หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม
วัดสามัคคีอุปถัมภ์ (ภูกระแต) อ.เมือง จ.บึงกาฬ "ถ้าเราระลึกถึงความตาย ยอกย้อนกลับไปกลับมา เราจะได้เห็นความจริงว่า ตายปกปิด-ตายเปิดเผย จะได้แจ่มแจ้งทางใจของเรา ลดทิฏฐิมานะว่ากายนี้เป็นของเรา กายเป็นของจีรังยั่งยืน จะได้ลดความเห็นนั้นออก อันนี้เรียกว่า มรณานุสติ เป็นอารมณ์เพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะ ออกจากใจของเรา.." โอวาทธรรม หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม
ข่าวเศร้าในวงการสงฆ์ เมื่อ "หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม" หรือ "พระญาณสิทธาจารย์" เจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์ (ภูกระแต) ต.วิศิษฐ์ อ.เมือง จ.บึงกาฬ และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ (ธรรมยุต) มรณภาพอย่างสงบ
ก่อนหน้านี้ มีอาการอาพาธเจ็บป่วยตามวัย อาการทรงและทรุดมาตลอดจนถึงวาระสุดท้าย สร้างความเศร้าสลดอาลัยเป็นอย่างยิ่ง
หลวงปู่ทองพูลถือเป็นพระกัมมัฏฐานรุ่นแรกแห่งกองทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า โดยพระเถราจารย์รุ่นนี้ อาทิ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม วัดป่าดานศรีสำราญ จ.หนองคาย, พระครูอุดมศีลวัฒน์ วัดป่าสถิตย์ธรรมาราม, พระครูปัญญาวรากร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม ฯลฯ
โดยเฉพาะ
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ทั้ง 2 รูปเป็นสหธรรมิกที่มีความสนิทสนมกันมากมีนามเดิมว่า หนูพูล เอนไชย เกิดที่บ้านเดื่อศรีคันไชย อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร บิดา-มารดา ชื่อ นายเคน และ นางสุภี เอนไชย เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน
ในช่วงวัยเด็กมีลักษณะนิสัยสุขุมเยือกเย็น พูดน้อย อ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ญาติพี่น้อง มีจิตเมตตา
อุปสมบทครั้งแรกเป็นพระสงฆ์ในฝ่ายมหานิกาย ที่วัดท่าเดื่อ มีพระครูนรสีหสาสน์ธำรง รองเจ้าคณะอำเภอวานรนิวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
การบวชครั้งนั้นเป็นการบวชในงานบุญประเพณีของผู้ที่ท่านคุ้นเคย และต่อมาหลวงปู่ทองพูลได้พบกับพระอาจารย์สีโห เขมโก ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น และเป็นพระเถระรุ่นเดียวกับหลวงปู่เทสก์, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ฝั้น
โดยหลวงปู่ทองพูลได้เข้าญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2495 มีหลวงปู่จูม พันธุโล เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสมุห์สวัสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา
สิริกาโม นับตั้งแต่อุปสมบท ตั้งจิตแน่วแน่ในการปฏิบัติธรรมตามคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามอบกายถวายชีวิต โดยออกธุดงค์หาสถานที่วิเวกเพื่อเร่งความเพียรบำเพ็ญภาวนา เพียงพรรษาแรกท่านอาจารย์ได้ถือเนสัชชิกังคธุดงค์ คือ การไม่นอน ไม่ยอมให้หลังแตะกับพื้นตลอดพรรษาและอดอาหารควบคู่กันไป
ระหว่างนั้นอาพาธเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนักแต่ท่านอาศัยธรรมโอสถ ขันติธรรมที่เกิดขึ้นจนไข้มาลาเรียหายไปเอง
หลังจากท่านออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ในที่สุดได้ก่อตั้งวัดสามัคคีอุปถัมภ์ขึ้น
สำหรับวัดสามัคคีอุปถัมภ์แห่งนี้ หลวงปู่ทองพูลเดินทางมาในช่วงปี พ.ศ.2502 ครั้งแรกยังเป็นแค่ภูดิน อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวอำเภอบึงกาฬ โดยชาวบ้านเรียกภูดินแห่งนี้ว่า
ภูกระแต เนื่องจากมีสัตว์พวกกระรอก กระแต รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ อาศัยอยู่ชุกชุมตามสภาพที่เป็นป่าทึบรกครึ้ม
มาถึงบริเวณภูกระแต ในคืนแรกท่านจำวัดใต้ต้นบก และ 3-4 วันต่อมา ชาวบ้านได้ทำเพิงพักนั่งร้านและกุฏิชั่วคราวแบบง่ายๆ ทำด้วยไม้ไผ่ป่า จากนั้นหลวงปู่จึงได้พัฒนาวัดเรื่อยมาจวบจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับแรงศรัทธาสามัคคีร่วมใจจากคณะลูกศิษย์ลูกหาทั้งที่เป็นพระภิกษุ-สามเณร และอุบาสกอุบาสิกา
ท่านมีตำแหน่งทางฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ คือที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย-บึงกาฬ (ธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดสามัคคีอุปถัมภ์จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ดีงามที่ท่านถือปฏิบัติมาตลอดในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดจากเบ้าหลอมของบิดามารดา เมื่อเป็นพระภิกษุยังได้พระอุปัชฌาย์สั่งสอนให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด มีเมตตาใฝ่หาความรู้ เพราะความรู้เรียนได้ตลอดเวลาไม่รู้จบ ซึ่งได้รับการส่งเสริมตลอดมา
ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านมีความสามารถด้านการแสดงธรรมเทศนา มักจะใช้ภาษาที่ง่าย สามารถสื่อให้ชาวบ้านเข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบหลักธรรมเชิงบุคลาธิษฐาน
ตลอดชีวิต ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กิจการคณะสงฆ์อย่างเต็มกำลัง แต่ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2557 หลวงปู่ทองพูล เริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคปอดอักเสบและเข้ารับการรักษาอาการที่ ร.พ.บึงกาฬสลับกับการไปพบแพทย์ตามการให้คำแนะนำของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ร.พ.ศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น
ครั้งสุดท้ายเข้ารักษาอาการอาพาธที่ ร.พ. บึงกาฬอีกครั้ง โดยอาการปอดอักเสบมีความรุนแรงขึ้น ประกอบกับมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หลวงปู่ทองพูลจึงปฏิเสธการรักษาของแพทย์ โดยขอให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น และมีความประสงค์จะกลับวัด
ในคืนวันอังคารที่ 12 พ.ค.2558 เวลา 18.59 น. จึงละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 83 ปี 1 เดือน 19 วัน พรรษา 63
ทั้งนี้ คณะลูกศิษย์เห็นสมควรให้เก็บสังขารหลวงปู่ทองพูลไว้จนถึงช่วงวันออกพรรษา 2558 ก่อนทำหนังสือขอพระราชทานเพลิงศพในโอกาสต่อไป