พระองค์ได้ตรัส
แก่มารว่า ถ้าบริษัท 4 เหล่าคือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่บริสุทธิ์แพร่หลายดีแล้ว
จะยังไม่เข้านิพพาน มารได้ฟังดังนั้นก็หลีกไป

     เมื่อพระยามารหลีกไปแล้ว พระพุทธเจ้าภาคมารก็มาเอง ตอนนี้ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเชื่อ
เพราะบาลีไม่กล่าวไว้ เป็นแต่ผู้มีธรรมกายไปพบเข้า พระพุทธเจ้าภาคมารนั้น พระกายดำเป็นนิล
ใสเป็นแก้ว โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพระพุทธองค์ แล้วถามพระองค์ว่า “เมื่อท่านยังไม่เข้านิพพาน
แล้วท่านจะรบกับเราหรือโปรดสัตว์?”
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:56:57

พระพุทธเจ้าเพิ่งสำเร็จโพธิญาณใหม่ ๆ ไม่ทันจะทราบเรื่องราวอะไรนัก
ต้องเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้านิพพานเก่า ๆ ขึ้นไป
จนถึงพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ (นิพพานเป็น) ว่าจะรบดีหรือ
จะโปรดสัตว์ดี พระพุทธเจ้านิพพานแก่ ๆ บอกว่า

“โปรดสัตว์เถิด จะรบนั้นสู้เขาไม่ได้ เพราะบารมีท่านน้อยกว่าเขา”  
แล้วก็ให้นัยมาว่า ให้ตั้งกติกากับเขาข้อเดียว เมื่อพระพุทธองค์ออกจากนิโรธแล้ว
ก็บอกแก่มารว่า “เราจะโปรดสัตว์” แล้วมารก็ตั้งกติกา 4 ข้อ คือ

๑. ท่านอย่าไปแตะต้องโครงการของเขา (ของมาร) ที่เขาทำให้ทุกข์แก่สัตว์ไว้ แล้วอย่าไปพูด

๒. ท่านต้องห้ามสาวก อย่าให้แผงฤทธิ์เดช จนไปแตะต้องโครงการของเขา

๓. ท่านจะเทศนาโปรดสัตว์ ท่านต้องเทศนาโทษว่า “เป็นกรรมของสัตว์” อย่าโทษว่าเขาทำ (มาร)

๔. เมื่อท่านอายุครอบ ๘๐ ปี ท่านต้องเข้านิพพาน

     นี่คือ กติกาที่มารเขาให้ไว้แก่พระพุทธองค์ รวม ๔ ข้อ

     ส่วนพระพุทธองค์ก็ตั้งกติกาข้องเดียว คือ “ศาสนาของเราไม่มีกำหนด
มรรคผลยังมีอยู่ตราบใด ศาสนาก็ตั้งอยู่ตราบนั้น”  

     เมื่อรับกติกาต่อกันอย่างนี้ ก็จะไม่มีการรุกรานกัน


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:59:33

แล้วพระพุทธองค์ก็โปรดสัตว์ต่อไป ครั้นศาสนาแพร่หลายมีสาวกมากเข้า
ภาคดำก็เล่นลูกไม้ โดยสอดละเอียดเข้าไปใน เห็น จำ คิด รู้ ของพระสาวก
ให้ทำชั่วขึ้น อย่างพระสุทินเสพเมถุน พระธนิยะทำอทินนาทาน พระที่แม่น้ำ
วัคคุมุทาทำมนุสสวิคคหะบ้าง อวดอุตริมนุสธรรมบ้าง ให้ทำปาราชิก 4
แล้วก็สอดละเอียดให้พระทำสังฆาทิเสส ๑๓, อนิยต ๒, นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐,
ปาจิตตีย์ ๙๒, ปาฏิเทสนียะ ๔, เสขิยวัตร ๗๕,อธิกรณสมถะ ๗, จดหมด
๒๒๗ สิกขาบท พระพุทธเจ้าก็ต้องตามบัญญัติสิกขาบทจนหมดสิ้น

     ๑. มารเขาตั้งกติกาบ้าง เพื่อยึดอำนาจปกครอง

     ผู้ที่ประพฤติไม่เป็นอาบัติ เป็นสาวกของพระสมณโคดม ส่วนท่านที่ประพฤติชั่ว
เป็นอาบัติ เป็นสาวกของเขาทั้งหมด (เป็นสาวกของมาร)

     เมื่อมารเขาตั้งกติกามาอย่างนี้ พระพุทธองค์ไม่รู้จะเอาอย่างไรเหมือนกัน
ครั้นจะพูดเรื่องของเขาเข้า ก็จะเสียสัตย์ที่ตั้งกติกาไว้ต่อกัน ว่าจะไม่พูดเรื่องของเขา
เพราะพระพุทธเจ้าภาคขาวตรัสสิ่งใดแล้ว ก็จะไม่คืนคายสัจวาจา ครั้นจะต่อว่าเขา
ก็ไม่อาจทำได้ภาคมารเขาถือว่า ความซื่อสัตย์และการคดโกงเป็นธรรมของเขา
ซึ่งมารก็ต้องปฏิบัติตามธรรมดำของเขา

     ครั้นจะปะทะกัน (รบกัน) ก็จะไม่มีเวลาโปรดสัตว์ เพราะจะต้องนิ่งอยู่ในนิโรธสมาบัติ
ไม่มีเวลาออกจากนิโรธ แล้วกำปั้นของเราเล็กกว่าเขา (บารมีน้อยกว่าเขา) เพราะบารมี
ของพระองค์เพียงสี่อสงไขยแสนมหากัปเท่านั้น ของเขา (ของมาร) ตั้งร้อยอสงไขย
พันอสงไขย หรือกว่าพันอสงไขยก็มี ถึงปะทะกันขึ้น (รบกับเขา) ก็สู้เขาไม่ได้
เพราะกำลังบารมีของเขามากว่า นั่นเอง


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:01:59

เหมือนกับประเทศไทยกับประเทศนอกสมัยราชาธิปไตย เขตแดนของเรามาก
แต่กำปั้นเล็กกว่าเขา ก็ต้องปล่อยให้เป็นเขตแดนของผู้อื่น จะสร้างปืนสักกระบอก
เขาก็ถามว่า “จะรบกับฉันหรือ?” แม้จะสร้างเรือสักลำ เขาก็ถามว่า
“จะสร้างไว้รบกับฉันหรือ?” ไทยก็ต้องอดทน เพราะกำปั้นเล็กกว่าเขา น่าเจ็บใจไม่น้อย

     พระพุทธเจ้าของเรา (พระสมณโคดม) กับภาคดำ (มาร) ก็แบบเดียวกัน

     ๕. มารเป็นผู้กำหนดอายุพระพุทธเจ้า

     กล่าวถึงพระพุทธองค์ เมื่อพระชนมายุย่างเข้า ๘๐ ปี ก็เริ่มให้โอกาสแก่
พระอานนท์ (เพราะคิดว่าจะเข้านิพพานทั้งเป็นเหมือนกัน) ตถาคตอาศัย
อิทธิบาททั้ง ๔ แล้วจะให้อายุยืนถึงกัปหรือกว่ากัปก็ได้ เพียรให้นิมิตโอกาส
แก่พระอานนท์อยู่ถึง ๑๖ ตำบล ตำบลละ ๓ ครั้ง จะให้พระอานนท์ทูลอาราธนา
ให้ดำรงชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่ภาคดำ (มาร) คอยดลใจให้พระอานนท์ไม่ให้
นึกขึ้นมาได้ พอครบ ๑๖ ครั้งเท่าโสฬสกิจ ก็เป็นอันหมดโอกาส พระยามารก็มา
เตือนให้นิพพานตามสัญญา ถ้าพระอานนท์ทูลอาราธนาไว้ได้ มารก็หมดโอกาส
ทีนี้พระองค์จะได้เดินสมาบัติเชื่อมกายหมดทุกกาย จนนับอสงไขยกายไม่ถ้วน
ให้ติดเป็นกายเดียว ใสเป็นแก้ว เข้านิพพานทั้งเป็นได้แล้ว จะไปกลัวอะไร!
แต่ก็ต้องดับขันธนิพพานอย่างนั้น .... ถ้าเข้านิพพานได้ทั้งเป็นก็เลิศเท่านั้น

ยังมีอีกครับแต่ยาวมากเลยเอามาให้พระอาจารย์ลองพิจารณาดูว่าเป็นอย่างไรครับ
ผมสงสัยว่ามันดูแปลกๆ
 
 
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:06:30

พระพันธกานต์ อภิปญโญ ตอบ :
 
ก็เห็นว่า    ไม่มีส่วนไหนที่เป็นแบบแผนตามแนวของศาสนาพุทธเลย
ผู้เขียนนี่เป็นพระในศาสนาพุทธแน่เหรอ? ทำไมกล้าเหยียบย่ำศาสดาตนเองถึงป่านนี้   
และ  ไม่รู้เลยเหรอว่าแบบนี้มันมีโทษมากขนาดไหน

เอ...ผู้ที่เรียกตัวเองว่าผู้พิทักษ์พุทธศาสนาน่าจะขยับตัวมาทำอะไรตรงนี้บ้างนะ   
เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะปล่อยเอาไว้นานควรจะสอบสวน   แล้วก็ประกาศความจริง
ให้พุทธศาสนิกชนรับทราบว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีในคำสอนของพุทธศาสนา   
พุทธศาสนิกชนไม่ควรถือเอาแม้แต่น้อยนิดนึง พระพุทธเจ้ามีหลายภาค   
พระพุทธเจ้าเข้านิพพานทั้งกายมนุษย์    อะไรแบบนี้หลุดวงโคจรของศาสนาไปไกล

แต่จะว่าแปลกมันก็ไม่แปลกหรอก   เพราะบ้านเราก็มีอะไรต่อมิอะไรตั้งมากมาย
หลายอย่างที่ขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้าพวกเราที่รักและเคารพพระพุทธ - ธรรม - สงฆ์   
ก็ตรวจสอบให้ดี   เมื่อได้ยินอะไรมา   ก็อย่าเพิ่งเชื่อซะทีเดียว พินิจพิจารณาเทียบเคียง
กับพระสูตรและพระวินัยให้รอบคอบ   ถ้าเห็นว่าไม่เข้าทีก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย
เมื่อไม่สามารถจะเตือนกันได้    ก็ปล่อยให้ดำเนินไปตามเรื่องของแต่ละคน   ก็เท่านั้นแหละนะ
เราก็อย่าไปยุ่งกับเขา    อย่าไปเชื่อกับเขา 

เพราะการไปเชื่อตามในลักษณะแบบนี้ก็เท่ากับย่ำยีตัวเองให้ตกเข้าสู่วังวนของ
บาปที่ทรมานยาวนานมากๆเลยเพราะเป็นการกล่าวตู่ - ปรักปรำ -
ให้ร้ายป้ายสีพระพุทธเจ้าชัดๆเลยนะ   

บอกว่ามารยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า   ถ้าวสวัตตีมารผู้เป็นจอมมารผู้ยิ่งยงแกได้รู้เข้า   
แกคงสะดุ้งจะโหยงเหยงแล้วมั๊ง  แล้วคงจะหมอบกราบระลึกถึงพระรัตนตรัย   
เพราะตอนนี้แกกลับตัวกลับใจแล้ว   เป็นพุทธมามกะผู้หนึ่งแล้วนะ
แกเป็นญาติกับพวกเราชาวพุทธแล้ว    แต่ลูกน้องของแกที่แสบๆ  ก็ยังมีอยู่มากที่ดื้อรั้น
ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นจะทำตามวิสัยแห่งมารแต่เพียงอย่างเดียว   
และได้ยินว่า   ที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ก็มีอยู่มากนะ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:08:40

สุดยอดแห่งการสมมติบัญญัติในวัฏฏะจักร เล่ม   35     หน้า    44

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   อัครบัญญัติ    (บัญญัติกันว่าเยี่ยมยอด)  ๔  นี้     
อัครบัญญัติ   ๔    คืออะไร   คือ   

ที่เยี่ยมยอดทางอัตภาพ    (ตัวใหญ่ที่สุด)  ได้แก่   อสุรินทราหู   
ที่เยี่ยมยอดทางบริโภคกาม     ได้แก่   พระเจ้ามันธาตุ   
ที่เยี่ยมยอดทางเป็นเจ้าเป็นใหญ่    ได้แก่    มารผู้มีบาป   
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า    ปราชญ์กล่าวว่าเยี่ยมยอด     
ในโลกทั้งเทวโลกทั้งมารโลกทั้งพรหมโลก
ในหมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์    รวมทั้งสมณพราหมณ์   

ภิกษุทั้งหลาย    นี้แลอัครบัญญัติ  ๔.

ราหูเป็นเยี่ยมทางอัตภาพ (ร่างกาย)   
พระเจ้ามันธาตุเป็นเยี่ยมทางบริโภคกาม   
มารผู้รุ่งเรื่องด้วยฤทธิ์ด้วยยศ   เป็นเยี่ยมในทางเป็นใหญ่   
พระพุทธเจ้า  ปราชญ์กล่าวว่า เป็นเยี่ยมยอดแห่งสัตว์โลกทั้งเทวดา   
ทั้งเบื้องสูง  ท่ามกลาง   เบื้องต่ำ  ทุกภูมิโลก.

***  ใครจะว่าใครยอดเยี่ยมก็ยอดเยี่ยมไปแหละนะ   แต่ที่สุดของที่สุดยอดสุด
- สุ๊ด - สุดยอด  คือ  พระพุทธเจ้าน่ะ
 
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:10:43

กราบเรียนถามพระวัดสามแยก ครับ

มารผู้มีบาป อสุรินทราหู พระเจ้ามันธาตุ เหล่านั้น ผู้เป็นใหญ่และยอดเยี่ยม
ยังตายได้อยู่ใช่ไหมครับ คือมีอายุที่สิ้นสุด และอาจกลับมาเกิดเป็นเชื้อโรคอีกก็ได้
ตกนรกอีกก็ได้ ใช่ไหมครับ แต่พระพุทธเจ้า และแม้แต่พระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ไม่มีอายุสิ้นสุดใดๆ ไม่มีการเกิดในที่ใดๆอีกแล้ว ใช่ไหมครับ

อสุรินทราหู แม้เยี่ยมยอดทางอัตภาพ    (ตัวใหญ่ที่สุด)  ก็ดี ก็ยังจัดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง
มารผู้มีบาป  แม้เยี่ยมยอดทางเป็นเจ้าเป็นใหญ่   ก็ดี ก็ยังจัดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง
พระเจ้ามันธาตุ  แม้เยี่ยมยอดทางบริโภคกาม  ก็ดี ก็ยังจัดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง
ใช่ไหมครับ

การที่มารผู้มีบาป มาหลอกลวงสัตว์โลก หรือ มนุษย์โลก หรือหลอกลวงแม้กระทั่ง
พระอรหันต์สาวก หรือเข้าดลบันดาลจิตใจใครต่อใครให้คิดผิดพลาด  มารผู้มีบาปเหล่านี้
จะมีการถูกลงโทษอยางไร ด้วยใคร และผู้ที่ลงโทษมารผู้มีบาปได้ ก็ย่อมต้องมีความยิ่งใหญ่
กว่ามารผู้มีบาปใชไหมครับ เราจะเรียกผู้ลงโทษผู้นั้นว่าผู้ยิ่งใหญ่เช่นไรในวัฏฏะจักร ครับ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:14:00

วสวัตตีมารเป็นราชาแห่งมารทั้งหลาย บ้านแกก็อยู่ที่ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี    
ซึ่งเป็นชั้นที่ 6 และฟันธงเป๊ะได้เลยว่า เมื่อสิ้นอายุจากสวรรค์แล้ว    
วสวัตตีมารนี้ก็ยังมีนรกให้ได้ไปรับความทรมานอีกมาก ความทุกข์
ยากลำบากทรมานทั้งหลาย อันเนื่องมาจากการเกิดยังรอแกอยู่
อีกมากมายนัก  วสวัตตีมารแกก็คือปุถุชนสกปรกคนหนึ่งเท่านั้นเอง  
ไม่มีได้มีความหมายอะไรเลย  สำหรับใจของชาวพุทธทั้งหลาย นอกจาก
เป็นพุทธบริษัทและสหธรรมิกร่วมกับเราคนหนึ่งเท่านั้นเอง  
และตอนหลังมานี้วสวัตตีมารแกก็ปราถนาพุทธภูมิด้วย

แล้วไอ้ตำแหน่งวสวัตตีมารนี้มันก็ไม่ใช่ของใคร มันเป็นตำแหน่งกลางๆ  
ใครที่สร้างบุญบารมีแล้วปราถนาเป็นเมื่อบุญบารมีมันถึงมันก็ได้เป็น
แค่นั้นแหละ เหมือนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บ้านเรานี่แหละ  
ใครที่มีความสามารถ ก็เข้าไปเป็นได้  และ  ต้องออกไปเมื่อพ้นวาระ
  
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:18:11

อสุรินทราหู    เป็นอสูรผู้ยิ่งใหญ่ตนหนึ่งร่วมกับท้าวเวปจิตติซึ่งเป็นพ่อตาของ
ท้าวสักกะจอมเทพแห่งดาวดึงส์ อสุรินทราหูนี้บ้านแกก็อยู่ที่ทะเลหลวง
ด้านล่างของภูเขาสิเนรุราช   นี่ก็ปราถนาพุทธภูมิเหมือนกันกับวสวัตตีมาร
ยังมีนรกหมกไหม้   ทุกข์ยากลำบากทรมานสารพัดเหมือนกันกับวสวัตตีมาร
และก็ไม่มีได้มีความหมายอะไรเลย     สำหรับใจของชาวพุทธทั้งหลาย   
นอกจากเป็นพุทธบริษัทและสหธรรมิกร่วมกับพวกเราคนหนึ่งเท่านั้นเอง

พระเจ้ามันธาตุนี้เป็นมนุษย์นะ   ยอดเยี่ยมทางบริโภคกามทั้งของมนุษย์และของทิพย์   
แกเกิดตอนที่คนมีอายุอยู่ในช่วง  1  อสงไขยขาลง   เป็นพระเจ้าจักรพรรดิด้วย   
ชนะไปทั่วโลก  แล้วก็ไปชนะที่สวรรค์ชั้นจาตูม   แล้วก็เลยไปชนะที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วย
แกบริโภคกามอันเป็นทิพย์อยู่ที่นั่นจนท้าวสักกะล่วงเลยไปถึง 36 พระองค์ ยาวนานมาก
แต่พระเจ้ามันธาตุเมื่อสิ้นอายุจากนั้นแล้วก็ยังต้องตกนรกหมกไหม้อยู่อีกยาวนาน 
และทุกข์อีกสารพัดทุกข์จากการเกิด  จนชาติสุดท้ายนี้ก็ยังทุกข์อีกมากมาย
จากการบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งพระเจ้ามันธาตุนี้ก็คืออดีตชาติของ
พระพุทธเจ้าของพวกเราพระองค์นี้แหละ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:21:10

ส่วนพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกก็ตามนั้นแหละ   
ยุติแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง   แม้แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็ยุติด้วย   แม้แต่ยุตินี้ก็ยุติด้วย....

มารก็จะถูกลงโทษตามกฏแห่งกรรมนี้แหละ   สถานที่สำหรับดัดสันดานสัตว์โลก
หลักๆเลยก็คือ  อบายทั้ง  4  ยังไงล่ะ   คือ   นรก - เปรต - อสุรกาย - สัตว์เดรัจฉาน

พระโมคคัลลานะนี้ไงเป็นตัวอย่าง   ตอนที่ท่านไปเสวยสมบัติเป็นมาร  ได้ไปกวน
พระอัครสาวกของพระพุทธเจ้ากกุสันโธเข้า งานนั้นไม่ได้กลับบ้านเลย   
จมนรกทันทีที่พระพุทธเจ้าละสายตาไปจากท่านคราวนั้น
นี่แหละกวนไม่เข้าเรื่อง   กวนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง    ก็เลยได้รับผลเร็ว

ผู้ที่จะลงโทษมารได้ก็ต้องใหญ่กว่ามารใหญ่กว่าสัตว์ทั้งหลาย   สิ่งนั้นก็คือกฏแห่งกรรม
หรือธรรมชาตินี้แหละที่บอกว่า  ทำดีได้ดี    ทำชั่วได้ชั่ว    เพราะเมื่อยังวนเวียน
อยู่ในวัฏฏะจักรนี้    ธรรมชาติย่อมยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

ซึ่งแม้แต่ร่างกายหรือขันธ์ 5  ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายก็อยู่ภายใต้
กฏแห่งธรรมชาติเหมือนกันคือ  เกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย - ทุกข์   
มีแต่จิตของท่านเหล่านั้นที่พ้นไปจากธรรมชาติทั้งหลาย


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:22:22

กราบขอบพระคุณพระวัดสามแยก ครับ

ตามที่มีการคิดวิชาปราบมาร แบบผิดๆ คิดว่ามารยิ่งใหญ่กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ดำ เป็นผลมาจาก มารเข้าสิงใจผู้คิดเช่นนั้น ให้เกิดการคิดไป
ทำนองนั้น ใช่ไหมครับ ทางแก้ไข ควรทำอย่างไร จึงจะเอาชนะความคิดเห็นผิดเช่นนันได้
เพราะมารย่อมมีกำลังมาก และมีเล่ห์กลมายามาก  เราจะอุทิศบุญให้มารที่สิงใจเราให้คิด
จะได้ผลมากน้อยเพียงใด ครับ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:29:06
อ้างถึง
คิดว่ามารยิ่งใหญ่กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   หรือ   เป็นพระพุทธเจ้าองค์ดำ
เป็นผลมาจาก   มารเข้าสิงใจผู้คิดเช่นนั้น   ให้เกิดการคิดไปทำนองนั้น  ใช่ไหมครับ

ไม่มีฝีมือใครหรอกที่จะกล้าบ้าบอทำแบบนี้    นอกจากพวกมารเท่านั้นแหละ
ในพระไตรปิฎกนี้ก็ได้พูดถึงและตักเตือนและสั่งให้พวกเราชาวพุทธระมัดระวังเอาไว้
อยู่ตลอดเวลา  เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้ึสึกนึกคิดที่ออกนอกลู่นอกทาง   
ที่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความเสื่อมและความเห็นผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า

อ้างถึง
ทางแก้ไข ควรทำอย่างไร จึงจะเอาชนะความคิดเห็นผิดเช่นนันได้ เพราะมารย่อมมี
กำลังมาก และมีเล่ห์กลมายามาก  เราจะอุทิศบุญให้มารที่สิงใจเราให้คิด
จะได้ผลมากน้อยเพียงใด ครับ

อุทิศบุญให้พวกมารนี้เหรอ   ก็ลองดูนะ   แต่ไม่รับประกันซะแล้วโยมเอ๋ย   
เพราะพวกนี้เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความชั่วอย่างเดียวเท่านั้้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า 
"พวกมารผู้มีบาป   พวกมารผู้ลามก   พวกมารผู้สกปรก"   
นี้เป็นธรรมชาติของพวกมารอยู่แล้ว เหมือนกับเราเอาเงินไปให้โจร     
ที่มีสันดานเป็นโจรโดยกำเนิด    คิดดูเถอะนะว่าอะไรจะเกิดขึ้น
มันจะเลิกเป็นโจรหรือว่ามันจะเอาเงินที่เราได้ให้นี้ ไปซื้ออาวุธมาสร้าง
ประสิทธิภาพการทำลายล้างของมันให้ยอดเยี่ยมขึ้น


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 21:40:31
แต่พวกมารที่กวนหนักอยู่ในเวลานี้ก็ไม่ใช่ลูกพี่ใหญ่หรอก (เดี๋ยวสวัตตีมาร
จะหาว่าพระวัดสามแยกเหมารวมเลยเหรอ) เป็นมารระดับรองๆลงมา   
แต่ก็แสบไม่แพ้ลูกพี่เหมือนกันแหละ   เหมือนในคราวที่ลูกพี่ยังกร่างอยู่โน้นน่ะ

และวิธีที่จะแก้ไขความเห็นผิดของมนุษย์ที่ถูกมารดลใจนั้น   
ก็ต้องเอาความเห็นถูกตามธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้นี่แหละเข้าไปแก้



ทีนี้ปัญหาก็อยู่ที่ตัวและใจของผู้ที่เห็นผิดเองว่าจะยอมรับฟังตามเหตุตามผลที่ท่าน
แสดงเอาไว้หรือเปล่าถ้ายังเป็นความเห็นผิดในระดับอ่อนๆไปถึงกลาง   
นี้ก็ยังพอแก้ไขได้บ้าง   ด้วยเหตุและผลตามธรรมของพระพุทธเจ้า

แต่เป็นถ้าเป็นความเห็นผิดขั้นสุดท้่ายที่เรียกว่า   "ความเห็นผิดชนิดดิ่ง - แท้ - แน่นอน" 
อันนั้นไม่หวนกลับอีกแล้ว   แม้แต่บุคคลเช่นกับพระพุทธเจ้า   ก็ไม่สามารถแก้ไข
บุคคลผู้มีความเห็นผิดชนิดนี้ไ้ด้ต้องปล่อยไปตามยถากรรมซะแล้วล่ะแบบนี้

และวิธีป้องกันความเห็นผิดเช่นนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้     ก็คือการสร้างศรัทธา
ในพระรัตนตรัยให้ถูกต้อง จากนั้นเรียนพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจและยึดมั่น
หลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้มั่นคง - ไม่คลอนแคลนมีสติสัมปชัญญะอยู่ในหลักแห่งธรรม 


แบบนี้ก็จะรอดพ้นไปจากบ่วงแห่งมารที่แสดงมายาหลอกล่อให้คนเห็นผิดได้
ด้วยวิธีการต่างๆสารพัดรูปแบบเท่าที่พวกมารจะสรรหามาได้ และพวกนี้ไม่กลัวบาปกรรมอะไรหรอก
เพราะเป็นพวกเห็นผิดอยู่แล้วโดยความเห็นผิด    ขอให้สัตว์โลกตกอยู่ใต้อำนาจของพวกเขา   
แค่นี้พวกเขาก็พึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว   โดยไม่สนกับวิธีการใดๆทั้งสิ้น


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:22:39

นายเวรในโลกทิพย์ ที่ติดตามจองเวรเราอยู่ ด้วยการส่งกระแสคิด หรือ ลงมือกลั่นแกล้ง
ดลบันดาลจิตใจเราให้คิดผิด นายเวรเหล่านี้ ก็ถูกเหล่ามาร ดลใจให้คิดผิด ทำผิด
คิดแค้นเคือง จองเวรเราอีกต่อหนึ่งใช่ไหมครับ เมื่อเราอุทิศบุญให้นายเวรบ่อยๆ ถี่ๆ
จนนายเวรมีกำลังที่จะต่อสู้กับมารที่ครอบงำจิตใจของเขา นายเวรก็แก้ไขจิตใจของตนเอง
เอาชนะมารได้ระดับหนึ่ง จึงล้มเลิกการจองเวรเราได้ใช่ไหมครับ  แสดงว่า บุญก็มีกำลัง
 ก่อให้เกิดปัญญา คิดเห็นชอบหักล้างมารได้ ใช่ไหมครับ

มาร นั้น ก็คือ คนอย่างเราๆนี้ ที่ทำบุญมาก และมีบุญมาก จนได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์
ชั้นที่สูงที่สุด แต่กลับมีปัญญาไม่ชอบ คือคิดเห็นผิด อันนี้เนื่องด้วยสาเหตุใดครับ
มารซึ่งก็คือ สัตว์โลกชนิดหนึ่ง ที่เป็นคนที่เคยทำบุญมามากมายอย่างเราๆนี้เอง
แต่ต้องไปเกิดเป็นมาร ที่มีบุญมาก และ มีปัญญาหลงผิดมากด้วยเช่นกันถึงเพียงนั้น
ทำให้ผมคิดไปว่า พวกมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ที่ นับถือวัตถุ บูชาวัตถุ โดยเฉพาะเคารพ
พระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ้า หรือ เข้าใจว่า พระพุทธรูป คือ พุทธะ คนเหล่านี้ มีจิตใจ
ที่ศรัทธาไปในทางที่ดีงาม ทำบุญมากมาย สร้างวัตถุด้วยการบริจาคทรัพย์จำนวนมากมาย
เขากำลังก่อเชื้อแห่งบุญ ที่จะไปเป็นพวก มาร ใช่ไหมครับ คือ ไม่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง
และ เห็นผิดเป็นชอบ และถ้าเป็นเช่นนั้น วัดดังๆ หลายๆวัด ที่ปลุกกระแสศรัทธาให้
คนจำนวนมากสร้างวัตถุมากๆ ชักชวนคนทำบุญด้วยการสร้างวัตถุมากๆ เพื่อให้เกิดบุญมากๆ
ก็กำลังพาคนไปเป็นสมัครพรรคพวกของมารเสียเอง ใช่ไหมครับ ในขณะที่เขา
กำลังสอนให้ปราบมาร แต่แท้จริงแล้ว เขาคือ มาร เสียเองโดยไม่รู้ตัว เช่นนั้นใช่ไหมครับ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:26:09

เรื่องมารนี้   จะไปปรักปรำว่ามีแต่ฝีมือของเทพที่เป็นฝ่ายมารแต่เพียงอย่างเดียว
ก็คงจะไ่ม่ถูกนัก

เพราะ   มาร   แปลว่า   ตัวขัดขวางไม่ให้ไปสู่คุณธรรมความดีงามที่ถูกต้อง

และมารก็มีอยู่หลายแบบทั้ง   เทวปุตตมาร - กิเลสมาร - ขันธมาร   เป็นต้น
ถ้าจะบอกว่าสัตว์โลกทั้งหมดล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจมารก็ถูก   
เพราะสัตว์โลกทั้งหมดนับจาภวัคคพรหมลงมาจนถึงอเวจีมหานรก ล้วนอยู่ภายใต้
อำนาจกิเลสมารทั้งนั้นแม้แต่ตัวของเทวปุตตมารเอง    ก็ยังถูกกิเลสมารนี้
ครอบงำอยู่อีกเหมือนกัน นายเวรของเราและเราเองก็ถูกกิเลสมารครอบงำ
อยู่เหมือนกัน   กิเลสมารที่หลัก ๆ เลยก็คือ รัก - โลภ - โกรธ - หลง   
มีอยู่ในใจของทุกคน    แม้แต่อนาคามีก็ยังมี     ยกเว้นผู้ที่เป็นอรหันต์เท่านั้น

ดังนั้นนายเวรที่โกรธแค้นนี้ก็มีทั้งที่เกิดจากมารภายในคือกิเลสของตนเองด้วย   
และอาจจะเกิดจากแรงสนับสนุนภายนอกอย่างเทวปุตตมารด้วย  เช่นนี้ก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:30:02

ส่วนการอุทิศบุญให้และการขอโทษเหล่านายเวรนี้ก็บรรเทาความอาฆาตแค้น
ของนายเวรได้จริงเพราะเป็นการชดใช้กันด้วยความถูกต้องตามธรรมอยู่แล้ว   
เมื่อนายเวรเห็นการอ่อนน้อมยอมรับต่อความผิดด้วยใจจริง ก็ย่อมมี
การเห็นอกเห็นใจกันได้ อันนี้ก็เป็นธรรมดาหรอก    เมือเห็นใจแล้วความแค้น
ก็ลดน้อยถอยลงความรักความเห็นใจและการให้อภัยย่อมเกิดขึ้น   
นี่ก็เป็นการเอาชนะมารในใจของนายเวรอีกวิธีหนึ่งได้เหมือนกัน
และเป็นการเอาชนะมารในใจของเราได้เหมือนกัน   คือแทนที่จะเอาแต่
ความโมโหโทโสเข้าระห่ำแตกใส่กัน ประเภทชาตินี้เธอทำเรา   
ชาติหน้าก็ขอให้เราได้ทำเธอบ้าง    อะไรแบบนี้ก็จะไม่มีเพราะได้เรียนรู้กันแล้ว
ก็ให้อภัยกันทั้งสองฝ่าย  ทั้งฝ่ายเราก็อภัยที่เขามาทำเราในคราวนี้ 
ทั้งฝ่ายนายเวรก็ให้อภัยที่ได้เราได้ทำเขาเมืี่อคราวก่อน
ก็เป็นอันว่า    วิน - วิน   ทั้ง  2  ฝ่าย

แต่ก็มีบางพวกที่ไม่ยอมรับเหตุผลอะไรทั้งนั้น    จะเอาแต่ความพอใจ
ของตัวเองอย่างเดียวแบบนี้ก็ต้องอาศัยญาติทิพย์ฝ่ายเราช่วยเหลือ
ป้องกันอีกทีหนึ่ง   และผู้ทีมีหน้าผดุงความยุติธรรมก็จะยื่นมือเข้ามาจัดการ
ถ้าเหตุผลมันเพียงพอ    ความยุติธรรมมีแน่นอนในธรรมชาตินี้


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:33:16
อ้างถึง
มาร นั้น ก็คือ คนอย่างเราๆนี้ ที่ทำบุญมาก และมีบุญมาก จนได้ไปเกิดอยู่บน
สวรรค์ชั้นที่สูงที่สุด แต่กลับมีปัญญาไม่ชอบ คือคิดเห็นผิด
อันนี้เนื่องด้วยสาเหตุใดครับ


ก็ด้วยเหตุแห่งความเห็นผิดนะซิ   เพราะขาดการสนทนาและฟังธรรมของสัตบุรุษ
คือพระพุทธเจ้านี้แหละเพราะเมื่อไม่มีธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว    สัตว์ทั้งหลาย
ย่อมตั้งจิตให้หมุนไปผิดเป็นแน่แท้ เมื่อมีการสร้างบุญกุศลใดๆ   ก็ย่อมตั้งเจตนาผิด   
คือ  ตั้งเจตนาเพื่อขอให้ได้จักรพรรดิสมบัติบ้าง - สักกะสมบัติบ้าง มารสมบัติบ้าง -
พรหมสมบัติบ้าง   เหล่านี้ล้วนเป็นความเห็นผิดทั้งหมด   เพราะเป็นการเวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในวัฏฏะสงสารอันจอมปลอมทั้งนั้น   สมบัติทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติจอมปลอมทั้งนั้น
มีแล้วก็กลับไม่มี   แปรเปลี่ยนเป็นอื่นไป   เคยยิ่งใหญ่ก็กลับต๊อกต๋อยได้   
เพราะนี่คือมายาของวัฏฏะจักร

แต่มันก็ยั่วยวนใจที่มีความเห็นผิดจนอดใจไม่ไหว    ต้องทะยานตามไปจนได้
ตามคำโฆษณาชวนเชื่อของสมณะพราหมณ์ทั้งหลาย (ที่ไม่ใช่พุทธเจ้า) 
ที่มีความเห็นผิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เพราะมารสมบัตินั้นมันยิ่งใหญ่จริงๆ  ในแดนกามภูมิตั้งแต่อเวจี  ไปจนถึง   
ปรนิมมิตวสวัตตี   ยอมให้เขาทั้งนั้นแหละ


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:35:42

ทีนี้เรื่องของการสร้างวัตถุกันแบบไม่รู้จักความพอดี   ไม่รู้จักบันยะบันยัง -
ไม่เห็นโทษในสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือแห่งมารอยู่แล้ว   
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า   วัตถุทั้งหมดคือเหยื่อล่อของมารผู้มีบาป   
วัตถุทั้งหมดเป็นสิ่งที่มารสรรเสริญเป็นอย่างยิ่งแล้ว     สรรเสริญยังไง?

สรรเสริญให้สัตว์ทั้งหลาย    ชมดินเพลินดิน - ชมน้ำเพลินน้ำ -
ชมลมเพลินลม - ชมไฟเพลินไฟ - ชมรูปเพลินรูป  - ชมเทวดาเพลินเทวดา -
ชมพรหมเพลินพรหม   อย่างนี้

เมื่อมารทราบว่า   ใครก็ตามที่จะหลุดพ้นไปจากอำนาจเหล่านี้ของมาร   
มารก็ย่อมจะพยายามทุกวิถีทางที่จะดึงผู้นั้นให้อยู่ภายใต้อำนาจตน

สำหรับนักบำเพ็ญคือชาวพุทธทั้งหลายที่ยึดถือวัตถุทั้งหลายนั้น   จึงต้องเผชิญ
กับศึกหนักทั้ง  2  ด้าน  คือทั้งมารภายในคือกิเลสของตน  และ 
มารภายนอกคือเทวปุตตมารนั้น

ที่นี้เมื่อนักบำเพ็ญทั้งหลายเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า   ก็ต้องสละวัตถุ
อันเป็นไปในภายนอกทั้งหมดเสียจะเหลืออยู่ก็คือวัตถุภายในคือร่างกายของตนนี้   
ก็จะเป็นการลดภาระที่หนักหน่วงในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง   
คือพระนิพพานได้เร็วขึ้ืน - ง่ายขึ้น - สะดวกขึ้น

เพราะฉะนั้น   ถ้าใครสรรเสริญวัตถุอย่างนั้นอย่างนี้   แล้วก็บอกให้ปราบมารอย่างนั้นอย่างนี้   
ก็เป็นอย่างที่โยมว่ามานั่้นแหละ  คือ   เป็นมารเสียเอง    ไม่มีวันที่จะรอดพ้นไปจากมารทั้ง
ภายในและภายนอกได้หรอก


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:47:04

วันนี้เป็นวันมหาปวารณา   คือวันที่ประกาศให้ผู้อื่นตักเตือนตนเองในส่วนที่
ตนเองกระทำผิดที่ผู้อื่นเห็นก็ดี   ได้ยินก็ดี   นึกสงสัยรังเกียจก็ดี   
ให้เปิดโอกาสต่อกันเพื่อทำการว่ากล่าวตักเตือนซักถามกันได้

เพราะฉะนั้นสมาชิกเวบสามแยกทุกท่านขอจงเปิดโอกาสต่อผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกัน
ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันเมื่อเห็นกันทำผิดเช่น   สามี  กับ  ภรรยา   
ลูก  กับ  พ่อแม่   เพื่อนกับเพื่ีอน

เพื่อเป็นการระมัดระวังมายาของมารให้แก่กันและกันอีกวิธีหนึ่งด้วย


วัตถุทั้งหมดไม่ว่ารูปอะไรก็เป็นอย่างนี้แหละ...ไม่มีข้อยกเว้น เล่ม 66 หน้า 153

พระสมณะครั้นรู้รูปอย่างนี้แล้วจึงพิจารณารูป คือพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรคเป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นของลำบาก เป็นอาพาธ เป็นอย่างอื่น เป็นของชำรุด   
เป็นเสนียด   เป็นอุบาทว์์   เป็นภัย   เป็นอุปสรรค    เป็นของหวั่นไหว   
เป็นของแตกพัง    เป็นของไม่ยั่งยืน    เป็นของไม่มีที่ซ่อนเร้น   เป็นของไม่มีที่พึ่ง   
เป็นของว่าง    เป็นของเปล่า    เป็นของสูญ    เป็นอนัตตา   เป็นโทษ   เป็นของมี
ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา    เป็นของไม่มีแก่นสาร    เป็นมูลแห่งความลำบาก     
เป็นดังเพชฌฆาต    เป็นของปราศจากความเจริญ   เป็นของมีอาสวะ (เป็นของหมักดอง)   
เป็นของอันเหตุปัจจัยปรุงแต่ง     เป็นเหยื่อแห่งมาร   เป็นของมีชาติเป็นธรรมดา   
เป็นของมีชราเป็นธรรมดา    เป็นของมีพยาธิ (ความเจ็บป่วย) เป็นธรรมดา 
เป็นของมีมรณะเป็นธรรมดา  เป็นของมีความโศก ความรำพัน  ความเจ็บกาย  ความเจ็บใจ
และความแค้นใจเป็นธรรมดา  เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา  เป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์   
เป็นของดับไป   เป็นของชวนให้หลงแช่มชื่น  เป็นอาทีนพ (เป็นของมีโทษ) 
เป็นนิสสรณะ(เป็นของต้องพรากจากไป)

***  แต่ก็ไม่ได้บังคับใครทุกคนให้ต้องเชื่อ - ต้องถือตามหรอกนะ   
ให้พิจารณาเอาตามสติปัญญาของแต่ละคนที่จะเอื้ออำนวยให้     

ใครอยากจะถือรูปยึดติดอยู่ในรูปว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึก    ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกัน
หรือใครจะเลิกถือรูปเลิกยึดติดรูปว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นที่ระลึก   ก็เอาตามที่ใจต้องการก็แล้วกันนะ   
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 26 ธันวาคม 2552 09:52:38

สรุปสุดท้ายตามหัวข้อเรื่อง   "วิชาปราบมาร"
วิชาปราบมารนี้ไม่ว่าใครหน้าใหนๆ  ก็ตามที่บอกว่าตัวเองคิดขึ้นมาได้
แล้วเอามาโพนทะนาว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้   

อันนี้ ไม่ต้องสันนิษฐานให้ยากเลย  ให้ทุกท่านรู้ไว้แต่เพียงฝ่ายเดียวว่า    ขี้โม้ทั้งเพ
มันไม่ใช่วิชาปราบมารหรอก   แต่มันคือ   วิชาส่งเสริมมารเท่านั้นเอง

วิชาปราบมารนี้ผู้ที่จะคิดได้ก็มีอยู่  2  ประเภทเท่านั้นในวัฏฏะจักรนี้  คือ

1.  พระปัจเจกพุทธเจ้้า    แต่ท่านก็ปราบมารได้เฉพาะตัวของท่านเท่านั้น   
ไม่สามารถที่จะปราบมารให้ผู้อื่นได้
2.  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   อันนี้ปราบได้ทั้งมารเฉพาะตัวของท่าน   
และบอกวิธีให้ผู้ิือื่นปราบมารของแต่ละคนได้อีกด้วย

วิชาปราบมารนี้มีอยู่แล้วคู่วัฏฏะจักร    แต่จะมีผู้เปิดเผยออกมาให้สาธารณชนรับรู้ได้
ในแต่ละยุคนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญมากๆ    ต้องรอบุคคลผู้พิเศษสุดยอดของความพิเศษ
เท่านั้นมาเปิดเผยซึ่งก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง   

วิชาปราบมารที่แท้จริง  คือ   
ความไม่งาม - ความไม่เที่ยง - ความไม่สุข - ความไม่มีตัวตน     
ในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง


ผู้ใดทำจิตของตนให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ในธรรมเหล่านี้   
ผู้นั้นชื่อว่า   พ้นแล้วจากบ่วงแห่งมารทั้งหลายทั้งมารภายในและ
มารภายนอกทั้งสรรพมารทั้งปวง

จบ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 ธันวาคม , 2007 เวลา 09:05:43 pm โดย พระวัดสามแยก » 
 


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 27 ธันวาคม 2552 15:17:02

หลวงพ่อชา สุภัทโท – ตอบปัญหาธรรม


ได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ไม่ได้ผลคืบหน้า

           เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆ ในการปฏิบัติ
ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้น หรือรู้แจ้งนั้น จะเป็นความอยาก
ที่ขวางกั้นท่านจากการหลุดพ้น ท่านจะเพียรพยายามอย่างหนักตามใจท่านก็ได้
จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้ แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยัง
ประกอบด้วยความอยาก ที่จะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว ท่านจะไม่มีทางที่
จะพบความสงบได้เลย แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความ สงสัยและ
ความกระวนกระวายใจ ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัติมานานเท่าใดหรือ
หนักเพียงใด ปัญญา  (ที่แท้)จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น

ดังนั้น จงเพียงแต่ละความอยากเสีย จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติ
แต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่อง
การฝึกปฏิบัติ หรือในการรู้แจ้ง


หัวข้อ: Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 07:27:15



สรุปสุดท้ายตามหัวข้อเรื่อง   "วิชาปราบมาร"
วิชาปราบมารนี้ไม่ว่าใครหน้าใหนๆ  ก็ตามที่บอกว่าตัวเองคิดขึ้นมาได้
แล้วเอามาโพนทะนาว่าต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้   

อันนี้ ไม่ต้องสันนิษฐานให้ยากเลย  ให้ทุกท่านรู้ไว้แต่เพียงฝ่ายเดียวว่า    ขี้โม้ทั้งเพ
มันไม่ใช่วิชาปราบมารหรอก   แต่มันคือ   วิชาส่งเสริมมารเท่านั้นเอง

วิชาปราบมารนี้ผู้ที่จะคิดได้ก็มีอยู่  2  ประเภทเท่านั้นในวัฏฏะจักรนี้  คือ

1.  พระปัจเจกพุทธเจ้้า    แต่ท่านก็ปราบมารได้เฉพาะตัวของท่านเท่านั้น   
ไม่สามารถที่จะปราบมารให้ผู้อื่นได้
2.  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   อันนี้ปราบได้ทั้งมารเฉพาะตัวของท่าน   
และบอกวิธีให้ผู้ิือื่นปราบมารของแต่ละคนได้อีกด้วย

วิชาปราบมารนี้มีอยู่แล้วคู่วัฏฏะจักร    แต่จะมีผู้เปิดเผยออกมาให้สาธารณชนรับรู้ได้
ในแต่ละยุคนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญมากๆ    ต้องรอบุคคลผู้พิเศษสุดยอดของความพิเศษ
เท่านั้นมาเปิดเผยซึ่งก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง   

วิชาปราบมารที่แท้จริง  คือ   
ความไม่งาม - ความไม่เที่ยง - ความไม่สุข - ความไม่มีตัวตน     
ในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง


ผู้ใดทำจิตของตนให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ในธรรมเหล่านี้   
ผู้นั้นชื่อว่า   พ้นแล้วจากบ่วงแห่งมารทั้งหลายทั้งมารภายในและ
มารภายนอกทั้งสรรพมารทั้งปวง

จบ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 ธันวาคม , 2007 เวลา 09:05:43 pm โดย พระวัดสามแยก » 


(http://img35.imageshack.us/img35/3540/0390863.jpg)

 (:-_-:) (:88:) (:LOVE:)