[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 13 กันยายน 2562 15:58:57



หัวข้อ: "โทษของการไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 13 กันยายน 2562 15:58:57

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32959231982628_69600183_233429234288640_70687.jpg)

โทษของการไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

ความสุขที่แท้จริงที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง ก็คือความสุขที่เกิดจากความสงบ การที่จะทำให้เกิดความสุขได้เกิดความสงบได้ จำเป็นที่จะต้องมีสถานที่ที่เหมาะสม คือมีที่สงบ สงบกายแล้วถึงจะค่อยสงบใจ ภาษาบาลีท่านว่า “กายวิเวก จิตวิเวก” ถ้าสถานที่ที่ร่างกายอยู่ไม่สงบ เช่น อยู่ตามบาร์ตามผับ อยู่ตามศูนย์การค้า อยู่ตามโรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงคอนเสิร์ต อันนั้นจะมีแต่เสียงอึกทึกคึกโครม จะไปหาความสุขจากความสงบในสถานที่เหล่านั้นไม่ได้ ความสุขที่ได้จากสถานที่เหล่านั้นเป็นความสุขปลอม เป็นความสุขแบบควันไฟ หรือความสุขแบบตะครุบเงา เคยวิ่งตะครุบเงาบ้างไหม เคยจับเงาได้ไหม เงามันทอดอยู่ข้างหน้าเรา เราก็วิ่งไปจะไปเหยียบหัวมัน พอไปถึงตรงที่มันอยู่ อ้าว หัวมันหนีไปทางนู้นแล้ว เรียกว่า “ตะครุบเงา” ความสุขที่ได้จากสถานที่อึกทึกคึกโครม เช่น โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงเต้นรำ โรงน้ำชา โรงกาแฟ ล้วนเป็นความสุขแบบตะครุบเงา เวลาได้ไปก็มีความสุข พอกลับบ้านความสุขที่ได้จากสถานที่เหล่านั้นก็หายไป จึงต้องคอยวิ่งตะครุบเงากันอยู่เรื่อยๆ นี่เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน อีกสองวันก็มีวันหยุด ๕ วัน ใช่ไหม เดี๋ยวก็ไปตะครุบเงากันตามที่ต่างๆ บางคนก็เตรียมไปต่างประเทศกัน บางคนก็ไปตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อไปหาความสุขกัน แต่พอกลับมาทำงาน ความสุขที่ได้จากแหล่งท่องเที่ยวก็หายไปหมด เหมือนกับไม่ได้ไป ไปกับไม่ไปไม่ต่างกัน ต่างกันตรงที่เสียเงินเสียทอง หมดเงินหมดทองไป แล้วก็มีความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเหมือนตอนที่ยังไม่ได้ไป

อันนี้เป็นความสุขปลอม เป็นความสุขที่หาง่ายที่สุด เป็นความสุขที่เราหากันมาตั้งแต่เกิด เพราะเราไม่รู้จักวิธีหาความสุขที่แท้จริงกันว่าหากันอย่างไร ว่ามีหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ไม่ได้พบกับพระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ จะไม่มีใครบอกให้รู้ถึงความสุขที่แท้จริงว่าอยู่ที่ความสงบของใจ กว่าใจจะสงบได้ สถานที่ที่กายอยู่ก็ต้องสงบก่อน กายวิเวกจิตถึงวิเวก ผู้บำเพ็ญหาความสุขทางใจจึงจำเป็นที่จะต้องปลีกวิเวก ไปหาที่สงบ ไปอยู่ตามลำพัง เพราะถ้าอยู่ด้วยกันหลายคนก็จะไม่สงบ ก็จะมีการพูดกันมีการชวนกันทำกิจกรรมอะไรต่างๆ เช่น คุยกันก็ต้องหาน้ำชามาดื่ม หาอะไรมารับประทานกัน หรือสมัยนี้ก็มีสิ่งที่คอยมารบกวนใจคือโทรศัพท์มือถือ พอเปิดก็เหมือนกับเอาตัวเองไปอยู่ในที่อึกทึกคึกโครม เพราะในมือถือก็มีบันเทิงชนิดต่างๆ ให้ดู มีเรื่องมีราวอะไรต่างๆ ให้คิด ถ้าใจคิดแล้วใจก็จะไม่สงบ นอกจากไปอยู่ในที่สงบที่จะไม่มีอะไรมาคอยกระตุ้นความคิดแล้ว ใจก็ยังไม่ยอมหยุดคิดอยู่ดีเพราะยังไม่เคยฝึกให้หยุดคิด ใจนี้เคยคิดมาเป็นเวลาอันยาวนาน ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาตินี้เท่านั้น ชาตินี้เป็นเสี้ยวหนึ่งของเวลาของจิตใจที่อยู่กับความคิด จิตใจนี้มีการมาเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นหลายครั้งหลายหน ไม่ใช่เป็นครั้งนี้ครั้งแรกหรือครั้งเดียว เป็นหนึ่งในแสนล้านครั้ง หรือจะเอาแสนล้านมาคูณแสนล้านครั้งก็ได้ ใจมาเกิด แล้วทุกครั้งที่มาเกิดก็เริ่มคิดตั้งแต่เกิด คิดหาสิ่งนั้นคิดหาสิ่งนี้มาให้ความสุข เพราะเคยหาความสุขแบบนี้มาแต่ดั้งเดิม เคยหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ นับตั้งแต่เป็นทารกนี้ก็ร้องหาความสุขจากสิ่งที่เห็นด้วยตา สิ่งที่ได้ยินด้วยหู พ่อแม่จึงมักจะต้องหาของเล่นมาให้ เพราะถ้าไม่มีอะไรให้ดูให้ฟังแล้วก็จะร้องไห้ จะสร้างความรบกวนใจให้แก่พ่อแม่ พ่อแม่เลยต้องคอยหาสิ่งต่างๆ มาให้มาหลอกมาล่อให้หยุดร้องไห้ ความจริงมาตอบสนองความต้องการของความคิด คิดอยากจะเห็นรูปคิดอยากจะได้ยินเสียง พอมีรูปมีเสียงให้ดูให้ฟังก็มีความเพลิดเพลินมีความบันเทิงใจไปชั่วคราว แล้วเดี๋ยวไม่นานก็เกิดความเบื่อหน่าย เวลาเห็นอะไรซ้ำๆ ซากๆ เวลาได้ยินอะไรซ้ำๆ ซากๆ ก็เบื่อ เบื่อก็ต้องหาของแปลกของใหม่มาดูมาฟังกันไปเรื่อยๆ เวลาถ้าได้ดูได้ฟังตามความต้องการ ก็จะมีความเพลิดเพลินมีความสุข เวลาที่ไม่สามารถหาสิ่งที่ต้องการได้ เวลานั้นก็จะมีความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ อารมณ์ไม่ดี นี่เป็นผลจากการไปหาสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ ไม่ว่าจะหามาได้มากได้น้อยเพียงไร ไม่ช้าไม่นานมันก็จะเบื่อ เบื่อก็ต้องหาของใหม่มาแก้ความเบื่อ ของใหม่ที่ได้มาเดี๋ยวก็ต้องกลายเป็นของเก่าของเบื่อต่อไป ก็ต้องคอยหาของใหม่มาเรื่อยๆ มาแก้ความเบื่อกับของเก่า แล้วในที่สุดก็จะไปหาของใหม่ที่มีพิษมากขึ้น ตอนต้นก็เอาแต่ของที่ดูที่ฟังไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัย ของที่กินที่ดื่มไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัย เช่น ขนม เครื่องดื่มต่างๆ ที่ไม่มีสารเสพติด ต่อไป เบื่อเครื่องดื่ม ขนม อาหารที่ไม่มีสารเสพติด ก็มีคนมาเสนอเครื่องดื่มเครื่องรับประทานเครื่องดมที่มีสารเสพติด ที่ให้ความรู้สึกสุขมากขึ้น ก็ไปลองเสพกัน เสพยาเสพติดต่างๆ พอเสพแล้วทีนี้มันก็ติด แล้วเวลาไม่ได้เสพก็จะมีความทุกข์ทรมานใจ ถ้าเสพมากเกินไปก็ทำให้ตายได้

นี่คือโทษของการไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะนำไปสู่ความหายนะต่อไปเพราะความอยากที่จะเสพของแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเสพมันจะคอยยั่วยวนกวนใจอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่รู้จักหักห้ามจิตใจ ถ้าเป็นคนที่โชคดีหาเงินได้มากหาเงินได้ง่าย เช่น บรรดาดาราภาพยนตร์ต่างๆ บรรดานักร้องต่างๆ พวกนี้มีรายได้ดี แล้วก็มีความเครียดกับการหารายได้ เครียดเพราะกลัวจะหมดชื่อเสียง กลัวจะไม่มีรายได้เข้ามาเพราะอาชีพของนักแสดงนี่อาศัยความชื่นชมของชาวบ้าน ถ้าเขาเบื่อก็จะไม่สามารถที่จะหางานมีงานทำได้ ความเครียดนี้ก็เลยบังคับหรือผลักดันให้ไปหาสารเสพติดต่างๆ มาบรรเทาความเครียดให้แก่ใจ พออาศัยสารเสพติดเหล่านี้มันก็ต้องใช้มากขึ้นตามลำดับ เพราะว่ามันเคยใช้ระดับไหนแล้ว มันจะไม่ค่อยมีความรู้สึกมีความสุข ถ้าไม่เพิ่มปริมาณของสารเสพติดของสิ่งเสพติด เช่น สุรานี้ตอนต้นก็ดื่มแก้วเดียวก็เมา ต่อไปแก้วเดียวรู้สึกเฉยๆ ร่างกายปรับรับกับระดับของสารแอลกอฮอล์ได้เลยไม่รู้สึกมึนเมา เหมือนกับดื่มครั้งแรก ถ้าอยากจะมึนเมาก็ต้องดื่มเพิ่มขึ้นสองเท่า เป็นสองแก้ว แล้วเดี๋ยวก็ต้องเพิ่มเป็นสามแก้วสี่แก้ว ถึงจะหายเครียด ที่ดื่มเพื่อหายเครียดเพราะเวลาเมาแล้วก็ไม่คิดเรื่องวุ่นวายใจต่างๆ ไม่คิดถึงเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องรายได้เรื่องอะไรต่างๆ ลืมปัญหาต่างๆ แต่เดี๋ยวพอหายเมาก็กลับมาคิดเรื่องเดิม ก็ไม่อยากจะคิดอีก ก็กลับไปเมาต่อเลยติด เป็นคนติดเหล้าติดสุรา

อย่างดาราภาพยนตร์นี้ตอนต้นก็เริ่มที่สุรา แล้วต่อไปก็ไปที่ยาเสพติดชนิดต่างๆ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ต้องมาโผล่อยู่แถวเมืองไทย มาบำบัดตามสถานที่บำบัด เมืองไทยนี้มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นสถานที่บำบัด พวกที่ติดสารเสพติดต่างๆ ตามเกาะ ตามเกาะเขามีรีสอร์ทสวยๆ งามๆ ให้ไปอยู่หาที่สงบ ให้อยู่ไกลจากสารเสพติดสิ่งเสพติดต่างๆ เพราะถ้าอยู่ใกล้แล้วมันอดไม่ได้ บังคับตัวเองไม่ได้ อย่างพวกที่ติดสารเสพติดต่างๆ เดี๋ยวนี้ต้องเข้าสถานบำบัดกัน แต่สถานบำบัดก็บำบัดได้ชั่วระดับหนึ่ง คือให้อยู่ห่างไกลจากสารเสพติดแล้วทำให้ความอยากที่จะเสพสารเสพติดมันลดน้อยลงไป แต่พอกลับมาอยู่ที่เดิมอยู่ในแวดวงที่เคยอยู่ที่มีสารเสพติดรอบด้าน มีคนเสพรอบด้านเดี๋ยวเพื่อนฝูงมาชวนไปเสพอีก ถ้าใจไม่หนักแน่นพอหรือถ้าไปเจอความเครียด ไปเจออะไรต่างๆ ขึ้นมาอีก เดี๋ยวก็ไม่พ้นกลับไปเสพอีก แล้วบางคนก็เสพจนกระทั่งตายไป มีข่าวคราวอยู่เรื่อย ดาราภาพยนตร์นักแสดงศิลปินต่างๆ มักจะตายกัน ตายเพราะติดสารเสพติดชนิดต่างๆ สารเสพติดมีทั้งกระตุ้นมีทั้งกล่อม ถ้าใจวุ่นวายก็เอาสารมากล่อมให้หายวุ่นวาย พอหายวุ่นวายก็รู้สึกเบื่อๆ ก็หาอะไรมากระตุ้นให้มันเอาทั้งสองอย่าง เอาสารเสพติดที่เป็นพิษเป็นภัยเข้าไปในร่างกายมากๆ ร่างกายก็รับไม่ไหว เดี๋ยวก็ต้องตายไปเพราะว่าไม่เอาเข้าไปก็ไม่ได้ ขาดสารเสพติดก็ทุรนทุรายทางจิตใจ ไม่ใช่ทางร่างกาย จิตใจมันพอมันติดแล้ว ตัณหาความอยากพอมันมีความอยากมากๆ แล้วมันไม่ได้เสพตามที่มันต้องการนี้มันจะทรมานใจมาก นี่คือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์เราใช้เป็นเครื่องมือหาความสุขกัน แล้วก็จะกลายเป็นความทุกข์ตามมาต่อไป


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน