[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 พฤษภาคม 2567 02:50:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ  (อ่าน 1476 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 14:31:09 »






น่าแปลกใจว่ามันต้องมีอะไรที่ดลใจทำให้ ฟรานซิส ทอมป์สัน กวีขี้ยาชาวอังกฤษแต่งโคลงที่ไพเราะ และมีกลิ่นอายของความเร้นลับขึ้นมาในปี 1893 โคลงที่บอกเล่าถึงการหมดทางหลีกหนีกฎของสวรรค์ ที่ไม่ว่าอย่างไรผู้ที่กระทำบาปก็ต้องได้รับการลงโทษอยู่วันยังค่ำ นั่นคือโคลงที่รวบรวมไว้ในบทกวีที่ชื่อว่า หมาไล่เนื้อของสวรรค์ (The Hound of Heaven) ที่บอกเราว่า "คุณไม่สามารถเด็ดดอกไม้ (บนโลก) ได้โดยไม่รบกวนถึงดาว" ท่านผู้อ่านหลายคนคงรู้สึกคุ้นๆ กับกวีที่ยกมาเป็นหัวข้อของบทความวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในยุคสมัยของฟรานซิส ทอมป์สัน และแม้ในวันนี้เวลานี้ เราหลายคนก็ยังคิดว่าแม้จะเป็นข้อคิดที่สวยงามน่าสนใจ แต่ว่าข้อเท็จจริง-ตามหลักวิทยาศาสตร์แบบที่เราเรียนมา ซึ่งล้าสมัยสำหรับนักฟิสิกส์ยุคใหม่ชาวตะวันตก-ของทุกวันนี้ มันไม่เพียงเป็นไปไม่ได้เท่านั้น แต่มันเป็นความจริงแท้ที่พิสูจน์ทั้งในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์และในทางคณิตศาสตร์ได้หมดสิ้นจริงๆ ไม่ว่าที่ใดและเมื่อไหร่? นั่นคือความจริงที่แท้จริงขององค์รวมซ้อนองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวมที่ใหญ่กว่า ซ้อนๆๆ องค์รวมที่ใหญ่กว่านั้นขึ้นไปอีก...แอดอินฟินิตัม...และแท้จริงแล้ว พุทธศาสนาได้บอกเราสอนเราอย่างนั้นมาตั้งเป็นพันๆ ปีแล้วว่า ทั้งหมดคือหนึ่ง หนึ่งคือทั้งหมด (อวตามสกสูตร) เช่น แหมณีของพระอินทร์ซึ่งคนโบราณเชื่อ คนสมัยใหม่ไม่เชื่อว่ามีพระอินทร์ แต่ตอนนี้คนหลังสมัยใหม่ (postmodernist) กลับมาเชื่อใหม่ (ยกเว้นพระอินทร์ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มี) ว่าไปแล้วนั่นเป็นความจริงที่แท้จริงของควอนตัมเมกานิกส์ จริงๆ แล้วนั่นคือหนึ่งในแปดข้อของความจริงทางควอนตัม (Copenhagen Interpretation of quantum reality) ที่ทุกวันนี้นักฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกๆ คนรู้และยอมรับเป็นเอกฉันท์
 
นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในด้านวิชาการ ที่แม้แต่วันนี้พวกนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จริงๆ โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ รวมทั้งในบ้านเราพากันไม่เชื่อ หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ เพราะว่าไม่ได้เรียนมา และที่สำคัญกว่าคือมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เหตุผลที่เราไม่เคยเอามาคิด เพราะมันติดอยู่กับสามัญสำนึกด้วยความเคยชินของเราว่าเราเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราทำอะไรย่อมถูกทั้งหมด ยกเว้นการกระทำอะไรๆ ของเรานั้นเรากระทำกับมนุษย์ด้วยกันเอง เราถึงได้เรียกร้องแต่กับสิทธิมนุษยชน ส่วนชีวิตอื่นเผ่าพันธุ์อื่นๆ ช่างหัวมันปะไร


 
ความจริงที่เรามีทุกวันนี้จึงได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าวันนี้มันยังไม่สมบูรณ์ดี แต่เท่าที่เรารู้แล้วมันเปลี่ยนโดยสิ้นเชิงจริงๆ ชนิดที่นักฟิสิกส์เองก็ยังไม่เชื่อ-หลายคนที่ค้นพบฟิสิกส์ใหม่ รวมทั้งไอน์สไตน์เองก็ไม่เชื่อจนวันที่ตัวเองตาย-เพราะว่าความรู้ที่เราภูมิใจนักหนาที่รู้และเรียนกันมาว่า มันคือความจริงถึง 400 กว่าปี คือรู้ว่าวิทยาศาสตร์นั้นไม่เป็นความจริงที่แท้จริงอีกต่อไปเสียแล้ว นั่น-ได้สร้างความตื่นตกใจและรับไม่ได้ เพราะว่ามันไปเหมือนกับมายากลหรือเหมือนผีหลอก ที่คนขนาดไอน์สไตน์ยังบอกว่า ที่เขาไม่เชื่อเพราะมันไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า "พระเจ้า (ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์) จะเล่นการพนัน (ทอดลูกเต๋า) ได้อย่างไร?" และเพราะคนขนาดนั้น รวมทั้งยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อหรือยังคลางแคลงใจ นักวิทยาศาสตร์มากหลายทั่วทั้งโลก รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ในบ้านเราจึงพากันไม่เชื่อ หรือพลอยคลางแคลงใจตามไปด้วย อย่างน้อยในตอนแรกๆ นักประวัติศาสตร์ยังถกเถียงกันตลอดมาว่า อย่างน้อยในตอนแรกๆ นั้นเป็นเมื่อไหร่กันแน่? บางคนคิดว่าน่าจะเป็นปี 1905-เมื่อไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษว่า พลังงานก็คือสสารที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วยกกำลังสอง (E=MC) และยังบอกว่าความเร็วสูงสุดในจักรวาลนี้คือความเร็วของแสง และแสงเดินทางได้ราวๆ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที-บางคนว่าเป็นปี 1927-ปีที่สรุปการค้นพบควอนตัมเมกานิกส์ พร้อมๆ กับที่มีการแปลความจริงทางควอนตัมขึ้นมา-แต่บ้างก็ว่าเป็นปี 1982-เมื่อทางรัฐบาลของสหรัฐโดยสภาคองเกรสรับรองว่า ฟิสิกส์ใหม่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ให้ความจริงที่แท้จริงอย่างที่สุด ส่วนความรู้เหนือธรรมชาติ (ESP) ไม่เป็นวิทยาศาสตร์-แต่นั่นเป็นเสียงข้างมากที่สูสีกัน โดยเสียงข้างน้อยเชื่อว่าอีเอสพีเป็นวิทยาศาสตร์
 
ที่สำคัญกว่าสิ่งใดก็คือ ความละม้ายคล้ายคลึงกันระหว่างพุทธศาสนากับฟิสิกส์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับควอนตัมเมกานิกส์ อย่างที่เคยเขียนมาเคยอ้างอิงมาตลอดเวลา นั่นคือสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาล เมื่อเราไล่ไปจนละเอียดสุดละเอียดแล้ว มันล้วนแล้วแต่พัวพันกันอย่างอีนุงตุงนัง (ที่ชโรดิงเกอร์เรียกว่า entanglement) ว่าไปแล้วนั่นคือความจริง ที่ทำให้ศาสนากับวิทยาศาสตร์ไม่พูดกันเลยมาตั้งหลายร้อยปี อยู่ๆ ก็เกิดมาละม้ายคล้ายคลึงกันได้อย่างไร? ตรงนี้มีคำถามที่เราหรือนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกไม่เข้าใจ หรือตอบไม่ได้อยู่ถึงสามประการ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อเราหรือมนุษยชาติอย่างยิ่งยวด สามประการนั้นคือ หนึ่ง-วิธีการที่ได้มาหรือเข้าถึงความจริงนั้น สอง-เวลาที่เราค้นพบและเข้าใจซึ่งเวลานั้น ทำไม? ถึงต้องเป็นในเวลานี้ ที่มนุษยชาติและโลกของเรากำลังอยู่ในภาวะที่เลวร้ายทางศีลธรรมจริยธรรม หรือเรื่องของจิตใจที่หนักหนาสาหัสไปแทบทั้งหมดทั่วทั้งโลก และสาม-ดังที่ได้ตั้งเป็นหัวข้อของเรื่องในวันนี้ ว่าทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับเด็ดดอกไม้บนโลกจะกระเทือนถึงดาวบนฟ้าได้อย่างไร? เพราะว่ามันอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน
 
ประเด็นแรกน่าคิดมากๆ เพราะว่าวินัยทั้งสองมีวิธีการ (methodology) ที่เข้าถึงความจริงแท้แตกต่างกัน พุทธศาสนาใช้ประสบการณ์ตรงส่วนตัว ซึ่งรับรู้ด้วยบุคคลที่หนึ่งหรือจิตของตัวเอง แต่วิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ใช้การทดลองซึ่งเป็นบุคคลที่สามรับรู้ได้เหมือนๆ กัน แต่ก็ต้องใช้จิตที่อยู่ภายในของตัวเอง หรือบุคคลที่หนึ่งนั่นแหละรับรู้หรือสังเกตก่อน (เพื่อให้สภาพที่เป็นทั้งคลื่นทั้งอนุภาคพร้อมๆ กันได้สลายความเป็นคลื่นไป wave-function collapse) นั่น-แตกต่างไปจากฟิสิกส์คลาสสิกโบราณ ที่ใช้ตาเห็นหรืออวัยวะรับรู้ของมนุษย์คนไหนก็ได้ ซึ่งเป็นบุคคลที่สามเห็นหรือรับรู้เหมือนกัน น่าแปลกที่นักวิทยาศาสตร์โบราณเหล่านั้นใช้วิธีการนั้นที่มนุษย์เท่านั้นเห็นหรือรับรู้
 
"สิ่งที่ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น" หรือสิ่งนั้นชีวิตอื่นๆ ที่มากมายหลายเผ่าพันธุ์นั้น ต่างถูกบังคับว่าต้องเห็นและรับรู้เหมือนกับมนุษย์ด้วย ซึ่งเราก็รู้ว่าชีวิตอื่นๆ ใดๆ ต่างก็ล้วนเห็นหรือรับรู้ไม่เหมือนกัน เพราะต่างก็เรียนรู้รอดเพื่ออยู่ในโลกให้ได้ หรือรับผิดชอบชีวิตของตนแตกต่างกัน ทุกๆ ชีวิตจึงเห็นและรับรู้ไม่เหมือนกัน เช่น อาหารไม่เหมือนกัน หรือมีศัตรูคนละอย่างกัน ประการที่สอง-เรื่องของเวลา ทำไม? ถึงต้องเป็นเวลานี้? แต่คำถามนั้นก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วให้เป็นตอนไหน? เราต้องคิดว่าธรรมชาตินั้น เท่าที่เรารู้และสังเกตมาตลอดเวลา มันมีลักษณะเฉพาะที่จำเป็นอยู่สามประการ-ที่น่าแปลกใจตรงที่พุทธศาสนาสอนเรากับที่ฟิสิกส์ใหม่บอกเรานั้นตรงกันเหลือเกิน - คือหนึ่ง-ความเป็นองค์รวมที่ทางศาสนากับควอนตัมฟิสิกส์เหมือนกันเป๊ะดังได้กล่าวมาแล้ว สอง-การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า อิทัปปัจจยตา และทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า ระบบการจัดองค์กรให้กับตัวเอง (self-organizing system) สาม-ทั้งสองประการนั้นทำให้ธรรมชาติ "ไหลเลื่อนเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาโดยเชื่อมโยงกันและกันกับทั้งหมด" ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกสั้นๆ ว่า อนิจจังหรืออนัตตา นั่นคือลักษณะหรือคุณสมบัติของธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไม่ได้โดยเด็ดขาด-หากว่าธรรมชาติโลกและจักรวาลรู้ตัว-โลกและจักรวาลที่นักวิทยาศาสตร์ เช่น ดเวน เอลยิน, ปีเตอร์ รัสเซล, เจมส์ ลัฟล็อก ฯลฯ บอกว่าเป็นประหนึ่งสิ่งที่มีชีวิต นั่นคือระบบนิเวศน์วิทยา (ecology) ที่เป็นศัตรูกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่มนุษย์และสังคมเป็นผู้คิดขึ้น (economy) หรือเป็นวัฒนธรรมที่ส่วนใหญ่มักตั้งบนอวิชชาที่ไม่ตั้งใจ โหมกระหน่ำด้วยกิเลสและตัณหาของ โลภะ โทสะ โมหะ จนกระทั่งธรรมชาติรู้ตัวว่ากำลังล่มสลายแล้ว (ทรัพยากรธรรมชาติติดลบแล้วร่วมสิบเปอร์เซ็นต์)
 
ด้วยความไม่รู้และโอหัง แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งความเชื่อ แบ่งชาติกำเนิด งมงายอยู่กับอวิชชาและกามโลกีย์ ซึ่งคนส่วนใหญ่มากๆ เหล่านี้มักจะละเลยคุณธรรมจริยธรรมอย่างหนักหน่วงและเพิ่มทวียิ่งขึ้นทุกวัน กลับกลายเป็นนอร์มใหม่ของสังคมไปโดยไม่เกรงกลัวฟ้าดิน แม้ว่าตอนนี้จะมีบางคนที่รู้สึกตัวบ้างแล้ว แต่ก็สายเกินไปที่จะหยุดยั้งกรรมร่วมโดยรวม (collective karma) ไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ประการที่สาม-เรื่องของความสัมพันธ์พึ่งพาอาศัยกันขององค์รวมซ้อนองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวม ฯลฯ แอดอินฟินิตัม ซึ่งอาร์เธอร์ คอสเลอร์ เรียกว่า "องค์รวมกับส่วนขององค์รวมที่ใหญ่กว่า" ซ้อนๆ องค์รวมกับส่วนขององค์รวมที่ใหญ่กว่านั้นอีกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ (holon= whole and part) นั่นคือธรรมชาติของโลกและจักรวาล ไม่ว่าจะมีจักรวาลเดียวหรือหลายๆ จักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสำหรับผู้เขียนเชื่อว่าโลกและจักรวาล-ไม่ว่าจะมีจักรวาลเดียวหรือซ้อนๆ กันหลายๆ จักรวาล ดังที่ได้เขียนมาตลอดโดยเฉพาะเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว-คือสิ่งที่มีชีวิต เช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์โลกทั้งผอง เพราะว่าผู้เขียนเชื่อว่าอะไรก็ตามที่มีจิตอยู่ข้างในร่าง สิ่งนั้นคือชีวิตหรือมีชีวิต พูดง่ายๆ จิตกับชีวิตคือสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะสัตว์โลก (sentience) จะมีเวทนาความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องผลของการบริหารจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก หรือจิตตื่นรู้ในแต่ละตัว (คน) (unconsciousness to consciousness and a conscious mind) เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งสรรพปรากฏการณ์ต่างล้วนแล้วมีที่มีจิตกันทั้งนั้น ดังที่ราษฎร์ กฤษนันท์ ว่า "จิตหลับในก้อนหิน ตื่นแต่ไม่รู้ในพืชพันธุ์ไม้ ตื่นและมีกิริยา (active) ในสัตว์ ตื่นรู้ในคน" ดังนั้น ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในจักรวาลจึงมีชีวิตทั้งสิ้นรวมทั้งตัวจักรวาลเอง "จักรวาลก็เป็นเช่นเดียวกับจิต เหมือนความคิดมาก กว่าจะเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ดังที่นักวัตถุนิยมคิด.....หรือเป็นดังที่นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบฟิสิกส์แห่งยุคใหม่แต่ละคนเลยคิดและเชื่อ จักรวาลนั้นอธิบายให้เราเข้าใจไม่ได้ เพราะเป็นมายากลที่ต้องเอาจิตวิญญาณไปรวมด้วย" (Ken Wilber: The Eye of Spirit, 1998) เด็ดดอกไม้จึงกระเทือนถึงดาวและจักรวาลจริงๆ.
 
 
---------

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ | ไทยโพสต์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : เลิกมองโลกด้วยแว่นตาสีเสียที
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1935 กระทู้ล่าสุด 29 มิถุนายน 2553 08:09:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์องค์รวมที่บูรณาการจริง ๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 1 2219 กระทู้ล่าสุด 17 มกราคม 2554 00:15:27
โดย หมีงงในพงหญ้า
ความทรงจำนอกมิติ : จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนา กับ สนามแห่งรูป
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2927 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2554 10:07:06
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1925 กระทู้ล่าสุด 23 มกราคม 2554 08:21:18
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จิต-สมองจักรวาลคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุด
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2081 กระทู้ล่าสุด 30 มกราคม 2554 05:46:17
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.397 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 08 เมษายน 2567 19:25:41