อธิบายดินแดนนิพพานอย่างละเอียดสุดๆในทางพุทธศาสนา
จุดมุ่งหมายสูงสุดคือ ทำให้จิต(สังขาร)ที่ไม่บริสุทธิ์ของมนุษย์ สัตว์ เทพ มาร พรหม อสูร ฯลฯ ที่มีความโลภโกรธหลง มีความยึดมั่นถือมั่น อุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาลมีจริง กลับกลายเป็นจิตบริสุทธิ์สูงสุด ที่เรียกว่านิพพาน ไม่มีความโลภโกรธหลง ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีอุปทานว่าสรรพสิ่งในโลกและในจักรวาล มีจริง
แล้วทำให้จิตไม่บริสุทธิ์ให้เป็นจิตมหาบริสุทธิ์เพื่ออะไรกันล่ะ?
ตอบ ก็เพื่อย้ายฝั่งที่อยู่จากฝั่งที่ไม่บริสุทธิ์ไปอยู่ฝั่งที่มหาบริสุทธิ์ยังไงล่ะ แล้วผู้ที่เป็นมหาบริสุทธิ์คือ ฝั่งพระอรหันต์ที่เข้าถึงนิพพานแล้ว พระอรหันต์ก็ต้องมีอายตนะภายในหรือขันธ์ และมีอายตนะภายภายนอก คือที่อยู่ และมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ตนเองเนรมิตขึ้นมาเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกับฝังของโลกและจักรวาล ที่ต้องหาเงินและใช้อำนาจไขว่คว้าเอามา
ฝั่งนิพพาน ไม่มีผู้เล่าถึงอย่างละเอียดมากนัก ผมผู้ได้ปัญญาจากการปฏิบัติ และสามารถติดต่อกับพระพุทธเจ้าต่างๆ พระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ และพระอรหันต์หลายต่อหลายพระองค์ แล้วผมก็ชอบถามพวกท่านด้วย เมื่อผมรู้แล้ว ถ้าไม่เขียนเล่าเรื่องสูงสูดเหล่านี้ออกไป ก็เป็นการเสียชาติเกิดของผมเปล่าๆ เพราะผมรู้ในจิตว่า ผมเกิดมามีนิสัยขี้สงสัย พูดมาก ชอบถามโน่นถามนี่ ผมรู้แล้วว่า ผมเกิดมาเพื่อการบอกความลับของฟ้าโดยเฉพาะ
เอาล่ะ...เข้าเรื่องกันต่อเลย นิพพานก็มี 2 แบบ คือ แบบที่เป็นจิตล้วน กับ แบบที่ป็นกายที่มีจิตอยู่ในร่าง ขออธิบายดังนี้:
1.
นิพพานแบบที่ไม่มีร่างมีแต่ตัวจิต เรียกว่า "พระธรรม" สิ่งนี้มหายานเรียกว่า "พุทธภาวะเริ่มแรก หรือ มหาสุญญตา" พระพุทธเจ้าเรียกไปทางเถรวาทว่า "นิพพาน" เฉยๆ บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า "นิพพานจิต"
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสปะว่า
"ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง และ
นิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง
ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี"
สรุป คำว่า นิพพาน...ก็คือนิพพานจิตล้วนๆ หรือ พระธรรม หรือ พุทธภาวะเริ่มแรก หรือ มหาสุญญตา
" พระธรรมหรือนิพพานเป็นสิ่งที่ชี้ให้ดูไม่ได้ บางครั้งก็เป็นแสง บางครั้งก็เป็นความว่างเฉยๆ
2.
นิพพานแบบที่มีกายหรือรูปที่เทวาพรหมมนุษย์มองไม่เห็น คือนิพพานที่มีจิตครองและส่งการกาย จิตจะสั่งการร่าง มี 2 แบบ คือ
- ธรรมกาย หรือกายธรรมอมตะ ตัวนี้คืออายตนะนิพพาน พระสารีบุตรก็เคยสงสัยเรื่องธรรมกาย จึงถามพระอวโลกิเตศวร บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า
"
ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง
ธรรมกายของพระอรหันต์แต่ละองค์ จะอยู่กับธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในอายตนะนิพพานภายนอกหรือในเมืองพระนิพพาน เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกันเรียกว่า "พุทธภูมิ"
- กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือวิญญาณบริสุทธิ์อมตะ(เรียกแบบศาสนาคริสค์) หรือสัมโภคกาย(เรียกแบบมหายาน) หรือ พุทธนิมิต(เรียกแบบเถรวาท)กายทิพย์บริสุทธิ์อมตะ หรือ วิญญาณบริสุทธิ์อมตะ หรือสัมโภคกาย หรือพุทธนิมิต สิ่งนี้ก็คือพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่จะอยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง
อธิบายนิพพานลึกไปอีกขั้นในพระนิพพาน.... จะมีแต่จิตที่เป็นพระธรรม ที่เรียกว่า “มหาสุญญตา”ดำรงอยู่ในความว่างสงบอย่างเดียวชั่วกาลนาน ไม่ค่อยมีการคุยหรือสังสรรค์กัน จะเรียกว่า เข้านิโรธถาวร หรือเข้านิโรธนานมากๆก็ย่อมได้ ไม่น่าเกลียด
ในพุทธภูมิ.... จะมีการสร้างกาย ที่มีนิพพานจิตสั่งการ เรียกว่าธรรมกาย แต่กายอรหันต์ต่างๆจะเข้าสมาธิอยู่ในนิโรธ แต่ยังมีการพูดคุยกันบ้าง ไปทำธุระบ้าง
ในพุทธเกษตร....คราวนี้ล่ะสบายเลย เพราะธรรมกายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆ จะนิรมิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ที่เป็นกายทิพย์หรือสัมโภคกายออกมา เรียกว่า อรหันต์โพธิสัตว์ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์ พวกท่านจะสนธนา หรือจะทำกิจอันใดอันหนึ่งเพื่อช่วยโลกหรือช่วยใคร หรืออะไร จะเนรมิตอะไร ก็ได้ทั้งนั้น
แล้วคุณรู้ไหม....พุทธภูมิก็อยู่ในพุทธเกษตรนั่นเอง เมืองพระนิพพานที่เป็นอายตนะนิพพานภายนอกจึงเป็นพุทธเกษตร พุทธเกษตรของพระศรีศากยมุนี = เมืองพระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุนัน
พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต คือ “ศุทธิไวฑูรย์” ฯลฯ
เอาล่ะพอแล้ว ขี้เกียจเขียนเจาะลึกลงไปมากกว่านี้