เสวนาหนังสือ "The Ruling Game": ศึกษาการเมืองเอเชียอุษาคเนย์ยุคจารีต-ร่วมสมัย ผ่านสายตาชนชั้นนำ
<span class="submitted-by">Submitted on Wed, 2023-08-16 23:55</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ภาพปก: หนังสือ The Ruling Game: ชนชั้นนำและอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><div class="summary-box">
<ul>
<li>คณะศิลปศาสตร์ มธ. จัดเสวนาเปิดตัวหนังสือ "The Ruling Game" เขียนโดย 'ดุลยภาค' ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียอุษาคเนย์ ชวนผู้อ่านทำความเข้าใจนิยาม-บทบาทของชนชั้นนำทางการเมือง และมองการเมืองในเอเชียอุษาคเนย์ผ่านสายตาชนชั้นนำ 4 กลุ่ม ได้แก่ กษัตริย์ ทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจ </li>
<li>ด้านนักวิชาการที่มาร่วมเสวนา มองหนังสือ The Ruling Game ในฐานะตำราที่ดี ใช้หลักฐานครอบคลุม อ่านทำความเข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจ หรือต้องการศึกษาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไปในอนาคต</li>
<li>ส่วนใหญ่เห็นตรงกัน หนังสือสามารถต่อยอดการศึกษาชนชั้นนำทางการเมืองอื่นๆ เพื่อให้เนื้อหาครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น ศิลปิน ข้าราชการ หรือนักศึกษา ที่มีบทบาททางการเมือง </li>
</ul>
</div>
<p>เมื่อ 6 พ.ค. 2566 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ จัดเสวนาเปิดตัวหนังสือ “The Ruling Game” เขียนโดย ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ และสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ. พิมพ์ครั้งแรกโดย สำนักพิมพ์มติชน ณ ประชุมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชั้น 1 คณะศิลปศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ โดยมีผู้ร่วมเสวนาหลายคน อาทิ ภูริ ฟูวงศ์เจริญ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และประธานเอเชียศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มธ. นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มธ. และ ดุลยภาค ปรีชารัชช ผู้เขียนหนังสือ</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53121259248_81893846ef_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ซ้าย-ขวา) ภูริ ฟูวงศ์เจริญ นภดล ชาติประเสริฐ ดุลยภาค ปรีชารัชช และอรอนงค์ ทิพย์พิมล</span></p>
<p>ดุลยภาค กล่าวถึงที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ว่า ส่วนตัวได้แรงบันดาลใจมาจากการประพันธ์งานเขียนประวัติศาสต์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชื่อดัง อาทิ ดี. อี. จี. ฮอลล์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ หรือมิลตัน ออสบอร์น นักประวัติศาสตร์จากออสเตรเลีย ผู้เขียนหนังสือชื่อ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: สังเขปประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นหนังสือประพันธ์เดี่ยวความหนาฉบับพ็อกเกตบุ๊ก พกพาสะดวก พูดถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเชิงประวัติศาสตร์ และชนชั้นนำตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงขบวนการเรียกร้องเอกราช </p>
<p>ดุลยภาค ระบุต่อว่า ตนจึงเริ่มเขียนงานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาโดยแฝงเน้นแนวคิดรัฐศาสตร์ มองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านชนชั้นนำ และโครงสร้างอำนาจ ประกอบกับบริบทการเมืองในปัจจุบันอุษาคเนย์ก็มีความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นนำแปรรูปเปลี่ยนร่างจากเผด็จการที่แข็งกระด้างใช้อำนาจเข้าปราบกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์ แต่มาวันนี้การเมืองเอเชียตะวันเฉียงใต้มีความเป็นเผด็จการผู้ช่ำชอง (Sophisticated Authoritarianism) สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเอเชียอุษาคเนย์ไม่ได้มีประชาธิปไตยระดับสูง หรือเผด็จการเต็มรูปแบบ เป็นเผด็จการผสมประชาธิปไตย มีเลือกตั้ง และการที่มวลชนจะกระฉับกระเฉงเปลี่ยนสูตรเข้าสู่ประชาธิปไตยได้ต้องเข้าใจกลยุทธ์ของชนชั้นนำมีความช่ำชอง เข้าใจการใช้อำนาจอย่างแนบเนียน เขาคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งจำเป็นและนำมาสู่การรังสรรค์ผลงาน หวังว่าจะให้เป็นผลงานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาให้ใกล้เคียงงานของมิลตัน ออสบอร์น </p>
<p>ดุลยภาค มองว่างานของเขามีความแตกต่างหรือเหนือกว่างานวิชาการก่อนหน้านี้ คือการใช้ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เข้าไปสอดรับในงาน ซึ่งทำให้ทุกคนเห็นองค์ความรู้และพัฒนาการระบอบสังคมการเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น </p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53121115530_fac9a6ae57_b.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ซ้าย) มิลตัน ออสบอร์น นักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลีย (ที่มา: เว็บไซต์ </span>
<span style="color:#d35400;">The Sydney Institute</span><span style="color:#d35400;">)</span></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ขวา) หนังสือ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: สังเขปประวัติศาสตร์" (ที่มา: </span>
<span style="color:#d35400;">bookbun</span><span style="color:#d35400;">)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ระบอบการปกครองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจุดเด่นที่การเป็นการเมืองแบ่งชนชั้น </span></h2>
<p>ดุลยภาค กล่าวถึงคอนเทนต์ในหนังสือ โดยเริ่มที่บทที่ 1 เป็นการพูดถึงทฤษฎีหรือคอนเซ็ปต์พื้นฐานในการนิยามชนชั้นนำทางการเมืองของนักรัฐศาสตร์แต่ละคน และบทที่ 2 จะขยับเข้ามาสู่บริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น หรือชนชั้นนำในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ </p>
<p>"สิ่งที่ผมอยากจะพิสูจน์ก็คือว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัย แบ่งชนชั้นเสมอ แบ่งเป็นชนชั้นปกครอง กับชนชั้นผู้ถูกปกครอง ตามทฤษฎีของนักรัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ในบทที่ 1 มันสามารถพิสูจน์โดยหลักฐานเชิงประจักษ์ในเซาท์อีสต์เอเชีย (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)" ดุลยภาค กล่าว</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53120168872_61d46289f1_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ซ้าย) ดุลยภาค ปรีชารัชช</span></p>
<p>นอกจากนี้ ดุลยภาค เสริมต่อว่า แม้แต่กระทั่งในสังคมชนชาติพันธุ์บนที่สูงของอุษาคเนย์ ก็มีการแบ่งการปกครองเป็นลำดับขั้น เมืองเอก เมืองโท หรือเมืองบริวาร สังคมที่สูงของชนเผ่าชิน ในเมียนมา หรือในมณฑลยูนนาน ก็แบ่งชนชั้นประมาณนี้ </p>
<p>อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีงานศึกษาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาของ ลิช เอ็ดมุนด์ (Leach Edmund) ศึกษาในเขตภูเขาคะฉิ่น ทำให้เห็นว่าในเขตดังกล่าวมีการเมืองที่ทั้งเป็นเผด็จการรวมศูนย์ และหน่วยการเมืองแนวระนาบที่ทุกคนเท่ากัน ไม่มีใครเป็นหัวหน้าเผ่าอย่างเด่นชัด แต่ดุลยภาค เสริมว่า เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณหน่วยการเมืองอื่นๆ ในพื้นที่อุษาคเนย์ ลักษณะเด่นของการปกครองยังเป็นการแบ่งชนชั้นทางสังคม แม้แต่การปกครองแบบจักพรรดิราช หรือการปกครองแบบรัฐแสงเทียน ถือเป็นการ 'Classification' หรือการจัดจำแนกประเภทเหมือนกัน </p>
<p>นอกจากการพูดถึงระบอบการปกครองแบบรัฐแสงเทียน (Mandara) แล้ว ผู้เชี่ยวชาญการเมืองเมียนมาอย่างดุลยภาค ระบุต่อว่า บทที่ 2 ยังมีการพูดถึงปกครองในยุคสมัยอาณานิคม และหลังอาณานิคม</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ไฮไลท์ของงาน คือการพูดถึงชนชั้นนำทางการเมืองในอุษาคเนย์</span></h2>
<p>ดุลยภาค ระบุต่อว่า ไฮไลท์ของหนังสือเล่มนี้คือการพูดถึงชนชั้นนำทางการเมืองในอุษาคเนย์ โดยยกมา 4 กลุ่ม ได้แก่ กษัตริย์ ทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจ </p>
<p>อย่างไรก็ตาม ดุลยภาค ยอมรับว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีชนชั้นนำอื่นๆ อย่างนักบวชทางศาสนา หรือพระสงฆ์ เพราะในหลายประเทศ กลุ่มคนเหล่านี้ยังมีบทบาทในกระบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือแม้แต่นักแสดง หรือดารา ก็สามารถกระโจนเข้าสู่วงการการเมืองได้ แต่ที่เลือกมาเพียง 4 กลุ่ม เพื่อให้ปริมาณการนำเสนอในหนังสือมีเนื้อหาเหมาะสม และไม่มากจนเกินไปเมื่อเทียบกับบทอื่นๆ และมองว่าทั้ง 4 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีพลังขับเคลื่อนสำคัญเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศต่างๆ ของเอเชียอุษาคเนย์ </p>
<div class="note-box">
<p>ทั้งนี้ ในเมียนมา กลุ่มพระสงฆ์ ศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท ถือว่ามีบทบาททางการเมืองเมียนมา ตั้งแต่สมัยยุคจารีต แต่เหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้เห็นบทบาททางการเมืองของพระสงฆ์เมียนมา เด่นชัดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คือเหตุการณ์การประท้วงผ้าเหลือง (Saffron Revolution เมื่อปี พ.ศ. 2550) หรือการมีส่วนร่วมในการปลุกระดมสร้างความเกลียดชังต่อชาติพันธุ์ชาวโรฮีนจา รัฐยะไข่ หรือในฟิลิปปินส์ เราได้เห็นบทบาทของ โจเซฟ เอสตราดา ที่เคยเป็นนักแสดง ก่อนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในภายหลัง</p>
</div>
<p>ผู้เชี่ยวชาญการเมืองเมียนมา ระบุต่อว่า บทที่เขาภูมิใจมากที่สุด คือบทที่ 4 เนื่องจากต้องใช้ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์เข้ามาวิเคราะห์ของ ลาร์รี ไดมอนด์ (Larry Jay Daimond) ซึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์จากสหรัฐฯ ที่แบ่งระบอบการเมืองในโลกเป็นหลายกลุ่ม ประชาธิปไตยเต็มใบ ครึ่งใบ หรือเผด็จการประชาธิปไตยที่ทั้งโน้มเอียงมาทางเผด็จการ และโน้มเอียงไปทางประชาธิปไตย 5-6 ชนิด โดยดุลยภาค ได้นำเรื่องราวของชนชั้นนำในอุษาคเนย์ 11 ประเทศ สวมใส่เข้าไปการจัดแบ่งประเภทการปกครองตามแนวคิดของลาร์รี ไดมอนด์ ยกตัวอย่าง การอธิบายสิงคโปร์ เป็นเผด็จการการเลือกตั้งแบบครอบงำ เผด็จการแบบเมียนมา และอื่นๆ </p>
<p>รวมถึงมีการอธิบายบางกรณีที่มีความพิเศษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกตัวอย่างกรณีที่พรรคคอมมิวนิสต์ลาว สร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าฟ้างุ้ม (กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง) ที่พิเศษเพราะว่าไม่มีรัฐมาร์กซิสที่ไหนจะสร้างวีรกษัตริย์ หรือวีรชนขึ้นมาเชิดชู แต่ทำไมชนชั้นนำลาว ถึงคิดแบบนั้น </p>
<p>ท้ายสุด ดุลยภาค เน้นย้ำว่า หนังสือเล่มนี้จะฉายให้เห็นภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมุมมองของชนชั้นนำทางการเมือง และอำนาจ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ และทฤษฎีสอดรับในทุกบท ครบ 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ </p>
<div class="note-box">
<p>อนึ่ง 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ และติมอร์เลสเต </p>
</div>
<h2><span style="color:#2980b9;">จุดเด่นการใช้แนวคิดและข้อมูลประวัติศาสตร์ในหนังสือ</span></h2>
<p>ด้านอรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ และประธานเอเชียศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มองเช่นกันว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใช้ศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสิ่งที่ค่อนข้างชอบคือเรื่องกรอบแนวคิด และประวัติศาสตร์ที่เอามาใช้ โดยเฉพาะบทที่ 2 เนื่องจากใช้ข้อมูลประวัติศาสตร์ค่อนข้างเยอะ </p>
<p>อรอนงค์ เสนอว่าอยากเห็นเพิ่มเติมคือช่วงประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สมัยสงครามเย็น เนื่องจากช่วงสมัยยุคจารีต อาณานิคม และช่วงต่อสู้เพื่อเอกราช จะเห็นภาพค่อนข้างชัดในหนังสือ ซึ่งเธอมองด้วยว่ายุคสงครามเย็นมีความสำคัญต่อพัฒนาการของภูมิภาคนี้เช่นกัน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">มองคุณค่าเชิงการศึกษา ต่อยอดการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</span></h2>
<p>ภูริ ฟูวงศ์เจริญ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. แบ่งประเด็นอภิปรายหนังสือ “The Ruling Game” ออกเป็น 3 ประเด็น คือเป้าหมาย ความน่าสนใจ และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในหนังสือ หรือนำไปต่อยอด</p>
<p>ภูริ มองว่า หนังสือเล่มนี้ในฐานะตำราเรียน ถือเป็นตำราเรียนที่ดี ทำเนื้อหาออกมาอย่างครอบคลุม กวาดองค์ความรู้ในปัจจุบันมาทำให้เข้าใจง่าย เหมาะกับนักศึกษา คนทั่วไป หรือใครก็ตามที่อยากจะศึกษาลงลึก สามารถตามอ่านในบรรณานุกรม หรือเชิงอรรถได้ ถ้าในอนาคตใครอยากจะทำวิจัยเรื่องนี้ ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อยากแนะนำเริ่มจากหนังสือเล่มนี้ได้</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53121179035_4e63ac3141_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">(ซ้ายสุด) ภูริ ฟูวงศ์เจริญ</span></p>
<p>ภูริ มองต่อว่า การเขียนหนังสือเล่มนี้ของดุลยภาค ถือว่ามีความท้าท้าย เพราะประเทศในอุษาคเนย์ มีด้วยกัน 11 ประเทศ ซึ่งมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และภาษา เมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปศึกษา สมมติ ถ้าเรารู้ภาษาฝรั่งเศส หรือละตินอเมริกา ก็สามารถทำงานศึกษาได้ในหลายประเทศ ซึ่งแตกต่างจากอุษาคเนย์ ทำให้ภูริ มองว่าการเขียนหนังสือ การศึกษา การใช้องค์ความรู้ และหลักฐานไม่ง่าย และต้องใช้ความอุตสาหะในการทำงาน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เสนอศึกษาชนชั้นนำอื่นๆ ในเอเชียอุษาคเนย์</span></h2>
<p>คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. มองว่า เขาชอบบทที่ 2 มากที่สุด ทำได้ดีมากในเชิงทฤษฎี และข้อมูล แต่อาจจะมีข้อท้วงติงเรื่องการเขียนสังคมยุคจารีตในประเทศต่างๆ ในอุษาคเนย์ </p>
<p>สำหรับบทที่ 3 ว่าด้วย “กลุ่มก้อนชนชั้นนำในการเมือง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ. มองว่าอาจจะเป็นบทที่ต้องเพิ่มเติมมากที่สุด เนื่องจากอาจจะมีชนชั้นนำทางการเมืองอื่นๆ ที่ควรระบุในหนังสือเพิ่ม เช่น ข้าราชการพลเรือน นักคิดนักเขียน (Intellectual) หรือดารานักแสดง ยกตัวอย่างในประเทศฟิลิปปินส์ เคยมี โจเซฟ เอสตราดา (Joseph "Erap" Ejercito Estrada) ดารานักแสดงที่กลายมาเป็นประธานาธิบดี ทำให้ตอนอ่านคิดว่ามีชนชั้นนำอีกหลายกลุ่มก้อนที่ไม่ถูกระบุในหนังสือ และมีข้อคำถามว่าอะไรคือเกณฑ์ในการเลือก </p>
<p>นอกจากนี้ ภูริ เสนอว่าอาจจะสามารถขยายการศึกษาได้หรือไม่ อาทิ บทบาทของกองทัพ ซึ่งในหนังสือพูดถึงบทบาทของกองทัพในอินโดนีเซีย ไทย และเมียนมา ซึ่งเขาเข้าใจได้ว่าทำไม ดุลยภาค ถึงเลือก 3 ประเทศนี้ แต่ส่วนตัวคิดว่ากองทัพในประเทศอื่นๆ น่าจะมีความสำคัญเหมือนกัน แต่ตรงนี้มันหายไป หรือบางประเทศอย่างสิงคโปร์ หนังสือเล่มนี้เจาะจงบทบาทนักการเมืองไปที่ลี กวนยู คนเดียว แต่มองว่ายังมีนักการเมืองอีกหลายคนที่มีอิทธิพลต่อสิงคโปร์ อย่างเช่น เอส.ราชารัตนัม ที่ร่วมก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ขึ้นมา </p>
<p>ด้านอรอนงค์ กล่าวว่า เธอชอบการนิยามชนชั้นนำของดุลยภาค ที่ทำให้มองเห็นว่า ชนชั้นนำมีการผสมผสานบทบาท และเส้นแบ่งที่แพร่เลือน เวลานิยามชนชั้นนำ เขาอาจจะไม่ได้เป็นแค่หน่วยการเมืองเดียว บางคนเป็นทั้งทหาร และนักธุรกิจ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งในการเมืองของอินโดนีเซีย ก็มีคนอย่าง “ปราโบโว ซูเบียนโต” ที่เป็นทั้งทหาร และนักการเมือง </p>
<p>อย่างไรก็ตาม อรอนงค์ กล่าวสอดคล้องกับภูริ ว่า บทที่ 3 สามารถเสริมเรื่องชนชั้นนำอื่นๆ ได้อีก เช่น ผู้นำศาสนา โดยยกตัวอย่างในฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่ผู้นำทางศาสนามีบทบาททางการเมือง หรือในเมียนมา พระในพุทธศาสนาเถรวาทก็มีบทบาทในเชิงการเมืองและสังคม </p>
<p>นอกจากนี้ อรอนงค์ ตั้งคำถามด้วยว่าอย่างปัญญาชน หรือนักศึกษา นี่นับเป็นชนชั้นนำทางการเมืองหรือไม่ เนื่องจากในบางประเทศ เธอมองว่ากลุ่มนักศึกษาก็มีบทบาทนำทางการเมือง </p>
<p>ท้ายสุด อรอนงค์ มองว่า หนังสือ The Ruling Game เป็นหนังสือที่ดีมากๆ ในการทำความเข้าใจประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา โดยเฉพาะคนที่สนใจด้านอาณาบริเวณศึกษา หรือเป็นผู้อ่านทั่วๆ ไป</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53121179025_2980219585_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">หนังสือ The Ruling Game ชนชั้นนำและอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</span></p>
<p>ขณะที่ ภูริ ย้ำว่า ข้อวิจารณ์ที่กล่าวไปข้างต้นไม่ได้ทำให้คุณค่าเชิงวิชาการ และในฐานะตำราของหนังสือ “The Ruling Game” ลดน้อยถอยลงไปเลย พร้อมเชิญชวนให้คนที่ต้องการศึกษาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลองอ่านหนังสือของดุลยภาค เพื่อนำไปต่อยอดทำการวิจัยในอนาคตอีกด้วย</p>
<p>"หนังสือเล่มนี้ไปต่อ ต่อยอดได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมย้ำอีกทีนี่ไม่ได้ทำให้คุณค่าของหนังสือเล่มนี้ที่ผมย้ำไปในตอนแรกลดลง …มันเป็นความพยายามที่น่าชื่นชม" คณบดีคณะรัฐศาสตร์ กล่าวย้ำ และเชื่อว่าในช่วงเวลาที่การเลือกตั้ง’66 การอ่านหนังสือเล่มนี้จะทำให้เห็นภาพมากขึ้น และอาจทำให้ผู้อ่านกลับมาคิด ต่อสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนไป หรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคต</p>
<p>ทั้งนี้ นอกจากอรอนงค์ และภูริ มาร่วมอภิปรายแล้ว นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มาร่วมอภิปรายประวัติศาสตร์การเมือง และชนชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องมีการปรับตัวตั้งแต่สมัยยุคจารีต การเข้ามาของอินเดีย และจีน จนถึงยุคจักรวรรดินิยม ผ่านปัจจัยและบริบทการเมืองจากภายนอกตลอดเวลา </p>
<p>นภดล กล่าวทิ้งท้าย ชื่นชมการเขียนหนังสือของดุลยภาค ที่มีการใช้คำอย่างชาญฉลาด และมีประสิทธิภาพ ทำให้หนังสือน่าอ่าน มีข้อวิจารณ์ถึงปริมาณข้อมูลของแต่ละประเทศ 11 ประเทศ อาจจะไม่เท่ากัน โดยเฉพาะของติมอร์ เลสเต อาจจะน้อยเกินไป เนื่องจากติมอร์ฯ เป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า มีภาคประชาสังคมที่แข็งแกร่ง มีการเลือกตั้งที่ฟรีและแฟร์ ก็น่านำมาพูดมากขึ้น แต่ภาพรวมของหนังสือยังคงน่าสนใจ</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B3" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ชนชั้น
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/08/105487