ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางทวิราชอวตารมหาเทพ
ทรงเสด็จแปลงเป็นเต่าเจ้าชลสิทธิ์
แบกรองรับกันโลกรั่วด้วยพิธี
กวนเกษียรณธาราอมฤต
เพลานั้นปรากฎอสุรามัจฉา
มากวนก่อทำลายบั่นเสาหิน
ทรงฤทธานุภาพชัยนรรินทร์
ชำระสิ้นซึ่งอาธรรม์มรรคาลัย
ปางอวตารลำดับที่สองของพระนารายณ์คือกูรมาวตาร โดยทรงอวตารมาเป็นเต่าเรื่องมีอยู่ว่า
ฤษีทุรวาส (หนึ่งในปางอวตารของพระศิวะ) เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสามภพได้เดินทางมาบนสวรรค์ เวลานั้นพระอินทร์
ทรงช้างเอราวัณผ่านมาพอดี ฤาทุรวาสเห็นเทวธิบดีจึงถอดพวงมาลัยดอกไว้จากคอมาถวายแก่พระอินทร์แต่พอถวายไป
ช้างเอราวัณซึ่งพอได้กลิ่นดอกไม้ก็เกิดตกมันอาละวาดคว้าเอาพวงมาลัยมากระทืบจนแหลก ฤษีทุรวาสโกรธ
ว่าพระอินทร์ไม่ให้เกียรติตนจึงสาปพระอินทร์และหมู่เทวดาว่า"หากรบทัพจับศึกคราก็ให้พ่ายแพ้ทุกครั้ง"
แล้วฤาษีทุรวาสก็เหาะกลับไปอาศรมของตน พวกเทวดาพอถูกสาปต่างรู้ถึงฤทธานุภาพของพระฤาษีต่างก็เกรงกลัวภัยยิ่ง
เพราะทุกครั้งเวลาตนรบกับพวกอสูรยักษ์ก็ชนะมาตลอด พระอินทร์จึงมีบัญชาให้เก็บไว้เป็นความลับ แต่เรื่องนี้ก็ได้รั่วไหล
ไปสู่หูของพวกอสูรจนได้จึงยกพลขึ้นมารบกับเทวาดผลคือเทวาดาแพ้ พระอินทร์และพวกต้องหนีไปพึ่งพระนารายณ์
ที่เกษียรสมุทรไวกูณฐ์โลก บ้างก็หนีไปบ้างก็ถูกจับเป็นเชลยบ้างก็ถูกฆ่าตาย ด้วยความเมตตาพระนารายณ์จึงออกอุบาย
แก้คำสาปของฤาษีทุรวาสว่า ควรทำพิธีกวนนำอมฤตเพื่อเพิ่มพลังให้แก่เทวดา ยังทำให้พวกเทวดาเป็นอมตะไม่มีวันตายอีกด้วย
แต่ต้องให้เทวดาแก้งอ่อนน้อมต่ออสูรโดยรับว่าต่ำต้อยกว่า เพราะการกวนนำอมฤตเป็นงานใหญ่ต้องใช้การ่วมมือของทั้งสองฝ่าย
และพระอินทร์ก็ออกอุบายพักรบมากวนนำอมฤตโดยร่วมกันหาสมุนไพรและจะแบ่งให้กินพวกอสูรก็หลงกลทำตาม
พอได้เวลาพระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ก็เสด็จมาเป็นประธานในพิธีเหล่าเทวดาและอสูรต่างก็เอาสมุนไพรมาเทลง
ในเกษียรสมุทร (ทะเลน้ำนม) ที่ประทับของพระนารายณ์ และก็ถอดเอาเขามันทรามาปักไว้กลางเกษียรสมุทรเป็นไม้กวน
และให้พญานาควาสุกรีเป็นเชือกพันรอบเขามันทราแล้วออกอุบายว่า ให้เทวดาฉุดด้านหางและอสูรฉุดด้านหัว
เพราะด้านหัวพญานาคต้องใช้กำลังมากจึงต้องอาศัยคนที่มีฤทธิ์เดชเยอะ เวลานั้นพวกอสูรก็ทะนงตัวว่ามีอานุภาพเกรงไกร
ฝ่ายเทวดาเองก็ทำตามอุบายของพระนารายณ์ที่โอนอ่อนตามพวกอสูรจึงหลงกลพากันไปฉุดทางหัวซึ่งลำบากกว่า
เพราะการกวนใช้เวลานานมาก
พญานาคต้องเหนื่อยและล้าเพราะถูกฉุดอยู่ตลอดเวลาเมื่อทนไม่ไว้ก็จะคายพิษออกมาที่หนึ่ง
ไปถูกอสูรตายไปเป็นจำนวนมากแล้วส่วนใหญ่ก็อ่อนแรงลง เวลานั้นเองเขามัทราที่เป็นไม้กวนถูกใช้กดลงไปแรงเกินไป
ซึ่งอาจทำให้พื้นทะลุลงไปยังโลกมนุษย์พระนารายณ์จึงแบ่งภาคอวตารมาเป็นเต่า ใช้กระดองของตนรองรับแรงเสียดสี
ของเขามัทรามิให้พื้นทะลุและทำให้โลกแตกได้
เมื่อการกวนผ่านไปนานเข้าพิษพญานาคก็คายออกมามากขึ้น
ก็เกิดกริ่งเกรงว่าพิษที่ลงไปยังทะเลจะไล่ลงไปยังโลกและจะสังหารทุกอย่างพระศิวะจึงนำสังข์ของตนมารองรับพิษนาค
และดื่มกินไว้เองเพื่อป้องกันอันตรายนี้เป็นเหตุให้พระศิวะมีคอสีดำและสีดำกลายเป็นสีของความรักอันบริสุทธิ์ของชาวฮินดู ในระหว่างการกวนนำอมฤตมีอสูรปลาตนนี้คิดไม่ดีหวังจะทำลายโลกจึงมาคอยตอดทำลายเขาให้พังลงมา
พระนารายณ์ในร่างเต่าจึงเข้าสังหารอสูรปลาทันทีมิให้มาขวางการกวนน้ำอมฤต ในระหว่างการกวนน้ำอมฤตซึ่งใช้เวลานานมาก
ได้เกิดของวิเศษ 14 อย่างผุดขึ้นมาคือ
สิ่งที่ 1 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศรีกัณฐะ
จึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระโยเคศวรศิวะเจ้า พระเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้น
มาทัดเป็นปิ่นทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว
จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า “จันทรเศขร”
สิ่งที่ 2 ที่ผุดขึ้นมา คือ แก้วเกาสตุภะ เทวดาและอสูรก็นำไปถวายแด่องค์พระวิษณุมัธวะ
สิ่งที่ 3 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น แล้วพระลักษมีก็เสด็จออกจากกลางดอกบัว
ทั้งเทวดาอสูรและเหล่าฤาษีต่างมองกันอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงดงามขนาดจินตกวียังไม่รู้จะหาคำใดมาพรรณาในความงามนี้
ได้อย่างถูกต้อง ทันใดนั้นพระวิศวกรรมจอมช่างก็ได้เนรมิตเครื่องทรงถวายพระศรี แล้วพระศรีทรงคล้องพวงมาลัยทิพย์ที่ไม่รู้จัก
มาสวมไว้ แล้วเสด็จตรงโดยไม่ใยดีผู้ใดในสามโลก ตรงมาเข้าเฝ้าพระอนันตไศยินในทันทีพระวิษณุก็ทรงรับสวมกอดเอาไว้
ด้วยพระศรีนั้นเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง ทั้งสามโลกจึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธในการเลือกของพระเทวีในครั้งนี้
สิ่งที่ 4 ที่ผุดขึ้นมา คือ นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า
สิ่งที่ 5 ตามมาด้วยช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์นั้นรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์
สิ่งที่ 6 จากนั้นก็ตามมาด้วยม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะอีก แล้วก็ตามมาด้วย
สิ่งที่ 7 ต้นปาริชาติ อันมีดอกที่หอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ก็ล่องลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ทันที
สิ่งที่ 8 ที่ผุดขึ้นมา คือ โคสุรภี หรือ กามเธนุ เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ
สิ่งที่ 9 ที่ผุดขึ้นมา คือ หริธนู
สิ่งที่ 10 คือ สังข์
สิ่งที่ 11 ที่ผุดขึ้นมา คือ เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน แต่หามีเทวาและอสูรรับพวกนางไว้ครอบครอง เลยต้อง
กลายเป็นของกลางไม่ตกแก่ใคร เป็นนางบำเรอสร้างความสุขทั่วไป
สิ่งที่ 12 ที่ผุดขึ้นมา คือ พิษร้าย ซึ่งไม่มีใครรับไว้ครอบครองนอกจากพวกเหล่าอสรพิษทั้งหลาย
สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษ
ลำดับที่ 14 ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร
พอหม้อมน้ำอมฤตทูนออกมาพวกอสูรและเทวดาก็แย่งกันแต่เทวดาสู้ไม่ได้ พระนารายณ์จึงแปลงกายเป็นนางอัปสร
ชื่อโรหิณีไปล่อลวงอสูรให้หลงงงงวยในความงามของนาง พระอินทร์ได้โอกาศก็แอบขโมยนำอมฤตกลับมาแบ่งในหมู่เทวดา
มีเพียง
ราหู ที่ไม่หลงกลแปลงกายเป็นเทวดามาดื่มด้วย
พระอาทิตย์กับพระจันทร์รู้เข้าจึงไปฟ้องพระนารายณ์
พระนารายณ์จึงขว้างจัรกสุทรรศน์ไปตัดราหูออกเป็นสองท่อน แต่ราหูไม่ตายเพราะดื่มน้ำอมฤตแล้ว ราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์
และพระจันทร์มาและจะจับกินทุกครั้งที่เจอกันเป็นปรากฏการณ์สุรยคราสและจันทรคราส ฝ่ายอสูรกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอก
เทวดาก็ดื่มน้ำหมดแล้วจะยกพลขับไล่พวกอสูรออกไป พระนารายณ์ได้มอบหม้อนำกับพระอินทร์เก็ยรักษาเป็นของห้วงห้าม
ของสวรรค์
ฝ่ายพวกนาคพวกงูที่หวังจะมีส่วนรวมบ้างก็พลอดอดไปด้วยแต่ก็มาเลียนกินหญ้าคาซึ่งรองรับหม้อน้ำ
ซึ่งพอมีน้ำหลงเหลืออยู่บ้าง หญ้าคาบาดลิ้นทำให้ลิ้นแตกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา และนี้คืออวตารปางที่สองกูรมาวตาร