[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 พฤศจิกายน 2567 02:27:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 123
1  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / หายนะของปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียม จากเหตุภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ ในปี ค.ศ.79 เมื่อ: วานนี้

เผยภาพจิตรกรรมแสดงถึงวัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมัน อายุ 2,000 ปี ใต้เศษซากภูเขาไฟที่เมืองปอมเปอี

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/d/d1/Destruction_of_Pompeii_and_Herculaneum.jpg/1920px-Destruction_of_Pompeii_and_Herculaneum.jpg

ภาพวาดของ จอห์น มาร์ติน แสดงนครโรมันโบราณ เมืองปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียม ถูกทำลายจากเหตุภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ ในปี ค.ศ.79
คลิกที่รูปภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่ (ใช้นิ้วกดไปที่ปุ่มซ้ายของเมาส์)


หายนะของปอมเปอีและเฮอร์คิวเลเนียม จากเหตุภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุ ในปี ค.ศ.79


‘งานศิลปะอันน่าทึ่ง’ ถูกค้นพบในการขุดค้นครั้งใหม่ที่ปอมเปอี เมืองโรมันโบราณที่ถูกฝัง หลังการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียสในปี ค.ศ.79 ด้านนักโบราณคดีเผยว่า นี่เป็นหนึ่งในจิตรกรรมฝาผนังที่ดีที่สุดที่พบในซากปรักหักพังของโบราณสถาน

มีภาพบุคคลในตำนานกรีก อาทิ เฮเลนแห่งทรอยอยู่บนผนังสูงสีดำของห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่, พื้นกระเบื้องโมเสคสีขาวสภาพค่อนข้างสมบูรณ์กว่าหนึ่งล้านแผ่น

1 ใน 3 ของเมืองที่หายสาบสูญยังคงอยู่ใต้เศษซากของภูเขาไฟ การขุดค้นในปัจจุบันนับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ ยิ่งตอกย้ำจุดยืนของ ‘เมืองปอมเปอี’ ในฐานะพื้นที่สำคัญของโลกที่สะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและวัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมัน

นครโรมันโบราณถูกฝังใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ในแคว้นคัมปาเนีย ประเทศอิตาลี ปอมเปอีถูกทำลายและถูกฝังใต้เถ้าและหินภูเขาไฟหนา 4 ถึง 6 เมตร จากเหตุภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุใน วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.79 กับเฮอร์คิวเลเนียมปะทุใน วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.79 หลังจากนั้นวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.79 เมื่อภูเขาไฟระเบิดได้คร่าชีวิตไปกว่า 15,000 คนโดยผู้เสียชีวิตถูกฝังทั้งเป็นจากเถ้าหินภูเขาไฟ

เขาวิซูเวียสเป็นภูเขาไฟสลับชั้น (stratovolcano) ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลีปัจจุบัน เคยปะทุขึ้นใน ค.ศ.79 จัดเป็นการปะทุของภูเขาไฟที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป นักประวัติศาสตร์ทราบเรื่องการปะทุครั้งนี้จากบันทึกของพลินีผู้เยาว์ (Pliny the Younger) นักการเมืองและกวีชาวโรมันซึ่งเห็นเหตุการณ์มาด้วยตาตนเอง การปะทุครั้งนี้ยังเป็นที่มาของคำศัพท์ว่า "การปะทุแบบวิซูเวียส" (Vesuvian eruption) ที่ใช้เรียกการประทุประเภทหนึ่งของภูเขาไฟ

ในเหตุการณ์นั้น เขาวิซูเวียสพ่นกลุ่มควันพิษที่ประกอบด้วยเทฟรา (tephra) และก๊าซภูเขาไฟ (volcanic gas) อันเดือดจัด ออกมาอย่างรุนแรงเป็นแนวสูงถึง 33 กิโลเมตร ทั้งยังพ่นหินหลอมเหลว (molten rock), หินพัมมิซ (pumice) ป่นละเอียด, และเถ้าภูเขาไฟ (volcanic ash) ออกมาเป็นปริมาณสูงถึง 1.5 ล้านตันต่อวินาที จนที่สุด ก็ปล่อยพลังงานความร้อน (thermal energy) ขนาดเทียบเท่าที่เกิดในเหตุการณ์ระเบิดที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ ออกมาถึง 100,000 ครั้ง เป็นเหตุให้ชุมชนชาวโรมันหลายแห่งถึงแก่ความพินาศ และถูกฝังภายใต้ระลอกตะกอนภูเขาไฟ (pyroclastic surge) และหินเถ้าภูเขาไฟ (tuff) จำนวนมหาศาล ชุมชนซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือ ปอมเปอี (Pompeii) และเฮอร์คิวเลเนียม (Herculaneum) ซึ่งมีประชากรรวม 16,000–20,000 คน มีการพบศพคนกว่า 1,500 ราย แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังไม่อาจกำหนดแน่ได้

2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / ภูเขาน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (ภูเขาน้ำแข็ง บี-15เอ) เมื่อ: วานนี้
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/5b/Research_on_Iceberg_B-15A_by_Josh_Landis%2C_National_Science_Foundation_%28Image_4%29_%28NSF%29.jpg/1920px-Research_on_Iceberg_B-15A_by_Josh_Landis%2C_National_Science_Foundation_%28Image_4%29_%28NSF%29.jpg

ขอบของภูเขาน้ำแข็ง บี-15เอ ในทะเลรอสส์ ทวีปแอนตาร์กติกา, 29 มกราคม 2545
คลิกที่รูปภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่ (ใช้นิ้วกดไปที่ปุ่มซ้ายของเมาส์)



เส้นทางของภูเขาน้ำแข็งบี-15แซด ตั้งแต่ 2557–2561


ภูเขาน้ำแข็งบี-15


ภูเขาน้ำแข็งบี-15 เป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดตามขนาดพื้นที่ตั้งแต่มีการบันทึก มันมีความยาว 295 กิโลเมตร กว้าง 37 กิโลเมตร คิดเป็นพื้นที่ขนาด 11,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าประเทศจาเมกา

ภูเขาน้ำแข็งบี-15 แยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2543 ต่อมาใน พ.ศ.2546 ภูเขาน้ำแข็งบี-15 ได้แตกออก โดยก้อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า บี-15เอ ซึ่งมีขนาด 6,400 ตารางกิโลเมตร

บี-15เอ ลอยออกไปจากเกาะรอสส์มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือไปทางทะเลรอสส์ และในเดือนตุลาคม 2548 บี-15เอ ก็ได้แตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดเล็ก พ.ศ.2561 ภูเขาลูกใหญ่ที่สุดที่แตกออกจาก บี-15 ยังคงเดินทางขึ้นไปทางทิศเหนือ โดยมีต่ำแหน่งคร่าวๆ คืออยู่ระหว่างหมู่เกาะฟอล์กแลนด์และเกาะเซาท์จอร์เจีย


ประวัติ
ภูเขาน้ำแข็งบี-15เอ ที่เดินทางเป็นระยะเวลาสี่ปี ตั้งแต่ กรกฎาคม 2545 ถึง มีนาคม 2549


เส้นทางของภูเขาน้ำแข็งบี-15แซด ตั้งแต่ 2557–2561
ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม พ.ศ.2543 ภูเขาน้ำแข็งบี-15 ได้แยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ใกล้กับเกาะโรสเวลต์ ทวีปแอนตาร์กติกา การแยกตัวออกมานั้นเป็นการแยกตัวตามรอยแตกที่มีอยู่แล้วตามหิ้งน้ำแข็ง (ice shelf)  ภูเขาน้ำแข็งสามารถวัดความยาวได้ประมาณ 295 กิโลเมตร กว้าง 37 กิโลเมตร คิดเป็นขนาดพื้นที่ 10,915 ตร.กม. ขนาดใกล้เคียงกับเกาะจาเมกา นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการที่ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาแตกออกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตามธรรมชาติในระยะยาวซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 50–100 ปี ใน พ.ศ.2543, 2545 และ 2546 แตกออกมาเป็นภูเขาน้ำแข็งเล็กๆ หลายลูก โดยมีลูกที่ใหญ่ที่สุดคือ ภูเขาน้ำแข็งบี-15เอ ที่มีขนาด 6,400 ตร.กม.

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2546 ภูเขาน้ำแข็งบี-15เจได้แตกออกจากภูเขาน้ำแข็งบี-15เอ ทำให้บี-15เอได้ลอยตัวออกจากเกาะรอสส์สู่ทะเลรอสส์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2546 ภูเขาน้ำแข็งรูปมีดบี-15เคได้แตกออกทำให้บี-15เอลอยขึ้นไปทางเหนือ เมื่อถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 กระแสน้ำได้พัดบี-15เอไปทางลิ้นน้ำแข็งไดรกัลสกี (เป็นธารน้ำแข็งที่อยู่บริเวณส่วนปลายของธารน้ำแข็งดาวิด มีลักษณะเป็นพื้นน้ำแข็งยืนยาวออกไปในทะเล ก่อนจะถึงลิ้นน้ำแข็งไดรกัลสกีไม่กี่กิโลเมตร บี-15เอก็เกยตื้นกับภูเขาใต้ทะเล ก่อนจะลอยไปทางเหนืออีกครั้ง ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2548 บี-15เอชนกับลิ้นน้ำแข็ง ทำให้ส่วนปลายของลิ้นน้ำแข็งแตกออก แต่บี-15เอไม่ได้รับผลกระทบจากการปะทะ

ภูเขาน้ำแข็งบี-15เอยังคงลอยเรียบไปตามชายฝั่งแมกเมอร์โดเซาน์ เมื่อวันที่ 27–28 ตุลาคม พ.ศ. 2548 บี-15เอเกยตื้นที่นอกชายฝั่งแหลมอาแดร์ วิกตอเรียแลนด์และได้แตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกเล็ก ๆ แรงสั่นสั่นสะเทือนจากการชนวัดได้ไกลถึงสถานีวิจัยขั้วโลกใต้อามุนด์เซน-สก็อตต์ การชนกันครั้งนี้ได้แตกเป็นภูเขาน้ำแข็งบี-15พี บี-15เอ็มและบี-15เอ็น ส่วนภูเขาน้ำแข็งลูกที่ใหญ่ที่สุดใช้ชื่อว่าบี-15เอต่อไป (1,700 ตร.กม.) บี-15เอได้ลอยไกลขึ้นไปทางเหนือก่อนจะแตกออกเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกเล็กๆ ตามการรายงงานของหน่วยลาดตระเวนการประมงของกองทัพอากาศในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2549

ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 มีผู้พบเห็นเศษภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่หลายลูกห่างจากชายฝั่งทิมารุ ประเทศนิวซีแลนด์เพียง 60 กิโลเมตร  ลูกที่ใหญ่ที่สุดวัดขนาดได้ประมาณ 18 กิโลเมตร โผล่พ้นผิวน้ำทะเล 37 เมตร

ใน พ.ศ.2561 ศูนย์น้ำแข็งแห่งชาติติดตามภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เหลือได้ 4 ลูก (ขนาดไม่ต่ำกว่า 37,040 ตร.ม.) เช่น บี-15แซด ที่อยู่ห่างจากเกาะเซาท์จอร์เจียไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 277.8 กิโลเมตร วัดขนาดได้ 18,520x9,260 ตารางเมตร และยังคงลอยไปทางเหนือ ยิ่งมันลอยไปเหนือเท่าไหร่อัตราการละลายของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

ใน พ.ศ.2563 มีภูเขาน้ำแข็งเพียง 2 ลูกที่ยังติดตามได้คือ บี-15เอเอ อันเป็นเศษของบี-15แซด อยู่บริเวณตะวันออกของเกาะเซาท์จอร์เจียในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ กับอีกลูกคือ บี-15เอบี ที่ยังลอยอยู่นอกชายฝั่งแอนตาร์กติกา



3  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / ภูเขาน้ำแข็ง ภัยร้ายแรงทางทะเล เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2567 12:44:50

ภูเขาน้ำแข็งสูงตระหง่านในประเทศกรีนแลนด์

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/ca/South_Shetland-2016-Southern_Ocean_%28off_Elephant_Island%29%E2%80%93Iceberg_01.jpg/1920px-South_Shetland-2016-Southern_Ocean_%28off_Elephant_Island%29%E2%80%93Iceberg_01.jpg

ภูเขาน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม จะมีส่วนที่โผล่พ้นเหนือน้ำประมาณ 1 ใน 10 ส่วนโดยปริมาตร
คลิกที่รูปภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่ (ใช้นิ้วกดไปที่ปุ่มซ้ายของเมาส์)


ภูเขาน้ำแข็ง ภัยร้ายแรงทางทะเล

ภูเขาน้ำแข็ง คือก้อนน้ำแข็งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่แตกออกมาจากธารน้ำแข็งหรือหิ้งน้ำแข็ง (ice shelf) และลอยอยู่ในแหล่งน้ำเปิดเช่นทะเลหรือมหาสมุทร ภูเขาน้ำแข็งมีขนาดแตกต่างกันตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดมหึมา เกิดจากแผ่นดินในแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ที่มีอากาศหนาวเย็นจนอุณหภูมิติดลบ มีหิมะปกคลุมตลอดเวลา พื้นที่บางส่วนในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขา บริเวณยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะจำนวนมาก ซึ่งในเวลาต่อมาหิมะเหล่านี้ได้จับตัวเป็นก้อนน้ำแข็งจัด

เนื่องจากน้ำแข็งบริสุทธิ์มีความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 920 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในขณะที่น้ำทะเลมีความหนาแน่นประมาณ 1,025 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้ภูเขาน้ำแข็งจะมีส่วนที่โผล่พ้นน้ำประมาณ 1 ใน 10 ส่วนโดยปริมาตร ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม ภูเขาน้ำแข็งถูกถือว่าเป็นภัยร้ายแรงทางทะเล (List of ships sunk by icebergs) การอับปางของเรืออาร์เอ็มเอสไททานิกใน ค.ศ.1912 ทำให้มีการสถาปนาตระเวนน้ำแข็งระหว่างประเทศ (International Ice Patrol) ขึ้นใน ค.ศ.1914

ภูเขาน้ำแข็งที่แบ่งตัว (ice calving) ออกมาจากธารน้ำแข็งที่หันหน้าเข้าหาทะเลเปิดอย่างเช่นในกรีนแลนด์จะมีรูปร่างเป็นกองไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่ภูเขาน้ำแข็งที่แบ่งตัวออกมาจากแอนตาร์กติกาจะมีรูปร่างแบนหนา (เหมือนโต๊ะ) ขนาดใหญ่ ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาคือภูเขาน้ำแข็ง บี-15 ซึ่งแยกตัวออกมาจากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ในแอนตาร์กติกาใน ค.ศ.2000
4  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / เสี่ยวไจ้เทียนเคิง หลุมยุบที่ลึกที่สุดในโลก เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 14:59:46


เสี่ยวไจ้เทียนเคิง
หลุมยุบที่ลึกที่สุดในโลก

เสี่ยวไจ้เทียนเคิง  หรือที่รู้จักกันในชื่อ หลุมยุบสวรรค์เสี่ยวไจ้ เป็นหลุมยุบที่ลึกที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในกลุ่มหลุมยุบฉ่านซี ตั้งอยู่ที่อำเภอเฟิ่งเจี๋ย ในเทศบาลนครฉงชิ่ง ประเทศจีน

ขนาด : เสี่ยวไจ้เทียนเคิงมีความยาว 626 เมตร (2,054 ฟุต) กว้าง 537 เมตร (1,762 ฟุต) และลึกระหว่าง 511 และ 662 เมตร (1,677 และ 2,172 ฟุต) โดยมีผนังตั้งตรง ปริมาตรของหลุมยุบคือ 119,349,000 ลูกบาศก์เมตร และพื้นที่ปากหลุมคือ 274,000 ตารางเมตร วัตถุในบริเวณนี้ถูกแม่น้ำละลายและพัดพาออกไป หลุมยุบนี้มีโครงสร้างซ้อนกันเป็นสองชั้น ชั้นบนลึก 320 เมตร (1,050 ฟุต) ชั้นล่างลึก 342 เมตร (1,122 ฟุต) และทั้งสองชั้นมีความกว้างเฉลี่ยระหว่าง 257 ถึง 268 m (843 ถึง 879 ft) ตรงกลางระหว่างสองชั้นนี้มีขอบลาดเอียงเกิดจากดินที่ถูกกักอยู่ในหินปูน ในฤดูฝนจะสามารถมองเห็นน้ำตกได้ที่ปากหลุมยุบนี้

การค้นพบ : เสี่ยวไจ้เทียนเคิงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนท้องถิ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า "เสี่ยวไจ้" หมายถึง "หมู่บ้านเล็ก" ซึ่งเป็นชื่อของหมู่บ้านร้างใกล้เคียง และคำว่า "เทียนเคิง" หมายถึง "หลุมสวรรค์" ซึ่งเป็นชื่อเฉพาะของหลุมยุบในภูมิภาคของจีน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงได้มีการสร้างบันได 2,800 ขั้นให้นักท่องเที่ยวสามารถลงไปชมได้ง่ายขึ้น

แม่น้ำใต้ดินและถ้ำ : เสี่ยวไจ้เทียนเคิงเกิดขึ้นเหนือถ้ำตี้เฟิ่ง ถ้ำนี้เกิดจากแม่น้ำใต้ดินที่ทรงพลังซึ่งยังคงไหลอยู่ใต้หลุมยุบ แม่น้ำใต้ดินนี้เริ่มต้นที่ช่องเขาเทียนจินและไหลไปจนถึงหน้าผาสูงชันเหนือแม่น้ำโขง ก่อให้เกิดน้ำตกสูง 46 เมตร (151 ฟุต) ความยาวของแม่น้ำใต้ดินนี้ประมาณ 8.5 กิโลเมตร
 
พืชและสัตว์ : ภายในหลุมยุบแห่งนี้มีการค้นพบพืชจำนวน 1,285 ชนิด รวมถึงต้นแปะก๊วย และสัตว์หายากหลายชนิด เช่น เสือลายเมฆ และซาลาแมนเดอร์ยักษ์จีน
5  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / แผนที่ของระบบสุริยะ ในอารยธรรมโบราณ เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 14:15:13


แผนที่ของระบบสุริยะ ในอารยธรรมโบราณ

กว่า 6,000 ปีที่ผ่านมา อารยธรรมลึกลับได้มีรายละเอียดแผนที่ของระบบสุริยะของเรา ชาวซูเมเรียนสร้างภาพวาดเหล่านี้โดยใช้ดินเหนียว ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวที่ศูนย์กลางของระบบสุริยะและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ หมุนรอบมัน

พวกเขายังวาดภาพวงโคจรและตําแหน่งของดาวเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง น่าสนใจ บางส่วนของภาพวาดของพวกเขายังแสดงภาพแปลกๆ กับองค์กรยักษ์ ชาวซูเมเรียนคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า บางส่วนของภาพวาดของพระเจ้าเหล่านี้แม้กระทั่งแสดงสัญลักษณ์คล้ายกับลําดับ DNA ของมนุษย์

นอกจากนี้ พวกเขายังมีสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับยาซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสัญลักษณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ จนถึงวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าหลายพันปีที่ผ่านมา อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับดาราศาสตร์ สิ่งนี้ทําให้เกิดคําถามว่าอารยธรรมโบราณนี้ไม่ได้ย้อนกลับ แต่ค่อนข้างมีความก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าความเข้าใจในปัจจุบันของเราเกี่ยวกับพวกเขา
6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / ภูสิงห์-หินสามวาฬ บ้านนนไทรทอง ต.โคกก่อง อ.เมือง จ.บึงกาฬ เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 14:07:21


ภูสิงห์-หินสามวาฬ
บ้านนนไทรทอง ตำบลโคกก่อง อำเภอเมือง จังหวัดบึงกาฬ


“หินสามวาฬ” เป็นจุดชมวิวที่สวยงามโดดเด่น อยู่ด้านทิศตะวันออกของภูสิงห์ สามารถชมทัศนียภาพป่าและหาดทรายแม่น้ำโขง

ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีเนื้อที่ 12,000 ไร่ สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายทอดตัวไปตามแนวเหนือ-ใต้ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองบึงกาฬและอำเภอศรีวิไล ภูสิงห์ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาของเปลือกโลกในลักษณะต่าง ๆ เกิดการเรียงตัวของก้อนหิน เกิดหน้าผา ถ้ำ ลานหิน และกลุ่มหินรูปทรงต่าง ๆ กระจายอยู่โดยทั่ว สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้บนภูเดียวกัน

สถานที่น่าสนใจของภูสิงห์ ได้แก่ หินสามวาฬ หินทรายขนาดใหญ่ ติดหน้าผาสูง แยกเป็นสามก้อน มองไกล ๆ หรือมองจากภาพถ่ายทางอากาศ มีรูปร่างคล้ายวาฬพ่อแม่ลูก จึงเรียกว่า “หินสามวาฬ” เป็นจุดชมวิวที่สวยงามโดดเด่น อยู่ด้านทิศตะวันออกของภูสิงห์ สามารถยืนชมทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขง และภูเขาเมืองปากกระดิ่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า บริเวณทางขึ้นภูสิงห์มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและห้องน้ำ แต่ไม่มีบ้านพักและร้านค้าให้บริการ

สอบถามข้อมูล ศูนย์บริการข้อมูล ฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักงานป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลาฯ โทร. 08 8536 2717 และ 08 8563 8852
7  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / วาซาบิ เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 13:47:53


วาซาบิ

ที่มา - คอลัมน์โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 พฤศจิกายน 2567
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2567


การกินปลาดิบเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของญี่ปุ่นที่แพร่กระจายไปทั่วโลก เครื่องจิ้มที่ติดตามตัวปลาดิบที่ขาดไม่ได้ คือ วาซาบิ

ในญี่ปุ่นมีบันทึกย้อนยุคการใช้วาซาบิเป็นอาหารไปได้ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ส่วนหลักฐานที่สืบค้นได้ในหมู่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้น วาซาบิเริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเพราะอาหารที่เรียกว่า  ซูชิ เริ่มเข้าไปในประเทศเหล่านี้ในราวปี ค.ศ.1980 ความพิเศษของวาซาบิอยู่ที่ความเผ็ดที่แตกต่างจากพริกที่ชาวโลกทั่วไปรู้จัก พริกจะเผ็ดร้อนที่ลิ้น ส่วนวาซาบิเผ็ดร้อนที่จมูก หรือบางคนเรียกว่าขึ้นจมูกเลย

นักชิมหรือนักกินอาหารญี่ปุ่นทั่วไปอาจไม่ทราบว่า วาซาบิมี 2 ชนิด คือ ฮอนวาซาบิ (hon-wasabi) และเซยอนวาซาบิ (seiyo-wasabi)

ฮอนวาซาบิหมายถึงวาซาบิแท้ ได้มาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eutrema japonicum (Miq.) Koidz. (เดิมใช้ชื่อว่า Wasabia japonica (Miq.) Matsum.) ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ผักกาด (Brassicaceae) เช่นเดียวกับมัสตาร์ดหรือเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้เคยนำเสนอผู้อ่านไปแล้วในคอลัมน์นี้

วาซาบิแท้เป็นพืชที่พบเฉพาะในญี่ปุ่นและเกาหลีเท่านั้น วาซาบิในธรรมชาติจะเจริญเติบโตอยู่ตามริมน้ำในแถบหุบเขาหรือตามลำห้วยของญี่ปุ่น ใช้เวลานานถึง 15 เดือนจึงจะเก็บเกี่ยวได้

วาซาบิมีหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่นิยมในตลาด คือ วาซาบิสายพันธุ์ดารูมะ (Daruma) กับสายพันธุ์มาซูม่า (Mazuma) การปลูกวาซาบิแท้จะต้องพิถีพิถันเนื่องจากไม่สามารถเพาะปลูกได้คราวละมากๆ และอาศัยการเจริญเติบโตตามสิ่งแวดล้อมที่มีความจำเพาะหรือเหมาะกับพืชมากๆ ทำให้วาซาบิแท้หาได้ยากและมีราคาแพงมาก

มีรายงานพบว่าร้านอาหารนอกประเทศญี่ปุ่นเพียง 5-10% เท่านั้นที่ใช้วาซาบิแท้ แม้ในประเทศญี่ปุ่นเองก็ใช่ว่าจะเสิร์ฟวาซาบิแท้ๆ กันทั่วไป

ท่านใดที่เคยนั่งกินอาหารในร้านญี่ปุ่นที่มีวาซาบิแท้ ก็จะเห็นเครื่องขูดวาซาบิ เรียกว่า “โอโรชิงาเนะ” ทำจากวัสดุหลายอย่างๆ เช่น โลหะ หนังปลากระเบนแห้ง เขี้ยวฉลาม หรือเซรามิก ในร้านอาหารเช่นนี้สนนราคาจะแพง และพนักงานจะเริ่มขูดวาซาบิแท้เมื่อลูกค้าสั่งอาหาร และใส่มาในภาชนะที่ปิดฝาเท่านั้น เพราะวาซาบิแท้จะต้องรีบกินให้ได้รสชาติดีภายใน 15 นาที

ใบวาซาบิแท้กินสดได้ มีรสอย่างเดียวกับต้นหรือเหง้า แต่มีผลข้างเคียงอาจทำให้ท้องเสียได้ ฝักวาซาบิจะนำมาอบหรือทอดเป็นของกินก็ได้ บางที่อบหรือทอดแล้วเคลือบผงวาซาบิผสมน้ำตาล เกลือ หรือน้ำมัน กินเป็นขนมกินเล่นได้ ขนมแบบนี้ชาวญี่ปุ่นเรียก “วาซาบิมาเมะ”

หลายท่านคงสงสัยว่ารสเผ็ดของวาซาบิเกิดจากอะไร คำตอบคือ มีสารเคมีที่เรียกว่าอัลลิลไอโซไทโอไซยาเนต (allyl isothiocyanate) ซึ่งมีอยู่ในมัสตาร์ดและหัวไชเท้าด้วย

วาซาบิไม่เพียงแต่เป็นเครื่องจิ้มซูชิที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย วาซาบิมีสารออกฤทธิ์หลักในกลุ่มที่เรียกว่าไอโซไทโอไซยาเนต (ITCs) ซึ่งทำให้รากของพืชชนิดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

รวมถึงคุณสมบัติในการต่อต้านแบคทีเรียและการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและกำจัดสารพิษที่เป็นอันตราย ช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจได้ และสามารถฆ่าแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในอาหารได้ด้วย นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องกินปลาดิบกับวาซาบิ

เนื่องจากวาซาบิแท้มีราคาแพงมากและหาได้ยากมาก จึงมีการนำเอารากพืชชนิดหนึ่งมาใช้แทน คือ รากของฮอร์สแรดิช (horseradish) เครื่องจิ้มแบบนี้มักเรียกว่า เซยอนวาซาบิ (seiyo-wasabi) หรือวาซาบิฝรั่ง (western wasabi) มีรสชาติเผ็ดน้อยกว่า ราคาถูกกว่ามากและหาซื้อได้ง่ายตามร้านทั่วไป

ฮอร์สแรดิช มาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Armoracia rusticana G.Gaertn., B.Mey. & Scherb. อยู่ในวงศ์ผักกาดเช่นเดียวกัน มีถิ่นกำเนิดในยุโรปใต้ รัสเซีย ยูเครน แล้วมีการนำเข้าไปปลูกในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

รากของฮอร์สแรดิช ที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปจะมีกลิ่นหอมเพียงเล็กน้อย เมื่อหั่นหรือขูด เอนไซม์จากภายในเซลล์ของพืชจะย่อยซินิกริน (sinigrin ซึ่งเป็นสารกลูโคซิโนเลตชนิดหนึ่ง) เพื่อผลิตอัลลีลไอโซไทโอไซยาเนต (หรือน้ำมันมัสตาร์ด) ซึ่งสารตัวนี้จะทำให้เยื่อเมือกของไซนัสและดวงตาเกิดการระคายเคือง

ทุกท่านควรรู้เคล็ดลับไว้ว่า ฮอร์สแรดิชที่มาใช้แทนวาซาบินั้น เมื่อฮอร์สแรดิชสัมผัสกับอากาศหรือความร้อนจะสูญเสียความฉุน เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นและมีรสขม

แต่ดั้งเดิมมีการใช้ฮอร์สแรดิชทั้งรากและใบเป็นยาแผนโบราณในยุคกลางของยุโรป ส่วนในเยอรมนี สแกนดิเนเวียและอังกฤษนำรากมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสเนื้อสัตว์ และฮอร์สแรดิชเริ่มแพร่เข้าสู่อเมริกาเหนือในช่วงที่ยุโรปเข้ามาล่าอาณานิคม และมีบันทึกส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน และโทมัส เจฟเฟอร์สัน กล่าวถึงพืชชนิดนี้ด้วย

ความรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมืองอเมริกันใช้พืชชนิดนี้เพื่อกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และใช้เป็นยาขับเหงื่อแก้ไข้หวัดธรรมดาด้วย

รากฮอร์สแรดิชเมื่อนำมาทำเป็นวาซาบินั้นจะต้องนำมาปรุงรสด้วยมัสตาร์ดและแต่งสีให้เหมือนวาซาบิแท้ก่อนออกจำหน่าย สมาคมแปรรูปวาซาบิแห่งประเทศญี่ปุ่นอนุญาตให้ผู้ประกอบการใดที่ผสมวาซาบิแท้เกิน 50% สามารถใช้คำว่า ‘วาซาบิแท้’ ในคำโฆษณาได้

ในประเทศไทยก็มีรายงานข่าวว่ามีบริษัทที่จังหวัดลำพูนทำการผลิตวาซาบิแท้ออกจำหน่าย แต่พื้นที่ปลูกวาซาบิทั้งหมดของบริษัทนั้นอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 20-30 ตันต่อเดือนทีเดียว แสดงว่าชาวโลกนิยมกินวาซาบิ นี่คือตัวอย่างหนึ่งของภูมิปัญญาของมนุษย์ที่ผสมผสานความรู้ ศิลปะและสุนทรียการกินมาพบกันหรือจับคู่กัน ที่ได้ทั้งรสอร่อย ผลดีต่อสุขภาพ และเป็นรายได้จากการขยายพันธุ์ปลูกนอกถิ่นธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยอดนิยมด้วย

ภูมิปัญญาถิ่นไทย อาหารพื้นบ้านไทยก็มี จะค่อยๆ เก็บมาเล่าสู่กัน •
8  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / สลัดเนื้อทอด เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 13:30:38


สลัดเนื้อทอด

ที่มา - คอลัมน์อาทิตย์ละมื้อ มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2567
เผยแพร่ - วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2567


ขณะที่กระแสอาหารสุขภาพมาแรง คนหันมานิยมกินผัก กินสลัดในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ความชื่นชอบเมนูเนื้อวัวก็ขยายตัวในวงกว้างไม่แพ้กัน เห็นได้จากร้านสเต๊ก ร้านอาหารที่เน้นเนื้อวัวคุณภาพดี เกิดและเปิดเพิ่มขึ้นมากมาย

วันนี้เลยขอจับเอาทั้ง 2 กระแสมาผนวกกันให้เป็นจานสลัดพร้อมเนื้อทอดที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 กระแสนิยม


ส่วนประกอบ
เนื้อวัว (สันนอกติดมัน), ผักกาดหอม, หอมแดง (ใหญ่), มะเขือเทศ, แตงกวาดอง, พริกไทยดำ, เกลือ, น้ำมันพืช, น้ำสลัดน้ำมันงา, น้ำมันหอย, พริกขี้หนู, กระเทียม,น้ำปลา, มะนาว


วิธีทำ
1. นำเนื้อมาหั่นชิ้น หมักด้วยเกลือ พริกไทย ซอสหอยนางรม

2. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่น้ำมันพืช พอร้อนดีแล้วนำเนื้อลงไปทอด พอให้สุก ยกขึ้นสะเด็ดน้ำมันพักไว้

3. เตรียมผักสลัด ล้าง หั่นผักกาดหอม หอมแดง มะเขือเทศ

4. จัดจานผักสลัด เพิ่มแตงกวาดองเข้าไป ราดด้วยน้ำสลัดน้ำมันงา (แบบญี่ปุ่น)

5. วางเนื้อทอดลงในจานสลัด

6. ทำน้ำจิ้มซีฟู้ด ใช้กระเทียม พริกขี้หนู ตำหรือปั่น ปรุงรสด้วยมะนาว เกลือ

เท่านี้ก็ได้สลัดเนื้อทอด รสเข้มข้น หอมเนื้อทอด กินกับผักสลัดต่างๆ ที่มีรสชาติตัดกัน อร่อยลงตัวแน่นอน •
9  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / พราย นางตานี เมื่อ: 05 พฤศจิกายน 2567 13:21:42


นางตานี

นางตานี เป็นผีผู้หญิง เช่นเดียวกับนางตะเคียน นางตานีจะสิงสถิตย์อยู่ในต้นกล้วยตานี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ต้นกล้วยตานีทุกต้นจะมีพรายตานีสิงสถิตย์อยู่ ลักษณะของพรายตานีโดยทั่วไปจะเป็นหญิงงาม นุ่งห่มตามแบบสตรีไทยโบราณ สไบสีตองอ่อน ผ้านุ่งโจงสีตองแก่ กลิ่นกายหอมดอกกล้วย

เรื่องการเรียกพรายตานีนี้มีหลายตำนาน บ้างก็ว่าให้ชายที่ต้องการเรียกพรายตานีมาปัสสาวะรดโคนต้นกล้วยที่กำลังออกปลีใหม่ ๆ บ้างก็ว่าให้เอาของลับถูกับโคนต้นกล้วย

เจริญ อินทรเกษตร อธิบายไว้ในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑๓ ว่า

ต้นกล้วยตานี เป็นที่สิงสถิตของ พรายนางตานี เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรุ่นเก่า พรายนางตานีนี้ว่ากันว่า มีหน้าตาสวย มีกลิ่นตัวหอม ไว้ผมยาว ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงอ่อนดุจตีนนกพิราบ ริมฝีปากมีสีเหมือนตำลึงสุก ถ้ากล้วยตานีมีลำต้นอวบ พรายนางตานีก็มีรูปทรงท้วม ถ้ามีลำต้นโปร่งเปลา พรายนางตานีก็มีรูปทรงฉลวย

โดยเหตุที่พรายนางตานีเป็นผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกกล้วยตานีไว้ใกล้เรือน แม้จะปลูกไว้ใกล้เรือน ถ้าจะตัดเอาใบตองไปใช้ ก็ห้ามไม่ให้ตัดเอาไปทั้งใบ ต้องเจียนเอามาแต่ใบตองเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องหักก้านเสียก่อน เพราะถ้าตัดเอาเข้ามาในเรือนทั้งใบ ถือเป็นลางร้ายว่าจะมีใครในบ้านนั้นตายลงในไม่ช้า ทั้งนี้เห็นจะเนื่องจากคติเดิมที่ใช้ใบตองกล้วยตานีสามใบรองก้นโลงศพ

กล้วยตานีนี้ถ้าคราวออกปลี จะมีพิธีพลีพรายนางตานี เครื่องพลีมีหัวหมูบายศรี สำรับคาวหวาน ของหวานก็มีขนมต้มแดงต้มขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน น้ำหอมและเครื่องหอม มีแป้งกระแจะจันทน์ เป็นต้น เอาแหวนและสร้อยทองคำไปคล้องที่งวงปลีกล้วยเป็นเครื่องประดับ และนำผ้าผืนหนึ่งจะเป็นสีแดงหรือสีอะไรก็ได้ ไปพันรอบต้นกล้วยตานี เป็นต่างว่าได้นุ่งห่มให้แก่พรายนางตานี ขอให้คุ้มครองรักษาคนในบ้าน และให้มีลาภ บางทีมักนิยมนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดมนต์ทำบุญด้วย บางทีหมอที่ทำพิธี เมื่อเซ่นวักแล้ว นำดอกในปลีกล้วยตานีไปตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงผสมกับผงอิธเจ คือผงของดินสอขาวที่ลงยันต์ซึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับใช้ในทางให้เกิดเสน่ห์ เป็นเมตตามหานิยม บางทีก็เอาดอกในปลีกล้วยตานีไปใส่ไว้ในตลับสีผึ้งสีปากซึ่งปลุกเสกแล้ว ใช้สำหรับสีปากเพื่อให้เกิดเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยมเช่นเดียวกัน เมื่อใช้สีผึ้งนี้สีปากแล้ว แย้มปากพูดออกมาก็มีเสน่ห์ กระทำให้ผู้ใหญ่มีเมตตา ถ้าเป็นผู้หญิงสาวก็ทำให้เกิดความรักขึ้นมาได้ทันที ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้หญิงทาสีผึ้งนี้แล้ว เมื่อแย้มปากพูดออกมา ผู้ชายก็จะเกิดความรักขึ้นในทันทีเช่นเดียวกัน

ถ้ากล้วยตานีที่ทำพิธีเซ่นวักแล้วออกปลีกลางต้น ก็ถือกันว่ากล้วยตานีนั้นเกิดมีพรายนางตานีขึ้นแล้ว กล้วยตานีที่ออกปลีกลางต้นนี้ พวกชายหนุ่มที่ยังเป็นโสดอยู่ ถ้าเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับพรายนางตานี ก็จะไปทำพิธีเซ่นวัก เป็นทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วไปที่ต้นกล้วยตานีนั้นในเวลากลางคืนทุกคืน สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ พอไปถึงก็กล่าวคำเกี้ยวประเล้าประโลมพรายนางตานี ต้องตั้งความเพียรไปเกี้ยว จนกว่าพรายนางตานีจะใจอ่อนเห็นอกเห็นใจ แล้วเอามีดเฉือนตอนโคนกล้วยที่มีลักษณะเป็นเหมือนเหง้า เอามาก้อนหนึ่งแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงใส่ตลับหรือภาชนะอื่นไว้ และต้องเซ่นวักทุกเช้าเย็น ทำอย่างนี้อยู่หลาย ๆ วัน พรายนางตานีก็จะมาปรากฏร่างให้เห็นในความฝัน เป็นผู้หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม สมดั่งใจที่เคยนึกเคยพะวงเป็นจินตนาการมาก่อน แล้วนางจะยอมตนเป็นเมียผู้นั้น อันเป็นความฝันอีกเหมือนกัน เมื่อได้นางพรายตานีเป็นเมียแล้ว ชายคนนั้นจะไปมีเมียอื่นอีกไม่ได้ ถ้ามีก็มักเป็นอันตราย ถ้าต้องการจะมีเมียจริง ๆ ก็อาจทำได้ โดยบอกกล่าวขออนุญาตพรายนางตานีเสียก่อน พรายนางตานีเป็นเมียที่ดี เมื่อเห็นสามีซื่อสัตย์ไม่ปิดบังความจริง ก็จะอนุญาตให้มีได้ ซ้ำยังจะช่วยเหลือเพื่อให้การนั้นสำเร็จไปด้วยดีอีกด้วย ไม่มีหึงหวงแยกเขี้ยว หรือร้องไห้ตีโพยตีพายเหมือนเมียมนุษย์

แต่คนสมัยก่อนได้เชื่อว่า ผู้ที่ได้นางตานีเป็นเมียนั้นมักจะมีอันเป็นไป เพราะพลังชีวิตทั้งสองฝ่ายนั้นจะถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ถ้านำลัทธิเต๋ามาเปรียบเทียบซึ่งก็คือนางตานีนั้นเป็นผีผู้หญิงซึ่งก็คือพลังหยิน ส่วนผู้ชายนั้นคือพลังหยาง นาตานีนั้นเป็นผีที่มีพลังหยินที่อ่อนมาก พลังหยางที่อยู่ในผู้ชายที่เป็นมนุษย์จะถ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่การถ่ายทอดพลังชีวิตนั้นจะเป็นอันตรายต่อฝ่ายชายที่เป็นมนุษย์ ดังโบราณซึ่งได้กล่าวไว้ว่า"คนอยู่ส่วนคน ผีอยู่ส่วนผี คนกับผีอยู่มิได้" ผลข้างเคียงในการถ่ายทอดพลังชีวิตของฝ่ายชายนั้นจะสังเกตได้จากอาการคือซูบผอม แก้มตอบเมื่อคนอดอาหาร ชาวบ้านมักจะสังเกตอาการนั้นและรู้ทันทีว่าคนผู้นั้นมีเมียเป็นนางตานี ก็จะนิมนต์พระภิกษุหรือเชิญหมอผีที่มีวิชาอาคมแก่กล้าให้ทำพิธีกรรมให้คนทั้งสองแยกจากกันแยกจากกันและอุทิศส่วนกุศลให้นางตานีไปสู่สุขคติ
10  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / หลวงปู่นิ่ม โชติธัมโม วัดพุทธมงคล (หนองปรือ) ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2567 16:23:42

หลวงปู่นิ่ม โชติธัมโม
วัดพุทธมงคล (หนองปรือ) ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

หลวงปู่นิ่ม โชติธัมโม วัดหนองปรือสุพรรณบุรี – “พระครูสุนันทโชติ” หรือ “หลวงปู่นิ่ม โชติธัมโม” พระเถระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งของเมืองสุพรรณ และเป็นพระเกจิที่ได้รับการยกย่องว่าเคร่งครัดพระธรรมวินัย ใส่ใจวัตรปฏิบัติของสงฆ์ ชื่อเสียงเป็นที่รับรู้กันทั่วถึงประสบการณ์ที่เล่าขานด้านวัตถุมงคล

ปัจจุบัน สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพุทธมงคล (หนองปรือ) หมู่ที่ 7 ต.สระแก้ว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลสระแก้ว

เกิดเมื่อปี 2471 ด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อยมาตั้งแต่เด็ก มารดาจึงตั้งชื่อให้ ว่า นิ่ม

เมื่อเรียนจบประถมศึกษาปีที่ 5 แล้ว (สมัยก่อนถือว่าสูง เพราะคนส่วนใหญ่เรียนกันแค่ ป.4 ก็เป็นครูประชาบาลได้) ช่วยทางบ้านประกอบกิจการระยะหนึ่ง แต่ด้วยความมีจิตใจเข้าหาพระพุทธศาสนา เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงขออนุญาตบิดา-มารดาเข้าอุปสมบท มีพระสมณกิจพิศาล (หลวงปู่เปลื้อง) วัดสุวรรณภูมิ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปริยัติคุณาภรณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุจินต์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายา โชติธัมโม มีความหมายว่า ผู้โชติช่วงในพระธรรม

หลังอุปสมบท หลวงปู่กล้าย วัดหงส์รัตนาราม ชักชวนให้ไปอยู่จำพรรษาด้วย พร้อมสอนวิทยาคมและเรียนพระปริยัติธรรม มุมานะ ศึกษาเล่าเรียนจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก นอกจากนี้ ยังศึกษามูลกัจจายน์และเรียนภาษาบาลีแปลพระธรรมบทด้วย

ให้ความสนใจด้านวิทยาคม ฝากตัวเป็นศิษย์พระเทพวุฒาจารย์ (หลวงปู่เปลื้อง) พระเกจิอาจารย์ใหญ่เมืองสุพรรณ ที่สืบวิชาอาคมของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และหลวงปู่สอน วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี และยังเป็นศิษย์พระธรรมมหาวีรานุวัตร สืบสายจากหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม

พระเกจิอาจารย์ในอดีตที่ถ่ายทอดวิชาให้หลวงปู่นิ่มมากที่สุด คือ หลวงปู่กล้าย วัดหงส์ฯ พร้อมกันนี้ก็ได้ร่ำเรียนคาถาเคล็ดวิชาอาคมจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ, สมเด็จพระสังฆราช (ป๋า) วัดโพธิ์ฯ, หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี, หลวงพ่อแช่ม วัดนวลนรดิศ, หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง, หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว, หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม, หลวงพ่อสม วัดดอนบุปผาราม, หลวงพ่อหรุ่น วัดเสาธงทอง, หลวงพ่อกาพย์ วัดจรรย์, หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ และหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้น

ในช่วงเวลาว่าง มักเดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย สหธรรมิกรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน

เมื่อได้สนทนากันแล้ว หลวงพ่อแต้มแนะนำให้มาสร้างวัดหนองปรือ (วัดพุทธมงคล) ต.สระแก้ว ด้วยพื้นที่ที่เงียบสงบ เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมและเจริญกัมมัฏฐาน

ในปี พ.ศ.2500 จึงได้ช่วยสร้างวัด พร้อมทั้งรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ต่อมาชาวบ้านแถบนั้นเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ได้ช่วยกันสร้างกุฏิไม้ เพื่อใช้เป็นที่เจริญสมณธรรม

จากเริ่มแรกมีเพียงกุฏิไม้หลังเดียว ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาขึ้น เพียบพร้อมด้วยเสนาสนะ อุโบสถ, ศาลาการเปรียญ,หมู่กุฏิสงฆ์, หอระฆัง,หอสวดมนต์, ซื้อที่ดินขยายเขตวัด ฯลฯ

ด้วยความเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดพระธรรมวินัย และเป็นศิษย์พระเกจิดังมากมาย ทำให้ชื่อเสียงของท่านเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในแต่ละวันมีผู้เลื่อมใสศรัทธา เดินทางมากราบนมัสการ รับฟังธรรม ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไม่ขาดสาย

สำหรับปัจจัยที่ได้ก็นำมาพัฒนาวัด สร้างสาธารณูปโภค สาธารณูปการ รวมทั้งบริจาคสาธารณกุศลช่วยชุมชน

ปรารภเสมอว่า ทรัพย์สินเงินทองไม่มีความจำเป็นต่อสมณเพศ เพราะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยม

ส่วนหลักธรรมที่ท่านพร่ำสอนมาโดยตลอด คือ การรักษาศีล 5 ให้มุ่งทำดี ละชั่ว แล้วชีวิตจะพานพบแต่สิ่งดีๆ

เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย มักจะพร่ำสอนญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้เสมอๆ ว่า “คนเราจะมีความสุขสงบในสังคมได้ ต้องถือศีล 5 เพราะทำให้สังคมสงบสุข ปิดกั้นภัยเวรต่างๆ ได้ แต่ที่พวกเรารู้สึกว่าทำได้ยากหรือขัดกับชีวิตประจำวัน เพราะจิตใจของเราเป็นสำคัญ”

พ.ศ.2550 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลสระแก้ว

กล่าวขวัญกันว่า หลวงปู่นิ่มเก็บตัวเงียบมานาน แต่คนสุพรรณฯ รู้จักดี ด้วยความที่มีชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก จึงได้สร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายรุ่น ทั้งเหรียญพระ พระผง รูปหล่อ พระกริ่ง ฯลฯ เพื่อมอบให้ผู้ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์และเสนาสนะภายในวัด

เกียรติคุณบารมี ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ ระดับแนวหน้าของจังหวัดสุพรรณบุรีอีกรูป


อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_4666165
11  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / ผีกองกอย เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2567 16:05:40


ผีกองกอย

กองกอย เป็นผีป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะรูปร่างไม่เป็นที่ปรากฏชัด แต่โดยมากจะอธิบายว่าเป็นผีที่มีขาข้างเดียว เคลื่อนที่โดยการกระโดดไปด้วยขาเดียว และส่งเสียงร้องว่า "กองกอย ๆ" อันเป็นที่มาของชื่อ แต่บ้างก็ว่ามีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน หรือเชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายลิงหรือค่าง บ้างเรียก ผีโป่ง หรือ ผีโป่งค่าง สันนิษฐานว่า ความเชื่อเรื่องผีโป่งหรือผีกองกอยคือ ค่างแก่หน้าตาน่าเกลียดที่ไม่สามารถขึ้นต้นไม้ได้ มีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า ถ้าได้ดื่มเลือดค่างจะทำให้ร่างกายคงกระพันเป็นอมตะ หรือแม้แต่สัตว์ป่าชนิดอื่นที่มีลักษณะผิดแผกไปจากปกติ ก็ถูกเชื่อว่าเป็นผีกองกอย โดยคำว่า "กอย" ตามนิยามของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายว่า "น. คนป่าพวกหนึ่ง ตัวดำ ผมหยิก อยู่ในแหลมมลายู เงาะ ก็เรียก"

เชื่อว่า ผีกองกอยจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนค้างแรมในป่า วิธีการป้องกันคือ ให้นอนไขว้ขาหรือชิดเท้ากันทั้งสองข้างและอย่านอนเอาขาหรือเท้าออกนอกเต็นท์นอน

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เคยเล่าว่า เมื่อครั้งท่านไปธุดงค์ในป่าดิบทึบในแขวงคำม่วน ประเทศลาว พร้อมกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านทั้งสองได้เคยผจญกับฝูงผีกองกอยด้วยในเวลากลางคืน โดยผีกองกอยนี้มีรูปร่างเหมือนเด็กอายุประมาณ 13-14 ปี มีรูปร่างผอม แต่พุงป่อง ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกบี้แบน มีอาวุธถือมาในมือคล้ายหน้าไม้หรือธนูอันเล็ก ๆ ส่งเสียงร้อง "ก๋อย ก๋อย ก๋อย" พยายามจะเข้ามาทำร้ายท่านทั้งสอง แต่ทว่าท่านได้นั่งสมาธิ และด้วยปาฏิหาริย์ พวกผีกองกอยไม่อาจทำอะไรท่านได้ และจนถึงรุ่งเช้า ผีกองกอยก็ยอมแพ้ และขอขมาท่าน และได้นิมนต์ท่านทั้งสองไปยังที่อาศัยของพวกตน ท่านจึงพบว่าแท้จริงแล้ว ผีกองกอยฝูงนี้คือ คนป่าเผ่าข่าระแด มีพฤติกรรมล่าและฆ่ามนุษย์ที่ล่วงล้ำถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกตน และเอาเนื้อมากินกัน

ชาวภูไทที่อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร มีความเชื่อว่า ผีกองกอยเป็นผู้หญิงผมยาวแดง มีใบหน้าเรียวแหลม บ้างก็ว่ามีรูปร่างลักษณะเหมือนลิง แต่มีขนาดเล็กกว่าลิงหรือลิงลมเสียอีก และเชื่ออีกว่า ผีกองกอยเป็นผีที่มีครอบครัว บ้างก็อาศัยอยู่ในถ้ำหรือโพรงไม้ ออกหากินโดยจับปลากินตามลำห้วยหรือแม่น้ำ บางครั้งก็ขโมยปลาหรือข้าวของของผู้คน อีกทั้งยังเชื่อว่า ผีกองกอยชอบเดินถอยหลัง และพูดอะไรที่ตรงข้ามกับความจริงเสมอ อีกทั้งยังเชื่ออีกว่า ผีกองกอยมีทรัพย์สินสมบัติสะสมอยู่มาก ซึ่งบางครั้งหากไปพบทรัพย์สมบัติหรือปลาตกอยู่กลางทางหรือในป่าโดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ ห้ามเก็บมา เพราะอาจเป็นผีกองกอย ผีกองกอยจะตามมาทวงคืน โดยอาจจะทำร้ายมนุษย์ด้วยการล้วงควักตับไตไส้พุงกินเป็นอาหารได้ในเวลาหลับ เช่นเดียวกับผีปอบ ซึ่งผู้ที่ถูกผีกองกอยล้วงควักอวัยวะภายในไปกินนั้น จะเสียชีวิตเหมือนนอนหลับปกติ เรียกว่า "ใหลตาย"

ผีลักษณะแบบเดียวกับผีกองกอย มีความเชื่อกระจายทั่วไป ยังมีในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเชื่อว่า มีคนป่าเผ่าหนึ่งมีขาข้างเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า ที่จีนก็มีความเชื่อว่า มีปีศาจชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ตามภูเขา มีขาเดียว ตัวเล็ก แต่ผมยาว ตาโต หูแหลม มักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง เมื่อถึงวันตรุษก็มักเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน เชื่อว่านำมาซึ่งความอัปมงคล และใครจับต้องตัวมันจะเผชิญกับโชคร้ายหรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือแม้แต่ผีขาเดียวที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด ของทวีปยุโรปก็มี หรือเจียงซือ ผีดิบดูดเลือดของจีน ที่ปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายประการ ก็มีลักษณะคล้ายผีกองกอย จนบางครั้งถูกเรียกกันว่าผีกองกอยก็มี บนเกาะมาดากัสการ์ ในมหาสมุทรอินเดีย ใกล้กับทวีปแอฟริกา มีความเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดที่อยู่ในป่าเรียกว่าคาลาโนโร่ เป็นสัตว์ที่ยืนด้วยสองขาเหมือนมนุษย์ มีขนเต็มตัวสีน้ำตาลแดง ไม่ใส่เสื้อผ้า แต่มีความสูงเพียง 3 ฟุต และมีเท้าที่กลับหลังเหมือนผีกองกอยตามความเชื่อของชาวภูไท เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ดุร้าย สามารถฆ่ามนุษย์ได้ด้วยกรงเล็บที่มือที่แข็งแรงด้วยการควักไส้

มีการอ้างถึงกองกอยในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น อ้ายย่องตอด ในพระอภัยมณี
12  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / การลงโทษจากสัตว์ฟันแทะ : บทบาทที่คิดไม่ถึงของหนูในการทรมานศัตรู เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2567 15:53:35




การลงโทษจากสัตว์ฟันแทะ
บทบาทที่คิดไม่ถึงของหนูในการทรมาน

มรดกอันน่าสยดสยองของการทรมานนักโทษโดยใช้ “หนู” (Rats) มีมาตั้งแต่ยุคกลางของอังกฤษไปจนถึงศตวรรษที่ ๒๐ ในอเมริกาใต้ อดีตที่น่าขนลุกต่อวิธีการทรมานที่น่ากลัวที่สุดรูปแบบหนึ่ง นั่นคือใช้เพียงสัตว์รบกวนที่คุ้นเคย คือ หนูเท่านั้น  เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่หนูถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทรมานทั่วโลก ปรากฎมีหลักฐานตั้งแต่สมัยโรมโบราณและยุโรปยุคกลาง ความกลัวและความรังเกียจต่อหนูที่มีจำนวนมาก ทำให้พวกมันเป็นเครื่องมือสำหรับผู้สอบสวนที่ไร้ความปราณีและทรราชที่กําลังมองหาทางลงโทษศัตรู


The "Rats Dungeon -  คุกหนูใต้ดิน

"ดันเจี้ยนหนู" หรือ "ดันเจี้ยนของหนู" คือ คุกหนูใต้ดิน เป็นจุดเด่นของหอคอยแห่งลอนดอนที่ถูกกล่าวหาโดยนักเขียนคาทอลิกจากยุคเอลิซาเบธ

"ห้องขังอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำสูงและมืดสนิท" จะดึงดูดหนูจากแม่น้ำเทมส์ขณะที่กระแสน้ำไหลเข้ามา นักโทษจะ "ตื่นตกใจ" และในบางกรณีอาจมี "เนื้อ ... ขาดจากแขนและขา" ในช่วงการประท้วงของชาวดัตช์ ดีเดริก โซนอย (Diederik Sonoy) ซึ่งเป็นพันธมิตรของ William the Silent ได้รับการบันทึกไว้ว่า ได้วางชามเครื่องปั้นดินเผาที่เต็มไปด้วยหนูโดยคว่ำลงบนร่างที่เปลือยเปล่าของนักโทษ เมื่อถ่านร้อนกองอยู่บนชาม หนูจะ "แทะเข้าไปในลำไส้ของเหยื่อ" เพื่อพยายามหนีความร้อน  

เผด็จการทหารในอเมริกาใต้หลายแห่งใช้หนูสำหรับการทรมานศัตรู  ในบราซิลระหว่างเผด็จการทหารระหว่างปี พ.ศ.2507-2528 ในอุรุกวัยระหว่างการปกครองแบบเผด็จการพลเรือน-ทหารระหว่างปี พ.ศ.2516-2528  ในชิลีในช่วงเผด็จการของออกัสโต ปิโนเชต์ (พ.ศ.2516- พ.ศ. 2533) ในอาร์เจนตินาในช่วงที่เรียกว่ากระบวนการปฏิรูปแห่งชาติ (พ.ศ.2519-2526)

รายงานของ CONADEP ในอาร์เจนตินาให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการทรมานที่เรียกว่า "ขอบเขตทางตรง" (สงวนไว้สำหรับนักโทษชาวยิวเป็นหลัก) ซึ่งประกอบด้วยการสอดหนูที่มีชีวิตเข้าไปในทวารหนักหรือช่องคลอดของเหยื่อผ่านท่อแอมเนสตี้  อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกกรณีผู้หญิงคนหนึ่งถูกทรมานโดย Chilean CNI (ศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ ผู้สืบทอดต่อจาก DINA) เมื่อปี 1981 โดยเล่าว่าถูกขังอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยหนูที่มีชีวิตระหว่างการสอบปากคำ
13  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / เทือกเขากัวดาลูป เมื่อ: 31 ตุลาคม 2567 13:53:37
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/ac/Guadalupe_Mountains_El_Capitan_2006.jpg/1280px-Guadalupe_Mountains_El_Capitan_2006.jpg

คลิกที่รูปภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่ (ใช้นิ้วกดไปที่ปุ่มซ้ายของเมาส์)

เทือกเขากัวดาลูป

เทือกเขากัวดาลูป Guadalupe เป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในเท็กซัสตะวันตกและนิวเม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้ เทือกเขานี้ประกอบด้วยยอดเขาที่สูงที่สุดในเท็กซัส คือยอดเขาเอล Guadalupe Peak สูง 8,751 ฟุต (2,667 เมตร) และยอดเขาอันเป็นเอกลักษณ์ของเท็กซัสตะวันตก คือยอดเขาเอล กัปิตัน (El Capitan) ซึ่งทั้งสองแห่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเทือกเขากัวดาลูป  

เทือกเขากัวดาลูป อยู่ติดกับหุบเขาแม่น้ำเพโคส (Pecos) และลาโน เอสตาคาโด (Llano Estacado) ทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ เทือกเขาเดลาแวร์ (Delaware) ทางทิศใต้ และเทือกเขาซาคราเมนโต (Sacramento) ทางทิศตะวันตก  แนวปะการังก่อนประวัติศาสตร์ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้ในธรณีวิทยาชั้นหินแข็งของเทือกเขา ชั้นหินแข็งประกอบด้วยซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังจากยุคเพอร์เมียน ซึ่งได้รับการศึกษาทางธรณีวิทยามาอย่างกว้างขวาง โดยนักธรณีวิทยา และนักบรรพชีวินวิทยา

หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าเมื่อกว่า 10,000 ปีก่อน มีมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำและซอกหลืบมากมาย มนุษย์กลุ่มแรกที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นนักล่าสัตว์ และรวบรวมอาหารซึ่งได้จากการล่าสัตว์ใหญ่และเก็บพืชที่กินได้ สิ่งประดิษฐ์ที่สนับสนุนสิ่งนี้ ได้แก่ อาวุธปลายแหลมที่ยิงได้ ตะกร้า เครื่องปั้นดินเผา และภาพเขียนบนหิน

ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงพื้นที่นี้ คือ ชาวสเปน ในศตวรรษที่ 16 แต่พวกเขาไม่ได้ถิ่นฐานในเทือกเขากัวดาลูป ชาวสเปนนำม้าเข้ามาในพื้นที่ และในไม่ช้าชนเผ่าพื้นเมืองเร่ร่อนในพื้นที่ เช่น อาปาเช ก็พบว่าม้าเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับการล่าสัตว์และการอพยพ  ชาวอาปาเช เมสคาเลโรเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บเกี่ยวต้นอะกาเว (หรือเมสคาล) เพื่อเป็นอาหารและใช้ประโยชน์จากเส้นใยของต้นอะกาเว  หลักฐานดังกล่าวพบจากหลุมย่างต้นอะกาเวและสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ของวัฒนธรรมเมสคาเลโรในอุทยานแห่งนี้

ชาวเผ่า อาปาเช เมสคาเลโร ยังคงอาศัยอยู่บนภูเขาจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ในช่วงปลายสงครามกลางเมืองอเมริกา ช่วงทศวรรษปี 1840 และ 1850 พวกเขาต้องเผชิญผู้คนจำนวนมากที่อพยพไปทางตะวันตกซึ่งได้เดินทางข้ามพื้นที่นี้

ทางผ่านเทือกเขากัวดาลูป อยู่ที่ระดับความสูง 5,534 ฟุต (1,687 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล กองทหารม้าที่รู้จักกันในชื่อ Buffalo Soldiers ได้รับคำสั่งให้ไปยังพื้นที่ดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งการโจมตีของอินเดียนแดงในการตั้งถิ่นฐานและเส้นทางขนส่งไปรษณีย์  ในช่วงฤดูหนาวของปี พ.ศ.2412 ร้อยโท เอช.บี. คูชิง (H.B. Cushing) ได้นำกองทหารของเขาเข้าสู่เทือกเขากัวดาลูป และทำลายค่ายของชาวอาปาเช่ เมสคาเลโร สองค่าย   ในที่สุด ชาวอาปาเช่ เมสคาเลโร ก็ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่และเข้าไปในเขตสงวนของอินเดียนแดงในสหรัฐอเมริกา


14  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / หินลายทางที่แปลกตาบนชายหาดโฮสตา ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อ: 29 ตุลาคม 2567 12:30:51

Hosta Beach Rocks
หินลายทางที่แปลกตาบนชายหาดโฮสตา ประเทศสกอตแลนด์

การก่อตัวของหินที่แปลกประหลาดและไม่เหมือนใคร นี่คือ Hosta Beach Rocks หินลายทางที่แปลกตาบนชายหาดโฮสตา (Hosta) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Traigh-stir บนเกาะนอร์ธยูอิสต์ (North Uist) ในหมู่เกาะเฮบริดีส ด้านนอก ประเทศสกอตแลนด์

สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเหล่านี้มีลักษณะเป็นเส้นลายสีต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ไม่เหมือนใครมาหลายศตวรรษ หินที่มีลายทางนี้สร้างความแตกต่างที่สะดุดทางสายตาบนหาดทรายที่มีความงามตามธรรมชาติของภูมิประเทศชายฝั่งและทิวทัศน์โดยรอบ

การเกิดของลายหินที่เห็นได้ชัดเจนบนชายหาด Hosta Beach ส่วนมากประกอบไปด้วยแร่ควอตซ์และหินอัคนีชนิดต่างๆ การกัดเซาะของน้ำทะเลและลมตลอดหลายศตวรรษยังมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนรูปร่างและเปิดเผยลวดลายอันงดงามของหินเหล่านี้ ทำให้เกิดความหลากหลายทางสีสัน ตั้งแต่สีขาว เทา จนถึงสีดำเข้ม
 
หินเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์โลก ธรณีวิทยา และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในอดีต

15  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / ยักษ์อาตากามา ปฏิทินดาราศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ: 29 ตุลาคม 2567 12:09:18





ยักษ์อาตากามา

ยักษ์อาตากามา (Atacama Giant) เป็น 'จิโอกลิฟ' (geoglyphs) ภาพสลักมนุษย์บนพื้นที่เซร์โรอูนิตัสของทะเลทรายอาตากามา ในประเทศชิลี  มีความยาว 119 เมตร (390 ฟุต) ถือเป็นภาพสลักมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด มีการเสนอแนะว่าภาพสลักหินนี้แสดงถึงหมอผี บุคคลศักดิ์สิทธิ์ หรือเทพเจ้า แต่มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่จะยืนยันคำกล่าวอ้างเหล่านี้

รูปร่างดังกล่าวเป็นปฏิทินดาราศาสตร์ยุคแรกๆ ที่ใช้บอกตำแหน่งที่ดวงจันทร์จะตกดิน ซึ่งเมื่อทราบตำแหน่งนี้แล้ว ก็จะสามารถกำหนดวัน วงจรพืชผล และฤดูกาลได้ จุดต่างๆ บนศีรษะและด้านข้างศีรษะจะบอกฤดูกาลที่ดวงจันทร์จะตก โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกับดวงจันทร์ ซึ่งมีความสำคัญในการระบุว่าฤดูฝนจะมาถึงในดินแดนอาตากามาอันแห้งแล้งเมื่อใด

ยักษ์อาตากามาเป็นหนึ่งในภาพเขียนบนพื้นดิน (งานศิลปะโบราณที่วาดลงบนภูมิประเทศ) เกือบ 5,000 ชิ้นที่ถูกค้นพบในภูมิภาคอาตากามาในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา เชื่อกันว่าภาพเหล่านี้เป็นผลงานของกลุ่มวัฒนธรรมในพื้นที่นี้ เช่น ตีวานากูหรืออินคา ที่สืบต่อมาซึ่งอาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ของอเมริกาใต้ รวมถึงชาวติวานากูและอินคา
16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / หลุมศพที่ร่ำรวยที่สุดแห่งสหัสวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล เมื่อ: 29 ตุลาคม 2567 11:27:39
,

หลุมศพมนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุดแห่งสหัสวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล


เครื่องประดับทองคำ ของใช้โบราณที่ถูกค้นพบในสุสานวาร์นา จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีวาร์นา


หลุมศพชายชั้นสูงที่มีตำแหน่งสูงสุด... ที่ถูกขุดพบ มีการใช้เครื่องประดับทองคำที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประมาณ 4.500 ปีก่อนคริสตกาล
โดยมีสิ่งประดิษฐ์จากทองคำที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมาจนถึงเวลานั้น ถือเป็นการฝังศพชายชั้นสูงครั้งแรกที่รู้จักในยุโรป

หลุมศพที่ร่ำรวยที่สุดแห่งสหัสวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล

สุสานวาร์นา (Varna Necropolis) เป็นสถานที่ฝังศพในเขตอุตสาหกรรมตะวันตกของวาร์นา (ห่างจากทะเลสาบวาร์นาประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากใจกลางเมือง 4กิโลเมตร) ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งของโลกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ สมบัติทองคำและเครื่องประดับที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 4.600 ปีก่อนคริสตกาลถึง 4.200 ปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบที่บริเวณนี้ ของโบราณจากบัลแกเรียยุคก่อนประวัติศาสตร์หลายชิ้นถือว่ามีอายุไม่น้อยไปกว่ากัน เช่น สมบัติทองคำของ ฮอทนิทซ่า (Hotnitsa) ดูรันคูแล็ก (Durankulak) โบราณวัตถุจากการตั้งถิ่นฐาน คูร์กัน (Kurgan) ของยูนัทไซต์ (Yunatsite) ใกล้ปาซาร์จซิก (Pazardzhik) สมบัติทองคำซาการ์ (Sakar) ตลอดจนลูกปัดและเครื่องประดับทองคำที่พบในการตั้งถิ่นฐานคูร์กัน (Kurgan)  ของ Provadia – Solnitsata (“หลุมเกลือ”) อย่างไรก็ตาม ทองคำวาร์นามักถูกเรียกว่าเป็นสมบัติที่เก่าแก่ที่สุด เนื่องจากสมบัติชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายมากที่สุด

17  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อ: 26 ตุลาคม 2567 13:57:34


พระอาจารย์สุธรรม สุธัมโม
เจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

“พระอาจารย์สุธรรม” หรือ “พระราชวชิรธรรมาจารย์ วิ.” เจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นศิษย์ผู้ดำเนินปฏิปทาตามรอยธรรมคำสอนจากครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร, หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ฯลฯ

แต่ละรูปล้วนเป็นบูรพาจารย์สำคัญสายพระป่ากรรมฐานศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสิ้น

ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ลำดับที่ 3 ต่อจากหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน และพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน เจ้าอาวาสรูปที่สอง ซึ่งถึงแก่การมรณภาพไป

ปัจจุบัน สิริอายุ 72 ปี พรรษา 52

มีนามเดิมว่า สุธรรม แซ่จึง เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ต.ค.2492 ที่ ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง บิดา-มารดา ชื่อ นายจึงบุ้นเลี้ยง และนางจิวป๋อเซี้ยม แซ่จึง

เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2513 ที่พัทธสีมาวัดตรีรัตนาราม ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง มีพระครูประจักษ์ตันตยาคม วัดคีรีภาวนาราม อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นพระอุปัชฌาย์ จำพรรษาที่วัดตรีรัตนาราม เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2516 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ

พรรษา 5 ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เพื่อศึกษาข้อธรรมะแนวทางปฏิบัติของพระฝ่ายกัมมัฏฐานกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ และหลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งวัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
พรรษา 6 กราบลาหลวงปู่สิม เดินทางไปจังหวัดสกลนคร เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์รับใช้ ศึกษาข้อธรรมะและจำพรรษากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
พรรษา 7 จำพรรษาเพื่อศึกษาข้อธรรมะกับพระอาจารย์สิงห์ทอง แห่งวัดป่าแก้วชุมพล จ.สกลนคร
พรรษา 10 จำพรรษาอยู่กับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือ “ท่านอาจารย์ใหญ่บ้านตาด” แห่งวัดป่าบ้านตาด
พรรษาที่ 12 จำพรรษาที่วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร แทนพระอาจารย์ทองฮวด ฐานวโร

ในวันที่พระอาจารย์สุธรรม ไปกราบนมัสการลาหลวงตามหาบัว เพื่อมาอยู่ที่วัดป่าหนองไผ่ ท่านประทานโอวาท มีถ้อยความว่า “ไปแล้ว อย่าไปขวนขวายหาติดต่อญาติโยม คลุกคลีกับสังคม เพราะนั้นไม่ใช่เครื่องขัดเกลา จะทำให้เราเพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัว เสริมกิเลสโดยง่าย”

พระอาจารย์สุธรรม ขอความเมตตาจากพระอาจารย์ใหญ่บ้านตาด ว่า “หากเกล้ากระผมติดขัดไม่สะดวกในการปฏิบัติธรรม หรือสงสัยในธรรม จะขอเข้ามาศึกษาปฏิบัติกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์อีก” หลวงตามหาบัว ก็เมตตารับคำ

วัดป่าหนองไผ่แห่งนี้ นับเป็นสาขาหนึ่งของหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2524 มาพักยังที่พักสงฆ์ป่าหนองไผ่ (วัดป่าหนองไผ่ ในปัจจุบัน) เริ่มจัดทำเสนาสนะตามอัตภาพ โดยพักอยู่ในถ้ำเงื้อมผา ความเป็นอยู่ในยุคแรกยังแห้งแล้งกันดาร อัตคัดขัดสนข้นแค้นลำเค็ญอยู่มาก

นับแต่รับภาระบริหารดูแลรักษาวัดแห่งนี้ พัฒนาวัดจนมีความเจริญรุ่งเรือง มีนโยบายใช้ทรัพยากรป่าไม้ เพื่อใช้อนุรักษ์ควบคุมความสมดุลระบบนิเวศธรรมชาติ และสงวนรักษาพื้นที่นี้ไว้ให้เป็นบรรยากาศธรรมชาติที่เหมาะสมแก่การฝึกหัดขัดเกลาจิตใจ ปฏิบัติสมาธิภาวนา พัฒนาสติปัญญา สำหรับพระภิกษุ-สามเณร เยาวชน และบุคคลทั่วไป

ต่อมาวันที่ 23 พ.ค.2563 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด แทนพระอาจารย์สุดใจซึ่งถึงแก่การมรณภาพไป

กระทั่ง เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2564 พระราชสารโกศล (วงศ์ไทย สุภวังโส) เจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (ธรรมยุต) ถวายตราตั้งเจ้าอาวาสวัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) อย่างเป็นทางการ

ล่าสุด วันที่ 7 ก.ค.2564 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชวชิรธรรมาจารย์ วิ.

ถือเป็นทายาทธรรมที่เดินตามรอยปฏิปทาหลวงตามหาบัวและบูรพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาอย่างแท้จริง.



อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/amulets/news_6551000
18  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / นิ้วกลางของกาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อ: 26 ตุลาคม 2567 13:39:33

นิ้วกลางของกาลิเลโอ กาลิเลอี
มันถูกตัดออกเมื่อร่างของเขาถูกขุดขึ้นมาจากหลุมศพและย้ายไปที่สุสานของโบสถ์ฟลอเรนซ์ในปี 1737
กาลิเลโออาศัยอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1564 ถึง ค.ศ.1642 เขาถูกประณามจากคริสตจักรเนื่องจากการสอน
ว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ และในปี ค.ศ.1633 เขาถูกพิจารณาคดีและถูกตัดสินว่ามีความผิด
ฐานเป็นพวกนอกรีต เขาใช้เวลาเก้าปีสุดท้ายของชีวิตภายใต้การกักบริเวณภายในบ้าน
วัตถุโบราณชิ้นนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี



กาลีเลโอ ดี วินเชนโซ โบนายูตี เด กาลีเลอี หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า กาลิเลโอ เป็นนักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรชาวอิตาลี
ซึ่งได้ถูกเรียกว่าเป็นผู้รู้รอบด้าน ผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย


นิ้วกลางของกาลิเลโอ กาลิเลอี


ประวัติ

กาลิเลโอเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของวินเชนโซ กาลิเลอี นักดนตรีลูทผู้มีชื่อเสียง มารดาชื่อ จูเลีย อัมมันนาตี เมื่อกาลิเลโออายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่กาลิเลโอต้องพำนักอยู่กับจาโกโป บอร์กีนิ เป็นเวลาสองปี เขาเรียนหนังสือที่อารามคามัลโดเลเซ เมืองวัลลอมโบรซา ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 34 กิโลเมตร กาลิเลโอมีความคิดจะบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยปิซาตามความต้องการของพ่อ กาลิเลโอเรียนแพทย์ไม่จบ กลับไปได้ปริญญาสาขาคณิตศาสตร์มาแทน    ปี ค.ศ.1589 เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปิซา เมื่อถึงปี ค.ศ.1591 บิดาของเขาเสียชีวิต กาลิเลโอรับหน้าที่อภิบาลน้องชายคนหนึ่งคือ มีเกลัญโญโล เขาย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยแพดัวในปี ค.ศ.1592 โดยสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี ค.ศ.1610 ในระหว่างช่วงเวลานี้ กาลิเลโอได้ทำการค้นพบที่สำคัญมากมาย ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) ความสนใจของเขายังครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีความสำคัญไม่แพ้คณิตศาสตร์หรือดาราศาสตร์ทีเดียว

แม้กาลิเลโอจะเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด แต่เขากลับมีลูกนอกสมรส 3 คนกับมารินา แกมบา เป็นลูกสาว 2 คนคือ เวอร์จิเนีย (เกิด ค.ศ.1600) กับลิเวีย (เกิด ค.ศ.1601) และลูกชาย 1 คนคือ วินเชนโซ (เกิด ค.ศ.1606) เนื่องจากลูกสาวทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส จึงไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ทางเลือกเดียวที่ดีสำหรับพวกเธอคือหนทางแห่งศาสนา เด็กหญิงทั้งสองถูกส่งตัวไปยังคอนแวนต์ที่ซานมัตตีโอ ในเมืองอาร์เชตรี และพำนักอยู่ที่นั่นจวบจนตลอดชีวิต เวอร์จิเนียใช้ชื่อทางศาสนาว่า มาเรีย เชเลสเต เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1634 ร่างของเธอฝังไว้กับกาลิเลโอที่สุสานบาซิลิกาซานตาโครเช ลิเวียใช้ชื่อทางศาสนาว่า ซิสเตอร์อาร์แคนเจลา มีสุขภาพไม่ค่อยดีและป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ส่วนวินเชนโซได้ขึ้นทะเบียนเป็นบุตรตามกฎหมายในภายหลัง และได้แต่งงานกับเซสตีเลีย บอกกีเนรี

ปี ค.ศ.1610 กาลิเลโอเผยแพร่งานค้นคว้าของเขาซึ่งเป็นผลสังเกตการณ์ดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี ด้วยผลสังเกตการณ์นี้เขาเสนอแนวคิดว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นการสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของปโตเลไมโอสและอาริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปีถัดมากาลิเลโอเดินทางไปยังโรม เพื่อสาธิตกล้องโทรทรรศน์ของเขาให้แก่เหล่านักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ที่สนใจ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงของดาวพฤหัสบดีด้วยตาของตัวเอง ที่กรุงโรม เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของอะคาเดเมีย ดลินเซีย (ลินเซียนอะคาเดมี)

ปี ค.ศ.1612 เกิดการต่อต้านแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปี ค.ศ.1614 คุณพ่อโทมาโซ คัคชินิ ประกาศขณะขึ้นเทศน์ในโบสถ์ซานตามาเรียโนเวลลา กล่าวประณามแนวคิดของกาลิเลโอที่หาว่าโลกเคลื่อนที่ ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอเดินทางไปยังโรมเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหา แต่ในปี ค.ศ.1616 พระคาร์ดินัลโรแบร์โต เบลลาร์มีโน ได้มอบเอกสารสั่งห้ามกับกาลิเลโอเป็นการส่วนตัว มิให้เขาไปเกี่ยวข้องหรือสอนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสอีก ระหว่างปี 1621 ถึง 1622 กาลิเลโอเขียนหนังสือเล่มแรกของเขา คือ "อิลซัจจาโตเร" (Il Saggiatore หมายถึง นักวิเคราะห์) ต่อมาได้รับอนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ได้ในปี ค.ศ.1623 กาลิเลโอเดินทางกลับไปโรมอีกครั้งในปี ค.ศ.1630 เพื่อขออนุญาตตีพิมพ์หนังสือ "Dialogue Concerning the Two Chief World Systems" (บทสนทนาว่าด้วยโลกสองระบบ) ต่อมาได้พิมพ์เผยแพร่ในฟลอเรนซ์ในปี 1632 อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปให้การต่อหน้าศาลศาสนาที่กรุงโรม

จากเอกสารการค้นคว้าและทดลองของเขา ทำให้เขาถูกตัดสินว่าต้องสงสัยร้ายแรงในการเป็นพวกนอกรีตเพราะในสมัยนั้นผู้ใดที่ไม่เชื่อฟังในคำสั่งสอนของโป๊ปจะถือว่าเป็นกบฏ กาลิเลโอถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวด นับแต่ปี ค.ศ.1634 เป็นต้นไป เขาต้องอยู่แต่ในบ้านชนบทที่อาร์เชตรี นอกเมืองฟลอเรนซ์ กาลิเลโอตาบอดอย่างถาวรในปี ค.ศ.1638 ทั้งยังต้องทุกข์ทรมานจากโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ ต่อมาเขาจึงได้รับอนุญาตให้ไปยังฟลอเรนซ์ได้เพื่อรักษาตัว เขายังคงออกต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอตราบจนปี ค.ศ.1642 ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยอาการไข้สูงและภาวะหัวใจวาย
19  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / มหัศจรรย์ "ถ้ำหินอ่อน" ประเทศชิลี เมื่อ: 26 ตุลาคม 2567 12:56:36



มหัศจรรย์ถ้ำหินอ่อน (Marble Caves) ตั้งอยู่ในจังหวัดคอยไฮเก้ ประเทศชิลี เป็นถ้ำที่มีความสวยแปลกตา เกิดจากกระแสน้ำจากแม่น้ำริโอ ทรานควิโล ไหลทะลุทะลวงสู่คาบสมุทรหินปูนยักษ์ ได้กัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อน Marble Caves ไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในรัฐ โดยถ้ำแห่งนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเลสาปการ์เรราทะเลสาบขนาดใหญ่ในเขตภูมิภาคปาตาโกเนีย ที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนั้นระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินาและชิลี

ภายในถ้ำเต็มไปด้วยน้ำใสสะอาด แสงสะท้อนจากท้องฟ้ากระทบผิวน้ำของทะเลสาบน้ัำจืดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของทวีปอเมริกาใต้ ทำให้ถ้ำหินอ่อนกลายเป็นสีฟ้าสดใส
20  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / เมืองปอมเปอี ชีวิตถูกฝังทั้งเป็นจากเถ้าหินภูเขาไฟ เมื่อ: 26 ตุลาคม 2567 12:26:52

ผู้เสียชีวิตในปอมเปอี ร่างกายถูกความร้อนหลอมจนในเวลาต่อมาเกิดเป็นโพรงขึ้นภายในซากชั้นธรณี
ในการขุดค้นทางโบราณคดีจึงต้องหาโพรงดังกล่าว และเทปูนหล่อปลาสเตอร์เข้าไป
เพื่อทำให้เห็นเป็นร่างผู้เสียชีวิตในอิริยาบทขณะเกิดวิบัติภัยจากธรรมชาติครั้งนั้น



ภาพวาดหายนะของปอมเปอีโดย Karl Brullov วาดขึ้นในช่วง ค.ศ.1830-1833

เมืองปอมเปอี ชีวิตถูกฝังทั้งเป็นจากเถ้าหินภูเขาไฟ

จากเถ้าถ่านสู่ข้อมูลเชิงลึก: CT Scans ที่ไม่เคยมีมาก่อน เปิดเผยความลึกลับของ Pompeii

ปอมเปอี เป็นนครโรมันโบราณที่ถูกฝังใกล้กับเมืองเนเปิลส์ ในแคว้นคัมปาเนีย ประเทศอิตาลี ปอมเปอีถูกทำลายและถูกฝังใต้เถ้าและหินภูเขาไฟหนา 4 ถึง 6 เมตร จากเหตุภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุใน วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1979 กับเฮอร์คิวเลเนียมปะทุใน วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1979 หลังจากนั้นวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1979 เมื่อภูเขาไฟระเบิดได้คร่าชีวิตไปกว่า 15,000 คน โดยผู้เสียชีวิตถูกฝังทั้งเป็นจากเถ้าหินภูเขาไฟ

เมืองโบราณของปอมเปอี ถูกอนุรักษ์ไว้ทันเวลาโดยการปะทุของภูเขาเวซูเวียสในปี 1979 ยังคงเป็นนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ล้ําสมัย มัมมี่ปอมเปอีลึกลับกําลังถูกเปิดเผยด้วยความชัดเจนและรายละเอียดที่ไม่ธรรมดา CT scan ได้เสนอแวบอันน่าทึ่งในชีวิต ความตาย และลักษณะทางกายภาพของเหยื่อ ทําให้โศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์นี้ส่องสว่างและรักษามรดกของพวกเขา
หน้า:  [1] 2 3 ... 123
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.231 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 2 ชั่วโมงที่แล้ว