[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
10 พฤษภาคม 2567 03:58:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลแห่งแสงเสียงและดนตรี  (อ่าน 7524 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 15:37:13 »


 
 
ทุกๆ ศาสนาใหญ่ในโลกเลยโดยไม่มียกเว้น พูดถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลว่าเป็นที่มาของแสงสว่าง หรือเป็นแหล่งของมหกรรมดนตรีซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ ที่มีการร้องหรือ "คำพูด" คลออยู่ด้วยตลอดเวลา หรือมีการอธิบายลักษณะจำเพาะของจักรวาลไว้ ทั้งสองอย่างที่กล่าวมานั้น คือเป็นแสงสว่างที่ศาสนาพราหมณ์ เต๋า วชิรญาณ พุทธศาสนา จะพูดถึงแสงอันกระจ่างใสที่เป็นพื้นฐานของจักรวาลเหมือนๆ กัน นั่นคือแสงที่พระเจ้าให้แสงสว่างอันเป็นพื้นฐานของจักรวาลแก่จักรวาลและโลก (24:3) ในศาสนาอิสลาม (God is the light of heaven and earth) ซึ่งในเถรวาทพุทธศาสนาจะพูดว่า วิญญานามัง อนิทัสสนามัง อนันตามัง สัพโตปภามัง หรือจะเป็นเสียง เป็นคำพูด หรือเป็น "ศัพท์" ของจักรวาลอันกูรู นานัก แห่งศาสนาซิกข์อธิบายไว้ หรือ "โอม" สัญญาแห่งจักรวาลในลัทธิพระเวท ดังที่จอเห็นแห่งคริสต์ศาสนาได้กล่าวว่า "ทีแรกมีแต่คำพูด คำพูดกับพระเจ้า คำพูดของพระเจ้าเอง" นั่นคืออะไร? ซึ่งศาสนาทุกๆ ศาสนาจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทั้งแสงสว่าง (light) และเสียง-ดนตรี (sound or music) ของจักรวาลที่ทำให้เรารับรู้-การ "รู้" (know) ได้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงนั้น คือพื้นฐานของจักรวาลหรือความจริงแท้หรือพระเจ้า ทางฟิสิกส์ใหม่ที่สงสัยมานาน (Sir Arthur Eddington's mind stuff) ก็เพิ่งได้พิสูจน์เป็นองค์ความรู้ (academic knowledge) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทั้งหมด (ทั้งแสงสว่าง เสียงหรือดนตรี และทั้งการรู้จากภาษา หรือข้อมูล information) คือพลังงาน หรือถูกนำพา (carrier) โดยพลังงาน ซึ่งคล้ายๆ กับพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า (J.J. Thompson) ที่มีขนาดต่ำมากๆ (VLF or very low frequency ขนาด 1-10 Hz) ซึ่งต่ำเท่าๆ กับคลื่นไฟฟ้าของสมองส่วนมาก นั่นคือการสั่นสะเทือน (vibration) อันเป็นคุณสมบัติของทุกสรรพสิ่งและทุกๆ ปรากฏการณ์-ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต-ของจักรวาลทั้งหลายทั้งปวง นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าการสั่นสะเทือนที่มีขนาดต่ำที่สุด คือต่ำกว่ารังสีคอสมิกมากนัก คือพลังงานละเอียดสุดละเอียดอย่างที่สุด (subtle energy) ซึ่งก็คือพลังงานปฐมภูมิที่แยกจากจิตไม่ได้นั่นเอง (James L. Oschman: Energy Medicine, Scientific Basis, 2003) ซึ่งตรงกันเป๊ะกับที่พุทธศาสนาบอก (B.Alan Wallace: Hidden Dimension, 2007) ว่าพลังงานปฐมภูมินั้นแยกออกจากจิตปฐมภูมิไม่ได้
 
แต่ทุกวันนี้ สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนั้นกำลังจะจางหรือค่อยๆ หายไป โลกปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างน้อยแมกนีโตสเฟียร์ของโลก ที่คอยป้องกันพายุสุริยะจากจุดดำของดวงอาทิตย์ก็กำลังหายไป เราหลายๆ คนยังเชื่อเจเจ. ธอมป์สัน นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลที่อ้างข้างบนนั้นว่า แสงและเสียงดนตรีอาจต้องใช้สนามแม่เหล็กโลกหรือแมกนีโตสเฟียร์ เพื่อนำพาการสั่นสะเทือน (vibration) เพื่อการสรรค์สร้างนั้นๆ
 
นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์กายภาพเก่า และเป็นไปได้ที่พร้อมกันนั้น ใครที่เป็นคนพูดเช่นนั้นมักจะถูกหาว่าเป็นคนบ้าหรือเพี้ยน โดยนักวัตถุนิยมแมตทีเรียลลิสต์แยกส่วน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ ของสังคมหรือของโลกกายภาพสมัยก่อน ซึ่งทุกวันนี้คนที่คิดและเชื่อเช่นนั้นนับวันจะมีจำนวนน้อยลงอย่างรวดเร็ว เพราะวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะควอนตัมเมคานิกส์สำหรับประเทศที่พัฒนาอุตสาหกรรมมากๆ แล้ว คือรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และสาธารณชนคนทั่วไปซึ่งเป็นชาวตะวันตก แต่นั่นไม่ใช่คนส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดของประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา หรือเพิ่งพัฒนาใหม่ๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพเก่าๆ ซึ่งเป็นแมตทีเรียลลิสต์แยกส่วนเก่าๆ เหมือนเดิม โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ที่เรียนจบมาจากเมืองนอกก่อนปี 1995
 
ในช่วงปลายๆ ของปี พ.ศ.๒๕๓๖ และต้นๆ ปี พ.ศ.๒๕๓๗ ผู้เขียนได้เขียนบทความว่าด้วยซิมโฟนีของจักรวาล ซึ่งเป็นพลังงานของจิตจักรวาลสองหรือสามบทความ ซึ่งในช่วงนั้นยังคิดว่าจิตจักรวาลยังเป็นคลื่นอนุภาค (quiff หรือสภาพทางควอนตัมของอนุภาค หรือสสารวัตถุสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง แต่ปัจจุบันโดยทฤษฎีสตริง เข้าใจว่าเล็กละเอียดกว่าคลื่นอนุภาคมากนัก คือเล็กละเอียดกว่าอนุภาคที่เล็กที่สุดทีเรารู้ เช่น นิวตริโนส์ โฟตอน หรือแม้แต่ควาร์กส (neutrinos, photon and quarks) คือคิดว่าจิต-ในที่นี้คือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล (unconscious continuum)-คงจะเล็กละเอียดยิ่งไปว่าอนุภาคยิ่งนัก และผู้เขียนยังคิดว่า เราคงหาการดำรงอยู่ของจิตในห้องทดลองไม่มีทางทำได้) ในบทความเหล่านั้น เช่นบทความที่ชื่อ "สัญญาแห่งจิตวิญญาณ พลังงานแห่งเอกภพ" (ผู้เขียนใช้คำว่าเอกภพครั้งเดียวในบรรดาบทความไม่ต่ำกว่าครึ่งหมื่นบทความ เพราะช่วงนั้นยังคิดว่าจักรวาลมีเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้ถึงเชื่อว่าจักรวาลนั้นมีจำนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด) ผู้เขียนนั้นได้คิดและเชื่อเสมอมาตลอดว่า จักรวาลของเรานี้ซึ่งมีจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลเป็นพื้นฐานนั้น ดำรงอยู่ด้วยพลังงานปฐมภูมิอันเกิดมาจากจิตร่วมที่ว่านั้น-สั่นสะเทือน (vibration)
 
การสั่นสะเทือนที่ให้แสงสว่าง ให้เสียง ให้คำพูดหรือดนตรีซิมโฟนี และการรู้ของเรา นั่นไม่ใช่เรื่องที่พูดกันเล่นๆ ทั้งไม่ใช่เป็นปรัชญาที่ต้องคิดหนักๆ ที่บางทีและบางคนเท่านั้นที่อาจจะพอรู้ แต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นวิทยาศาสตร์ธรรมดาที่เราทุกคนสามารถที่จะรู้ได้ หากว่าเข้าใจในหลักการของทฤษฎีสตริง (string theory) ที่รวมทฤษฎีสัมพัทธภาพกับควอนตัมเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นหลักการจักรวาลวิทยาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ใหม่ ก่อนที่จะลงไปที่หลักการนั้นต้องขอพูดถึงบทความต่างๆ ที่ผู้เขียนได้เขียนมาตลอดเวลาร่วมยี่สิบปี นับแต่ผู้เขียนเริ่มเขียนเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตัวเองและการปฏิวัติสังคมใหม่ๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากปัญหาของภาวะวิกฤติของธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำท่วม เขื่อนพัง โรคระบาด จนกระทั่งดาวหางอุกกาบาตวิ่งมาชนโลก ซึ่งตัวอย่างเราก็เห็นกันถ้วนหน้าอย่างจะจะของภัยธรรมชาติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเราเอง จากอวิชชาและตัณหากับความจองหองอวดดีของเรา ซึ่งตอนนั้นแม้จะเตือนแล้วเตือนอีก คนทั่วๆ ไปหรือรัฐบาลก็มองไม่เห็น คงคิดว่าผู้เขียนเพี้ยน "ไปล่องลอยอยู่ในอวกาศในจักรวาลเสียแล้ว" ดังที่คนขนาดข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มากๆ กระทั่งรัฐมนตรีบางคนก็กล่าวเช่นนั้น ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่ประเทศนี้และโลกนี้ก็มีผู้เขียน ครอบครัว และญาติพี่น้องด้วยที่อาศัยอยู่ ข้าราชการและรัฐบาลที่กินเงินเดือนของประชาชนจะทำเฉยโดยไม่รับผิดชอบอะไรเลยคงจะไม่ได้ โดยเฉพาะต่างก็ได้รับคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์ นักนิเวศวิทยา และนักคิดนักเขียน ที่เขียนเตือนจำนวนมากมาตลอดเวลา แม้แต่ผู้เขียนเองที่กล่าวในบทความที่เขียนมาตั้งแต่ร่วมยี่สิบปีมาแล้วว่า ให้ระวังน้ำจะท่วมโลกหลังปี ๒๕๕๓ จักรวาลเชือดไก่ให้ลิงดู กระทั่งบทความที่ผู้เขียนอ้างถึงข้างต้นว่า ทั้งทางศาสนาและฟิสิกส์ใหม่ได้บอกเหมือนๆ กันว่า "เรื่องของความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างสรรพสิ่งทุกๆ สรรพสิ่ง ระหว่างชีวิตกับจักรวาล ระหว่างความคิดจินตนาการ..'ปราณ' (หรือ 'ชี่') กับจิตจักรวาล" นั่นคือความจริงแท้ มนุษย์เราไม่ว่าทำอะไรกับจักรวาลหรือธรรมชาติ ด้วยความเชื่อมโยง เป็นหนึ่งเดียวกันที่ว่านั้น จะต้องมีการหวนกลับมาที่มนุษย์เราด้วยแรงที่เท่ากันเสมอไม่ว่าเราจะทำอะไร ดีหรือชั่ว ให้กับจักรวาล ที่เราจะเรียกว่าธรรมชาติก็ได้ ธรรมชาติซึ่งมีสองระดับ หยาบกับละเอียด ซึ่งผู้เขียนได้พูดไปแล้วหลายครั้ง นั่นคือกรรมร่วมที่มนุษยชาติได้กระทำไว้กับธรรมชาติด้วยแรงกรรม ด้วยอวิชชากับตัณหา และเราก็ไม่มีทางหลีกหนีอย่างไรได้ ที่ไม่ได้กระทำกรรมไว้ก็พลอยต้องได้รับผลของการกระทำไปด้วย แม้ว่าจะน้อยกว่าตามที่เราเชื่อก็ตาม ซึ่งถ้าหากเราคิดหาพลังงานทดแทนเสียตั้งแต่ตอนนั้น ลดตัดป่าไม้ ลดมลพิษมลภาวะ ลดจับลูกปลาลูกปูและบำรุงรักษาระบบนิเวศธรรมชาติอย่างจริงจัง ภาวะที่เลวร้ายนานัปการก็คงจะไม่เป็นเช่นทุกวันนี้ แม้เราจะทำแต่ประเทศเดียวก็ตาม การแก้ไขหรือทำอะไรในตอนนี้ แม้ว่าเราต้องทำเพราะผลทางจิตวิทยาประเด็นเดียว ด้วยมาตรของโลกและการสลายตัวของก๊าซและสารเคมี ล้วนแล้วแต่สายเกินไป การประชุมลมฟ้าอากาศโลกที่โคเป็นเฮเกนครั้งนี้ก็ไร้ทางช่วยใดๆ
 
จักรวาลนั้นคือร่างกาย-ผู้สรรค์สร้างของแสงสว่าง ของเสียงและดนตรี ของข้อมูลความหมายของ "การรู้" การรู้เพื่อความรักเมตตาและให้อภัยด้วยใจจริง ทั้งนี้ก็ด้วยจิตจักรวาลที่คอยควบคุมบริหารอีกที ความรักความเมตตา (compassion-lovingkindness) อันเป็นหัวใจของพุทธศาสนา และทุกๆ ศาสนาในโลกโดยไม่มีศาสนาใดๆ ยกเว้น นั่นคือความเห็นพ้องต้องกันว่าทุกๆ ศาสนาต่างล้วนสอนให้คนเป็นคนดี หรือผ่านพ้นความเป็นธรรมดาบรรลุธรรมกันทั้งนั้น คือบรรลุระดับขั้นสูงสุดของการวิวัฒนาการทางจิตหรือสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) กันทั้งนั้น ผู้เขียนจึงมีความคิดเห็นว่า เพราะความเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ด้อยวิวัฒนาการทางจิต กับหลักการแยกส่วนต่างหากที่ทำให้มนุษย์แตกแยกจากกัน มนุษย์จึงจำต้องมีวิวัฒนาการทางจิตโดยเร็วเพื่อพ้นผ่านข้อจำกัดที่ว่านี้ให้จงได้
 
เรื่องของจักรวาลและมนุษย์ การไม่รู้ความจริงที่แท้จริงของมนุษย์ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างที่สุดของมนุษยชาติ อยางน้อยในสายตาของผู้เขียน นั่นคือสองความรู้และความจริงที่แสวงหากันมาตั้งแต่มีมนุษย์ขึ้นมาในโลก สุดท้ายนั่นคือเรื่องของวิทยาศาสตร์กับศาสนา ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าสอดคล้องต้องกันหรือเป็นหนึ่งเดียวกัน วิทยาศาสตร์คือฟิสิกส์ใหม่กับจักรวาลวิทยาที่มีทฤษฎีสตริง หรือซูเปอร์สตริง สำคัญที่สุดกับเรื่องของศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ซึ่งแม้ว่าทุกศาสนาจะมีเป้าหมายเหมือนกันในเรื่องจิตและในเรื่องความจริงแท้ แต่ผู้เขียนก็ไม่รู้เรื่องของศาสนาอื่นๆ มากพอที่จะเอามาเขียน นั่นคือสองมาตรการ สองวิธีการ ของการแสวงหาความรู้และความจริงแท้ของธรรมชาติ หรือจักรวาลทั้งหมดทั้งสิ้น มนุษยชาติกับจักรวาลนั้นต่างเป็นส่วนของกันและกัน ที่สุดท้ายแล้วแยกออกจากกันไม่ได้ พูดง่ายๆ นักฟิสิกส์ใหม่ส่วนหนึ่งและผู้เขียนเชื่อว่า จักรวาลมีขึ้นมาเพื่อรอคอยให้มีมนุษย์เท่านั้น และมนุษย์จำต้องอยู่คู่กับจักรวาลนี้ อยู่คู่กับจักรวาลอันนี้ไปทำไมรึ? ก็เพื่อให้มนุษย์มีวิวัฒนาการของจิตให้แล้วเสร็จ และให้จิตนั้นรู้จักจักรวาลทั้งหมด หรือรู้ว่าความจริงที่แท้จริงนั้นคืออะไร? สำหรับผู้อื่นผู้เขียนไม่รู้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วนั่นคือความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แม้แต่ "ตัวกูของกู" นั่นคือสาระของบทความวันนี้ ความสอดคล้องต้องกันของวิทยาศาสตร์กับศาสนาที่มาก่อนนานนักหนา แต่ตอนหลังเราส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ทำให้ศาสนาถูกปลดจากความรู้ไปเป็นความเชื่อ ลงไปถึงเป็นความงมงายไสยศาสตร์ กระทั่งวิทยาศาสตร์เองค้นพบฟิสิกส์ใหม่-ทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัม-ทำให้มนุษย์เข้าใจจักรวาลหรือธรรมชาติมากขึ้น จักรวาลวิทยาทางฟิสิกส์ใหม่นั้น มีหลายสิ่งที่ไม่เพียงสอดคล้องแนบขนานกับจักรวาลวิทยาทางศาสนา ในที่นี้คือพุทธศาสนา แต่เหมือนกันเป๊ะๆ เช่น หลักการอนิจจัง อนัตตา ทวิลักษณ์ มายาภาพลวงตา หรือความเป็นหนึ่งของจิต (ร่วมจักรวาล) พลังงานและสสารวัตถุ หรือความจริงที่แท้จริงคือแสงและเสียง คือดนตรี ซึ่งอาจจะอธิบายด้วยทฤษฎีสตริงทางวิทยาศาสตร์ในบทความนี้.



 
http://www.thaipost.net/sunday/131209/14895

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : เลิกมองโลกด้วยแว่นตาสีเสียที
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1934 กระทู้ล่าสุด 29 มิถุนายน 2553 08:09:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : การแพทย์องค์รวมที่บูรณาการจริง ๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 1 2218 กระทู้ล่าสุด 17 มกราคม 2554 00:15:27
โดย หมีงงในพงหญ้า
ความทรงจำนอกมิติ : จิตปฐมภูมิในพุทธศาสนา กับ สนามแห่งรูป
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2926 กระทู้ล่าสุด 16 มกราคม 2554 10:07:06
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1924 กระทู้ล่าสุด 23 มกราคม 2554 08:21:18
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จิต-สมองจักรวาลคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุด
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2080 กระทู้ล่าสุด 30 มกราคม 2554 05:46:17
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.379 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 04 เมษายน 2567 20:54:20