[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => กระบวนการ NEW AGE => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 23 มกราคม 2554 08:21:18



หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 23 มกราคม 2554 08:21:18
(http://4.bp.blogspot.com/_5lrJb2yTGN4/SO0yQn2CkNI/AAAAAAAAAAc/JkXb2FfPRyk/s1600-R/pic%3Fid%3Dca80zMHX5mKAkB1Rxh69GN4snUt1lPSma0r9%26size%3Dm)


 “ช่วงชีวิตที่เหลือของผม ผมอยากรู้ว่าธรรมชาติของแสงคืออะไร?” นั่น-เป็นคำพูดของไอน์สไตน์ที่กล่าวกับวูลฟ์กัง พอว์ลี ในปี 1916 ที่ไอน์สไตน์กล่าวนั้นส่วนหนึ่งเพราะว่าแสงนั้นถือเป็นศูนย์กลางของความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนักเทววิทยามาตั้งนานนับหลายๆ ศตวรรษ ส่วนความว่างเปล่าหรือสุญตานั้นคือบ่อเกิดของสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาลนี้ในพุทธศาสนามาตั้งแต่ต้น และเป็นที่หัวเราะเยาะของนักวิทยาศาสตร์ “เชยๆ เก่าๆ” ซึ่งเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ส่วนใหญ่มากๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาใหม่ๆ  ของเอเชียที่มองว่า - ตามพจนานุกรมของฝรั่งอย่างผิดๆ โดยไม่คิดให้รอบคอบ - เป็นหนึ่งเดียวกันกับเทคโนโลยี

อยากพูดว่าเราได้เริ่มหรือกำลังเริ่มที่จะมีกระบวนทัศน์ทางสังคมใหม่ หรือพาราไดม์ของโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลง (global paradigm shift) จากสังคมหรือโลกมนุษย์ เพราะว่าเรา - ชาวโลกทั้งหมด -  กำลังจะยุติหรือจะเลิกการเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) หรือนิยมวัตถุ (matter) เพราะว่าเราหันไปมัวเมาเรื่องพลังงานหรือเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (information technology or IT) แทน และท่านผู้อ่านโปรดอย่าลืมว่าพลังงานนั้น - ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของวัตถุสสาร (matter) ที่ได้มาจากฟอสซิลคาร์บอน -  ไล่ไปถึงต้นตอจริงๆ แล้ว แยกกันไม่ได้จากจิตปฐมภูมิ ซึ่งมีมาก่อนอุบัติการณ์ของจักรวาลทั้งหลายตามที่พุทธศาสนาบอก หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นคุณสมบัติของจิตไร้สำนึก (คาร์ล จุง อาจจะเข้าใจว่าจักรวาลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คาร์ล จุง ถึงได้เรียกว่าจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (universal unconscious  continuum) หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่าคือจิตปฐมภูมิก็ได้ เพราะฉะนั้นจิตปฐมภูมิคือพลังงานปฐมภูมิ เมื่อจิตได้กลายเป็นวัตถุสสาร (matter) ก็มีพลังงานเป็นฟอสซิลคาร์บอนเป็นน้ำมัน ดังนั้นกระบวนทัศน์ใหม่หรือพาราไดม์ใหม่ที่ว่าก็จะเป็นเรื่องของจิตไปแทนที่จะเป็นวัตถุสสารที่ยุติหรือเลิกไปแล้วดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้าที่มนุษย์จะหันไปสนใจเรื่องของจิตก็จะสนใจเรื่องข้อมูลข่าวสาร (IT) ก่อน ดังที่ประชากรชาวโลกทั้งหลายกำลังเมามันอยู่ในปัจจุบันนี้ และแล้วภายใน 2 หรือ 3 ปีหลังจากนั้น เราชาวโลกก็หันไปหาเรื่องของจิตแทนเรื่องกายและพลังงาน (น้ำมันก่อนกับไอทีทีหลัง) และระหว่างที่รอคอยการวิวัฒนาการของจิตอยู่นั่นเอง โลกและสังคมมนุษย์ถึงคราวจะ ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะมนุษย์เราเองเป็นผู้เลือกเช่นนั้น เราเองที่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเราทำผิดครรลองตามที่ธรรมชาติกำหนดหรือแนวทางแห่งธรรมะ ซึ่งประกอบด้วยธรรมชาติ 2 ระดับ ธรรมชาติที่มองเห็นกับธรรมชาติที่ละเอียดกว่านั้น คือไม่มีทางมองเห็นที่กล่าวมาแล้วหลายครั้ง เราที่เป็นธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ แต่เรากลับปฏิเสธธรรมะหรือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับนั้น เราปฏิเสธว่าระบบทุกๆ ระบบที่เรานำมาใช้บริหารจัดการกับธรรมชาติ นั้น-มันผิดทุกระบบเลย ทั้งระบบการเมือง สังคม การศึกษา โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจที่พูดมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่าง ป่าไม้ที่เพชรบุรีเกิดมีเถาวัลย์งอกมาปกคลุมอย่างรุนแรงจนต้นไม้ยืนต้นตายเป็นวงกว้าง นั่น-เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะมนุษย์เราทำผิดธรรมชาติของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เราคิดถึงแต่ “ตัวกูของกู” เห็นแก่ตัว  และมุ่งแต่แสวงหากิเลศราคะ เราเอาแต่แตกแยกขัดแย้งกัน และช่วยแต่ “พวกกู” เท่านั้น ปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติแบบนี้มีบ่อยๆ เพื่อเตือนให้เราตระหนัก แต่เราก็ยังทำผิดต่อธรรมชาติอยู่ร่ำไป มนุษย์เราจึงต้องเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้ - เราเองเป็นผู้เลือก โดยประชากรโลกจะหายไปอย่างฉับพลันทันที 5,000 ล้านคนโดยประมาณ ส่วนที่เหลืออยู่ราว 20% ซึ่งก็จะพอเหมาะพอสมกับสิ่งแวดล้อมโลกกับสรรพชีวิตทั้งหลาย ที่ขณะนี้ “ติดลบ” อยู่มากกว่า 25% และแล้วมนุษย์เราก็จะมีวิวัฒนาการไปสู่จิตวิญญาณ (spirituality) อันเป็นเส้นทางไปสู่นิพพานหรือความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) อย่าลืมว่าจิตนั้นในรูปแบบหนึ่งทางด้านของความรู้เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออิเล็กโตรแม็กเนติกส์นั้น ซึ่งก็คือแสงนั่นเอง

ตรงนี้อย่าลืมว่าการวิวัฒนาการของจิตที่ว่านั้น จริงๆ แล้วเป็นการวิวัฒนาการของประสบการณ์ของมนุษย์ที่ได้มาจากการบริหารเปลี่ยนจิตไร้สำนึกที่เข้ามาอยู่ในสมองให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้  (conscious cognition)  

อีกราวๆ 20 กว่าเดือน หรือเรียกว่าลัดนิ้วมือเดียวก็ได้ เราชาวโลกทั้งหลายก็อาจจะรู้ว่าเมื่อในฉับพลันทันทีทันใด ขั้ว (แม่เหล็ก) ขั้วโลกเหนือเกิดย้ายที่ไป 30 ดีกรีไปทางตะวันตก และมีประชากรโลกที่หายไปในทันทีถึง 5,000 ล้านคน ทั้งนี้ ถ้าหากว่าการทำนายของชนเผ่ามายาและอินเดียนแดงทั้งหลาย  ขบวนการนิวเอจแทบจะทั้งหมด ดร.โฮเซ อะกิลเลซ และผู้เขียน - ทำนายไม่ถูก แต่ทว่าไม่ว่าจะอย่างไร?  จะผิดอย่างไร? มุมมองของนักวิทยาศาสตร์มากหลายที่มองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น  เจมส์ ลัฟล็อก, เซอร์มาร์ติน รีส และปีเตอร์ รัสเซล รวมทั้งองค์การนาซาเองมองว่าโลกจะต้องประสบกับความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมโลก เพราะโลกร้อน ภายในก่อนสิ้นศตวรรษนี้ และมีโอกาสมากนักที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 2020 ถึงปี 2040 และประชากรโลกตอนนั้นก็จะหายไปในฉับพลันทันทีทันใดเหมือนตอนมีสึนามิ 5,000 ล้านคน ทั้งนี้ ก็เป็นการทำนายบนความเชื่อ และการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์บางคนเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าความเชื่อและนักวิทยาศาสตร์จะมีชื่อเสียงเพียงไรก็ผิดได้ นั่น - ไม่นับศาสนาทุกๆ ศาสนา รวมทั้งลัทธิพระเวทและศาสนาพุทธด้วยที่บอกว่า โลกและสังคมมนุษย์จะต้องพินาศหายนะ แม้ว่าชาวโลกจะหายไปไม่หมด แต่เราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปสู่จิตวิญญาณ (collective transformation) ทั้งหมดนั้นได้พูดไปหลายหนแล้ว   เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นไม่แน่ว่าจะมีอำนาจของสนามพลังงานจากการย้ายที่ของขั้ว (แม่เหล็ก) โลกเหนือไป 30 องศา ไปอยู่แถวๆ อะแลสกาหรือไม่? - เหมือนกับในหนังของฮอลลีวู้ด ซึ่งเรือดำน้ำของรัสเซียเกิดไปเยี่ยมเยียนอเมริกาในตอนนั้นพร้อมกับระเบิดนิวเคลียร์ พอดีมาช่วยไว้ - หรือไปทางตะวันตกอีกเล็กน้อยหรือไม่? เท่านั้น ประเทศไทยก็จะเข้าไปใกล้ๆ ขั้วโลกเหนืออีก 30 ดีกรี ทำให้ประชาชนบางคนมีโอกาสเห็นหิมะตกในฤดูหนาวได้สมใจ ที่พูดนี้ก็ได้พูดมาแล้วหลายหนเหมือนกัน

ผู้เขียนขอให้ลูกสาวบุญธรรมถามบี อแลน วอลเลซ นักฟิสิกส์และนักปรัชญามีชื่อผู้ได้รับเชิญมาพูดที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ศาลายา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ว่างหรือเทศะอันสมบูรณ์เป็นปรมัตถ์ (ultimate  space) เป็นสิ่งเดียวกับสุญตาของพุทธศาสนาหรือไม่? ซึ่งเขาก็ตอบว่า - ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน อย่าลืมว่าที่ว่างอันสมบูรณ์ในทางควอนตัมฟิสิกส์และซูเปอร์สตริงธีออรีแห่งจักรวาลวิทยาใหม่ หรือความว่างเปล่าทางควอนตัม (quantum vacuum) - ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับสนามแห่งความเป็นสูญ (zero-point field) -  นั่นเป็นผลโดยตรงของการสั่นสะเทือนทางควอนตัม (quantum fluctuation) พลังงานที่ทางควอนตัมฟิสิกส์บอกว่าได้มาจากการสลายไปของจักรวาลเก่า (ในทางจักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีมาไม่ถึง 10 ปี  และเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ปัจจุบันพากันเชื่อมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ นั้น โดยบอกว่าจักรวาลมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดดั่งที่ทางพุทธศาสนาว่าไว้ อนามัตโก ยามัง สังสาโร บัพพะโกติ นะปัญญายาติ และอุปานิษัทก็บอกว่า นะ อันโต นะ ชาติ องค์ทะไล ลามะ จะกล่าวเสมอๆ ว่า จักรวาลมันมีไม่จบสิ้น มีบิ๊กแบ๊งๆๆๆ ไปเรื่อยๆ) แต่ผู้เขียนคิดว่าได้มาจากจิตปฐมภูมิ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าที่ว่างอันสมบูรณ์  (ultimate space - สุญตาของพระพุทธองค์) รวมทั้งจิตปฐมภูมิก็อยู่นอกจักรวาล - การอยู่ข้างนอกจักรวาลหรือข้างในจักรวาลไม่ได้มีความสำคัญนักสำหรับพระพุทธองค์ เพราะผู้เขียนคิดว่าพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นศาสดาองค์เดียวที่เป็นจีเนียส (genius) หรือสัพพัญญู ซึ่งมีวิวัฒนาการทางจิตได้สูงผ่านพ้นขั้นเนวะสัญญาณาสัญญา (หรือ non-dual คือได้ทั้ง 2 วิมุตติ ทั้งการผ่านพ้นด้วยจิตและการผ่านพ้นด้วยปัญญา) หรือตกฌานที่ 9 ที่ผ่านพ้นความเป็นอรหันต์ (ฌาน 8 หรือ causal) - ผู้เขียนคิดว่าเรา - เป็นมนุษย์ จำต้องรู้ความจริงที่แท้จริงว่าเรามาจากไหนและไปไหน? เราจะได้ไม่ผิดอีก ผู้เขียนคิดว่าเพราะเรา - มนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับผู้เขียนก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่อายุยังไม่ถึง 60 ดี ที่ทะนงตนคิดว่าตนรู้หมดแล้ว ซึ่ง ความจริงที่จริงแท้ ของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ต้องรู้ คือไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก หรือเป็นความจริงแท้ จึงไม่แคร์ไม่ยี่หระอะไรหรือใครทั้งนั้น “ชีวิตเป็นของกู คนอื่นไม่เกี่ยวโว้ย!” เหมือนคนที่เป็นมะเร็งที่รักษาไม่ได้ หรือคิดว่ารักษาไม่ได้ จึงคิดว่าตายดีกว่า โดยไม่คิดว่าคนอื่น สามีหรือภรรยา มิตรหรือเจ้าหนี้ ลูกหนี้ สังคมโดยรวม ฯลฯ ที่พลอยเดือดร้อนไปด้วย นั่นไม่นับกรรมที่จะติดตัวไปทุกชาติที่ไม่ว่าใครจะเชื่อ (ฟิสิกส์ใหม่) หรือไม่เชื่อ (นิยมวัตถุ หรือ materialist หรือคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตัน) แต่ผู้เขียนเชื่อว่ามีกรรมและการเกิดใหม่กับมีชาติภพภูมิแน่ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของกรรม บางทีบางคนและบางครั้งไม่ต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่เสียก่อน

คนเรานั้นโชคไม่ดีที่เกิดมาไม่มีเพื่อน มีแต่มนุษย์เผ่าพันธุ์สปีชีส์เดียว ผิดแต่เพียงสีผิวและรายละเอียดของรูปร่าง จึงผสมพันธุ์กันได้ เรา - โดยรวม - ถึงได้รักมนุษยชาติ (anthropocentric) เราเกิดมา  “เพื่อเรียนรู้ - รู้จัก - เข้าใจโลก โลกที่ว่าไปแล้วคือสิ่งที่อยู่รอบๆ กับข้างนอกตัวเรา” ใกล้หรือไกลแล้วแต่ประสบการณ์ที่เราได้รับจากตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และรู้โดยการรับรู้ - วิเคราะห์ - แปล ด้วยใจหรือจิตใจ หรือจิตรู้หรือจิตสำนึกที่ผ่านการบริหารด้วยและที่สมอง ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส ถึงได้เปิดสู่ภายนอกเพื่อรอคอยรับและรู้การสัมผัสติดต่อตลอดเวลาที่เราตื่น ผู้เขียนเชื่อว่าจิตที่เกิดจากที่ว่างอันสมบูรณ์หรือสุญตาในพุทธศาสนาเกิดมีขึ้นก่อนจะมีจักรวาล จิตนั้นย่อมซึมแทรก (permeate and  penetrate) ไปทั่วสรรพสิ่ง มนุษย์ทุกๆ คน สัตว์โลกทุกๆ ตัว และต้นไม้ทุกๆ ต้น และสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิตทุกๆ สรรพสิ่ง - จะมีจิตอยู่ภายใน - มีเป้าหมาย หากมองจากวิวัฒนาการ หรือจุดมุ่งหมาย หากมองจากปัจเจกย่อมเจริญเติบโตไปสู่ความซับซ้อนทั้งนั้น โดยธรรมชาติจากความหลากหลายของชั้น อันดับ ตระกูล จนถึงสปีชีส์ที่จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับและใช้เวลาน้อยลง แบคทีเรียมีมากมายหลากหลายและใช้เวลาเป็นพันล้านปีถึงจะมีวิวัฒนาการ แมลงต่างๆ มีมากมาย แต่น้อยกว่านั้น หมาลิงยิ่งมีและใช้เวลาน้อยกว่า และมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทั้งรูปและนานมากที่สุดมีสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียว และใช้เวลาเพียงแสนกว่าปีในการมีวิวัฒนาการทางรูป และจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นในการวิวัฒนาการทางจิตถึงจุดโอเมกาหรือสภาวะจิตวิญญาณ โดยเฉพาะจิตวิญญาณร่วมโดยรวม (collective spirituality).

http://www.thaipost.net/sunday/230111/33242 (http://www.thaipost.net/sunday/230111/33242)

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4943.msg20841.html#msg20841 (http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4943.msg20841.html#msg20841)