(๑๖) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม
๏ วัน ๔ ๑๒ฯ ๓ จุลศักราช ๑๑๗๕ ปีระกาเบญจศก ข้าพระพุทธเจ้า
พระยามหาอำมาตย์ พระยาสุรเสนา พระยาราชรองเมือง พระยาทิพโกษา พระยาราชทูต พระยาสุรินทร์ภักดี หลวงท่องสื่อ ขุนสารประเสริฐ ขุนมหาสิทธิโวหาร นั่งพร้อมกันณหอพระมณเฑียรธรรม รับทูตกรึงเวียดนามขึ้นมา เชิญพระราชสาส์นออกให้พระราชมนตรี หมื่นสนิท ล่ามญวนแปล
(๑๖) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม คำนับมาถึงพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาให้ทราบ ด้วยณปีก่อนเจ้าเมืองเขมรพี่น้องหาชอบกันไม่ นักองค์จันทร์เจ้าเมืองเขมรหนีไปอยู่เมืองไซ่ง่อน กรุงเวียดนามน้ำพระไทยรักใคร่เมืองน้อยเปนกำพร้า จึงมีรับสั่งให้เจ้าเมืองไซ่ง่อน กับทูตกรุงพระมหาศรีอยุทธยา มอบเมืองให้เจ้าเมืองเขมรกลับมาเมือง ความอันนี้เสร็จแล้วณเดือนเก้า กรุงเวียดนามได้มีพระราชสาส์นเข้ามาได้แจ้งอยู่แล้ว บัดนี้กรุงเวียดนามทำการฉลองพระเดชพระคุณเสร็จแล้ว ได้พึ่งเทวดาบำรุงพระองค์เปนศุขอยู่ แลกรุงเวียดนามกับกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แต่ก่อนมาเปนทางพระราชไมตรีสนิทกัน บัดนี้มีรับสั่งให้ ลูกูคำทรายกายเกอเฮวินฮว้าเค้า ราชทูต พิโนยคำทรายกายโดยค้างเง้าเค้า อุปทูต คำทรายกายโดยอยู่ดึกเห้า อุปทูต จำทูลพระราชสาส์นเข้ามากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาโดยทางพระราชไมตรี กับถามข่าวพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แลล้นเกล้า ฯ กรมพระราชวังบวร ฯ ทั้งสองพระองค์ให้ทรงพระเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป แลมีเครื่องราชบรรณาการมอบให้ทูตคุม ของพระราชวังหลวง(๑๗) พระราชสาส์นพระมเหษี พระเจ้ากรุงเวียดนาม
(๑๗) พระราชสาส์นพระมเหษี พระเจ้ากรุงเวียดนาม มาถึงเวิยนเถือกทงผู้น้องให้แจ้ง ด้วยบัดนี้บ้านเมืองได้พึ่งเทวดาแลพระญาติวงษาซึ่งล่วงแต่ก่อนนั้น มาช่วยทำนุบำรุงรักษาได้อยู่เย็นเปนศุข สมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม ก็ครองสมบัติเปนศุขอยู่ แลวงษานุวงษ์ทั้งปวงก็พร้อมมูลทั้งสิ้น แต่มีพระไทยคิดถึงผู้น้องมิได้ขาด ด้วยอยู่เมืองไกลทางกันดาร บัดนี้พระเจ้ากรุงเวียดนาม รับสั่งให้ทูตจำทูลพระราชสาส์นเข้ามากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา พี่ได้ฝากเงิน ๒๐ ลิ่มมอบให้ทูตคุมเข้ามา ให้แก่ผู้น้องจะได้เปนสำคัญ ด้วยน้ำใจรักใคร่สนิทกันดุจแผ่นศิลาเนื้อทองคำ แลเมื่อฝาก ราชสาส์น เงิน } เข้ามากับทูตนั้น ได้กราบทูลพระเจ้ากรุงเวียดนามทรงทราบแล้ว
พระราชสาส์นมาณวัน ๑๕ฯ ๑ ค่ำ ยาลอง ๑๒ ปีระกาเบญจศก ๚ะ๛
(๑๗) พระราชสาส์นพระมเหษี พระเจ้ากรุงเวียดนาม มาถึงเวิยนเถือกทงผู้น้องให้แจ้ง ด้วยบัดนี้บ้านเมืองได้พึ่งเทวดาแลพระญาติวงษาซึ่งล่วงแต่ก่อนนั้น มาช่วยทำนุบำรุงรักษาได้อยู่เย็นเปนศุข สมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม ก็ครองสมบัติเปนศุขอยู่ แลวงษานุวงษ์ทั้งปวงก็พร้อมมูลทั้งสิ้น แต่มีพระไทยคิดถึงผู้น้องมิได้ขาด ด้วยอยู่เมืองไกลทางกันดาร บัดนี้พระเจ้ากรุงเวียดนาม รับสั่งให้ทูตจำทูลพระราชสาส์นเข้ามากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา พี่ได้ฝากเงิน ๒๐ ลิ่มมอบให้ทูตคุมเข้ามา ให้แก่ผู้น้องจะได้เปนสำคัญ ด้วยน้ำใจรักใคร่สนิทกันดุจแผ่นศิลาเนื้อทองคำ แลเมื่อฝากราชสาส์น ฝากเงิน เข้ามากับทูตนั้น ได้กราบทูลพระเจ้ากรุงเวียดนามทรงทราบแล้ว
พระราชสาส์นมาณวัน ๑๕ฯ ๑ ค่ำ ยาลอง ๑๒ ปีระกาเบญจศก ๚ะ๛(๑๘) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
๏ วัน ๕ ๑๒ฯ ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๕ ปีระกาเบญจศก เพลาสามโมงหกบาทได้พระฤกษ์ จาฤกพระราชสาส์นตอบไปกรุงเวียดนาม ให้องเวียนทูตญวนถือไป
กรมพระราชวัง พระยาไทยธรรม์ พระยาเทพวรชุณ }(๒) พระยาไกรโกษา พระยาพิไชยบุรินทรา }(๒) พระยาราชทูตขุนมหาสิทธิ พระโชฎึก หลวงทองสื่อ นายชำนิโวหาร }(๕) ๙ คน นั่งพร้อมกันณหอพระมณเฑียรธรรม ครั้นได้พระฤกษ์ประโคมพิณพาทย์ฆ้องไชย แตรสังข์ หมื่นสุวรรณอักษรอาลักษณ์ นุ่งห่มขาว จาฤกพระราชสาส์นด้วยน้ำหมึกลงกระดาษฝรั่งแผ่นครึ่ง เปนอักษร ๒๐ บันทัด ครั้นแล้วพระราชโกษาเชิญตรามังกรคาบแก้ว ประจำต่อตราโลโตปิดประจำศก พระราชสาส์นอักษรไทยดวง ๑ แล้วม้วนใส่ในกล่องไม้ไผ่กลึงมีฝามีเชิงเขียนลายมังกรทองใส่ในถุงโหมดระใบแพรเหลืองเอาตรา มังกรหก ไอยราพต ปิดงบครั่งบ้าง แลดวงประจำปากถุง แล้วเอาถุงพระราชสาส์นอักษรไทย กับพระราชสาส์นอักษรญวน มิได้ปิตตราใส่ไนพานแว่นฟ้าแล้วเอาตราก้นถุงดวง ๑ ปากถุงดวง ๑ ปิดงบครั่งประจำ มังกรหกไอยราพต ปิดคลุมโหมดขลิบเขียวแล้วเอาอาลักษณ์เชิญไปณหอพระนาค ๚ะ๛
(๑๘) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา จำเริญไมตรีมายัง สมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนามให้ทราบ ด้วยแต่งให้ทูตานุทูตจำทูลพระราชสาส์น คุมสิ่งของเข้าไปคำนับถามข่าวกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แลพระอนุชาธิราชโดยน้ำพระไทยสนิทมาแต่ก่อน แล้วได้ทำการฉลองพระคุณเสร็จแล้วเปนศุขอยู่ กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาก็มีความยินดีด้วยยิ่งนัก ซึ่งกระทำดังนี้เปนที่สรรเสริญนับถือทุกประเทศ เทพยดาอันส่องเห็นความดีความควรก็หากจะอวยผล ให้มีความจำเริญสุขสืบไป แลซึ่งกรุงเวียดนามมีพระราชสาส์น ให้เจ้าเมืองไซ่ง่อน กับพระยามหาอำมาตย์ราชทูต พาองค์จันทร์มาส่งคืนเมือง โดยเห็นกับไมตรีพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาแจ้งความแล้ว คิดว่าองค์จันทร์จะเข้าไปด้วยพระยามหาอำมาตย์ตามจดหมายรับสั่งกรุงเวียดนามแต่ก่อน องค์จันทร์ยังกลัวอยู่จึงต้องผ่อนตามใจเด็ก แต่ได้มีศุภอักษรให้พระยามหาอำมาตย์ กลับมามอบเมืองให้องค์จันทร์ว่ากล่าวไปก่อน ในราชสาส์นที่มีมาแล้ว เปนธุระด้วยพม่าเข้ามาเจรจาเมือง ทูตซึ่งจะมาจำเริญทางพระราชไมตรีขอบพระไทย จึงต้องงดอยู่ฟังความให้แน่ ได้ให้เจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ มีหนังสือมาถึงเลโบแจ้งอยู่แล้ว บัดนี้กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แลพระอนุชาธิราชฝ่ายน่าให้จัดสิ่งของแลดอกไม้ซึ่งมีดอกผล ซึ่งพระเจ้ากรุงเวียดนามต้องพระราชประสงค์ มอบให้ทูตคุมออกมาทรงยินดีในสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม ให้เปนศุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วจะแต่งให้ทูตจำทูลพระราชสาส์นออกมาจำเริญทางพระราชไมตรีขอบพระไทยต่อภายหลัง
ราชสาส์นมาณวัน ๕ ๑๒ฯ ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๕ ปีระกาเบญจศก วัน ๖ ๑๑ฯ ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๖ ปีจอฉอศกเพลาเช้าสามโมงหกบาท ได้พระฤกษ หมื่นพิมลอักษร นุ่งห่มขาวจาฤกพระราชสาส์นไปกรุงเวียดนาม ลงกระดาษฝรั่งเปนอักษร ๑๗ บันทัด หลวงพิพิธสมบัติเชิญตราโลโตประจำตรามังกรคาบแก้ว ประจำต่อใส่กล่องไม้ไผ่เขียนลายมังกรทอง ใส่ถุงโหมดระใบเหลือง แล้วใส่พานแว่นฟ้าสองชั้นหุ้มถุงแพรเหลืองระใบแพรแดง แล้วเอาพระราชสาส์นอักษรญวนใส่ในถุงพานรองด้วย แล้วเอาตรามังกรคาบแก้ว ปิดงบครั่งประจำก้นถุง ปากถุง ฝากไว้หอพระนาค๚ะ๛(๑๙) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
(๑๙) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา จำเริญพระราชไมตรีมายังสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม โดยคำนับด้วยสองพระมหานครสุจริตต่อกัน แต่องค์จันทร์เจ้าเมืองเขมรเปนเด็กพาความหนีมาพึ่งบุญ กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาได้มีพระราชสาส์นมาขอดำริห์ แม้นไม่เห็นกับไมตรีอันสนิทก็ไม่ควรที่จะให้ตัวคืนเมือง หากพระเจ้ากรุงเวียดนามเสียประเพณีแผ่นดิน สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมิได้ช่วยดำริห์ให้ในระหว่างทุกข์ถึงว่างท้ายเห้าสวรรค์คต จึงมีพระราชสาส์นให้เจ้าเมืองไซ่ง่อนกับพระยามหาอำมาตย์ราชทูต พาตัวองค์จันทร์แลขุนนางเขมรไปส่งถึงเมืองพุทไธเพ็ชร์ โดยมีพระอัชฌาไศรยเที่ยงธรรม์ แต่ต้นจนปลายมาก็ควรอยู่แล้ว กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา จะให้ทูตออกมาขอบพระไทย แต่ครั้งนั้นก็ฟังความพม่ายังไม่แน่จึงงดอยู่ ให้แต่ขุนนางผู้ใหญ่มีหนังสือแจ้งความมาก่อน บัดนี้กรุงเวียดนามซ้ำให้ทูตานุทูตคุมสิ่งของเข้าไปถามข่าวแจ้งราชการเมืองเขมร ในพระราชสาส์นใหม่แลเก่า ทั้งสองฉบับก็คล้ายคลึงกัน ว่าการเมืองเขมรเสร็จแล้วแต่ณเดือนเก้า กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แลพระอนุชาธิราชฝ่ายน่าก็ยินดีด้วยยิ่งนัก จึงมีพระราชสาส์นให้พระพรหมบริรักษ์ราชทูต หลวงสิทธิโยธารักษ์อุปทูต ขุนอนุรักษ์ภูธรตรีทูต ขุนราชาวดี ขุนศรีเสนาล่ามคุมของออกมาขอบพระไทยโดยราชไมตรียังเปนธุระกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา จะระงับความองค์จันทร์องค์สงวน พี่น้องไม่ชอบกันก็คอยท่าเจ้าเมืองเขมรอยู่ จะเข้าไปหรือประการใดจะรอฟังไปดูก่อน
พระราชสาส์นมาณวันสุกร์เดือนหกขึ้นสิบเอ็ดค่ำจุลศักราชพันร้อยเจ็ดสิบหกปีจอฉอศก ๚ะ๛(๒๐) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
(๒๐) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา มีพระไทยปรารภถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม ด้วยพระเจ้าเมืองไซ่ง่อนบอกพระโชฎึกว่ามเหษีทิวงคตแล้ว กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาแจ้งข่าวทุกข์ในกรุงเวียดนามไม่สบาย เปนการใหญ่ดังนี้ก็มีความวิตกด้วย เพราะสองพระมหานครสนิทมา ข้างไหนมีการก็เคยช่วยกันทุกครั้ง ครั้นจะรออยู่ต่อทูตกลับเข้าไปเห็นจะช้านัก จึงให้พระเสนาภักดี หลวงจ่าเนตร หมื่นฤทธิพิไชย หมื่นราชมนตรี หมื่นศรีธากรล่าม เชิญพระราชสาส์นคุมสิ่งของตามทูตออกมา ช่วยทำบุญถามข่าวเยี่ยมเยียนพระเจ้ากรุงเวียดนามโดยสนิท มีความวิตกถึงกัน
พระราชสาส์นมาณวันจันทร์เดือนสิบเอ็ดขึ้นห้าค่ำปีจอฉศก ๚ะ๛(๒๑) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม
วัน ๓ ๒ฯ ๑ ค่ำปีจอฉอศก
นั่งพร้อมกันณหอพระมณเฑียรธรรม
พระยากลาโหมราชเสนา พระยาพิพัฒโกษา พระยาพิไชยบุรินทรา พระวิสุทธิวารี นั่งพร้อมกันณหอพระมณเฑียรธรรม
พระราชมนตรี หลวงศรีเสนา พระวิสุทธิวารี ล่ามแปลพระราชสาส์นญวนออกเปนคำไทย
พระวิสุทธิวารี
ในพระราชสาส์นนั้นว่า ๚ะ๛
(๒๑) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม จำเริญทางพระราชไมตรี มายังสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาให้ทราบ ด้วยทูตานุทูตพระพรหมบริรักษ์ราชทูต หลวงสิทธิโยธารักษอุปทูต ขุนอนุรักษภูธรตรีทูต เชิญพระราชสาส์น ในพระราชสาส์นขอบพระไทย ด้วยแต่ก่อนส่งเจ้าเมืองเขมรนักองคจันทร์กลับมาเมือง ด้วยเจ้าเมืองเขมรเปนข้าสองพระนครใหญ่ แต่ก่อนเมืองเขมรพี่น้องหาชอบพอกันไม่ แลนักองค์จันทร์หนีลงไปอยู่เมืองไซ่ง่อน ด้วยกรุงเวียดนามและกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ด้วยแต่มาเปนทางพระราชไมตรีและไมตรี ก็มีพระไทยโอบอ้อมเมืองน้อยรักใคร่เสมอกัน ก็รักให้เจ้าเมืองเขมรกับขุนนางแลอาณาประชาราษฎร พึ่งพระบารมีอยู่เย็นเปนศุข ก็เหมือนขุนนางแลอาณาประชาราษฎรสองพระนครกรุงใหญ่ เปรียบเหมือนผลไม้เม็ดเดียวกัน บัดนี้กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาก็มีพระไทยร่วมรักเมืองน้อยด้วย ขอบพระไทยดังนั้นก็จริงอยู่ ด้วยสองพระมหานครเปนทางพระราชไมตรีสนิทกันยิ่งนัก แลบัดนี้เลโบกราบทูลว่าเจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ ณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยามีหนังสือมาว่าด้วยพม่าเจรจา ความเมืองทุกประการ กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาก็ยังหาเชื่อเปนแน่ไม่ แลกรุงเวียดนามทรงคิด กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา กับพม่าทำการศึกกันมาช้านานหลายปีแล้วพึ่งจะสงบลง อาณาประชาราษฎรสองพระนครอยู่เย็นเปนศุข กรุงเวียดนามมีพระไทยยินดีด้วย บัดนี้ทูตานุทูตกรุงพระมหานครศรีอยุทธยากลับเข้าไปกรุงเวียดนามจัดทองคำ เงิน มอบให้ทูตานุทูตเข้าไปทรงยินดีทั้งสองพระองค์ เปนทางพระราชไมตรีแลไมตรี
พระราชสาส์นมาณวัน ๑๓ฯ ๑๐ ยาลอง ๑๓ ปีจอฉอศก ๚ะ๛(๒๒) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม
(๒๒) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม คำนับมาถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาให้ทราบ ด้วยกรุงพระมหานครศรีอยุทธยากับกรุงเวียดนามเปนทางพระราชไมตรี สนิทเสมอต้นเสมอปลายมาจนทุกวันนี้ ครั้นณเดือนสี่ขึ้นสามค่ำปีระกาเบญจศก ว่างท้ายเห้ามเหษีกรุงเวียดนามทิวงคต เปนการทุกข์อยู่แต่ในกรุงเวียดนาม ครั้นจะแจ้งความเข้ามาให้ทราบเล่าก็ไม่ควร แลกรุงพระมหานครศรีอยุทธยามีพระไทยรักใคร่กรุงเวียดนามยิ่งนัก แต่ทราบความพระโชฎึกราชเสรฐีกราบทูลว่าเจ้าเมืองไซ่ง่อนบอกว่าว่างท้ายเห้าทิวงคตแล้ว กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา มีพระไทยคิดถึงทางพระราชไมตรี แต่งให้พระเสนาภักดีทูตมีชื่อ เชิญพระราชสาส์นแลคุมสิ่งของออกมาช่วยทำบุญในการศพ ทูตไปถึงกรุงเวียดนาม ณวัน ๘ฯ ๒ ค่ำครั้น ณวัน ๑๕ฯ ๒ ค่ำ เปนวันเส้นใหญ่ ได้ให้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยนำทูตแลสิ่งของซึ่งช่วยทำบุญไปไว้ศพว่างท้ายเห้าตามธรรมเนียมแล้ว แต่การที่ฝังศพว่างท้ายเห้านั้น ให้เลือกวันดีได้ต่อปีใหม่เดือน ๒ฯ ๖ ค่ำจึงจะได้จัดแจงการฝังศพ ซึ่งพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา กระทำดังนี้โดยมีพระไทยรักใคร่ มีพระราชสาส์นออกมาถามข่าวเยี่ยมเยียนแลให้ทูตคุมสิ่งของออกมาให้ช่วยทำบุญ ในการศพได้ก่อนนั้น บุญคุณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาอยู่กับกรุงเวียดนามยิ่งนัก ครั้นจะแต่งทูตเข้ามาขอบพระไทยตามประเพณีเล่า กรุงเวียดนามอยู่ในการทุกข์ด้วยว่างท้ายเห้าเปนใหญ่ยังไม่สำเร็จ จึงหาได้ว่าราชการอื่นไม่ ได้จัด พระราชสาส์นมาณวัน ๑๐ฯ ๒ ค่ำศักราช ยาลอง ๑๓ ปี ๚ะ๛
พระเสนาภักดี นายจ่านิจถือมา(๒๓) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม
วัน ๒ ๑๓ฯ ๓ ค่ำจุลศักราช ๑๑๗๗ ปีกุนสัพศกเพลาเช้า ๔ โมง
พระยาโกษา พระยาธรรมา พระยามหาอำมาตย์ พระยาโชฎึก พระยาทองสื่อ พระราชมนตรีล่าม ขุนสารประเสริฐ ขุนมหาสิทธิ นายชำนิโวหาร หมื่นสุระอักษร } กรมพระราชวัง
พระยาพิไชยบุรินทรา พระยาไกรโกษา พระยาทัศดาจัตุรงค์ พระยาพิพิธไอยสวรย์ } นั่งพร้อมแปลพระราชสาส์นกัน ณหอพระมณเฑียรธรรม ๚ะ๛
(๒๓) พระราชสาส์นพระเจ้ากรุงเวียดนาม คำนับมาถึงพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาให้ทราบ กรุงเวียดนามกับกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาเปนทางพระราชไมตรีมาช้านาน ณปีกลายเดือนอ้ายพระเสนาภักดีรับสั่งคุมสิ่งของออกมาช่วยทำบุญ ถึงกรุงเวียดนามได้รับสิ่งของเข้าไปที่บูชาพระมเหษีทำตามอย่างธรรมเนียมเสร็จแล้วมีพระไทยยินดีหาที่สุดมิได้ ในวันนั้นทูตกราบถวายบังคมลา กรุงเวียดนามจัดแจงแต่งพระราชสาส์นกับเครื่องบรรณาการทองเงินสองสิ่งมอบ่ให้ทูตคุมเข้ามาตอบยินดี ด้วยการจัดแจงที่ฝังพระมเหษีในปีนี้เดือนห้าแรมสองค่ำก็เสร็จอยู่แล้วควรที่จะมีพระราชสาส์นบอกเข้ามา จึงให้เหลโบหือทำตรีมึนดึกห้าวราชทูต กงโบเทียมซือทันดึกห้าวอุปทูต คุมพระราชสาส์นกับทองเงินหลายสิ่งเข้ามาทรงยินดี กับถามถึงกรมพระราชวังบวร ฯ ว่าปรกติสบายอยู่ฤๅ ลำฦกถึงกรุงพระมหานครศรีอยุทธยามิได้ขาด จึงคำนับยินดีบอกเข้ามา
พระราชสาส์นมาณวันเดือนอ้ายแรมสองค่ำยาลอง ๑๔ ปี ๚ะ๛
ทรงยินดีในพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
ทองคำ ๔ ลิ่ม เงิน ๕๐ ลิ่ม อบเชยเมืองทันวาหนัก ๓ ชั่งจีน อบเชยเมืองกวางนามหนัก ๒ ชั่งจีน น้ำตาลกรวดหนัก ๕ หาบ น้ำตาลปึกหนัก ๕ หาบ น้ำตาลทรายหนัก ๒๐ หาบ ศิลาเมืองทันวา ๕๕ แผ่น
ทรงยินดีกรมพระราชวังบวร ฯ
ทอง๒ ลิ่ม เงิน๓๐ ลิ่ม อบเชยเมืองทันวาหนัก๒ ชั่งจีน อบเชยเมืองกวางนามหนักชั่งหนึ่ง น้ำตาลกรวดหนัก ๓ หาบ น้ำตาลปึกหนัก ๓ หาบ น้ำตาลทรายหนัก๑๐ หาบ (๒๔) พระราชสาส์น สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
๏ วัน ๒ ๕ฯ ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๗ ปีกุนสัพศกเวลาเช้า ๓ โมง ๓ บาตได้พระฤกษจาฤกพระราชสาส์นตอบไปกรุงเวียดนามให้ เหลโบหือทำตรีมินดึกห้าว ราชทูต กงโบเตรียมซื่อทันดึกห้าว อปทูต ถือไป
นั่งพร้อมกัน
เจ้าพระยาโกษา พระยาธรรมา พระยาจ่าแสนบดี ขุนศรีกระวีราช ขุนมหาสิทธิ หลวงท่องสื่อ
กรมพระราชวังบวร
พระยาพิไชยบุรินทรา พระยาไกรโกษา พระยาพิพิธไอยสวรรย์ พระยาทศโยธา
(๒๔) พระราชสาส์น สมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ขอบพระไทยสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนามมาให้ทราบ ด้วยมีพระราชสาส์นให้เหลโบหือทำตรีมินดึกห้าวราชทูต กงโบเตรียมซื่อทันดึกห้าวอุปทูต เข้าไปแจ้งว่าฝังศพพระมเหษีเสร็จแล้ว พระเจ้ากรุงเวียดนามระฦกถึงกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา กับพระอนุชาธิราชฝ่ายน่าไม่รู้ขาด จึงจัดทองเงินสิ่งของให้ราชทูตคุมเข้าไปถามข่าวโดยราชไมตรีก็ยินดีนัก อันกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาแลพระอนุชาธิราชฝ่ายน่าก็มีความสบายอยู่ แต่มีการด้วยต้องเปนธุระพวกมอญกระบถต่อพม่า แล้วพาครัวเลิกบ้านออกมาอยู่ป่าแดนต่อแดน ครั้นขัดอาหารพากันเข้ามาขอเข้ากินก็ต้องแจกจ่ายเข้าเกลือให้ทานเลี้ยงชีวิตรไว้ แต่ณเดือนสี่ปีกลายมาจนบัดนี้ก็หาสิ้นไม่ แลเมื่อจัดแจงให้ทานครัวมอญอยู่นั้นพวกพนมเปญก็ยกไปรบปัตบองด้วย สองพระมหานครตั้งใจบำรุงเมืองเขมรจะให้เปนศุข ทำคุณกลับเปนโทษ ให้ยกกองทัพไปตีเมืองปัตบองอีกเล่า ก็เหมือนทำแก่กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาเหมือนกัน ขุนนางกรุงเวียดนามก็อยู่ที่นั่น ให้ความกลับเปนดังนี้ไม่ควรนัก คิดว่าจะให้มีราชสาส์นออกมาแจ้งความปฤกษากรุงเวียดนาม ก็ได้ข่าวว่าให้ขุนนางญวนลงมาชำระอยู่แล้วจึงรอฟังอยู่ ต่อทูตเข้าไปได้ความว่ากรุงเวียดนามพึ่งแจ้ง จึงมีพระราชสาส์นจัดสิ่งของมอบให้ทูตออกมาตอบยินดี แล้วให้เจ้าพระยาพระคลังจดความเดิมซึ่งพวกพนมเปญยกเข้าไปรบเมืองปัตบองออกมาให้พระเจ้ากรุงเวียดนามทราบเหตุก่อน แม้นว่างที่จัดแจงครัวมอญลงเมื่อใด จึงมีพระราชสาส์นให้ทูตออกมาจำเริญไมตรีฟังความภายหลัง
พระราชสาส์นมาณวัน ๒ ๕ฯ ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๗๗ ปีกุนสัพศก ๚ะ๛
เหลโบหือทำตรีมินดึกเห้า ราชทูต กงโบเกรียมซื่อทันดึกเห้าอุปทูต ถือกลับไปทางทเล(๒๕) หนังสือท่านเจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาฯ
(๒๕) หนังสือท่านเจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาฯ มาถึงองเลโบเสนาบดีกรุงเวียดนาม ด้วยสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา มีพระราชโองการดำรัสให้หลวงอนุรักษ์ภูธรราชทูต ขุนวิจารณ์อารุธอุปทูต เชิญพระราชสาส์นออกมาทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม ด้วยพระยารามกำแหงซึ่งโปรดให้ออกมาจัดน้ำรัก แลพระยาอภัยภูเบศรผู้รักษาเมืองปัตบอง บอกเข้าไปว่าทัพเมืองพุทไธเพชรยกล่วงด่านเข้าไปสามทาง ตั้งประชุมอยู่ที่บ้านไอรแวง พระยารามกำแหง พระยาอภัยภูเบศร รู้ความแล้ว จึ่งให้ออกมาห้ามทัพไว้ก็ไม่ฟัง ยกรุกเข้าไปตั้งค่ายที่หนองจอกนั้นสี่ค่าย สมเด็จเจ้าพระยาก็ตามเข้าไปอยู่ที่บ้านอลงกูบประมาณคนทั้งสิ้น ๕๐๐๐ เสศ เดิมว่าจะไปเอามูลค้างคาวดูน้ำพระตึก แล้วว่าจะมาหาพระยาอภัยภูเบศร ครั้นจะให้เข้าไปแต่พอสมควรสัก ๔๐๐ สัก ๕๐๐ ก็ว่าจะเข้าไปให้สิ้นทั้งกองทัพ ถึงมิให้ไปจะไปให้ได้ กองพระยาเอกราชก็ยกเข้าไปตั้งค่ายปักขวากริมวัดเขามานนฝั่งน้ำฟากละค่าย ทำตพานเรือกถึงกันยกล่วงเข้าไปบ้านสลึงมาปิดหลังทางโตนดนั้นกองหนึ่ง กองทัพพุทไธเพชร ชิงเอาโคกระบือแลสิ่งของจนผู้คนตื่นแตกเข้าป่า พระยาอภัยภูเบศรจึงให้พระยาวงษาธิราช ออกมารักษาครอบครัวณบ้านบายตำราไว้ แล้วมีหนังสือแจ้งราชการไปแก่เมืองรายทางฉบับหนึ่ง เข้าไปกราบทูลฉบับหนึ่ง ครั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทราบความดังนี้ จึงโปรดให้ พระยารองเมือง พระยาพรหมบริรักษ์ ถือตรารับสั่งออกมาฟังราชการ ห้ามทัพหัวเมืองไว้ก่อน พระยารองเมืองมาพบหนังสือ พระยารามกำแหงบอกซ้ำเข้าไปว่า กองทัพพุทไธเพชรซึ่งตั้งอยู่หนองจอกแลเขามานนนั้น ยกพลเข้าโอบเข้าล้อมพาลวิวาท จะให้ถอยทัพออกไปก็ไม่ถอย แล้วเอาปืนยิงพวกปัตบองก็เกิดรบกันขึ้น ตัวนายแลไพร่เขมรป่วยเจ็บล้มตายทั้งสองข้างเปนหลายคน พวกพุทไธเพชรก็ถอยไปตั้งค่ายรวมทัพอยู่ณเมืองโพธิสัตว์ ทั้งเกวียนซึ่งบรรทุกขวากใส่เสบืยงแลกระสุนดินดำไว้เปนหลายเล่ม กับหนังสือปิดตราซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาเร่งทัพให้ตีปัตบองก็ได้ไว้ ข้างฝ่ายเมืองจันทบุรี เมืองตราด ก็บอกเข้าไปด้วยว่ามีเรือญวนพร้อมด้วยพลแจว แลอาวุธปืนใหญ่น้อยน่าเรือรายแคมเข้าไปทอดอยู่ณะเกาะหมาก เกาะช้าง ในแดนเมืองตราดประมาณ ๓๕ ลำ ไม่รู้จะไปด้วยการสิ่งไร ในคำญวนนายเรือพูดเล่ากับจีนชาวเรือว่าไปป้องกันส่งพระราชสาส์น บอกแก่นายบ้านเกาะหมากว่า พระเจ้ากรุงเวียดนามให้มาตามจับจีนเตาโหว ผู้ร้ายตีเรือลูกค้า ครั้นเจ้าเมืองตราดรู้ข่าว จึงจัดให้ออกมาเที่ยวสืบราชการถึงเกาะกง ก็หาพบเรือพระราชสาส์นแลเรือจีนผู้ร้ายที่ไหนไม่ แต่ไพร่ครัวแลนายบ้านเกาะกงนั้นหายไปสิ้น จึงถามจีนชาวบ้านกับจีนลูกค้า ไปแต่เมืองสือเหงา ได้ความว่ากระลาภาษกับญวนสองลำ ไปกวาดเอาครัวมาเมืองกะปอด แลซึ่งข้อราชการทั้งสองฝ่ายนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัสว่าจะเบาความหาควรไม่ ด้วยเจ้าเมืองเขมรพึ่งบุญอยู่ทั้งสองฝ่าย กรุงพระมหานครศรีอยุทธยากับกรุงเวียดนามเปนไมตรีกัน องต๋ากุญก็ลงไปสำเร็จราชการเปนผู้ใหญ่อยู่ณเมืองไซ่ง่อน ขุนนางญวนกรุงเวียดนาม ก็ยังอยู่เพื่อนองค์จันทร์ณเมืองพุทไธเพชร เหตุผลต้นปลายประการใดก็ยังไม่รู้ แลความมาเปนดังนี้เห็นไม่ควร จึงโปรดให้หลวงอนุรักษภูธร ขุนวิจารณอาวุธ เชิญพระราชสาส์นออกมาทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนาม แม้นพระราชสาส์นแลทูตานุทูตมาถึงเมื่อใด ขอให้องเลโบช่วยทำนุบำรุง นำทูตเข้าเฝ้าทูลถวายราชสาส์นแลหนังสือเรื่องความนี้ ให้สมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนามทราบโดยทางพระราชไมตรีจงสดวก
หนังสือมาณวัน - ค่ำ ปีกุน สัพศก(๒๖ เห็นจะเปนร่างครั้งแรก) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
(๒๖ เห็นจะเปนร่างครั้งแรก) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจำเริญไมตรีมาแจ้งแต่พระเจ้ากรุงเวียดนาม ด้วยองค์จันทร์เจ้าเมืองเขมร ให้กองทัพล่วงด่านแดนเข้าไปจะตีเมืองปัตบอง พระยาพระเขมรณเมืองปัตบองกับข้าหลวงไทย ได้ห้ามปรามหลายครั้งก็มิฟัง พระยาอภัยภูเบศรบอกเข้าไปยังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยากับหัวเมืองซึ่งอยู่ใกล้ เจ้าเมืองกรมการรู้ต้องยกมาเปนหลายเมือง กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาแจ้งความมิวิตก จึงให้พระยารองเมืองออกมาห้ามปรามดูผิดแลชอบ กองทัพไทยซึ่งออกมานั้นยังมิทันถึงเมืองปัตบอง เกิดรบพุ่งกันขึ้นก่อน ผู้คนล้มตายทั้งสองฝ่ายมิควรเลย ใชว่าเมืองปัตบองเมืองเสียมราฐเมืองสวายจิก สามเมืองนี้จะเกี่ยวข้องในองค์จันทร์ ได้ว่ากล่าวเหมือนเมืองเขมรทั้งปวงก็หาไม่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจัดแจงเศกองค์เอง ออกมาครองเมืองกัมพูชา ยกเอาพระยาอภัยภูเบศรเข้าไปอยู่ณเมืองปัตบอง ได้ปันเขตรแดนให้ขึ้นทับกรุงเด็ดขาดอยู่แล้ว กรุงเวียดนามก็รู้อยู่ เจ้าเมืองเขมรก็เปนข้าพึ่งสองพระมหานครอันใหญ่ องทวายก็มาอยู่ดูผิดแลชอบ องค์จันทร์บังอาจทำการล่วงเกินถึงเพียงนี้เห็นผิดด้วยกันทั้งแผ่นดิน ซึ่งองค์จันทร์เจ้าเมืองเขมรอันน้อยบังอาจทำดังนี้ ก็หมายใจแต่จะให้กรุงเวียดนามรับเอาเปนธุระ จะทำให้ไมตรีทั้งสองกรุงใหญ่ร้าวฉานเสียให้จงได้ อันกรุงเวียดนามกับกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา เปนที่หวังวางพระไทยรักใคร่สนิทมิได้มีรังเกียจสิ่งใด จะขุ่นหมองด้วยความคิดเขมรอันเปนเมืองน้อย องค์จันทร์อันเปนเด็กดังนี้ อัปรยศกับนานาประเทศยิ่งนัก ถ้ากรุงเวียดนามยังคิดถึงทางพระราชไมตรี มีความรักใคร่ในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาอยู่ก็ให้ดำริห์ดูเถิด
อนึ่งมอญเมืองมัตมะกระบถต่ออ้ายพม่า ยกครอบครัวหนีมาณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แจ้งความว่าเจ้าอังวะแต่งทูตให้ถือราชสาส์นมายังกรุงเวียดนาม ความซึ่งมอญว่าข้อนี้เท็จจริงประการใด กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจะใคร่แจ้งความ แลการทั้งปวงนี้ ครั้นจะไม่แจ้งความมาเหมือนมีรังเกียจแก่กัน จึงแจ้งความมาจะได้เห็นความจริงรู้น้ำใจทั้งสองฝ่าย
พระราชสาส์นมา ณวัน ฯ ค่ำ ปีกุนสัพศก(๒๗ เห็นจะเปนฉบับที่แก้แล้วมีไป)
(๒๗ เห็นจะเปนฉบับที่แก้แล้วมีไป) พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจำเริญไมตรีมาแจ้งแต่พระเจ้ากรุงเวียดนาม ด้วยองค์จันทร์เจ้าเมืองเขมรให้กองทัพล่วงด่านแดนเข้าไปจะตีเมืองปัตบอง พระยาพระเขมรณเมืองปัตบอง กับข้าหลวงไทยได้ห้ามปรามหลายครั้งก็มิฟัง พระยาอภัยภูเบศรบอกเข้าไปยังกรุงพระมหานครศรีอยุทธยากับหัวเมืองซึ่งอยู่ใกล้ เจ้าเมืองกรมการรู้ต้องยกมาเปนหลายเมือง กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แจ้งความมีวิตกจึงให้พระยารองเมืองออกมาห้ามปรามดูผิดแลชอบ กองทัพไทยซึ่งออกมานั้นยังมิทันถึงเมืองปัตบอง เกิดรบพุ่งกันขึ้นก่อน ผู้คนล้มตายทั้งสองฝ่ายมิควรเลย กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาคิดว่าทางพระราชไมตรีกรุงเวียดนาม กับกรุงพระมหานครศรีอยุทธยานี้ เหมือนกับภูเขาอันใหญ่มิได้หวาดไหวมั่นคงนัก ยากที่ผู้ใดจะรื้อถอนทำลายได้ ถ้าวงษ์ทั้งสองยังจำเริญอยู่ ไมตรีทั้งสองพระนครก็ยังมิได้ขาด ศุขทุกข์สิ่งใดจะได้พึ่งกัน กรุงพระมหานครศรีอยุทธยายังเปนแผ่นดินใหม่ กับพม่าก็ยังทำศึกกันอยู่ แผ่นดินกรุงเวียดนามสิ้นเสี้ยนหนามราบคาบอยู่แล้ว ผู้คนเหลือใช้เสียอิก เมืองเขมรนิดหนึ่งเท่านี้ องค์จันทร์เล่าเปนเด็กจะขัดได้ฤๅ คิดว่าจะรักใคร่ช่วยทำนุบำรุงกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาบ้าง จึงวางพระไทยมา กรุงเวียดนามผ่อนตามใจองค์จันทร์อยู่ บัดนี้องค์จันทร์กลับมาตีเมืองปัตบองอิกเล่า ใช่ว่าเมืองปัตบอง เมืองเสียมราฐ เมืองสวายจิก สามเมืองนี้จะเกี่ยวข้องในองค์จันทร์ ได้ว่ากล่าวเหมือนเมืองเขมรทั้งปวงก็หาไม่ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง จัดแจงเศกองค์เองออกมาครองเมืองกัมพูชา ยกเอาพระยาอภัยภูเบศรเข้าไปอยู่ณเมืองปัตบอง ได้ปันเขตรแดนให้ขึ้นกับกรุงเด็ดขาดแล้ว กรุงเวียดนามก็รู้อยู่ เจ้าเมืองเขมรก็เปนข้าพึ่งสองพระมหานครอันใหญ่ องค์ทวายก็มาอยู่ดูผิดแลชอบ องค์จันทร์บังอาจทำล่วงเกินถึงเพียงนี้ เห็นผิดด้วยกันทั้งแผ่นดิน ซึ่งองค์จันทร์เจ้าเมืองเขมรอันน้อย บังอาจทำดังนี้หมายใจแต่จะให้กรุงเวียดนามรับเอาวิวาท จะทำให้ไมตรีสองกรุงใหญ่ร้าวฉานเสีย ถ้ากรุงเวียดนาม ยังคิดถึงทางพระราชไมตรี มีความรักใครในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาอยู่ องค์จันทร์ยังเปนดังนี้ จะให้กรุงพระนครศรีอยุทธยาผ่อนปรนประการใด ก็ให้ดำริห์ดูเถิด อนึ่งมอญมัตะมะขบถต่อใอ้พม่ายกครอบครัวหนีมา ณกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา แจ้งความว่าเจ้าอังวะแต่งทูตให้ถือราชสาส์น มายังกรุงเวียดนาม ความซึ่งมอญว่าข้อนี้เท็จจริงประการใด กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจะใคร่แจ้งความ อนึ่งแต่เมืองเขมรเกิดความมาจนทุกวันนี้ หาเหมือนแต่ก่อนไม่ ล่ำฦๅว่าญวนจะไปตีเมืองไทยไทยจะมาตีเมืองญวน พูดจาต่าง ๆ กรุงพระมหานครศรีอยุทธยาก็มิได้เชื่อ อันกรุงพระมหานครศรีอยุทธยานี้ แต่ที่จะคิดเบียดเบียฬขอบขันธเสมากรุงเวียดนามนั้นหาไม่ ถึงกรุงเวียดนามจะไม่รักใคร่ในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยาเลย แต่มิได้ทำสิ่งใดแล้ว กรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ก็คงจะรักษาสุจริตอยู่ มิให้นา ๆ ประเทศล่วงติเตียนได้ แลการทั้งปวงนี้ ครั้นจะไม่แจ้งความมา เหมือนมีรังเกยจแก่กัน จึงแจ้งความมาจะได้เห็นความจริง รู้น้ำพระไทยทั้งสองฝ่าย
พระราชสาส์นมา ณวัน ฯ ค่ำปีกุญสัพศก ๚ะ๛(๒๘) หนังสือท่านเจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ ณะกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา
(๒๘) หนังสือท่านเจ้าพระยาพระคลังผู้ใหญ่ ณะกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา มาถึงองต๋ากุญเจ้าเมืองไซ่ง่อน ด้วยสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการดำรัสสั่งให้หลวงอนุรักษภูธรราชทูต ขุนวิจารณ์อาวุธอุปทูต เชิญพระราชสาส์นออกมาทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงเวียดนามเปนใจความว่า เมืองพุทไธเพชร์ยกกองทัพล่วงเข้าไปพาลวิวาทตีปัตบอง ซึ่งเปนเมืองน่าด่านชั้นในกรุงพระมหานครศรีอยุทธยา ฝ่ายเจ้าเมืองจันทบุรี เมืองตราด ก็บอกเข้าไป ด้วยกระลาภาษกับญวน ๒ ลำไปกวาดเอาครัวชาย ครัวหญิง ที่เกาะกงมาเมืองกะปอด แล้วว่ามีเรือรบญวนพร้อมด้วยพลแจวแลอาวุธปืนใหญ่น้อยน่าเรือรายแคมประมาณ ๓๕ ลำ เข้าไปทอดอยู่ณเกาะช้าง เกาะหมาก ในแดนเมืองตราด พวกญวนพูดเล่ากับจีนแลนายบ้านว่าไปส่งพระราชสาส์น ตามจับจีนเตาโหผู้ร้ายตีเรือลู