สืบเนื่องจากกระทู้ในห้องดูดวง ทำให้เกิดความสนใจที่จะนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม
ให้กับคนอยากรู้ว่าพระประจำราศีของเรานั้นมีที่มา หน้าตา ตลอดจนพุทธคุณเป็นอย่างไร เลยนำมาแบ่งปันไว้ที่นี้ ระบบของการแบ่งราศี และสิ่งมงคลที่คู่กัน
http://www.sookjai.com/index.php?topic=65596.msg95050#msg95050
พระกริ่ง-ราศีเมษ
พระกริ่ง : ที่มาและพุทธคุณพระกริ่งถือเป็นของสูงมาตั้งแต่โบราณ การสร้างและการมีไว้บูชา
ต้องเป็นไปเพื่อความสูงส่งของผู้สร้างและผู้ครอบครอง พระกริ่งที่มีอยู่ใน
โลกนี้ได้รูปแบบศิลปะมาจากธิเบตและจีนเป็นส่วนใหญ่ แล้วได้แพร่หลาย
มาสู่เขมรและสยามประเทศในเวลาต่อมา คติความเชื่อมีรากฐานมาจาก
พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามี ๓ พระภาค อันได้แก่
๑. พระศรีศากยะมุนี หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่เบื้องกลาง
๒. พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่เบื้องตะวันออก
๓. พระอมิตตภะพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่เบื้องตะวันตก
พระไภษัชคุรุพุทธเจ้านี้เองเป็นที่มาของพระกริ่ง ชื่อของพระองค์ แปลว่า พระพุทธเจ้าที่เป็นครูด้านยาอายุวัฒนะ รักษาโรคภัย ไข้เจ็บ
พระองค์เป็นที่นิยมนับถือของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานเป็นอย่างสูงยิ่ง เพราะมีพระสูตรบรรยายไว้ว่าในคราที่ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่
พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธานไว้ ๑๒ ประการ เพื่อโปรดสรรพสัตว์ให้บรรลุถึงความต้องการ ในยามที่พระองค์ทรงสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
๑. ให้มีกายที่ผ่องใส
๒. ให้พ้นจากอบายคติ
๓. ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ พ้นจากความจน
๔. ขอให้มีสัมมาทิฐิ
๕. ขอให้ศีลไม่วิบัติ
๖. ขอให้พ้นจากกายไม่สมบูรณ์
๗. ขอให้ความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น มีบ้านเรือนพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติและมีญาติมิตรที่ดี
๘. ขอให้สตรีเพศที่เบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตนสามารถเปลี่ยนเป็นเพศชายได้ตามปรารถนา
๙. ขอให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมาร และเหล่ามิจฉาทิฐิทั้งปวง
๑๐. ขอให้พ้นจากอาญา ทัณฑกรรม คดีความ และการคุมขังใดๆ ตลอดจนการถูกข่มเหงรังแกเหยียดหยาม
๑๑. ขอให้พ้นจากความหิวกระหาย อดอยากอาหาร ขาดซึ่งเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตและให้มีความ
อิ่มหนำสำราญ ได้รับธรรมรสและมีความสุขในเบื้องปลาย
๑๒. ขอให้บริบูรณ์ด้วยอาภรณ์นุ่งห่ม เครื่องประดับ และเครื่องบำรุงความสุขต่างๆ
สำหรับพระกริ่งของไทยนั้นถือว่า “พระกริ่งปวเรศวัดบวรฯ” เป็นพระกริ่งที่ถูกสร้างเป็นครั้งแรกโดยสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรฯ สร้างขึ้นเพื่อประทานแก่เจ้านายในวังที่คุ้นเคย หรือที่
ท่านเคยเป็นพระครูอุปัชฌาย์ให้ โดยสร้างจากตำราที่ตกทอดจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมัยอยุธยา
พระกริ่งปวเรศในปัจจุบันถือเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องเนื้อโลหะที่มีราคาเช่าบูชาสูงที่สุด ส่วนพระเครื่องเนื้อผงได้แก่ พระสมเด็จวัดระฆังฯ
ความเชื่อด้านพุทธคุณของพระกริ่ง พุทธศาสนาฝ่ายมหายานเชื่อว่าเมื่อได้บูชา หรือรำลึกนึกถึงจะประสบ
ความสำเร็จได้ดั่งใจหวัง ๑๒ ประการ
ส่วนความเชื่อของไทยเชื่อว่ามีพุทธคุณด้านการรักษาโรค หรือคุ้มครองให้ผู้บูชามีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง
ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน นอกจากนั้นพระกริ่งยังมีพุทธคุณด้านให้ลาภสมบัติ หรืออวยทรัพย์สินเงินทอง
และให้สรรเสริญสมบัติหรืออวยชื่อเสียงเกียรติคุณ รวมทั้งป้องกันภยันตรายต่างๆ
http://taradpra.bth.cc/webboard/topic-view-132253
พระกริ่ง ทำไมต้องมีกริ่ง เกี่ยวกับพุทธคุณรึเปล่าพระกริ่งที่เราเริ่มรู้จักกันสมัยสมเด็จพระสังฆราชแพ มีการสร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์ และพระชัยวัฒน์
ซึ่งพระกริ่งมาจากคติความเชื่อของนิกายมหายาน นิกายทิเบต, นิกายจีน, นิกายยวนซึ่งได้แบ่งภาค ของพระพุทธเจ้า เป็น 3 องค์ คือ
1. พระปฏิมา พระสมณโคดม (ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง) คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีไทยเรานับถืออยู่
2. พระปฏิมา พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าหมอยา) ประดิษฐาน ณ ทิศตะวันออก ทุกองค์จะมีน้ำเต้า โอสถ หรือ น้ำมนต์ วางไว้บนตักเสมอ
ถ้ามีคนเจ็บไข้ได้ป่วยพระองค์ก็ทรงใช้ยาในน้ำเต้ารักษาโรคต่างๆ คือเป็นพระกริ่งของไทยเราเอง ฉะนั้นพระกริ่งจะมีพระพุทธคุณทางด้านรักษาโรคเท่านั้น
พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า แปลว่า พระครูแห่งเภสัช
3. พระอมิตตา ประดิษฐาน ณ ทิศตะวันตก พระปฏิมาองค์นี้เน้นการโปรดสัตว์ โปรคคน
พระกริ่ง และพระชัยวัฒน์ว่า "คำว่า "กริ่ง" นี้หมายความว่า สมเด็จฯ (สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสฺสเทว) เคยรับสั่งเสมอว่า คำว่า "กริ่ง" นี้ มาจากคำถามที่ว่า "กึ กุสโล" (กิง กุสะโล)
คือเมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรม มีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขาเวทนา ปุญญาภิสังขาร "มูลเหตุที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว)
วัดสุทัศนเทพวราราม สร้างพระกริ่งและพระชัยวัฒน์นั้น มีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
เมื่อพระองค์ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสมโพธิ ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม
เมื่อรับสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้วรับสั่งว่า เคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ เสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วให้คนไข้เป็น
อหิวาตกโรคกินหายเป็นปรกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จไปนำพระกริ่งที่วัดบวร นิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่า พระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า จึงรับสั่งให้นำมา แล้วอาราธนาพระกริ่ง
แช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์แล้วโรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปรกติ พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้น
เป็นพระกริ่งสมัยไหน พระองค์ท่านรับสั่งว่าจำไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นพระกริ่งเก่า หรือไม่ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัย
ในการสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นลำดับ ค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณกาลแล้ว เริ่มขึ้นที่ประเทศทิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีน และประเทศเขมร
และมีข้อความอีกตอนหนึ่งได้กล่าวถึงพระพุทธลักษณะของพระกริ่งไว้ ดังนี้
พระพุทธลักษณะของพระกริ่ง เป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทางประเทศทิเบต และปรากฏว่าในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกับเรา เรียกกันว่า "กริ่งปะทุม"
ประเพณีนิยมสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้ และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต
วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงจะได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้วก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาวาส สมถธุระวิปัสสนาธุระ
พระกริ่งก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชน ฝ่ายลิทธิมหายาน ยิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่ง
คือ "พระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตร" แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐
สรุปพระกริ่ง ปวเรศฯ สามารถรักษาอาการอาพาธ ของสมเด็จพระวันรัตจากโรคอหิวาต์ พุทธคุณของพระกริ่งที่สร้างกันมา
เข้าใจผิดกันว่าอยู่ยงคงกระพัน แท้ที่จริงพระกริ่งคือพระพุทธเจ้าหมอยา ยุคหลังความเชื่อในการสร้างพระกริ่งเปลี่ยนไป บางที่สร้างพระกริ่ง เพื่ออยู่ยงคงกระพัน
และสร้างกันหลายที่หลายวัด รูปทรงเปลี่ยนไป ไม่ได้เนื้อแท้และความเป็นมาของพระกริ่ง
เรียบเรียงโดย อ.เวทิต
praphrae.igetweb.com/index.php?mo=12&catid=53368, dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=545