"คติธรรม" พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี

(1/3) > >>

Maintenence:
Tweet






พรวันปีใหม่ ปี ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๒

“ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๓ นี้ ขอ อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงได้โปรดปกป้องคุ้มครองรักษา ให้ท่านทั้งหลายอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข แคล้วคาดปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง คิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาในสิ่งนั้นนั้นเทอญ”

“พรอันประเสริฐ”

พวกเราอาจจะไม่รู้ว่าพวกเรานี้ได้มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอย่างโชกโชน ภพนี้ชาตินี้ไม่ใช่เป็นเพียงภพแรกหรือภพสุดท้ายของพวกเรา ภพนี้อาจจะเป็นภพที่หนึ่งล้านล้านล้านภพ หนึ่งล้านคูณด้วยล้านภพ เราได้มาเกิดแก่เจ็บตายหนึ่งล้านคูณด้วยหนึ่งล้านครั้งแล้ว และจะเกิดแก่เจ็บตายอย่างนี้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าเราไม่ได้มาพบกับ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” หรือถ้าเราพบกับ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” แล้ว แต่เราไม่ขวนขวายที่จะศึกษาที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า การพบกับ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” แบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์

เหมือนกับคนชาวพุทธในเมืองไทยในประเทศไทยของพวกเรา มีชาวพุทธอยู่ถึงเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน แต่ไม่ทราบว่ามีกี่เปอร์เซ็นต์ที่ขวนขวายที่จะเข้าศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้ ถึงแม้จะได้มาพบกับพระพุทธศาสนาแต่ก็เข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนา ไปวัดก็ไปเพียงแต่ไปขอพรจากพระประธานตามวัดต่างๆ วัดไหนที่มีพระประธานมีชื่อเสียง ในช่วงวันปีใหม่นี้จะแน่นมาก จะมีคนไปจุดธูปเทียนสามดอกถวายดอกไม้ธูปเทียนถวายเครื่องสักการะบูชาต่างๆ แล้วก็อธิษฐานขอพรต่างๆ ขอให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญแคล้วคลาดปลอดภัย อันนี้จะเข้าถึงพระพุทธศาสนาเพียงแค่ระดับผิวเท่านั้น ระดับเปลือกเท่านั้น

เพราะการขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากพระพุทธรูปนี้ไม่สามารถให้สิ่งที่เราปรารถนากันได้ สิ่งที่เราปรารถนานี้พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ว่าจะได้ก็ต้องเกิดจากศึกษาพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาแล้วก็ต้องน้อมนำเอาไปปฏิบัติด้วย เมื่อปฏิบัติแบบเต็มที่คือ “สุปฏิปันโน” ปฏิบัติแบบไม่หยุดไม่หย่อนแบบไม่ถอย วันใดวันหนึ่งในภพนี้ชาตินี้ก็จะสามารถเข้าถึงความสุขความเจริญในระดับโลกุตรธรรมได้

อันนี้แหละคือการรับพรจาก ”พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ไม่ได้รับด้วยการไปกราบพระพุทธรูป จุดธูปเทียนสามดอก แล้วก็ขอสิ่งนั้นสิ่งนี้และสิ่งที่ขอก็เป็นสิ่งที่ “พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” ทรงสอนไม่ให้ปรารถนากัน คือความสุขความเจริญทางโลกหรือทางร่างกายนี้เอง ที่เป็นความสุขชั่วคราว ที่เป็นความสุขที่จะต้องมีวันสิ้นสุดลง เวลาที่ต้องสิ้นสุดลงก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างมหาศาล จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการหาความสุขความเจริญทางลาภ ยศ สรรเสริญ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน เพราะไม่ได้เป็นความสุขความเจริญที่แท้จริงนั่นเอง


"อย่าวุ่นวายใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว”

เวลาที่เราสวดบทแผ่เมตตา สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ เป็นเวลาที่เราศึกษาเรายังไม่ได้แผ่ เรากำลังศึกษาว่าเราต้องให้อภัย เราต้องไม่จองเวรจองกรรมกับสรรพสัตว์ทั้งปวง นี่คือความหมายของ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ

สัพเพ ก็คือ สัพพะ สิ่งต่างๆ เรียกว่าสัพ สัตว์ต่างๆ สัพพะ สัพเพ สัตตา นี้แปลว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง อะเวรา โหนตุ จงอย่ามีเวรมีกรรมกันเถิด จงให้อภัยกันเถิด พูดง่ายๆ ใครเขาพูดใครเขาทำอะไร เกิดความเสียหาย ทำให้เราเสียใจเศร้าใจ มันก็เกิดขึ้นแล้ว เราไปเปลี่ยนมันไม่ได้แล้ว เช่นเหมือนแก้วแตก เราจะไปทำให้แก้วมันกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ เราทำอะไรกับแก้วแตก เราก็โยนทิ้งไป แล้วก็ไปหาแก้วใหม่ ก็จบ

แต่ถ้าเรามาคอยมานั่งหาวิธีที่จะทำให้แก้วใบที่แตกนี้มันกลับมาเหมือนเดิม มันไม่มีวันเหมือนเดิม ทำไปจนวันตายก็ไม่สามารถทำให้แก้วที่แตกนี้กลับมาเป็นเหมือนแก้วที่ยังไม่แตกไม่ได้ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นมาแล้ว เขาด่าเราก็ด่าแล้ว เขาทุบตีเราเขาก็ทุบตีไปแล้ว เขาทำอะไรเสียหายก็ทำไปแล้ว แล้วเราจะมาวุ่นวายไปกับมันทำไมเมื่อมันผ่านไปแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะไปย้อนเวลากลับไปทำให้มันไม่เป็นอย่างที่เป็น

ถ้าเราเห็นว่าเราทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็ยอมรับความจริงไปเสียก็หมดเรื่อง เขาพูดแล้ว เขาด่าเราแล้ว เขาทุบตีเราแล้วก็จบไป เขาก็ผ่านไปแล้ว เขาก็ไปแล้ว ถ้าเราทำใจได้ ก็ไม่มีอะไรเสียหายตามมา เราก็ก้าวต่อไป เราต้องทำอะไรของเราเราก็ไปทำต่อ ลืมมันเสียก็หมดเรื่อง ผ่านไปแล้ว ถ้ามองแบบปัญญาก็มันเป็นความฝัน มันผ่านไปแล้ว เหมือนเป็นความฝัน เหมือนกับเรานอนหลับฝันไปว่าถูกเขาทำร้าย พอเราตื่นขึ้นมามันก็ผ่านไปแล้ว แล้วเราไปวุ่นวายกับมันทำไม ความวุ่นวายก็คือความทุกข์ใจ

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราอย่าวุ่นวายใจไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป อย่าไปทำให้มันเรื่องมากโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร กลับจะมีโทษ พอเขาทำร้ายเรา เราก็โกรธเขา เราก็จองเวรจองกรรม จะไปทำร้ายเขาใหม่ เราก็จะเครียดกับการจองเวรจองกรรม กินไม่ได้นอนไม่หลับ เหมือนกับพระเทวทัต


“งานศพ”

พระพุทธองค์ทรงสอนให้สร้างกุศลในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอเวลาที่ตายไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดกุสลา ธัมมาให้

เวลาที่ไปงานศพ จะได้ยินพระท่านสวด กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา นี่พระท่านสวดให้คนเป็นฟัง ไม่ได้สวดให้คนตายฟัง เพราะคนตายไปแล้วฟังไม่รู้เรื่อง เพราะจิตผู้รู้ไม่ได้อยู่กับร่างกายแล้ว จิตได้ออกจากร่างกายไปแล้ว ร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนท่อนหนึ่ง รอให้สัปเหร่อเอาไปเผาไฟเท่านั้นเอง จะนิมนต์พระระดับไหนมาก็ตาม จะเป็นเจ้าคุณ เป็นสมเด็จ เป็นพระอรหันต์ มาสวดให้ก็จะไม่ได้กุศล ไม่ได้กุสลา

กุศลนั้นต้องเกิดจากการได้ยินได้ฟัง เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็เอาไปคิดพินิจพิจารณา แล้วเอาไปประพฤติปฏิบัติ ถ้าได้ทำทั้งสามอย่างนี้แล้ว คือ ฟัง คิด แล้วก็ทำ ก็จะเกิดผลขึ้นมา เกิดประโยชน์ขึ้นมา เกิดกุศลขึ้นมา

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:
.


ว่าง

หาความสุขจากความว่างดีกว่า หาความสุขจากความสงบ ความไม่คิดปรุงแต่ง คือความว่าง เหมือนกระดานดำ พอเราไม่คิดปรุงแต่ง ไม่ขีดไม่เขียนมันก็ว่าง เราต้องลบรอยขีดเขียนออกไปให้หมด เราใช้สติเป็นตัวลบ เมื่อลบเสร็จแล้วเวลามันจะเขียนใหม่ก็ใช้ปัญญาสอนว่า อย่าไปเขียน เขียนแล้วมันจะทุกข์ มันไม่สุข มันไม่ว่าง รักษาความว่าง รักษาความไม่อยากไว้ ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องมีอะไร ให้อยู่กับความว่างไป


พร้อมตายหรือเปล่า

เรื่องของการตายในลักษณะไหนนั้นมันไม่สำคัญหรอก มันก็มีราคาเท่ากันก็คือตายเหมือนกัน จะตายดี ตายทางน้ำ ตายทางอากาศ ตายทางไฟทางอะไรมันก็ตายเหมือนกัน ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าจะตายแบบไหน สำคัญที่ว่ายอมรับความตายได้หรือเปล่า ถ้ารับได้ก็จะไม่ทุกข์ เช่นถ้าไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นโรคร้ายไม่สามารถรักษาได้ ให้เตรียมตัวเตรียมใจไปจองศาลาวัดได้แล้ว อย่างนี้จะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าไปจองที่พักเหมือนกับไปเที่ยวต่างประเทศหรือเปล่า ถ้ารู้สึกจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศ จะได้ไปพักโรงเเรม ๕ ดาว มันก็ไม่เดือดร้อนอะไร ความตายก็เป็นแบบนั้นเป็นเหมือนกับการเดินทาง

เราเดินทางออกจากโลกนี้ออกจากร่างกายนี้ เรามาอาศัยร่างกายนี้อยู่ชั่วคราว พอร่างกายนี้บอกว่าไม่ให้อยู่แล้ว เราก็ต้องไปเท่านั้นเอง เราพร้อมที่จะไปหรือยัง ถ้าเราพร้อมที่จะไปหรือว่าเราคิดว่าเหมือนกับเราไปเที่ยวต่างประเทศนี้เราก็ยินดีที่จะไป อยู่แค่ตรงนี้ว่าจะทุกข์หรือไม่ทุกข์กับความตาย ถ้าไม่ทุกข์กับความตายก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้ายังทุกข์อยู่ก็ต้องแก้ให้ได้ ต้องทำใจให้ได้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:



นักภาวนามืออาชีพ

พวกเราที่ยังติดอยู่กับสิ่งต่างๆ เพราะว่าเราไม่มีปัญญา เราไม่รู้จักมองทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากัน เรายังมองว่าดีอยู่ ยังมองว่าให้ความสุขกับเราอยู่ และเราก็ต้องทุกข์ กับสิ่งที่เรามองเห็นว่าเป็นความสุข เราเห็นว่าทรัพย์นี้ดี ให้ความสุขกับเรา เราก็เลยต้องมาทุกข์กับการหาทรัพย์ กับการดูแลรักษาทรัพย์ แล้วก็ต้องมาทุกข์กับการสูญเสียทรัพย์ไป เกิดมากี่ภพกี่ชาติก็หลงมาติดกับทรัพย์นี้ อยู่ทุกครั้งไป เพราะเราไม่เลิกหาทรัพย์ ไม่เลิกใช้ทรัพย์กัน เราใช้ทรัพย์เป็นเครื่องมือซื้อความสุขต่างๆ ซื้อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เช่นอยากจะดูภาพยนต์ก็ไปดูตามโรงก็มีตังค์จ่ายค่าดู อยากจะฟังเสียงต่างๆก็ต้องเสียสตางค์ อยากจะดื่มอยากจะรับประทานก็ต้องเสียเงิน สิ่งเหล่านี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องมีก็ได้ ถ้าเรามีความสงบ ถ้าเรารู้จักทำใจให้สงบแล้ว เราจะไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันนี้แหละจึงเป็นเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามาบำเพ็ญจิตภาวนากัน มาบำเพ็ญสมถภาวนา ทำใจให้สงบกัน แล้วก็เจริญวิปัสสนาเพื่อกำจัดความอยากต่างๆ ที่จะมาทำลายความสงบ ที่ได้จากสมถภาวนากัน

ถ้าเราทำได้แล้วเราจะมีแต่ความสุข จะไม่มีความทุกข์ต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะหมดเนื้อหมดตัวไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มีทรัพย์สมบัติข้าวของอะไร ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่มีคู่ครองไม่มีสามีไม่มีภรรยา ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่มีตำแหน่งไม่มีอะไร ไม่มีใครยกย่องสรรเสริญเยินยอ ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่มีบริษัท ไม่มีบริวาร อยู่ตามลำพังก็ไม่เดือดร้อนเพราะมีความสงบ ที่เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลายนั่นเอง คือนัตถิ สันติ ปรัง สุขัง หรือรสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง

หน้าที่ของพวกเราจึงต้องพยายามหาเวลามาบำเพ็ญจิตภาวนานี้ให้ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วก็ถือว่ามีเวลาเต็มที่แล้ว มีเวลาที่จะบำเพ็ญได้อย่างเต็มที่แล้ว เพราะนักบวชนี้ไม่มีภารกิจเหมือนกับฆราวาส ฆราวาสนี้ยังต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเอง ต้องทำมาหากินก็จะไม่มีเวลามากพอเหมือนกับนักบวช นักบวชนี้มีฆราวาสเลี้ยงดู ตอนเช้าก็เพียงแต่เดินบิณฑบาตเท่านั้น ก็จะได้อาหารมาประทังชีพแล้ว พอฉันเสร็จแล้วก็ไม่มีภารกิจอะไรที่จะต้องทำอีกแล้ว นอกจากบำเพ็ญจิตภาวนา ก็ให้ไปที่สงบสงัดวิเวก ไปเจริญสติ ไปเดินจงกรม ไปนั่งสมาธิ ไปควบคุมความคิดปรุงเเต่ง ไม่ให้คิดปรุงเเต่งทำใจให้ว่างให้สักแต่ว่ารู้ ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งสมาธิ ถ้าทำกันอย่างต่อเนื่องแล้วต้องได้ผลอย่างแน่นอน นักบวชนี้จึงเป็นผู้ที่มีโอกาสมากกว่าฆราวาส ถ้าเปรียบเทียบก็เป็นเหมือนมืออาชีพกับมือสมัครเล่น มืออาชีพนี้ย่อมมีเวลาที่จะฝึกซ้อมงานของตนได้มากกว่ามือสมัครเล่น เช่นนักกีฬา เป็นนักกีฬามืออาชีพ เช่นนักมวยมืออาชีพนี้ไม่ต้องไปทำมาหากินแล้วไม่ต้องไปทำงานทำการ เพราะเอาอาชีพชกมวยนี้เป็นอาชีพ ก็จะมีเวลาฝึกซ้อมชกมวยได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับนักมวยสมัครเล่น ที่ยังต้องมีอาชีพอย่างอื่นมาประทังชีพ เพราะการเล่นกีฬาสมัครเล่นนี้ไม่มีเงินทองเป็นรางวัลตอบแทนนั่นเอง แต่นักมวยมืออาชีพนี้ นักกีฬามืออาชีพนี้มีเงินทองเป็นสิ่งตอบแทนจึงไม่ต้องไปทำมาหากิน เหมือนกับพระ นักบวชนี้ก็เป็นเหมือนกับนักภาวนามืออาชีพ ไม่ต้องไปทำมาหากิน มีผู้เลี้ยงดู มีผู้สนับสนุน มีฆราวาสญาติโยมสนับสนุน ใส่บาตรอยู่ทุกวัน ไม่อดอยากขาดแคลน

ดังนั้น นักบวชนี้จึงเป็นผู้ที่มีโอกาสที่จะได้พบกับนิตถิ สันติ ปรัง สุขัง มากกว่าฆราวาส ถ้าดูบรรดาผู้ที่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักบวชกัน


ให้คิดว่าพุทโธเหมือนลมหายใจ ถ้าไม่พุทโธก็ตาย

สอนจนหูฉีกแล้วก็ยังฟังไม่เข้าใจ ก็ยังอยากได้อยู่ ยังอยากมีอยู่ ยังอยากเป็นอยู่ บอกให้อยู่คนเดียวก็อยู่ไม่ได้ อยู่คนเดียวแสนจะสบายกลับไม่อยู่กัน เพราะขี้เกียจพุทโธกัน คิดว่าพุทโธเหมือนลมหายใจซิ! ถ้าไม่พุทโธก็ตาย อย่างนี้มันก็ต้องพุทโธไป ถ้าพุทโธไปได้ เดี๋ยวไม่นานมันก็สบายแล้ว มันไม่ต้องพุทโธไปตลอดชีวิตหรอก พุทโธตอนช่วงที่ใจมันไม่ยอมหยุดเท่านั้นเอง เหมือนรถที่เราต้องเหยียบเบรคเวลามันวิ่ง พอมันจอดแล้วก็ไม่ต้องเหยียบเบรคก็ได้ พอใจมันว่าง ใจมันสงบมันนิ่งก็ไม่ต้องพุทโธก็ได้ พุทโธแล้วก็สบายมันไม่ทำอะไรแล้ว มันไม่สร้างปัญหาให้กับเราแล้ว ปัญหาอยู่ที่ความคิดของเราเอง ไปคิดว่าเป็นของเรา พออะไรเป็นของเราก็อยากจะให้มันดีไปนานๆ อยู่ไปนานๆ พอมันทำท่าจะไม่ดี ทำท่าจะไม่อยู่ก็วุ่นวายใจขึ้นมา พอมันไปก็วุ่นวายใจ แทนที่จะเข็ดกลับไม่เข็ด กลับไปหาใหม่มาแทนอีก พอของเก่าไปก็หาของใหม่มาทุกข์แทนอีก ก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด

ถ้าไม่มีสติปัญญามาสอนใจว่า การกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น ต้องเจอความทุกข์ไปเรื่อยๆ ถ้ายังอยากจะมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้อยู่ ยังอยากจะมีความสุขกับรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะอยู่ ก็ต้องเจอกับความทุกข์อย่างแน่นอน แล้วรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมันไม่เที่ยงมันมีมามีไป มีเกิดมีดับ มีเจริญมีเสื่อม มีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันเป็นอย่างนี้เป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ เขาเป็นสิ่งที่ประกอบมาด้วยธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง ๔ นี้ก็ไม่เที่ยง คือมันไม่ยอมอยู่ร่วมกันนาน มันมารวมกันแล้วเดี๋ยวมันก็แตกสามัคคีกันแยกทางกัน พอแยกทางกันสิ่งที่มันรวมกันก็บุบสลายไป เช่นร่างกายมันก็มาจากธาตุ ๔ มาจากดิน น้ำ ลม ไฟ เดี๋ยวมันเกิดแตกสามัคคีกัน น้ำจะไปทางน้ำไม่ยอมอยู่กับดินกับลมกับไฟ ไฟก็ไม่ยอมอยู่ด้วย ดินก็ไม่ยอมอยู่ด้วยต่างฝ่ายก็ต่างแยกกันไป

พิจารณาคนตายซิ คนตายถ้าไม่เอาไปทำอะไรปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวมันก็แยกกันเองแหละ ตายปุ๊ปนี่ลมก็แยกไปก่อนแล้ว ไฟก็ออกไปแล้ว ไปจับร่างกายคนตายดูซิ คนตายคนเป็นนี่มันมีความแตกต่างกันไหม ความร้อนกับความเย็นของร่างกาย แสดงว่าธาตุไฟไปแล้ว ธาตุลมก็ระเหยออกมาเรื่อยๆ กลิ่นที่ออกมาจากร่างกายก็คือธาตุลม เดี๋ยวน้ำก็ไหลออกมา น้ำเลือด น้ำหนอง ไหลออกมาไหลจนกระทั่งมันหมดเหือดแห้ง ร่างกายก็แห้งกรอบไปผุพังไปกลายเป็นดินไป

นี่คือเรื่องของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อนัตตา เป็นอนัตตา ดินเป็นอนัตตา ลมเป็นอนัตตา ไฟเป็นอนัตตา น้ำเป็นอนัตตา ที่เขาว่า สัพเพ สังขารา สังขารก็คือการรวมตัวของธาตุทั้ง ๔ เรียกว่าสังขารของทุกอย่างในโลกนี้มันต้องมีทั้ง ๔ อย่างมันถึงจะเป็นเรื่องเป็นราวเป็นอะไรขึ้นมาได้ เป็นมนุษย์เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์เป็นอะไรนี่มันก็มาจากธาตุทั้ง ๔ เมื่อมันรวมกันแล้วมันก็แยกออกจากัน เวลาแยกจากกันก็มาสร้างความทุกข์ให้กับคนที่มาเป็นเจ้าของ คนที่มาครอบครองมายึดมาถือว่า เป็นตัวเราเป็นของเรา พออะไรที่เป็นตัวเราของเราจากเราไปก็ร้องห่มร้องไห้ แต่ของที่เราไม่ถือว่าเป็นตัวเราของเรา เราก็ไม่เห็นไปร้องหม่ร้องไห้ เห็นคนอื่นที่เราไม่รู้จักเขาตายไปเราก็ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไร แต่คนที่เรารู้จัก ต้องมาเสียอกเสียใจเพราะเราไปคิดว่าเขาเป็นเราเป็นของเรา เป็นเพื่อนเราเป็นน้องเรา เป็นพ่อเป็นแม่เรา เป็นสามีเป็นภรรยาเรา ไม่มองว่ามันเป็นเพียงดิน น้ำ ลม ไฟ สังขาราประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สัพเพ ธัมมา ธัมมาก็คือดิน น้ำ ลม ไฟธาตุทั้ง ๔ นี่เรียกว่าเป็นธรรม ธาตุเดิมไอ้ ๔ ตัวนี้มันไม่เปลี่ยน มันยังไงก็เป็นธาตุของมันอยู่อย่างนั้น เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เรียกว่าธาตุเดิม

พอธาตุเดิมมาผสมกันก็กลายเป็นสังขารไป ใช่ไหม ดินนี่พอฝนตกลงมาเดี๋ยวต้นไม้ก็โผล่ขึ้นมา ต้นไม้นี่ก็เรียกว่าสังขารแล้ว เพราะอะไรเพราะมันไม่ได้ทำจากธาตุดินเพียงอย่างเดียว ต้นไม้มันมีทั้งดินมีทั้งน้ำมีทั้งลมมีทั้งไฟมันถึงจะโตขึ้นมาได้ จึงเรียกว่าเป็นสังขาร ถ้าธาตุดินตัวเดียวเรียกว่าธรรม ธาตุดินล้วนๆ ธาตุน้ำล้วนๆ ธาตุไฟล้วนๆ ธาตุลมล้วนๆ เรียกว่าธรรม

คนถึงถามว่าทำไม สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ สังขารา ทุกขา แล้วทำไมมาที่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทำไมไม่สัพเพ สังขารา อนัตตา ตอบสังขาราก็อนัตตาแต่สังขารามันก็มาจากธาตุทั้ง ๔ นี่ ที่เป็นอนัตตาอยู่แล้ว ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอนัตตาอยู่แล้ว พอมารวมกันกับร่างกายก็เป็นสังขาร สังขารร่างกายไป สังขารร่างกายมันก็มาจากธาตุ ๔ จะว่าสังขารอนัตตาก็ได้ จะว่าธาตุ ๔ อนัตตาก็ได้ มันแยกออกไปมันก็ยังเป็นอนัตตาอยู่นั่นแหละ มันก็ไม่ได้เป็นตัวใคร ตัวเรา ตัวเขา ถ้าอยากจะรู้ต้องปฏิบัติเอา ต้องทำใจให้สงบ ให้ตาในเปิดขึ้นมาแล้วก็จะเข้าใจหมดทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ถ้าไม่เปิดตาในอ่านหนังสือธรรมะไปก็เป็นเหมือนพวกโปฐิละใบลานเปล่า ท่องได้จบพระไตรปิฏก รู้หมดทุกพระสูตรแต่ไม่รู้ว่ามีความหมายว่าอย่างไร ต้องปฏิบัติ ขั้นต้นก็ต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ถึงจะมาบวชได้ถึงจะมาปฏิบัติได้

ถ้ายังรักยังหวงสมบัติอยู่ ยังโลภยังอยากได้สมบัติอยู่ ยังพึ่งสมบัติเป็นที่พึ่งอยู่ก็ไม่มีวันที่จะมาปฏิบัติได้ ถ้าอยากจะปฏิบัติก็ต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไป ถ้ายังเป็นนักบุญก็ยังบวชไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชก็ไม่ใช่นักบุญ ถ้าบวชแล้วก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องทำทานแล้ว ทำไปหมดแล้ว เวลาคนมาบวชนี่ ที่จริงเขาสละหมดแล้ว พระที่มาบวชนี่เขาสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง พระพุทธเจ้าสละราชสมบัติ สละพระมเหสี สละราชโอรสหมดแล้ว ท่านไม่เอาอะไรติดตัวไปแล้ว ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ไม่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว

ทีนี้ก็มาทุ่มเทกับการรักษาศีล คอยห้ามปรามจิตใจที่อยากจะไปทำมิดีมิร้ายต่างๆ แล้วก็ดันมัน ดึงมันให้มันมาทำในสิ่งที่ดี ให้มันมาพุทโธๆ เจริญสติ นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ พอใจสงบ ตาในก็โผล่ขึ้นมา ตัวรู้ก็โผล่ขึ้นมา เห็นตัวรู้ เห็นว่าตัวรู้กับร่างกายนี้เป็นคนละตัวกัน ทีนี้เข้าใจแล้วว่า เวลาไปใช้กรรมใครเป็นคนไปใช้กรรม ไปใช้กรรมไปรับผลกรรมก็คือตัวรู้นี่เอง

เวลาไม่มีร่างกายตัวรู้นี่มันก็ยังมีอยู่ แล้วเวลาจิตสงบจิตมันปล่อยวางร่างกาย ร่างกายตอนนั้นมันก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน มันก็เหมือนคนตายร่างกายตอนที่ใจสงบใจรวมลงไป มันก็เลยเห็นชัดว่าร่างกายเป็นอย่างนี่เอง ในที่สุดมันก็ต้องตายไป แต่ตัวรู้นี้มันไม่ตาย ตัวคิดนี้ไม่ตาย ตัวกลัวนี้ไม่ตาย ไปกลัวทำไม ตัวเองไม่ตายเสียหน่อย ตัวที่ตายมันกลับไม่กลัว ร่างกายมันกลัวตายที่ไหน เอาไปเผามันยังไม่กลัวเลย ร่างกายมันไม่มีความกลัว ความกลัวมันอยู่ที่ตัวรู้อยู่ที่ใจ ตัวรู้นี่มันโง่มันไม่ฉลาด มันไม่รู้ว่าตัวมันไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย เวลาร่างกายคนอื่นตัวรู้ก็ไม่ได้ไปเป็นอะไรไปกับเขา ยังไปร้องหม่ร้องไห้กับเขาเลย พอแฟนตายพอสามีตายลูกตายไปร้องหม่ร้องไห้ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ตายสักหน่อย ไปร้องไห้ให้เขาทำไม เขาตายไปแล้วได้อะไร ร้องไห้แล้วเขาฟื้นกลับคืนมาได้หรือเปล่า เขาก็ไม่ฟื้นอยู่ดี พอไปหลงรักเขาแล้วก็มีความอยากไม่ให้เขาตาย อยากให้เขาอยู่ไปนานๆ อยากให้เขาอยู่กับเรา

เมื่อวานนี้มีแม่คนหนึ่งลูกตายไปปีหนึ่งแล้วยังมาบ่นคิดถึงอยู่ เราถามว่าเวลาสามีตายไม่คิดถึงหรือ สามีตายไปตั้งแต่ลูกยังเด็กๆ ๗-๘ ขวบ มีลูก ๔ คน เขาบอกตอนนั้นไม่มีเวลาจะคิดเพราะกังวลเรื่องเลี้ยงลูก ๔ คน เลยไม่มีเวลาไปคิดถึงสามีที่ตายไปแล้ว คิดแต่ว่าจะทำอะไรถึงจะเลี้ยงลูกให้อยู่รอดไปได้ ๔ คน แต่ตอนนี้มีเวลาว่างเลยอดคิดถึงลูกไม่ได้ เราก็บอกว่าอย่าอยู่เฉยๆ อย่าอยู่ว่างๆ หาอะไรทำ ไปทำบุญทำทาน ทำอะไรไปก็ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ถ้าจะคิดถึงเขาก็คิดถึงเวลาที่มีความสุขกัน คิดถึงความดีของเขา อย่าไปคิด อยากให้รู้ว่ามันเป็นเหมือนความฝันอดีตมันผ่านไปแล้วคิดอย่างไรมันก็ไม่กลับมาแล้ว คิดได้แต่อย่าไปอยากให้มันกลับมา ความอยากให้มันกลับมาทำให้มันทรมานใจ อยากให้เป็นเหมือนเดิม อยากให้เขาอยู่เขาไม่อยู่แล้ว เขาไปแล้วเขากลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไปแล้ว ตัวเขาก็ไปรับผลบุญผลบาปแล้ว ภาวนาไปเถอะ เรื่องเหล่านี้มันไม่มีอะไรมาปกปิดหรอก ไม่ใช่เป็นเรื่องลึกลับอะไร มันลึกลับตรงที่เราไม่ยอมลืมตาดู ไม่ยอมเปิดหูเปิดตาใน ชอบปิดตาในปิดหูในแล้วก็ไปเปิดตานอกกัน แล้วก็ไปหลงไหลคลั่งไคล้กับสิ่งภายนอก ต่อให้มันวิเศษขนาดไหน มันดีขนาดไหน สวยขนาดไหนงามขนาดไหน เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปหมด คนนี่เป็นอย่างไรเวลาหนุ่มเวลาสาวหน้าตาหล่อเหลา เวลาแก่แล้วเป็นอย่างไร ไปดูดาราสมัยเป็นหนุ่มนี้ หล่อเหลาเดี๋ยวนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว

นี่แหละคือของภายนอกมันเป็นอย่างนี้ ของทุกอย่างภายนอกมันต้องเสื่อมลงไปตามลำดับตามเวลาของมัน แล้วก็ต้องหมดสภาพไปในที่สุด เราต้องรู้ทัน รู้ทันแล้วเราจะได้ปล่อยวาง ที่ปล่อยวางไม่ได้เพราะไม่มีกำลัง ใจมันยึดติดอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันทำงานตลอดเวลา ถ้าใจไม่สงบกิเลสมันไม่หยุดทำงานถ้าใจสงบมันก็จะหยุด เวลาใจสงบแล้วทีนี้มันก็เฉยได้ ใครจะเป็นอะไรมันก็เฉยได้ ยิ่งถ้ามีปัญญาสอนว่ามันไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ ไปห้ามเขาไม่ได้ อะไรเกิดก็ต้องเกิด อะไรจะดับก็ต้องดับ อะไรจะไปก็ต้องไป เรามีหน้าที่เฉยอย่างเดียว เพราะถ้าไม่เฉยก็ทุกข์ อยากทุกข์หรือไม่อยากจะทุกข์ ถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็เฉยรับความจริง อย่างเมื่อเช้านี้ บอกยอมทุกอย่างยอมแล้วก็หยุดแล้วก็เย็น ยอมแล้วก็เฉยพอเฉยแล้วก็เย็นหยุดก็แปลว่าเฉย ยอม หยุด เย็น ยอมรับทุกอย่างยอมรับว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ใครจะตายก็ต้องยอมรับ เราจะตายก็ต้องยอมรับ ใครจะด่าเราก็จะต้องยอมรับ ถ้ายอมซะอย่างแล้วมันสบายนะ

นี่คือการชนะที่แท้จริง ผู้แพ้นี่แหละคือผู้ชนะ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ถ้าอยากจะชนะก็ต้องไปสู้รบกัน ไปฆ่าฟันกัน แล้วคนที่เขาแพ้เขาจะรู้สึกอย่างไรกับผู้ชนะ ก็โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมกันไป แต่ถ้าเราแพ้เขาชนะเขาก็จะไม่มาจองเวรจองกรรมเรา เขาดีใจเขาไปแล้วเขาสบายใจเขาชนะเราแล้ว เราแพ้เขาแล้ว


สนทนาธรรมบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:



การพลัดพราก

พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนพุทธะศาสนิกชน ให้หมั่นพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่าเราเกิดมาแล้ว ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นการ พลัดพรากจากกันไปไม่ได้ นี่คือความจริงของชีวิต ของทุกๆ ชีวิต ไม่ว่าจะสูงจะต่ำ จะรวยจะจน จะฉลาดหรือโง่ จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ถ้าไม่พิจารณาอยู่เนืองๆ ใจจะหลงจะลืมจะคิดว่าจะอยู่ร่วมกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด พอถึงเวลาที่จะต้องพลัดพรากจากกันก็จะเกิดความทุกข์ใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา แต่ถ้าหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จะไม่หลงจะไม่ลืมจะเตรียมตัวเตรียมใจจะไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ กับบุคคลต่างๆ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องจากกันอย่างแน่นอน

นี่คือ “ธรรม” ที่สำคัญ เพราะจะปกป้องจิตใจไม่ให้ทุกข์กับการพลัดพรากจากกัน จากการสูญเสียสิ่งต่างๆ ไป การพิจารณาก็ควรพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือบุคคลต่างๆ ที่เรารัก หรือเราชัง เพราะสิ่งที่เรารักบุคคลที่เรารักหรือสิ่งที่เราชัง สิ่งที่เรารักนี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเรานั่นเอง สำหรับสิ่งที่เราไม่รักไม่ชัง บุคคลที่เราไม่รักไม่ชังนี้ไม่ค่อยเป็นปัญหา เขาจะมาเขาจะไปไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เรารักสิ่งที่เรารักถ้าเขาจากเราไปเราจะเดือดร้อนเราจะวุ่นวายใจ หรือสิ่งที่เราชังบุคคลที่เราชัง เวลาจะต้องอยู่กับเขาเราก็วุ่นวายใจไม่สบายใจ เราต้องพิจารณาว่าไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี ในขณะที่เขาอยู่เราไม่สามารถที่จะให้เขาไปได้ เราก็ต้องทำใจ สำหรับคนที่เรารักหรือสิ่งที่เรารัก ถ้าเขาอยู่กับเราเราก็จะดีใจและมีความสุข แต่เราก็จะไม่สามารถสั่งให้เขาอยู่กับเราไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วไม่เขาก็เราจะต้องไป ต้องจากกันไปอยู่ดี

นี่คือสิ่งที่เราต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถามตัวเราเองว่าเรารักใครเราชอบใคร เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ ใช่ไหม แต่เขาจะอยู่กับเราไปนานๆ ได้หรือเปล่า หรือเราจะอยู่กับเขาไปนานๆ ได้หรือเปล่า เรากับเขาจะไม่มีวันจะต้องจากกันหรืออย่างไร ถ้ามันมาถึงวันนั้นวันที่จะต้องมีการจากกันเราจะทำใจอย่างไร ถ้าเราคอยหมั่นสอนใจเตือนใจถึงความเป็นจริงอันนี้ว่า จะต้องมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย หรือเป็นสิ่งของต่างๆ เช่นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย เป็นสิ่งที่จะต้องมีการพลัดพรากจากกันอย่างแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ถ้าเราหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ เราจะเตรียมตัวเตรียมใจและตัดใจของเรา หัดอยู่แบบไม่ต้องมีเขาให้ได้ ไม่ต้องมีลาภ ยศสรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องมีสามีภรรยา ไม่ต้องมีบุตรธิดา ไม่ต้องมีญาติพี่น้อง อยู่ตัวคนเดียวนี่แหละดีที่สุด แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไป การอยู่คนเดียวนี้ก็หมายถึงว่า แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อน แม้แต่ร่างกายนี้ก็ต้องจากเราไปเช่นเดียวกัน แล้วการที่เราจะอยู่คนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องมีบุคคลต่างๆ ไม่ต้องมีสิ่งต่างๆ เราต้องมี "ธรรม" เท่านั้นถึงจะทำให้เราอยู่คนเดียวได้ อยู่ตามลำพังได้

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เราต้องมีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าเรามีธรรมเป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งสิ่งต่างๆ ไม่ต้องพึ่งบุคคลต่างๆ ไม่ต้องพึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ พึ่งสามีพึ่งภรรยา พึ่งบุตรธิดา พึ่งญาติสนิทมิตรสหาย พึ่งร่างกายของเราเอง เพราะเขาเป็นสิ่งที่ไม่ เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถาวร ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะต้องจากเราไป แล้วเวลาที่เขาจากเราไป เราไม่มีที่พึ่งเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องเดือดร้อน จนกว่าเราจะหาที่พึ่งใหม่ได้ เช่น สามีจากไปถ้ายังต้องการมีสามีก็ต้องไปหาสามีใหม่ ลูกจากไปถ้ายังอยากจะมีลูก ก็ต้องหาลูกมาใหม่ ถ้าคลอดเองไม่ได้ก็ไปขอเด็กมาเลี้ยงเป็นลูก เพราะเรายังพึ่งสิ่งเหล่านี้เพื่อมาให้ความสุขกับเรานั่นเอง เพราะว่าเราไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่มี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่ง ถ้าเรามี ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นที่พึ่งแล้ว เราไม่ต้องพึ่งอะไรไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ต้องพึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องพึ่งความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งทรัพย์สมบัติ ไม่ต้องพึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องพึ่งร่างกายคือชีวิตอันนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้สละให้หมด สละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง สละอวัยวะคือความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และให้สละชีวิต สละร่างกายอันนี้ ถ้ามันต้องไปให้มันไป ไม่ต้องไปพึ่งมัน มันไม่ใช่เป็นที่พึ่ง มันเป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา มันเป็นภาระที่ใจจะต้องแบกตั้งแต่วันเกิดไปจนถึงวันตาย ผู้ฉลาดนี้จึงไม่กลับมาเกิด ไม่กลับมาแบก ภารา หะเว ปัญจักขันธา อันนี้ ไม่มาแบกขันธ์ รูปขันธ์นี้ เพราะว่ามันเป็นทุกข์นั่นเอง


จะเป็นคนดีดูได้ที่ความกตัญญู

คนเราจะเป็นคนดีได้ดูที่ความกตัญญูนี่แหละ ถ้าเราไม่กตัญญูแล้วจะไม่มีใครอยากจะเกี่ยวข้องด้วย เพราะเหมือนกับไปช่วยงูเห่า ไปช่วยงูเห่าเดี๋ยวเผลอจะโดนงูเห่ากัดตายได้ คนที่ไม่มีความกตัญญูก็จะเป็นแบบนั้น ช่วยเขาแล้ววันดีคืนดีเขาโกรธเราขึ้นมาเขาก็ฆ่าเราได้ เขาก็ทำร้ายเราได้

แต่คนที่มีความกตัญญูจะไม่กล้าทำ คนที่มีความสำนึกในบุญคุณของผู้อื่นนี้จะไม่กล้าทำร้ายผู้ที่มีบุญคุณด้วย จะมีแต่จะแสดงความเคารพนับถือยกย่องเทิดทูน เพราะว่าถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้นั้นเขาจะอยู่ได้อย่างไร ที่เขารอดมาได้เขาอยู่มาได้จนบัดนี้ก็เพราะความช่วยเหลือของผู้อื่น

อย่างพวกเรานี้ถ้าไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูเรา เราจะอยู่มาได้จนถึงวันนี้เหรอ แล้วเราจะกล้าลืมบุญคุณของพ่อของแม่ลงคอหรือ ถ้าไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูเรา เราจะอยู่ตรงนี้ได้หรือเปล่าจนถึงวันนี้ นี่แหละคือความกตัญญู

บูชาบุคคลที่สมควรต่อการบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะจะแสดงคุณสมบัติของคนดีให้สังคมได้รู้จัก ไม่มีสังคมไหนที่จะรังเกียจหรือประณามคนที่มีความกตัญญู มีแต่ยกย่อง

มีเด็กกตัญญูนี่หนังสือพิมพ์เอาไปลงเลยเห็นไหม พอคนได้ยินว่าเป็นเด็กกตัญญู โอ้โฮ เงินทองไหลมาเทมาสนับสนุนคนที่มีความกตัญญู แต่พอมีข่าวคนที่มีความอกตัญญูนี่ โอ๊ย มีแต่ประณามด่ากันทั่วบ้านทั่วช่อง

สนทนาธรรมบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Maintenence:


ความสุขของคนที่ไม่เข้าวัด

ความสุขต่างๆ ที่เราได้จากทางโลกทางร่างกายนี้ เวลาใดที่เราไม่ได้เวลานั้นเราจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ไม่ค่อยมีความสุขใจ เพราะว่าความสุขที่เราเคยได้แล้วมันหมดเราต้องหาใหม่อยู่เรื่อยๆ เช่นการไปเที่ยวเพื่อหาความสุข เวลาเราไปเที่ยวเราก็มีความสุขกัน แต่พอเรากลับบ้านความสุขที่ได้จากการไปเที่ยวก็จะจางหายไป อยู่บ้านได้ไม่นานก็เบื่อหงุดหงิดรำคาญใจ ต้องอยากออกจากบ้านไปเที่ยวอีกถึงจะมีความสุข

นี่แหละคือความสุขแบบยาเสพติด ยาเสพติดเวลาเสพกันก็มีความสุขกัน พอเวลาไม่ได้เสพเวลาไม่มียาให้เสพ เวลานั้นก็จะเป็นเวลาที่ทุกข์ทรมานใจ นี่คือความสุขที่ญาติโยมที่ไม่ได้รู้จักคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมัวเสพกันจะมัวหากัน จะมัวหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายโดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นการเสพยาเสพติด เพราะเวลาที่ไม่ได้เสพเวลานั้นถึงจะรู้สึกตัวว่าไม่สบายใจเลย เศร้าใจเสียใจ เช่น คนที่มีแฟน เวลามีแฟนอยู่กับแฟนนี้มีความสุขเหลือเกิน แต่พอเวลาใดที่ไม่ได้อยู่กับแฟน เวลานั้นความสุขมันก็จะหายไป แล้วความว้าเหว่ความเหงาความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่

นี่แหละความสุขต่างๆ ที่เสพกันในโลกนี้ คนที่ไม่รู้จักคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะมัวแต่หาความสุขจากการเสพยาเสพติดนั่นเอง ยาเสพติดที่พูดนี้ก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส ต่างๆ ที่เสพกันอยู่เป็นประจำทุกวัน ที่ไปทำมาหากินก็เพื่อที่จะไปหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ เพราะการจะมีความสุขจากสิ่งต่างๆได้ จำเป็นจะต้องมีเงินทอง จึงต้องไปหาเงินหาทองทำงานกันตัวเป็นเกลียว พอได้เงินมาก็ดีใจได้ไปซื้อข้าวของที่อยากจะซื้อ ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ที่อยากจะไป ได้ไปดูมหรสพบันเทิงอะไรต่างๆ ไปช้อปปิ้งตามศูนย์การค้าต่างๆ

นี่แหละคือการหาความสุขของผู้ที่ไม่ได้เข้าวัดกัน จะหาความสุขแบบยาเสพติด แล้วหามาได้เท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ ต้องหาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ แล้วเวลาที่ไม่สามารถที่จะหาได้ก็จะมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ การหาความสุขแบบนี้ต่อไปจะทำให้ทุกข์มากขึ้น หงุดหงิดมากขึ้นเพราะว่าความสามารถของร่างกายที่จะหาความสุขต่างๆนี้จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ร่างกายจะแก่ขึ้นจะมีอายุมากขึ้น จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมากขึ้น จะทำให้การที่จะไปหาลาภยศสรรเสริญ หารูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ มาเสพมาสัมผัสนี้จะยากขึ้นจะลำบากขึ้น หรือถ้าเกิดมีอุบัติเหตุพิกลพิการไป

อันนี้ก็จะยิ่งทำให้มีความทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้นไป ถ้าเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไม่สามารถที่จะไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยรอให้คนเขามาช่วยพาไป แล้วจะไปหาความสุขแบบตอนที่แข็งแรงก็ไม่สามารถทำได้ นี่แหละคือความสุขของคนที่ไม่เข้าวัดกัน ในที่สุดก็จะต้องพบกับความทุกข์ต่างๆ ในบั้นปลายของชีวิต


การปฏิบัติสู่มรรคผลนิพพาน
การปฏิบัติธรรมตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดผลขึ้นมานั้น ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องปฏิบัติให้ครบธรรมทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ ถ้าต้องการบรรลุถึงขั้นมรรคผลนิพพาน คือขั้นโลกุตตระธรรม เช่น ขั้นของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ผู้ปฏิบัติจำเป็นจะต้องปฏิบัติ “ทาน ศีล ภาวนา” ให้ครบทั้ง ๓ อย่าง

การปฏิบัติทั้ง ๓ อย่างนี้ก็ปฏิบัติไปควบคู่กันไปได้ในระยะเริ่มต้น เวลาที่เราเริ่มต้นใหม่ๆ เราก็ต้องเริ่มทำทานก่อนถ้าเรายังมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ เพราะถ้าเราไม่ทำทานสละทรัพย์สมบัติ ก็เป็นเหมือนเวลาที่เรือจะออกจากท่าเรือหรือเรือที่จอดอยู่ ถ้าจะให้เรือไปไหนได้ก็ต้องถอนสมอเรือก่อน ถ้าไม่ได้ถอนสมอเรือ เรือก็จะไปไม่ได้ ออกเดินทางไปไม่ได้ ผู้ที่จะไปสู่มรรคผลนิพพาน จึงจำเป็นจะต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไปก่อน ถึงจะสามารถออกเดินทางไปสู่มรรคผลนิพพานได้

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ปฏิบัติ ๓ อย่างร่วมกันไปพร้อมๆ กัน คือทำทาน รักษาศีล แล้วก็ภาวนา ศีลก็มีหลายระดับ เริ่มตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ การภาวนาก็มีอยู่ ๒ ระดับ คือ “สมถะภาวนา” และ “วิปัสสนาภาวนา” สมถะภาวนาคือการทำใจให้สงบ วิปัสสนาภาวนาคือการสอนใจให้เห็นสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงของเขา

นี่คือการปฏิบัติสู่มรรคผลนิพพาน จะได้ผลมากผลน้อยก็อยู่ที่การปฏิบัติมากหรือปฏิบัติน้อย การปฏิบัติน้อยผลก็จะน้อย ปฏิบัติมากผลก็จะมากขึ้นไปตามลำดับ

สนทนาธรรมบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป