ญาณวิปัสสนาอันละเอียด (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)ญาณวิปัสสนาอันละเอียด (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
เรื่อง ญาณวิปัสสนาอันละเอียด(เริ่มทำสมาธิ)ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจที่จะทำความสงบกันต่อไป
ให้เป็นปฏิบัติบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในเบื้องต้นนี้อาตมาจะนำ ให้ว่าตามทุกคน
"ข้าพเจ้าระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์
คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์
จงมาดลบันดาลให้ใจของข้าพเจ้าจงรวมลงเป็นสมาธิ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ (๓ ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ"
นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาส ขาขวาทับขาซ้าย
มือขวา หงายทับมือซ้าย วางไว้บนตัก หลับตานึกพุทโธในใจ
กำหนดใจไว้ที่ใจ ไม่ให้ส่ายแส่ไปในทางอื่น
ไม่ให้มีอารมณ์ พยายามที่จะกำจัดมันออกไป
เราต้องคิดว่า เราเกิดมาคนเดียว ตายไปคนเดียว ไม่มีใคร
เมื่อเราหลับตา เหลือแต่ใจ มองไม่เห็นอะไร นอกจากใจดวงเดียว
ที่เราพากันเห็น ก็คือสัญญาอุปาทานเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไร
จริงๆ เมื่อหลับตาก็มองเห็นแต่ความรู้
มีความรู้อันเดียว เมื่อหลับตาไปแล้วเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นให้ทำจิตคือทำจิตให้มีอารมณ์อันเดียว
เมื่อมีอารมณ์อันเดียวย่อมจะเป็นสมาธิ
การเป็นสมาธิของจิตนั้น ย่อมจะเกิดปีติ ความเอิบอิ่ม
ย่อมจะต้องเกิดความสุข คือความสบาย
ย่อมจะต้องเกิดความเบาตัว แล้วก็มีความละเอียดละมุนละไม
นั่นคือจิตสงบแล้ว และจิตเป็นสมาธิแล้ว
จิตที่เป็นสมาธินั้น มีปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น
ไม่เหมือนกันกับที่เราอยู่โดยปรกติ
ถ้าเราอยู่โดยปรกติที่ไม่เป็นสมาธินั้น มันมีจิตรกรุงรัง
หรือคิดโน่น คิดนี่ มีความฟุ้งซ่านต่างๆ
นั่นคือความปรกติของจิตใจ แต่พอเวลาเป็นสมาธิ
จิตนี้จะ ผิดจากปรกติเดิมธรรมดา มาอยู่ในฐานะหนึ่ง
คือมาอยู่ในฐานะอีกฐานะหนึ่ง ฐานะนี้เป็นฐานะที่เรียกว่า ฌาน
ฌานนั้นมีอยู่ ๔ ด้วยกัน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
ฌานที่มี ๔ คือ ปฐมฌาน มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา
วิตก วิจารณ์ นั้น คือการนึก พุทโธๆ เรียกว่า วิตก วิจารณ์
พอปีติ เมื่อนึกพุทโธแล้ว จิตก็อยู่ที่พุทโธ ปีติ คือ ความขนพองสยองเกล้า
รู้สึกมันหวิวๆ อะไรอย่างนี้ เรียกว่า ปีติ วิตก วิจารณ์ ปีติ
สุข ก็คือ ความสบาย เอกัคคตานั้นคือความเป็นหนึ่ง นี้เรียกว่าปฐมฌาน
ทุติยฌานนั้น ก็มีอยู่องค์ ๓ วิตก วิจารณ์ตัดออกไป
การนึกพุทโธนั้นไม่ต้องนึกแล้ว เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคคตา
เหลือแต่ความเอิบอิ่ม และความสบาย และความเป็นหนึ่ง
ตติยฌานนั้น เหลืออยู่องค์สอง ตัดวิตก วิจารณ์ออกไป ตัดปีติออกไป
เหลือแต่สุขกับเอกัคคตา มีแต่ความสบายและความเป็นหนึ่ง
จตุถฌานที่ ๔ สุดท้ายนั้น ก็มีองค์สองเช่นเดียวกัน
คือมีแต่อุเบกขา และเอกัคคตา เรียกว่าวิตกวิจารณ์ตัดออกไป
ความเอิบอิ่มตัดออกไป ความสุข ความสบายก็ตัดออกไป
เหลือแต่ความวางเฉยกับความเป็นหนึ่ง ฌานทั้ง ๔ นี้เรียกว่ารูปฌาน
เมื่อรูปฌานนี้ ได้รับการพัฒนา หรือทำให้ยิ่ง
รูปฌานนั้น จะกลับกลายเป็นอรูปฌาน คือจิตจะละเอียดลงไป
จิตละเอียดลงไปนั้น ก็กลับกลายเป็นอากาศว่างเปล่า ไม่มีอะไร
เรียกว่า "อากาสานัญจายตนฌาน"
เมื่อจิตนี้ได้รับการฝึกฝน ละเอียดยิ่งขึ้นไปแล้ว ก็เหลือแต่ความรู้
ไม่มีอะไร เหลือแต่ความรู้ เรียกว่า "วิญญานัญจายตนฌาน"
เมื่อได้รับการฝึกฝนจนกระทั่งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่มีอะไรแล้ว อารมณ์อะไร ความสุข ความอะไรก็ไม่มีหมด
เรียกว่า "อากิญจัญญายตนฌาน"
ในที่สุดถึงที่สุด ฌานของอรูปฌาน ๔ นั้น คือ
จะว่าสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่สัญญาก็ไม่ใช่ เรียกว่าไม่มีอะไรเอาเลย
นั้นเรียกว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน"
ทั้งหมดนี้ เรียกว่า รูปฌาน และ อรูปฌาน
ฌานทั้งหมดนี้นั้น เป็นฌานที่เรียกว่า ฌานโลกีย์
ฌานโลกีย์ ผู้ที่บำเพ็ญฌานเหล่านี้ได้แล้ว
ก็จะไปเกิดในชั้นพรหมโลก เลยชั้นสวรรค์ไปก็ไปเกิดในชั้นพรหมโลก
จากพรหมธรรมดา จนกระทั่งถึงมหาพรหม อย่างนี้คือผู้บำเพ็ญฌาน
ฌานเหล่านี้นั้นมิใช่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดได้ง่ายๆ
ผู้ที่บำเพ็ญฌานที่เป็นรูปฌานและอรูปฌานนั้น
ต้องใช้เวลาอันยาวนาน บางทีหมดชีวิตก็ไม่ได้
บางทีพวกฤาษีไปอยู่ในป่าคนเดียว บำเพ็ญฌานก็ยังไม่ค่อยจะสำเร็จถึงขั้นนี้
ฌานพวกนี้ ถ้าทำสำเร็จขึ้นมาแล้ว สามารถที่จะแสดงฤทธิ์ได้
เหาะเหินเดินอากาศได้ มองดูจิตใจของคนได้ ระลึกชาติหนหลังได้
อย่างนี้ถือว่าได้สำเร็จฌาน แต่ฌานเหล่านี้นั้น
ไม่สามารถที่จะกำจัดกิเลสได้ กิเลสก็ยังอยู่
เพราะว่าไม่ใช่วิปัสสนา เป็นแต่เพียงสมถกรรมฐาน