03 พฤษภาคม 2567 06:56:34
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
เอกสารธรรม
.:::
คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท (อ่าน 7309 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
เมื่อ:
04 พฤศจิกายน 2554 15:19:44 »
Tweet
คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
ก
กรรม
- การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม)
การกระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี” ที่ชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว”
กรรม ๒
- กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ
๑. อกุศลกรรม กรรม(การกระทำ)ที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล
๒. กุศลกรรม กรรม(การกระทำ)ที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล
กรรม ๓
- กรรมจำแนกตามทวารคือทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ
๑. กายกรรม การกระทำทางกาย
๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา
๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ
กรรมฐาน
- กัมมัฏฐาน - ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบาย(วิธี)ทางใจ, วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภทคือ
๑. สมถกรรมฐาน อุบาย(วิธี)สงบใจ ๑ เพื่อเป็นบาทฐานหรือเครื่องเกื้อหนุนในการวิปัสสนาหรือวิปัสสนากรรมฐาน
๒. วิปัสสนากรรมฐาน อุบาย(วิธี)เรืองปัญญา ๑ เพื่อให้เกิดปัญญาในการดับทุกข์
กรรมฐาน ๔๐
- สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา, ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต, อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต แบ่งออกเป็น กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูป ๔
กฐินทาน
- การทอดกฐิน, การถวายผ้ากฐิน คือการที่คฤหัสถ์ผู้ศรัทธาหรือแม้ภิกษุสามเณร นำผ้าไปถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า ทอดกฐิน (นอกจากผ้ากฐินแล้วปัจจุบันนิยมมีของถวายอื่นๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน)
กสิณ - วัตถุอันจูงใจ คือ จูงใจให้เข้าไปผูกอยู่ เป็นชื่อของกัมมัฏฐาน(กรรมฐาน)ที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ
กุปปธรรม
- ผู้มีธรรมที่ยังกำเริบได้ หมายถึง ผู้ที่ได้สมาบัติแล้วแต่เสื่อมได้, อกุปปธรรม ผู้มีธรรมที่ไม่กำเริบ คือ ผู้ที่เมื่อได้สมาบัติแล้ว สมาบัตินั้นจะไม่เสื่อมไปเลยได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหมด
กุปปวิโมกข์
- ความหลุดพ้นจากกิเลสที่ยังกำเริบได้ (วิโมกข์ = ความหลุดพ้นจากกิเลส)
กาม
- ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่, กามมี ๒ คือ ๑.กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่(เกิดแต่จิตและอาสวะกิเลส)เป็นเหตุ ๒.วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่กามคุณ ๕
กามคุณ
- ส่วนหรือสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
กามตัณหา
- ความทะยานอยากในกามหรือทางโลกๆ คือใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัส ทั้ง ๕
กามฉันทะ
- ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น, ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)
กามราคะ
- ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม, ความใคร่กาม (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๑ ในอนุสัย ๗)
กามภพ
- ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสพกาม ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยโลก และสวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตสวัตดี รวมเป็น ๑๑ ชั้น (ข้อ ๑ ในภพ ๓)
กามาวจร
- ซึ่งท่องเที่ยวไปในกามภพ, ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับกาม
กายทวาร
- ทวารคือกาย, กายเป็นฐานในการทำกรรมทางกาย
กายสังขาร
- ๑. ปัจจัยปรุงแต่งกาย ได้แก่ลมหายใจเข้า หายใจออก ๒. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซึ่งทำให้เกิดกายกรรม
กายสัมผัส
- สัมผัสทางกาย, อาการที่กาย๑ โผฏฐัพพะ๑ และ กายวิญญาณ๑ ทั้ง ๓ ประจวบกัน
กายานุปัสสนา
- สติพิจารณากายเป็นอารมณ์(ที่ยึดเหนี่ยว,ที่กำหนด)ว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นสติปัฏฐานข้อหนึ่ง ดู สติปัฏฐาน
กามุปาทาน
- ความยึดมั่นถือมั่นในกามหรือทางโลก อันคือกามคุณ ๕ ในรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ฯ. ไปยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรา จนเป็นเหตุให้เกิดริษยา หรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทําผิด, เป็นหนึ่งใน อุปาทาน ๔
กาลามสูตร
-
เกสปุตตสูตร
- พระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตัดสอนชาวกาลามะในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงาย ไร้เหตุผล(อธิโมกข์) ตามหลัก ๑๐ ข้อ อันมีอย่าปลงใจเชื่อในสิ่งใดโดย ๑.ด้วยการฟังตามกันมา ๒.ด้วยการนับถือสืบๆกันมา ๓.ด้วยการเล่าลือ ๔.ด้วยการอ้างตําราหรือคําภีร์ ๕.ด้วยตรรก ๖.ด้วยการอนุมาน ๗.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ๘.เพราะการเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน ๙.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ ๑๐.เพราะนับถือว่าสมณะ(รวมถึงพระองค์เองด้วย)นี้เป็นครูเรา ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้วด้วยตนเอง จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
กิจจญาณ
- ปรีชากำหนดรู้ กิจที่ควรทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือรู้ว่า ทุกข์-ควรกำหนดรู้, สมุทัย-ควรละ, นิโรธ--ควรทำให้แจ้ง, มรรค-ควรเจริญคือควรปฏิบัติ
กิจในอริยสัจจ์ - ข้อที่ต้องทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือ ปริญญา การกำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์, ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย, สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้ง หรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ, ภาวนา การเจริญ คือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค
กิเลส
- สิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัว เศร้าหมอง และทําให้รับคุณธรรมได้ยาก
- สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์
กิเลสกาม
- กิเลสเป็นเหตุใคร่, กิเลสที่ทำให้อยาก, เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ ได้แก่ราคะ โลภะ อิจฉา (อยากได้) เป็นต้น
กุศล
- บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี, แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป
กุศลมูล
-รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ- การสละ, การให้ปัน, การเสียสละ)
๒. อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา)
๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา)
อกุศลมูล รากเหง้าของอกุศล, ต้นเหตุของอกุศล, ต้นเหตุของความชั่ว มี ๓ อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลธรรม
- ธรรมที่เป็นกุศล, ธรรมฝ่ายกุศล, ธรรมที่ดี, ธรรมฝ่ายดี
กำหนัด
- ความใคร่,ความอยากในกามคุณ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #1 เมื่อ:
04 พฤศจิกายน 2554 15:57:30 »
ข
ขณิกสมาธิ
- สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบาย, และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้
ขณิกาปีติ
-ความอิ่มใจชั่วขณะ เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกเสียวแปลบๆ เป็นขณะๆ เหมือนฟ้าแลบ (ปีติ ๕ ข้อ ๒)
ขันธ์
- กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตัว; หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง คือ รูปขันธ์ กองรูป, เวทนาขันธ์ กองเวทนา, สัญญาขันธ์ กองสัญญา, สังขารขันธ์ กองสังขาร, วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕)
ขันธ์๕
- เบญจขันธ์ องค์ประกอบทั้ง๕ที่ทางพุทธศาสน์ถือว่า เป็นปัจจัยของมีชีวิต อันมี รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์
ขีณาสพ
- ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, ผู้หมดกิเลส, พระอรหันต์
ขุททกาปีติ
- ปีติเล็กน้อย, ความอิ่มใจอย่างน้อย เมื่อเกิดขึ้นทำให้ขนชันน้ำตาไหล (ข้อ ๑ ในปีติ ๕)
ค
ครุกรรม
- กรรมหนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ในฝ่ายกุศลได้แก่ฌานสมาบัติ ในฝ่ายอกุศลได้แก่อนันตริยกรรม กรรมนี้ให้ผลก่อนกรรมอื่นเหมือนคนอยู่บนที่สูงเอาวัตถุต่าง ๆ ทิ้งลงมาอย่างไหนหนักที่สุด อย่างนั้นถึงพื้นก่อน
ความคิดนึก
- ความคิด-ความนึก-จิตสังขาร-มโนสังขาร เป็นสังขารขันธ์(ขันธ์๕)เป็นสิ่งที่ต้องมี,ต้องเป็นโดยปกติธรรมชาติ ไม่เป็นโทษ และจำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตหรือขันธ์ ๕
คิดนึกปรุงแต่ง
-
คิดปรุงแต่ง - จิตปรุงแต่ง - จิตฟุ้งซ่าน - จิตฟุ้งซ่านไปภายนอก - หรือคิดนึกฟุ้งซ่าน - คิดนึกเรื่อยเปื่อย - คิดวนเวียนปรุงแต่ง - จิตส่งออกไปภายนอก
= ล้วนมีความหมายเป็น
นัย
เดียวกัน เป็นการกล่าวถึง
จิตที่ไปทำหน้าที่อันไม่ควร
จึงเป็นทุกข์ จึงเน้นหมายถึง
ไปคิดนึกอันเป็น
เหตุปัจจัย
ทําให้เกิด
กิเลสตัณหา
- เพราะคิดนึกปรุงแต่งแต่ละครั้งแต่ละทีย่อมเกิดการ
ผัสสะ
อันย่อมต้องเกิด
เวทนา
ต่างๆขึ้นด้วย ทุกครั้งทุกทีไป
ในทุกๆความคิดปรุงแต่ง อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
จากความคิดนึกปรุงแต่งที่มีเกิดขึ้นอย่างหลากหลายได้, และความคิดหรือนึกปรุงแต่งถึง
อดีตและอนาคต
อันมักเจือด้วย
กิเลส
อันทําให้ขุ่นมัว, หรือเจือด้วย
ตัณหา
ความ
อยาก,ไม่อยาก
อันจักก่อ
ตัณหา
ต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่นั้น(
เวทนา
)ได้ง่ายเช่นกัน, แต่ถ้าเป็นการคิดในหน้าที่ หรือการงานเช่นการทำงาน, คิด
พิจารณาธรรม
ฯ. ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคิดปรุงแต่ง แต่ก็ต้องควบคุมระวัง
สติ
ให้ดีเพราะย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นเช่นกัน
หลักการปฏิบัติโดยทั่วไป ไม่ใช่ให้หยุดคิด แต่
ให้เห็น
ความคิดชนิดคิดปรุงแต่งหรือ
อาการ
ของจิตที่ฟุ้งซ่านฟุ่มเฟือย หรือเห็น
เวทนา
ที่เกิดขึ้น แล้ว
อุเบกขา
คือหยุดการคิดปรุงแต่งนั้นๆเท่านั้นเอง
ส่วนความคิดนึก(ไม่ปรุงแต่ง)ในขันธ์ ๕ ที่ใช้ในชีวิตเช่นการงาน โดยไม่มีกิเลส,ตัณหา เป็นสิ่งจําเป็นที่ควรจะมีอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเพียงความคิดนึกในสังขารขันธ์ของขันธ์ ๕ อันเป็นปกติ เป็นประโยชน์ และจําเป็นในการดํารงชีวิต แยกแยะพิจารณาให้เข้าใจชัดเจน
การคิดพิจารณาในธรรมก็ไม่ใช่ความคิดนึกปรุงแต่ง เป็น
ธรรมะวิจยะ
ความคิดนึกที่ควรปฏิบัติและควรทําให้เจริญยิ่งขึ้นไป
มีต่อค่ะ
:http://nkgen.com/ex3.htm#a
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #2 เมื่อ:
04 พฤศจิกายน 2554 16:17:50 »
ฆ
ฆนะ
- กลุ่ม, ก้อน, แท่ง, ความเป็นมวลรวม เป็นธรรมหรือสิ่งที่ปิดบังไม่ให้เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตัวใช่ตน
ฆราวาส
- การอยู่ครองเรือน, ชีวิตชาวบ้าน; ในภาษาไทย มักใช้หมายถึง คฤหัสถ์ คือผู้ครองเรือน, ชาวบ้าน
ฆราวาสธรรม
- หลักธรรมสำหรับการครองเรือน, ธรรมของผู้ครองเรือน มี ๔ อย่างคือ ๑. สัจจะ ความจริง เช่น ซื่อสัตย์ต่อกัน ๒. ทมะ ความฝึกฝนปรับปรุงตน เช่น รู้จักข่มใจ ควบคุมอารมณ์ บังคับตนเองปรับตัวเข้ากับการงานและสิ่งแวดล้อมให้ได้ดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ ความเสียสละเผื่อแผ่ แบ่งปัน มีน้ำใจ
ฆานวิญญาณ
- ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะกลิ่นกระทบจมูก, กลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น, ความรู้กลิ่น
ฆานสัมผัส
- อาการที่ จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน
ฆานสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน
ง
งมงาย
- ไม่รู้เท่า, ไม่เข้าใจ, เซ่อเซอะ, หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังผู้อื่น
จ
จงกรม
- เดินไปมาโดยมีสติกำกับ (บางท่านใช้ไปเป็นอารมณ์คือสิ่งที่จิตกำหนดเพื่อทำสมาธิแต่อย่างเดียวโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นถ้าเป็นการกระทำไปโดยไม่รู้ตัวว่า ตนกระทำสติที่ประกอบด้วยสมาธิหรือสมาธิแต่อย่างเดียวก็เป็นการไม่ถูกต้อง)
จตุธาตุววัตถาน
- การกำหนดธาตุ ๔
คือ พิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไปมองเห็นแต่ส่วนประกอบต่างๆ ที่จัดเข้าไปในธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ทำให้รู้ภาวะความเป็นจริงของร่างกาย ว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเท่านั้น จึงไม่เป็นตัวสัตว์บุคคลที่แท้จริง เพราะตัวตนสัตว์บุคคลที่เห็นหรือผัสสะนั้นเป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยประชุมกัน
จริต
- ความประพฤติ, พื้นนิสัย หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลายที่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ ๑.ราคจริต ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางรักสวยรักงาม มักติดใจ) ๒.โทสจริต ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางใจร้อนขี้หงุดหงิด) ๓.โมหจริต ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางเหงาซึมงมงาย) ๔.สัทธาจริต ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชื่อ) ๕.พุทธิจริต ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติ ปกติ (หนักไปทางคิดพิจารณา) ๖.วิตกจริต ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน)
จักขุวิญญาณ
- จักษุวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรูปกระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น, การเห็น
จักขุสัมผัส
- อาการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
จักขุสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
จาตุรงคสันนิบาต
- การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (เพ็ญเดือนสาม ๒. พระสงฆ์ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ๓. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ ๔. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ ดู มาฆบูชา
จิต
- ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (สภาวธรรมของชีวิตที่รับรู้อารมณ์ เช่น สภาพหรือสภาวะของชีวิตในการรับรู้ใน รูป เสียง กลิ่น ฯ.), สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ
ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑)
แบ่ง โดยชาติ เป็น อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗) วิปากจิต ๓๖ (๕๒) และกิริยาจิต ๒๐;
แบ่ง โดยภูมิ เป็น กามาวจรจิต ๕๔ รูปาวจรจิต ๑๕ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐)
จิตตะ
- เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ, ความคิดฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (ข้อ ๓ ในอิทธิบาท ๔)
จิตสังขาร
- จิตตสังขาร - มโนสังขาร - สังขารขันธ์ในขันธ์๕ อันคือ ความคิด ความนึก การกระทำทางใจต่างๆ หรือมีความหมายได้ดังนี้
- 1. ปัจจัยปรุงแต่งจิต ได้แก่สัญญาและเวทนา
- 2. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสังขาร เจตนาที่ก่อให้เกิดมโนกรรม ดู สังขาร
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #3 เมื่อ:
06 พฤศจิกายน 2554 12:27:33 »
จิตตานุปัสสนา
- สติพิจารณาเห็นอาการของจิต(เจตสิก)หรือจิตตสังขาร, หรือสติพิจารณาใจหรือระลึกรู้เท่าทันใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เรา เขา, กำหนดรู้จิตตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ, ดังเช่น จิตมี ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ, จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ.(
ข้อ ๓ ในสติปัฏฐาน ๔
)
จิตส่งใน
- อาการการกระทำทางจิต ที่เกิดจากการติดเพลิน(
นันทิ
)ไปใน
ผล
ของความสุข สงบ สบาย อันเกิดขึ้น
ทั้งต่อทางกายและจิต อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติฌาน,สมาธิ มักเพราะขาดการเจริญวิปัสสนาหรือด้วยความไม่รู้(อวิชชา)
จึงเกิดอาการคอยแอบจ้อง, แอบเสพ,
แอบพยายามทำให้ทรง
, ทำให้เป็นอยู่ใน
อาการ
ขององค์ฌาน เช่นในปีติ ความสงบ ความสุข ความแช่นิ่ง ซึ่งเป็นไปในอาการทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัวก็ตามที, อาการที่จิตแช่นิ่ง
อยู่ภายในจิตหรือกายตน
; อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ใน จิตส่งใน ในหัวข้อ เกี่ยวเนื่องกับ
ฌานสมาธิ
เป็นการปฏิบัติผิดที่เกิดกับนักปฏิบัติมากเป็นที่สุด และมักเข้าใจผิดกันไปว่าจิตส่งในไปแช่นิ่งหรือเสพรสอร่อยในกายหรือจิต เป็นการปฏิบัติจิตเห็นกายหรือกายานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาอันดีงามใน
สติปัฏฐาน ๔
แต่ไม่ใช่ดังนั้นเลย!!!
จูฬปันถกะ - พระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ และเป็นน้องชายของมหาปันถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง พี่ชายมอบคาถาเพียง ๑ คาถาให้ท่องตลอดเวลา ๔ เดือน ก็ท่องไม่ได้ จึงถูกพี่ชายขับไล่ เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำพร้อมทั้งบริกรรมสั้นๆ ว่า “
รโชหรณํ ๆ ๆ
” ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ ทำให้ท่านมองเห็น
ไตรลักษณ์
และได้สำเร็จพระอรหัต ท่านมีความชำนาญ แคล่วคล่อง ในอภิญญา ๖ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ฉลาดใน
เจโตวิวัฏฏ์
; ชื่อท่านเรียกง่าย ๆ ว่าจูฬบันถก, บางแห่งเขียนเป็นจุลลบันถก
เจดีย์
- ที่เคารพนับถือ, บุคคล สถานที่หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา, เจดีย์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามี ๔ อย่างคือ
๑. ธาตุเจดีย์
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
๒. บริโภคเจดีย์
คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย
๓. ธรรมเจดีย์
บรรจุพระธรรม คือพุทธพจน์
๔. อุทเทสิกเจดีย์
คือพระพุทธรูป; ในทางศิลปกรรมไทยหมายถึงสิ่งที่ก่อเป็นยอดแหลมเป็นที่บรรจุสิ่งที่เคารพนับถือเช่น พระธาตุและอัฐิบรรพบุรุษ เป็นต้น
เจตนา
- ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตน์จำนง, ความจำนง, ความจงใจ, เป็น
เจตสิก
ที่เกิดกับ
จิต
ทุกดวง
เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์ และเป็นตัวการในการทำกรรม(ทั้งทางกาย วาจา ใจ) หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว
ดังพุทธพจน์ว่า “
เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ
” แปลว่า
เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม
เจตภูต
- สภาพเป็น
ผู้คิดอ่าน
, ตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป หมายถึงดวงวิญญาณหรือดวงชีพอันเที่ยงแท้ที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่า ออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ และเป็นตัวไปเกิดใหม่เมื่อกายนี้แตกทำลาย เป็นคำที่ไทยเราใช้เรียกแทนคำว่าอาตมันหรืออัตตาของลัทธิพราหมณ์ และเป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา
เจโตวิมุตติ
- ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิด
ปัญญาวิมุตติ
จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ
คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น
สมาบัติ ๘
เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (
สันตเจโตวิมุตติ
)
เจริญวิปัสสนา, ปฏิบัติวิปัสสนา, บำเพ็ญวิปัสสนา - การฝึกอบรมปัญญา เช่น โดยพิจารณาสังขาร คือ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแยกออกเป็นขันธ์ๆ
กำหนดด้วยไตรลักษณ์
ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
อนัตตา
, อบรมปัญญาโดยพิจารณา
ปฏิจจสมุปบาท
,
ขันธ์ ๕
ฯลฯ.
เจตสิก ๕๒
- อาการและคุณสมบัติต่างๆของจิต หรือก็คือ
กลุ่ม
อาการ
ของจิต ท่านได้แบ่งออกเป็น ๕๒ ชนิด อันนอกจาก
เวทนาและสัญญา
แล้วต่างก็ล้วนจัดเป็น
สังขารขันธ์
ชนิด
จิตตสังขาร
(มโนสังขาร)อีกด้วย
, เจตสิก๕๒ ได้แก่
๑.ผัสสะ
- ความกระทบ
อารมณ์
๒.
เวทนา
- ความเสวย
อารมณ์
๓.
สัญญา
- ความหมายรู้
อารมณ์
๔.เจตนา
- ความจงใจต่อ
อารมณ์
๕.
เอกัคคตา
- ความมี
อารมณ์
เป็นหนึ่งเดียว ๖.
ชีวิตินทรีย์
- อินทรีย์คือชีวิต,
สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรม
ทั้งปวง
๗.มนสิการ
- ความกระทำ
อารมณ์
ไว้ในใจ,ใส่ใจ
๘.วิตก
- ความตรึก
อารมณ์
๙.วิจาร
- ความตรองหรือพิจารณา
อารมณ์
๑๐.อธิโมกข์
- ความปลงใจหรือปักใจใน
อารมณ์
๑๑.วิริยะ
- ความเพียร
๑๒.ปีติ
- ความปลาบปลื้มใน
อารมณ์
,ความอิ่มใจ
๑๓.ฉันทะ
- ความพอใจใน
อารมณ์
๑๔.โมหะ
- ความหลง
๑๕.อหิริกะ
- ความไม่ละอายต่อบาป ๑๖.
อโนตตัปปะ
- ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป ๑๗.
อุทธัจจะ
- ความฟุ้งซ่าน
๑๘.โลภะ
- ความอยากได้อารมณ์
๑๙.ทิฎฐิ
- ความเห็นผิด
๒๐.มานะ
- ความถือตัว
๒๑.โทสะ
- ความคิดประทุษร้าย
๒๒.อิสสา
- ความริษยา
๒๓.มัจฉริยะ
- ความตระหนี่ ๒๔.
กุกกุจจะ
- ความเดือดร้อนใจ
๒๕.ถีนะ
- ความหดหู่
๒๖.มิทธะ
- ความง่วงเหงา
๒๗.
วิจิกิจฉา
- ความคลางแคลงสงสัย ๒๘.
สัทธา
(ศรัทธา) - ความเชื่อ ๒๙.
สติ
- ความระลึกได้,ความสำนึกพร้อมอยู่ ๓๐.
หิริ
- ความละอายต่อบาป ๓๑.
โอตตัปปะ
- ความสะดุ้งกลัวต่อบาป ๓๒.
อโลภะ
- ความไม่อยากได้
อารมณ์
๓๓.
อโหสิ
- อโทสะ - ความไม่คิดประทุษร้าย ๓๔.
ตัตรมัชฌัตตตา
หรือ
อุเบกขา
- ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ ๓๕.
กายปัสสัทธิ
- ความสงบแห่งกองเจตสิก ๓๖.
จิตตปัสสัทธิ
- ความสงบแห่งจิต ๓๗.
กายลหุตา
- ความเบากองเจตสิก ๓๘.
จิตตลหุตา
- ความเบาแห่งจิต ๓๙.
กายมุทุตา
- ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกายหรือกองเจตสิก ๔๐.
จิตตมุทุตา
- ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต ๔๑.
กายกัมมัญญตา
- ความควรแก่การใช้งานแห่งกายหรือกองแห่งเจตสิก ๔๒.
จิตตกัมมัญญตา
- ความควรแก่การใช้งานแห่งจิต ๔๓.
กายปาคุญญตา
- ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก ๔๔.
จิตต
ปาคุญญตา
- ความคล่องแคล่วแห่งจิต ๔๕.
กายุชุกตา
- ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก ๔๖.
จิตตุชุกตา
- ความซื่อตรงแห่งจิต ๔๗.
สัมมาวาจา
- เจรจาชอบ ๔๘.
สัมมากัมมันตะ
- กระทำชอบ ๔๙.
สัมมาอาชีวะ
- เลี้ยงชีพชอบ ๕๐.
กรุณา
- ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์ ๕๑.
มุทิตา
- ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข ๕๒.
ปัญญินทรีย์
หรือ
อโมหะ
- ความรู้เข้าใจ,ไม่หลง. ทั้ง๕๒นี้ ยกเว้น
เพียง
เวทนา
และ
สัญญา
แล้ว ที่เหลือทั้ง๕๐
ล้วน
จัดเป็น
สังขารขันธ์
ชนิด
มโน
สังขารหรือ
จิตต
สังขาร
ด้วย
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #4 เมื่อ:
06 พฤศจิกายน 2554 14:19:04 »
ช
ชาติ
- การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า, ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน, การ
เกิด
ของ
สังขาร
(สิ่ง
ปรุง
แต่ง
ทั้งปวง) จึงครอบคลุม
การ
เกิด
ขึ้นของ
สังขาร
ทั้งปวง
ไม่ใช่ชีวิตหรือร่างกายแต่อย่างเดียว,
ใน
ปฏิจจสมุปบาท
ชาติ
จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของสังขารทุกข์ อันเป็นสังขารอย่างหนึ่ง
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ
ชาติ
)
ชรา
- ความแก่ ความทรุดโทรม ความเสื่อม, ความเปลี่ยนแปลง ความแปรปรวน, การแปรปรวนการเปลี่ยนแปลงของสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ใน
ปฏิจจสมุปบาท
ชรา จึงหมายถึง
ความแปรปรวนหรือวนเวียนอยู่ในทุกข์หรือกองทุกข์ กล่าวคือฟุ้งซ่านปรุงแต่งไม่หยุดหย่อนในสังขาร
นั่นเอง
โดย
ไม่รู้ตัว
มรณะ
- ความตาย ความดับไป ความเสื่อมจนถึงที่สุด,
การดับไปในสังขาร
(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง, ใน
ปฏิจจสมุปบาท
มรณะ จึงหมายถึง
การ
ดับ
ไปของ
สังขาร
ทุกข์
ที่เกิดขึ้นมานั้นๆ
ชิวหา
- ลิ้น
ชิวหาวิญญาณ
- ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรสกระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู้ขึ้น, การรู้รส
ชิวหาสัมผัส
- อาการที่ลิ้น รส และ ชิวหาวิญญาณประจวบกัน
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
- เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหาวิญญาณประจวบกัน
ฌ
ฌาน
- การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ จนเกิดองค์ฌานต่างๆ, ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมี
สมาธิ
เป็นองค์ธรรมหลัก อีกทั้งประกอบด้วยองค์ฌานที่สำคัญอีก ๖ ;
ฌาน ๔
คือ
๑.
ปฐมฌาน
ประกอบด้วยมีองค์ ๕ คือ องค์ฌานทั้ง ๕ มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
๒.
ทุติยฌาน
มีองค์ ๓ (ปีติ สุข เอกัคคตา)
๓.
ตติยฌาน
มีองค์ ๒ (สุข เอกัคคตา)
๔.
จตุตถฌาน
มีองค์ ๒ (อุเบกขา เอกัคคตา) ;
องค์ฌาน
หรือองค์ประกอบสำคัญของฌาน มี ๖
วิตก
ความคิด ความดำริ การตรึงจิตไว้กับอารมณ์
วิจาร
ความตรอง, การพิจารณาอารมณ์, การปั้นอารมณ์, การฟั้นอารมณ์, การเคล้าอารมณ์ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวหรือกลมกลืนไปกับจิตหรือสติ
ปีติ
ความซาบซ่าน, ความอิ่มเอิบ, ความดื่มด่ำในใจ อันยังผลให้ทั้งกายและใจ
สุข
ความสบาย, ความสำราญ (อาการผ่อนคลายกว่าปีติ)
อุเบกขา
ความสงบ ความมีใจเป็นกลาง ความวางเฉยต่อสังขารสิ่งปรุงแต่งต่างๆ
เอกัคคตา
ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว คือ ความมีจิตแน่วแน่เป็นเอกหรือเป็นสำคัญ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน
บท
ฌาน,สมาธิ
)
ฌาน ๕
- ก็เหมือนอย่าง ฌาน ๔ นั่นเอง แต่ตามแบบ
อภิธรรม
ท่านซอยละเอียดออกไป โดยเพิ่มข้อ ๒ แทรกเข้ามา คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา)
๒.
ทุติยฌาน มี
องค์ ๔
(
วิจาร
ปีติ สุข เอกัคคตา) ข้อ ๓. ๔. ๕. ตรงกับข้อ ๒. ๓. ๔. ในฌาน ๔ ตามลำดับ
ญ
ญาณ
- ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ) หรือก็คือ
ปัญญา
ที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ
ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่
๑. อตีตังสญาณ ญาณในส่วน
อดีต
๒. อนาคตังสญาณ ญาณในส่วน
อนาคต
๓. ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณในส่วน
ปัจจุบัน
;
อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
๑. สัจจญาณ
หยั่ง
รู้
อริยสัจ
แต่ละอย่าง
๒. กิจจญาณ หยั่ง
รู้กิจ
ในอริยสัจ
๓. กตญาณ หยั่ง
รู้กิจอันได้ทำแล้ว
ในอริยสัจ;
ญาณ ๑๖
- ญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญ
วิปัสสนา
โดยลำดับ
ตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมาย
คือ
มรรคผลนิพพาน ๑๖ อย่าง
คือ
๑.นามรูปปริจเฉทญาณ
ญาณกำหนดแยกนามรูป
๒.(นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ
ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป
๓.สัมมสนญาณ
ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
๔. - ๑๒.
(ตรงกับ
วิปัสสนาญาณ ๙
)
๑๓.โคตรภูญาณ
ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่
ข้าม
พ้น
ภาวะ
ปุถุชนเป็นอริยบุคคลระดับใดระดับหนึ่ง
๑๔.มัคคญาณ
ญาณในอริยมรรค
๑๕.ผลญาณ
ญาณในอริยผล
๑๖.ปัจจเวกขณญาณ
ญาณที่พิจารณาทบทวน; ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า
โสฬสญาณ
หรือเรียกกึ่งไทยว่า
ญาณโสฬส
; ดู
วิปัสสนาญาณ ๙
ญาณทัสสนวิสุทธิ
- ความหมดจดแห่งญาณทัศนะ ได้แก่
ญาณในอริยมรรค ๔
ต
ตทังควิมุตติ
- “
พ้น
ได้ด้วยองค์นั้น
” หมายความว่า พ้นจาก
กิเลส
ด้วยอาศัย
ธรรมตรงกันข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน
เช่น เกิดเมตตา จึงหายโกรธ, เกิดสังเวช จึงหายกำหนัด เป็นต้น เป็นการหลุดพ้น
ชั่วคราว
และเป็น
โลกิยวิมุตติ
ตทังคปหาน
- “
การ
ละ
ด้วยองค์นั้น
”, การ
ละ
กิเลส
ด้วย
องค์ธรรม
ที่
จำเพาะกัน
นั้น คือละกิเลสด้วยองค์ธรรมจำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน แปลง่ายๆ ว่า “
การ
ละ
กิเลส
ด้วย
ธรรม
ที่เป็น
คู่ปรับ
” เช่น ละ
โกรธ
ด้วย
เมตตา
(แปลกันมาว่า “
การละกิเลสได้
ชั่วคราว
”) และเป็น
โลกิยวิมุตติ
ตทังคนิพพาน
- "นิพพานด้วยองค์นั้น”, นิพพานด้วยองค์ธรรม
จำเพาะ
เช่น
มองเห็น
ขันธ์ ๕
โดย
ไตรลักษณ์
แล้วหายทุกข์ร้อน ใจสงบสบายมีความสุขอยู่
ตลอดชั่วคราว
นั้นๆ
กล่าวคือ เห็นเข้าใจธรรมใดได้อย่างแจ่มแจ้ง(ธรรมสามัคคคี) ทำให้ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดคราวหนึ่งๆ, นิพพานเฉพาะกรณี เช่น
ตทังควิมุตติ
ตติยฌาน
- ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒
ละ
ปีติ
เสียได้ คงอยู่แต่
สุข กับ เอกัคคตา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #5 เมื่อ:
07 พฤศจิกายน 2554 17:56:16 »
ตถตา
- ความเป็นอย่างนั้น, ความเป็นเช่นนั้น, ภาวะที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมันอย่างนั้นเอง คือเป็นไปตาม
เหตุปัจจัย
(มิใช่เป็นไปตามความอ้อนวอนปรารถนา หรือการดลบันดาลของใคร ๆ) เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียก
กฎปฏิจจสมุปบาท
หรือ
อิทัปปัจจยตา
ตถาคต
- พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรง เรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่าง คือ ๑. พระผู้เสด็จ
มาแล้ว
อย่างนั้น คือ เสด็จมาทรงบำเพ็ญ
พุทธจริยา
เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ อย่างไรก็อย่างนั้น
๒. พระผู้เสด็จ
ไปแล้ว
อย่างนั้น คือทรง
ทำลายอวิชชาสละปวงกิเลส
เสด็จไปเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ๓. พระผู้เสด็จมาถึง
ตถลักษณะ
คือ ทรงมี
พระญาณหยั่งรู้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายหรือของธรรมทุกอย่าง
๔. พระผู้
ตรัสรู้
ตถธรรม
ตามที่มันเป็น คือ ตรัสรู้
อริยสัจ ๔
หรือ
ปฏิจจสมุปบาท
อันเป็น
ธรรมที่จริงแท้แน่นอน
๕. พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น คือ
ทรงรู้เท่าทันสรรพอารมณ์ที่ปรากฏแก่หมู่สัตว์ทั้งเทพและมนุษย์ ซึ่งสัตวโลกตลอดถึงเทพถึงพรหมได้ประสบและพากันแสวงหา ทรงเข้าใจสภาพที่แท้จริง ๖. พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง) คือ พระดำรัสทั้งปวงนับแต่ตรัสรู้จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ล้วนเป็นสิ่งแท้จริงถูกต้อง ไม่เป็นอย่างอื่น ๗. พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใด ตรัสอย่างนั้น ๘. พระผู้เป็นเจ้า (อภิภู) คือ ทรงเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเหนือกว่าสรรพสัตว์ตลอดถึงพระพรหมที่สูงสุด เป็นผู้เห็นถ่องแท้ ทรงอำนาจเป็นราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นเทพแห่งเทพ เป็นอินทร์เหนือพระอินทร์ เป็นพรหมเหนือประดาพรหม ไม่มีใครจะอาจวัดหรือจะทัดเทียมพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสะ
ตรัสรู้
- รู้แจ้ง หมายถึงรู้
อริยสัจ ๔
คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ติดสุข
- เป็นอาการหรือ
กริยาจิต
ที่ไปยึดติดเพลิดเพลินจนถอนตัวไม่ขึ้นในความสุข สงบ สบาย
จากอำนาจหรือกำลังขององค์ฌาน(สุข)หรือสมาธิ
จึงเกิดอาการของจิตคือ"จิตส่งใน"ไปในกายหรือจิตตน เพื่อการเสพเสวย ที่กระทำอยู่เสมอๆทั้งโดยรู้ตัว และโดยเฉพาะไม่รู้ตัว และควบคุมไม่ได้ เป็นการกระทำเองโดยอัติโนมัติ เมื่อติดสุขแล้วจึงร่วมด้วยอาการ"
จิตส่งใน
" อยู่เสมอๆตลอดเวลาอย่างควบคุมไม่ได้, เกิดจากการปฏิบัติฌานหรือสมาธิ จนเกิดองค์ฌานหรือได้รับความสบายระดับหนึ่ง
จากการระงับไปของนิวรณ์ ๕
แล้วไม่ได้ดำเนินการ
วิปัสสนาทางปัญญา
เลย เน้นกระทำแต่ฌานสมาธิก็เพื่อเสพสุขในรสของความสุข ความสงบ และเสพรสชาดอันแสนอร่อยของ
องค์ฌาน
ต่างๆ อันมี ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อุเบกขาต่างๆ ซึ่งเรียกรวมกันไปว่า
ติดสุข
, ซึ่งเป็นไปโดยไม่รู้ตัว และประกอบด้วย
ความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปฏิบัติถูกต้องแล้วเป็นสำคัญอีกด้วย คือเข้าใจไปว่าถูกทางแล้ว
เพราะมีความสุขสบายที่เกิดขึ้น
เป็นเครื่องล่อ
ลวง หรือปฏิบัติไปด้วยเข้าใจผิดๆไปว่า จิตส่งในไปในกายหรือในจิต
เป็นกายานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔
: มีรายละเอียดและการแก้ไขใน รวมหัวข้อ
ฌานสมาธิ
ในบท ติดสุข
ตัณหา
- ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา มี ๓
กามตัณหา
ตัณหาความทะยานอยาก(รวมทั้งความไม่อยาก)ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้ง๕ หรือในทางโลกๆ หรือความอยากได้ในอารมณ์(รูป รส กลิ่น ฯ.)อันน่ารักน่าใคร่
ภวตัณหา
ตัณหาความทะยานอยากในทางจิตหรือความนึกคิด หรือความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่
วิภวตัณหา
ตัณหาความทะยานไม่อยาก หรือผลักไส ต่อต้าน ความไม่อยากในทางจิตหรือความนึกคิด หรือความทะยานอยากในวิภพ ความอยากในวิภพ คือความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากตายเสีย อยากขาดสูญ อยากพรากพ้น(ไม่อยาก)ไปจากภาวะที่ตนเกลียดชังไม่ปรารถนา, ความทะยานที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐ, พอสรุปได้เป็น ความไม่อยากทั้งหลายนั่นเอง
ตัณหาพอสรุปเพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา จึงพอจำแนกหยาบๆได้ว่าเป็นตัณหา
ความทะยานอยาก และไม่อยาก
ในที่นี้ผู้เขียนจึงมักเรียกสั้นๆในตัณหาว่า ความอยาก และไม่อยาก และใน
ปฏิจจสมุปบาท
นี้ผู้เขียนหมายรวม
ความคิดปรุงแต่งหรือคิดนึกปรุงแต่ง
อันมักก่อกลายเป็นตัณหาว่า ทําหน้าที่เป็นตัณหาด้วย (ดูวงจรประกอบ หมายเลข 8 คือตําแหน่งที่เกิดตัณหา, หรือหมายเลข 22 คิดนึกปรุงแต่งทําหน้าที่ก่อให้เกิดเป็นตัณหาได้ด้วยถ้า
สติ
ไม่รู้เท่าทัน)
ไตรทวาร
- ทวารสาม, ทางทำกรรม(การกระทำ) ๓ ทาง คือ กายทวาร(ทางกาย) วจีทวาร(ทางวาจา) และมโนทวาร(ทางใจ)
ไตรปิฎก
- “ปิฎกสาม”; ปิฎก แปลตามศัพท์อย่างพื้นๆ ว่า กระจาดหรือตะกร้า อันเป็นภาชนะสำหรับใส่รวมของต่างๆ เข้าไว้ นำมาใช้ในความหมายว่า เป็นที่รวบรวม
คำสอน
ในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็นหมวดหมู่แล้วโดย
นัย
นี้ ไตรปิฎกจึงแปลว่า
คัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์
(และเรื่องราวชั้นเดิมของพระพุทธศาสนา) ๓ ชุด หรือ ประมวลแห่งคัมภีร์ที่รวบรวมพระธรรมวินัย ๓ หมวดกล่าวคือ
วินัยปิฎก
ว่าด้วยวินัยหรือข้อบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่างๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
สุตตันตปิฎก
ว่าด้วย
พระสูตรหรือเทศนา
ที่ตรัสแก่บุคคลต่างๆ ในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน เป็นรูปคำสนทนาโต้ตอบบ้าง คำบรรยายธรรมบ้าง เป็นรูปร้อยกรองบ้าง ร้อยแก้วบ้าง ร้อยแก้วผสมร้อยกรองบ้าง ตลอดถึง
เทศนา
ของพระสาวกสำคัญบางรูป
อภิธรรมปิฎก
ว่าด้วยหลักธรรมต่างๆ ที่อธิบายในแง่วิชาการล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุการณ์ ส่วนมากเป็นคำสอนด้าน
จิตวิทยาและอภิปรัชญา
ในพระพุทธศาสนา
ไตรลักษณ์
- ลักษณะสาม อาการที่เป็น
เครื่องกำหนด
หมายให้รู้ถึงความจริงของ
สภาวธรรม
ทั้งหลาย ที่เป็นอย่างนั้นๆ, ๓ ประการ ได้แก่
๑. อนิจจตา (อนิจจัง) ความเป็นของไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา (ทุกขัง) ความเป็นทุกข์ หรือความเป็นของคงทนอยู่มิได้
๓. อนัตตตา (อนัตตา) ความเป็นของมิใช่ตัวตน
(คนไทยนิยมพูดสั้นๆ ว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
และแปลง่ายๆว่า “
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
”)
ลักษณะเหล่านี้มี ๓ อย่าง จึงเรียกว่า ไตรลักษณ์
ลักษณะทั้ง ๓ เหล่านี้มีแก่ธรรมที่เป็น
สังขตะ
คือสังขารทั้งปวง เป็นสามัญเสมอเหมือนกัน จึงเรียกว่า สามัญญลักษณะ
(ไม่สามัญแก่ธรรมที่เป็น
อสังขตะ
คือ
วิสังขาร
ซึ่งมีเฉพาะลักษณะที่สาม คือ
อนัตตา
อย่างเดียว ไม่มีลักษณะสองอย่างต้น);
ลักษณะเหล่านี้เป็นของแน่นอน เป็น
กฏธรรมชาติ
มีอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกว่า
ธรรมนิยาม
(ธมฺมนิยามตา)
ส่วนคำว่าไตรลักษณ์และสามัญลักษณะ เป็นคำที่เกิดขึ้นภายหลังใน
ยุค
อรรถกถา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 7.0.1
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #6 เมื่อ:
10 พฤศจิกายน 2554 12:53:52 »
ไตรวัฏฏ์, ไตรวัฏ
- วัฏฏะ ๓, วงวน ๓ หรือวงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาทซึ่งหมุนเวียนสืบทอดต่อ ๆ กันไป ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด หรือ
วงจรแห่งทุกข์ ได้แก่ กิเลส ---> กรรม ---> และวิบาก
(เรียกเต็มว่า ๑.
กิเลสวัฏฏ์
ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ๒.
กรรมวัฏฏ์
ประกอบด้วย สังขาร ภพ ๓.
วิปากวัฏฏ์
ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสอุปายาส)
กล่าวคือ
กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม
เมื่อทำกรรมก็ได้รับ
วิบาก
คือผลของกรรมนั้น อันเป็น
ปัจจัย
ให้เกิดกิเลสแล้วทำกรรมหมุนเวียนต่อไปอีก เช่น เกิดกิเลสอยากได้ของเขา จึงทำกรรมด้วยการไปลักของเขามา ประสบวิบากคือได้ของนั้นมาเสพเสวยเกิดสุขเวทนา ทำให้มีกิเลสเหิมใจอยากได้รุนแรงและมากยิ่งขึ้นจึงยิ่งทำกรรมมากขึ้น หรือในทางตรงข้ามถูกขัดขวาง ได้รับทุกขเวทนาเป็นวิบาก ทำให้เกิดกิเลสคือโทสะแค้นเคือง แล้วพยายามทำกรรมคือประทุษร้ายเขา เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้
วงจร
จะหมุนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ไตรสรณะ
- ที่พึ่งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ไตรสิกขา
- สิกขาสาม, ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ
อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
เรียกกันง่าย ๆ ว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา
ท
ทิฏฐิ
- ความเห็น, ทฤษฎี, ความเชื่อ ; ในภาษาไทย มักหมายถึง การดื้อดึงในความเห็น (พจนานุกรมเขียนทิฐิ)
ทิฏฐิ ๒
- ความเห็นผิดมี ๒ คือ ๑.
สัสสตทิฏฐิ
ความเห็นว่า
เที่ยง
๒.
อุจเฉททิฏฐิ
ความเห็นว่า
ขาดสูญ
;
ทิฏฐิ ๓
- อีกหมวดหนึ่งมี ๓ คือ ๑. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่เป็นอันทำ ๒. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มีเหตุ ๓. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นว่าไม่มี คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้เช่น มารดาบิดาไม่มี เป็นต้น
ทิฏฐิมานะ
- ทิฏฐิ แปลว่าความเห็น ในที่นี้หมายถึงความเห็นดื้อดึง ถึงผิดก็ไม่ยอมแก้ไข, มานะ ความถือตัว, รวม ๒ คำเป็นทิฏฐิมานะ หมายถึงถือรั้น อวดดี หรือดึงดื้อถือตัว
ทิฏฐิวิบัติ
- วิบัติแห่งทิฐิ, ความผิดพลาดแห่งความคิดเห็น, ความเห็นคลาดเคลื่อนผิดธรรมหรือผิดวินัย ทำให้ประพฤติตนนอกแบบแผน ทำความผิดอยู่เสมอ (ข้อ ๓ ในวิบัติ ๔)
ทิฏฐิวิสุทธิ
- ความหมดจดแห่งความเห็น คือ เกิดความรู้ความเข้าใจ มองเห็นนามรูปตามสภาวะที่เป็นจริง คลายความหลงผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนลงได้ (ข้อ ๓ ในวิสุทธิ์ ๗)
ทิฏฐุปาทาน
- ความยึดมั่นถือมั่น
ในทิฏฐิหรือทฤษฎี ความเชื่อ
ความคิดของตน ภายใต้
อํานาจ
ของกิเลสและตัณหา
อันพาให้เห็นผิดไปจากความเป็นจริง
, ความถือมั่นในทิฏฐิ, ความยึดติดฝังใจในลัทธิ ทฤษฎี และหลักความเชื่อต่างๆ ; เป็นหนึ่งในอุปาทาน ๔ ที่ยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์เร่าร้อนกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทิพย์
- เป็นของเทวดา, วิเศษ, เลิศกว่าของมนุษย์
ทุกข์
- ทุกขลักษณะ - ทุกขัง
๑. สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก, สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดขึ้นและความดับสลาย เนื่องจากต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ไม่ขึ้นต่อตัวของมันเอง (ทุกข์หรือทุกขัง ในไตรลักษณ์)
๒. อาการแห่งทุกข์ที่ปรากฎขึ้นแก่คนเป็นธรรมดา คือ ความเกิด ก็เป็นทุกข์๑ ความแก่ ก็เป็นทุกข์๑ ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์๑ ความตาย ก็เป็นทุกข์๑ ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์๑ รวม ๗ อย่าง โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์. (ทุกขสัจจะ หรือ ทุกขอริยสัจ ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔)
๓. สภาพที่ทนอยู่ด้วยได้ยากลำบาก กล่าวคือ ความรู้สึกไม่สบาย ได้แก่ ทุกขเวทนา, ถ้ามาคู่กับโทมนัส (ในเวทนา ๕) ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกาย คือทุกข์กาย (โทมนัสคือไม่สบายใจ) แต่ถ้ามาลำพัง (ในเวทนา ๓) ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายไม่สบายใจ คือทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ
ทุกขเวทนา
- ความรู้สึกรับรู้พร้อมความจำได้ในสิ่งนั้นว่า ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ; ความรู้สึกลำบาก, ความรู้สึกเจ็บปวด, ความรู้สึกเป็นทุกข์, การเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย พึงทำความเข้าใจให้ดีว่าทุกขเวทนาเป็นทุกข์อย่างหนึ่งแต่เป็นทุกข์ธรรมชาติ
ที่ยังคงเกิด ยังคงมี ยังคงเป็น ตลอดเวลาขณะที่ยังดำรงชีวิตอยู่ แม้ในองค์พระอริยเจ้า และแท้จริงแล้ว
ยังจำเป็นต้องมีเสียอีกด้วย ถ้าไม่มีเสียก็เป็นอันตรายต่อชีวิตยิ่งจนไม่สามารถอยู่ได้
ทุกขเวทนา
จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกหนีได้ จึงต้องทำความเข้าใจอย่างยิ่งยวดเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติ แต่ทุกขเวทนานี้ย่อมไม่แสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายเหมือนดัง
ทุกข์อุปาทาน
คือทุกขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน ที่เรียกว่า เวทนูปาทานขันธ์ (ดูในเวทนา)
ทุกขสมุทัย
- เหตุให้เกิดทุกข์ หมายถึงตัณหาสาม คือ
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เรียกสั้น ๆ ว่า สมุทัย
ทุกขสัญญา
- ความหมายรู้ว่าเป็นทุกข์, การกำหนดหมายให้มองเห็นสังขารว่าเป็นทุกข์
ทุกขอริยสัจ
- ความเกิด ก็เป็นทุกข์๑ ความแก่ ก็เป็นทุกข์๑ ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์๑ ความตาย ก็เป็นทุกข์๑ ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์๑ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์๑ โดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์.
ทุกข์อุปาทาน - อุปาทานทุกข์
- ความทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน เป็นความทุกข์ที่ร่วมด้วยความยึดมั่นถือมั่นด้วย
กิเลส
จึงมีความเร่าร้อนเผาลนกว่าความทุกข์ชนิดทุกขเวทนา
อันเป็นทุกข์ธรรมชาติอันเกิดขึ้นแต่การรับรู้ของการผัสสะ
, ทุกข์อุปาทานเป็น
ผล
จากการปรุงแต่ง
ของตัณหาอันเป็นเหตุคือสมุทัย จึงมีอุปาทานขึ้น
ดังนั้น
ทุกขเวทนาธรรมชาติจึงถูกครอบงำด้วยอุปาทานกลายเป็นทุกขเวทนูปาทานขันธ์อันแสนเร่าร้อนเผาลน
เป็นไปดัง
ปฏิจจสมุปบาทธรรม
, ทุกข์อุปาทานเป็นความทุกข์ที่พระพุทธเจ้า
โปรดสั่งสอนให้ดับสนิทลงไปได้
คือ
นิพพาน
นั่นเอง ; จึงไม่เหมือนดังทุกขเวทนาที่เป็นทุกข์ธรรมชาติ
ที่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ที่ย่อมมีความรู้สึก
จากการรับรู้
เมื่อเกิดการผัสสะ(กระทบ)กัน เกิดเป็นสุขเวทนา หรือเป็นทุกขเวทนาดังกล่าว หรือเกิดอุเบกขาเวทนา(อทุกขมสุขเวทนา)คือเฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตามสัญญาของตนเป็นสําคัญ
ทุติยฌาน
- ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓
ละ
วิตกวิจารได้ คงมีแต่
ปีติ
, สุขอันเกิดแต่
สมาธิ, เอกัคคตา
โทสะ
- ความคิดประทุษร้าย, ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือตรงข้ามกับโทสะ ได้แก่
เมตตา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #7 เมื่อ:
17 พฤศจิกายน 2554 06:01:59 »
ธ
ธรรม
- สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา,
ธรรมชาติ
, สภาวธรรม,
สัจจธรรม
, ความจริง;
เหตุ, ต้นเหตุ;
สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด;
คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ;
หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่;
ความชอบ, ความยุติธรรม;
พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่ง
แสดงธรรม
(
คือความจริงแท้ เรื่องของทุกข์และการดับทุกข์
)ให้เปิดเผยปรากฏขึ้น
ธรรม ๒
- หมวดหนึ่ง คือ ๑.
รูป
ธรรม
ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด ๒.
อรูป
ธรรม
ได้แก่นามขันธ์ ๔ และนิพพาน; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑.
โลกีย
ธรรม
ธรรมอันเป็นวิสัยของโลก ๒.
โลกุตตร
ธรรม
ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลกได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑; อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑.
สังขต
ธรรม
ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้แก่ขันธ์ ๕ ทั้งหมด ๒.
อสังขต
ธรรม
ธรรมที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน
ธรรมขันธ์
- กองธรรม, หมวดธรรม, ประมวลธรรมเข้าเป็นหมวดใหญ่มี ๕ คือ สีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์; กำหนดหมวดธรรมในพระไตรปิฎกว่ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐, สุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐, และอภิธรรมปิฎก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ธรรมจักษุ
- ดวงตาเห็นธรรมคือ
ปัญญา
รู้เห็นความจริง
ดังเช่นว่า สิ่งใดก็ตามมี
ความเกิด
ขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมี
ความดับ
ไปเป็นธรรมดา; ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะเมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่โสดาปัตติมรรคหรือโสดาปัตติมัคคญาณ คือ
ญาณ
ที่ทำให้เป็นโสดาบัน
ธรรมดา
- อาการหรือความเป็นไปแห่งธรรมชาติ; สามัญ, ปกติ, พื้น ๆ
ธรรมฐิติ
- ความดำรงคงตัวแห่งธรรม, ความตั้งอยู่แน่นอนแห่งกฎธรรมดา
ธรรมชาติ
- สิ่งหรือของที่เกิดเอง ตาม
วิสัย
ของโลก
ธรรมนิยาม
-
กำหนด
แน่นอนแห่ง
ธรรมดา
,
กฎ
ธรรมชาติ
,
ความจริงที่มีอยู่หรือดำรงอยู่ธรรมชาติของมัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วทรงนำมาแสดงชี้แจงอธิบายให้คนทั้งหลายให้รู้ตาม มี ๓ อย่าง
แสดงความตามพระบาลีดังนี้
๑. สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
สังขาร
ทั้งปวง
ไม่เที่ยง
๒. สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
สังขาร
ทั้งปวง
คงทนอยู่มิได้
๓. สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
ธรรม
ทั้งปวง
ไม่เป็นตัวตน
;
ปัจจุบันนิยมใช้คำว่า
ไตรลักษณ์
แทนคำว่า
ธรรมนิยาม
ธรรมทาน
- การให้ธรรม, การสั่งสอนแนะนำเกี่ยวกับธรรม, การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ธรรมาธิษฐาน
- มีธรรมเป็นที่ตั้ง คือ เทศนา โดยยกธรรมขึ้นแสดง เช่นว่าศรัทธาศีล คืออย่างนี้ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้เป็นต้น คู่กันกับ
บุคคลาธิษฐาน
ธรรมารมณ์
- ธัมมารมณ์ - อารมณ์ทางใจ กล่าวคือ
สิ่งที่กำหนดรู้ได้ทางใจ
, สิ่งที่ใจนึกคิด
ธรรมวิจยะ
- ธัมมวิจยะ - ธรรมวิจัย - การวิจัยหรือค้นคว้าพิจารณาธรรม การเฟ้นเลือกธรรม
ธรรมสามัคคี
- ความพร้อมเพรียงขององค์ธรรม, องค์ธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกันทุกอย่าง ทำกิจหน้าที่ของแต่ละอย่าง ๆ โดยพร้อมเพรียงและประสานสอดคล้องกันให้สำเร็จผลที่เป็นจุดหมาย เช่น จนเกิดความเข้าใจในธรรมใดธรรมหนึ่งอย่างแจ่มแจ้ง อย่าง
ปรมัตถ์
, แต่ถ้าเข้าใจในธรรมถึงขั้น
บรรลุ
ในมรรคผล กล่าวคือถ้าเป็นธรรมสามัคคีดังข้างต้น
ที่พร้อมด้วยองค์มรรค ก็เรียกกันว่า มรรคสามัคคีหรือมรรคสมังคี
อันเป็นการบรรลุมรรคผลในขั้นใดขั้นหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือเป็นอริยบุคคล เช่น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี ฯ.เป็นต้น
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
- “พระสูตรว่าด้วย
การ
ยัง
ธรรมจักร
ให้เป็นไป”,
พระสูตร
ว่าด้วยการหมุนวงล้อ
ธรรม
เป็นชื่อของ
ปฐมเทศนา
คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้สองเดือน ว่าด้วย
มัชฌิมาปฏิปทา
คือ ทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุด ๒ อย่าง และว่าด้วย
อริยสัจ ๔
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้
ตรัสรู้
อันทำให้พระองค์สามารถปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
(
ญาณ
คือ ความ
ตรัสรู้
เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม) ท่านโกณฑัญญะหัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้
ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ)
และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรก เรียกว่า เป็น
ปฐมสาวก
ธัมมารมณ์
- ดู ธรรมารมณ์
ธาตุ
- สิ่งที่ทรงสภาวะของมันอยู่ได้เอง
ตามธรรมดาของเหตุปัจจัย
หรือทรงสภาวะของมันเองได้
โดยธรรมชาติ
: ความ
ตั้งอยู่
ตามธรรมดา ความ
เป็นไป
ตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง
ธาตุ ๔
คือ ๑.
ปฐวีธาตุ
สภาวะที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่เรียกสามัญว่าธาตุแข้นแข็งหรือธาตุดิน ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า (มันสมอง), หรือหมายถึง
สารประกอบ
แข้นแข็งที่เกิดแต่
การประกอบกันขึ้นของ
ธาตุ
ทั้ง๑๐๘
ที่ล้วนมีอยู่ในดิน ก็เพื่อประโยชน์ใน
การ
เจริญ
วิปัสสนา
ก็ได้ ๒.
อาโปธาตุ
สภาวะที่เอิบอาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตุเหลวหรือธาตุน้ำ ในร่างกายที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ข้อความนี้ เป็นการกล่าวถึงอาโปธาตุในลักษณะที่คนสามัญทุกคนจะเข้าใจได้ และพอให้สำเร็จประโยชน์ในการเจริญกรรมฐาน ๓.
เตโชธาตุ
สภาวะที่ทำให้ร้อน เรียกสามัญว่าธาตุไฟ ในร่างกาย ได้แก่ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวายและไฟที่เผาอาหารให้ย่อย ๔.
วาโยธาตุ
สภาวะที่ทำให้เคลื่อนไหว มีลักษณะพัดไปมา, ภาวะสั่นไหว เคร่งตึง ค้ำจุน ในร่างกายนี้ ส่วนที่ใช้กำหนดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ได้แก่ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ
ธาตุ ๖
- คือ เพิ่ม ๕.
อากาสธาตุ
สภาวะที่ว่าง หรือช่องว่าง ๖.
วิญญาณธาตุ
สภาวะที่
รู้
แจ้ง
อารมณ์
หรือ
ธาตุรู้
ธาตุ
- กระดูกของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เรียกรวมๆ ว่า พระธาตุ (ถ้ากล่าวถึงกระดูกของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะเรียกว่า พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ พระสารีริกธาตุ หรือระบุชื่อกระดูกส่วนนั้นๆ เช่น พระทาฐธาตุ)
ธาตุ ๑๘
- สิ่งที่ทรง
สภาวะ
ของตนอยู่เอง
ตามที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น
เป็นไปตาม
ธรรมนิยาม
คือ
กำหนด
แห่ง
ธรรมดา
คือไม่มี
ผู้
สร้าง
ผู้
บันดาล และมี
รูป
ลักษณะกิจอาการ
เป็นแบบจำเพาะตัว อันพึง
กำหนด
เอาเป็นหลักได้แต่ละอย่างๆ
1. จักขุธาตุ (ธาตุคือจักขุปสาท หรือจักขุประสาท)
2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ์)
3. จักขุวิญญาณธาตุ (ธาตุคือจักขุวิญญาณ)
4. โสตธาตุ (ธาตุคือโสตปสาท)
5. สัททธาตุ (ธาตุคือสัททารมณ์)
6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ)
7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท)
8. คันธธาตุ (ธาตุคือคันธารมณ์)
9. ฆานวิญญาณธาตุ (ธาตุคือฆานวิญญาณ)
10. ชิวหาธาตุ (ธาตุคือชิวหาปสาท)
11. รสธาตุ (ธาตุคือรสารมณ์)
12. ชิวหาวิญญาณธาตุ (ธาตุคือชิวหาวิญญาณ)
13. กายธาตุ (ธาตุคือกายปสาท)
14. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุคือโผฏฐัพพารมณ์)
15. กายวิญญาณธาตุ (ธาตุคือกายวิญญาณ)
16. มโนธาตุ (ธาตุคือมโน)
17. ธรรมธาตุ (ธาตุคือธรรมารมณ์)
18. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุคือมโนวิญญาณ)
ธาตุกัมมัฏฐาน
- กรรมฐานที่
พิจารณาธาตุ
เป็นอารมณ์ กล่าวคือ
กำหนด
พิจารณาร่างกายแยกเป็นส่วนๆ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียง
ธาตุ ๔
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับ
เหตุ
คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
จึง
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่
ตัวตน
ของเรา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #8 เมื่อ:
18 พฤศจิกายน 2554 06:31:14 »
น
นาม
- ธรรมที่รู้จักกันด้วยชื่อ กำหนดรู้ด้วยใจเป็นเรื่องของจิตใจ, สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปแต่น้อมมาเป็นอารมณ์ของจิตได้ ๑.ในที่ทั่วไปหมายถึง
อรูปขันธ์ ๔
คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ๒.บางแห่งหมายถึงอรูปขันธ์ ๔ นั้น
และ
นิพพาน (รวมทั้ง
โลกุตตรธรรม
อื่นๆ) ๓.บางแห่งเช่นใน
ปฏิจจสมุปบาท
บางกรณีหมายเฉพาะ
เจตสิกธรรม
ทั้งหลาย เทียบ
รูป
นามธรรม
- สิ่งที่ไม่มีรูปร่างตัวตน สัมผัสได้ด้วยใจ หรือความคิด
- สภาวะที่
น้อม
ไปหา
อารมณ์
,
ใจและอารมณ์
ที่
เกิด
ขึ้นกับใจ คือ
จิตและเจตสิก
, สิ่งของที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
แต่รู้ได้ทางใจ
นามรูป - นามธรรมและรูปธรรม
;
นามธรรม
หมายถึง สิ่งที่
ไม่มี
รูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่
รู้ได้ด้วยใจ
ได้แก่
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
;
รูปธรรม
หมายถึงสิ่งที่
มี
รูป สิ่งที่
เป็น
รูป ได้แก่
รูปขันธ์
ทั้งหมด
นามรูปปริจเฉทญาณ
- ญาณกำหนดแยกนามรูป, ญาณหยั่งรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นแต่เพียงนามและรูป และกำหนดจำแนกได้ว่าสิ่งใดเป็นรูป สิ่งใดเป็นนาม (ข้อ
๑
ใน
ญาณ ๑๖
)
นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ
- ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป, ญาณหยั่งรู้ที่กำหนดจับได้ซึ่งปัจจัยแห่งนามและรูป โดย
อาการ
ที่เป็นไปตามหลัก
ปฏิจจสมุปบาท
เป็นต้น (ข้อ
๒
ใน
ญาณ ๑๖
) เรียกกันสั้นๆ ว่า ปัจจัยปริคคหญาณ)
นิพพาน
- การ
ดับ
กิเลสและกองทุกข์เป็น
โลกุตตร
ธรรม
และเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ดู
นิพพาน
ธาตุ
นิพพานธาตุ
- ภาวะแห่งนิพพาน; นิพพาน หรือนิพพานธาตุ ๒ คือ
สอุปาทิเสส
นิพพาน
ดับกิเลสและยังมีขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์อยู่ ๑ หมายถึง
ยังมีชีวิตอยู่
ดังนั้นจึงไม่ใช่
การพยายามดับขันธ์๕
แต่เป็นการ
ดับ
อุปาทาน
ที่ไป
ยึด
ขันธ์๕
อนุุปาทิเสส
นิพพาน
ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ ๑ (ตายหรือดับขันธ์)
นิพพิทา
- ความหน่าย หมายถึงความหน่ายที่เกิดขึ้นจาก
ปัญญา
พิจารณา
เห็น
ความจริง
ถ้าหญิงชายอยู่กินกันเกิดหน่ายกัน เพราะความประพฤติไม่ดีต่อกัน หรือหน่ายในมรรยาทของกันและกัน อย่างนี้ไม่จัดเป็นนิพพิทา เพราะเป็นการหน่ายที่เกิดจาก
กิเลส
ตัณหา
; ความเบื่อหน่ายในกอง
ทุกข์
(ดูรายละเอียดในบท นิพพิทา)
นิพพิทาญาณ
- ความ
รู้
ที่ทำให้
เบื่อหน่าย
ในกองทุกข์,
ปรีชา
หยั่งเห็น
สังขาร
ด้วยความหน่าย ดู
วิปัสสนา
ญาณ
นิมิต
- สิ่งที่เกิดปรากฏเฉพาะขึ้นในนักปฏิบัติ อัน
เกิด
แต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ เช่น ภาพที่ปรากฏขึ้นแต่ใจของนักปฏิบัติหรือผู้เจริญกรรมฐาน ฯ., พอแยกให้เห็นโดยสังเขปได้ดังนี้
ภาพหรือรูป,แสง,สี
ที่เห็นขึ้นอัน
เกิด
แต่
ใจ
ของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญหรือ
เป็นเหตุ
ผู้เขียนเรียกว่า
รูปนิมิต
, ส่วนเสียงที่ได้ยินอันเกิดแต่ใจของนักปฏิบัติเป็นสำคัญหรือเป็นเหตุ ผู้เขียนเรียกว่าเสียงนิมิตหรือนิมิตทางเสียง เช่นได้ยินเสียงระฆัง เสียงสวดมนต์ที่
ผุด
ขึ้นมาแต่ภายในเอง, และความคิดที่
ผุด
ขึ้นมาในใจของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ ก็เรียกว่านามนิมิต ทั้งปวง
ล้วนเกิดแต่ใจหรือสัญญา
(จึงครอบคลุมถึงเหล่า
อาสวะกิเลส
ด้วย)ของผู้เจริญกรรมฐานเป็นสำคัญ
จึงมิได้เกิดแต่ปัญญาหรือการพิจารณาอย่างแจ่มแจ้งแต่อย่างเดียว
นิมิตที่พึงเกิดขึ้นได้
เป็นธรรมดาทั้งหลายนั้น จึงอย่าได้ไปยึดมั่นหรือหลงไหล เพราะพาให้การปฏิบัติผิดแนวทางในผู้ที่ไปยึดติดยึดมั่นเข้า
; อ่านรายละเอียดได้ในบท นิมิตและภวังค์
บางทีก็ใช้ในความหมายว่า มอง, จ้อง, เห็น
- เครื่องหมายสำหรับให้จิตกำหนด ในการเจริญกรรมฐาน, ภาพที่ใช้เป็นอารมณ์ ในการปฏิบัติกรรมฐานมี ๓ คือ
๑.
บริกรรมนิมิต
นิมิตแห่งบริกรรม หรือนิมิตตระเตรียม ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือกำหนดนึกเป็นอารมณ์กรรมฐาน เช่น ดวงกสิณที่เพ่งดู หรือพุทธคุณที่นึกว่าอยู่ในใจว่า พุทโธ ก็จัดเป็นนิมิต เป็นต้น
๒.
อุคคหนิมิต
นิมิตที่ใจเรียน หรือนิมิตติดตาติดใจ ได้แก่ สิ่งที่เพ่ง หรือนึกนั้นเอง จนแม่นในใจ หรือจนหลับตามองเห็นสิ่งนั้น
๓.
ปฏิภาคนิมิต
นิมิตเสมือน หรือนิมิตเทียบเคียง ได้แก่อุคคหนิมิตนั้น เจนใจจนกลายเป็นภาพที่เกิดจาก
สัญญา
เป็นของบริสุทธิ์ จะนึกขยาย หรือย่อส่วนก็ได้ตามปรารถนา
นิรามิส
- นิรามิษ -หาเหยื่อมิได้, ไม่มีอามิษ(อามิส) คือ ไม่ต้องมีเหยื่อใช้เป็น
เครื่องล่อ
ใจ,
ไม่ต้องอาศัย
วัตถุ
มาเป็นเครื่องล่อใจหรือกำหนด
นิโรธ
- ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง, ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึง พระนิพพาน
นิโรธสมาบัติ
- การเข้านิโรธ คือ
ดับ
สัญญา
ความจำได้หมายรู้ และ
เวทนา การ
เสวย
อารมณ์
เรียกเต็มว่า เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
นิวรณ์, นิวรณธรรม
- ธรรมที่
กั้นจิต
ไม่ให้บรรลุความดี, สิ่งที่ขัดขวางจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรมมี
๕
อย่าง คือ
๑.กามฉันท์
ความพอใจในกามคุณ
๒.พยาบาท
คิดร้ายผู้อื่น
๓.ถีนมิทธะ
ความหดหู่ ความซึมเซา
๔.อุทธัจจกุกกุจจะ
ความฟุ้งซ่าน และรำคาญ,เดือดร้อนใจ
๕.วิจิกิจฉา
ความลังเลสงสัย
; ธรรมที่เป็น
ปฏิปักษ์
กับ
นิวรณ์ ๕
คือ
สมาธิ
เนกขัมมะ
- การออกจากกาม, การออกบวช, ความปลอดโปร่งจาก
สิ่งล่อเร้าเย้ายวน
(พจนานุกรม เขียน เนกขัม)
เนกขัมมวิตก
- ความตรึกที่จะออกจากกาม หรือตรึกที่จะออกบวช, ความดำริ หรือความคิดที่ปลอดจาก
ความ
โลภ
(ข้อ
๓
ใน
กุศลวิตก ๓
)
เนวสัญญานาสัญญายตนะ
- ภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่
เป็นชื่อ
อรูปฌาน
หรือ
อรูปภพ
ที่ ๔
นันทิ
- ความเพลิดเพลิน ความติด ความติดเพลิน ทํา
หน้าที่
เป็น
ตัณหา
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #9 เมื่อ:
19 พฤศจิกายน 2554 06:06:57 »
บ
บริกรรม
- การกระทำขั้นต้นในการเจริญสมถกรรมฐาน คือ กำหนดใจโดยเพ่งวัตถุ หรือนึกถึงอารมณ์ที่กำหนดนั้น ว่าซ้ำๆ อยู่ในใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ (ในภาษาไทยเลือนไปหมายถึง ท่องบ่น, เสกเป่า)
บริกรรมภาวนา
- ภาวนาขั้นต้นหรือขั้นตระเตรียม คือ กำหนดใจ โดยเพ่งดูวัตถุ หรือนึกว่าพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นต้น ซ้ำๆ อยู่ในใจ
บุคคลาธิษฐาน
-
มี
บุคคลเป็นที่ตั้ง, เทศนา
ยก
บุคคลขึ้นตั้ง คือ
วิธี
แสดงธรรม
โดยยกบุคคลขึ้นอ้างแสดง คู่กับ
ธรรมาธิษฐาน
บุญ
- เครื่องชำระสันดาน, ความดี, กุศล, ความสุข, ความประพฤติชอบทางกาย วาจาและใจ, กุศลธรรม, ความใจฟู, ความอิ่มเอิบ
บุพเพนิวาสานุสติญาณ
- ความ
รู้
เป็น
เครื่องระลึก
ได้ถึงขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน, ระลึกชาติได้
บูชา
- ให้ด้วยความนับถือ, แสดงความเคารพเทิดทูน มี ๒ คือ
อามิสบูชา
และ
ปฏิบัติบูชา
, พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยการปฏิบัติ คือ ประพฤติ
ตามธรรม
คำสั่งสอนของท่าน, บูชาด้วยการ
ประพฤติปฏิบัติ
กระทำสิ่งที่ดีงาม
เบญจกามคุณ
- กามคุณ ๕ สิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และ
โผฏฐัพพะ
(
สัมผัส
ทางกาย)
เบญจขันธ์
- ขันธ์ ๕ - กองหรือหมวดทั้ง ๕
แห่งรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบเข้า
เป็น
ชีวิต
ได้แก่ ๑. รูปขันธ์ กองรูป ๒. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ๓. สัญญาขันธ์ กองสัญญา ๔. สังขารขันธ์ กองสังขาร ๕. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
เบญจธรรม
- ธรรม ๕ ประการ, ความดี ๕ อย่างที่ควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษา
เบญจศีล
ตามลำดับข้อ ดังนี้
๑. เมตตากรุณา ๒. สัมมาอาชีวะ
๓. กามสังวร (สำรวมในกาม)
๔. สัจจะ
๕. สติสัมปชัญญะ
; บางตำราว่าแปลกไปบ้าง ข้อคือ ๒. ทาน ๓. สทารสันโดษ = พอใจ
เฉพาะ
ภรรยาของตน ๕
อัปปมาทะ
= ไม่ประมาท;
เบญจกัลยาณธรรม
ก็เรียก
เบญจศีล
- ศีล ๕ เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกาม เว้นพูดปด เว้นของเมา มีคำสมาทานว่า ๑. ปาณาติปาตา ๒. อทินนาทานา ๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา ๔. มุสาวาทา ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา ต่อท้ายด้วยเวรมณีสิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ทุกข้อ
ป
ปราโมทย์
- ความบันเทิงใจ, ความปลื้มใจ
ปฏิกูล
- น่าเกลียด, น่ารังเกียจ
ปฏิฆะ
- ความขัด, แค้นเคือง, ความขึ้งเคียด,
ความกระทบ
กระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความที่จิตหงุดหงิดด้วย
อำนาจ
โทสะ
ปฏิฆานุสัย
- กิเลส ความขุ่นข้อง ขัดเคือง ที่นอนเนื่องในสันดาน; ดูอนุสัย
ปฏิจจสมุปบาท
- สภาพ
อาศัยปัจจัย
เกิดขึ้น, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น, การที่
ทุกข์
เกิดขึ้นเพราะ
อาศัยปัจจัย
ต่อเนื่อง
กันมา
มีองค์คือหัวข้อ ๑๒ ดังนี้
๑. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะ
อวิชา
เป็นปัจจัย สังขารจึงมี
๒. สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณี เพราะ
สังขาร
เป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
๓. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะ
วิญญาณ
เป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
๔. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะ
นามรูป
เป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
๕. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะ
สฬายตนะ
เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
๖. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะ
ผัสสะ
เป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
๗. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะ
เวทนา
เป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
๘. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะ
ตัณหา
เป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
๙. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะ
อุปาทาน
เป็นปัจจัย ภพจึงมี
๑๐. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะ
ภพ
เป็นปัจจัย ชาติจึงมี
๑๑. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะ
ชาติ
เป็นปัจจัย (๑๒.)
ชรามรณะ
จึงมี
โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส จึงมีพร้อม
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ
ความ
เกิด
ขึ้นแห่ง
กอง
ทุกข์ทั้งปวง
นี้จึงมีด้วยประการฉะนี้
ปฏิจจสมุปบันธรรม
- ปฏิจจสมุปปันนธรรม - ธรรมหรือ
สภาวธรรม
ที่สิ่งต่างๆ
เกิด
ขึ้นมาแต่
เหตุปัจจัย
เช่น การ
เกิด
แต่เหตุปัจจัยของ
ความ
ทุกข์
หรือปฏิจจสมุปบาท เรียก
สภาวธรรม
นี้ว่าปฏิจจสมุปบันธรรม, การ
เกิด
แต่เหตุปัจจัยของ
ขันธ์ ๕
หรือ
อุปาทานขันธ์๕
, ธรรมหรือสภาวธรรม ในการ
เกิด
มาแต่
เหตุ
ปัจจัยของ
สังขาร
หรือ
สรรพสิ่ง
ต่างๆ กล่าวคือ จึง
ครอบคลุม
สิ่ง
ต่างๆหรือ
สังขาร
(
สังขตธรรม
)ที่
เกิด
ขึ้นแต่
เหตุ
หรือ
สิ่ง
ต่างๆ
มาเป็น
ปัจจัย
กัน
ทั้งสิ้น นั่นเอง
ปฏิปทา
- ทางดำเนิน, ความประพฤติ, ข้อปฏิบัติ
ปฏิสนธิจิตต์
- จิตที่
สืบต่อ
ภพใหม่, จิตที่
เกิด
ทีแรกใน
ภพใหม่
ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
-
ญาณ
อันคำนึงพิจารณาหาทาง,
ปรีชา
คำนึงพิจารณา
สังขาร
เพื่อหาทางเป็น
เครื่อง
พ้น
ไปเสีย ดู
วิปัสสนา
ญาณ
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 8.0
Re: คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท
«
ตอบ #10 เมื่อ:
19 พฤศจิกายน 2554 12:30:20 »
ปริวาส
- การอยู่ชดใช้ เรียกสามัญว่า
อยู่กรรม
, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติสำหรับออกจากครุกาบัติ) อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติ ก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ระหว่างอยู่ปริวาส ต้องประพฤติวัตรต่างๆ เช่น งดใช้สิทธิบางอย่าง ลดฐานะของตนและประจานตัวเป็นต้น ; ปริวาส มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาส สโมธานปริวาส และ สุทธันตปริวาส ; มีปริวาสอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักบวชนออกศาสนา จะต้องประพฤติก่อนที่จะบวชในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวาส ซึ่งท่านจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวาส
ปฏิภาคนิมิต
- นิมิตเสมือน, เป็น
ภาพเหมือน
ของอุคคหนิมิตเกิดจาก
สัญญา
(
จํา
) สามารถนึกขยายหรือย่อ ให้ใหญ่หรือเล็กได้ตามปรารถนา
ปฏิเวธ
- เข้าใจตลอด, แทงตลอด, ตรัสรู้, รู้ทะลุปรุโปร่ง, ลุล่วง
ผล
ปฏิบัติ
ปฏิปักษ์
- ฝ่ายตรงกันข้าม, คู่ปรับ, ข้าศึก, ศัตรู
ปฏิโลม
- ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึง
การ
พิจารณา
การ
ดับ
ไปแห่งทุกข์
เป็น
ลําดับ
ปปัญจสัญญา
- สัญญาอันมีการ
เกิด
จาก
ความคิดปรุงแต่งที่สลับซับซ้อนและ
มักเจือ
ด้วยกิเลสและตัณหา
ถือได้ว่าเป็นสัญญาชนิดทําหน้าที่เป็น "
ตัณหา
"
ปรมัตถ์
- ความหมาย
สูงสุด
, ความหมาย
ที่แท้จริง
,
ปรมัตถธรรม
-
ธรรม
หรือ
สิ่ง
ทั้งหลาย
ที่เป็นจริง
โดยความหมาย(ใน
ระดับ
หรือใน
ขั้น
)สูงสุด(
แก่นแท้
)
ปรมัตถสัจจะ
-
ความจริง
โดย
ความหมาย
สูงสุด
เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฯ. ตรงข้ามกับ
สมมติสัจจะ
อันคือ
จริง
โดย
สมมติ
ขึ้น
เช่น สัตว์ บุคคล เธอ ฉัน นายแดง นายขาว รถฉัน บ้านเธอ ที่มีความหมายว่า จริงใน
ระดับ
หนึ่งหรือจริงใน
ระยะเวลา
หนึ่ง
ปรมัตถ
สัจจะ
นั้นหมายถึง ความจริงขั้นสูงสุด หรือจริงแท้อยู่เยี่ยงนั้นเป็นธรรมดา ดังเช่น ชีวิตเกิดแต่เหตุปัจจัยของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนี้เป็นปรมัตถสัจจะ, ส่วน
สมมติ
สัจจะ
นั้น อาจจะกล่าวหรือหมายความได้ว่า "ความจริงในระดับหนึ่งหรือความจริงแค่ในระยะเวลาหนึ่ง" ดังเช่น นายแดงหรือชีวิตของนายแดงเป็นสมมติสัจจะ
ประภัสสร
- ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธ์ ดัง
พุทธพจน์
ว่า “
จิตนี้
ประภัสสร
(ผุดผ่อง ผ่องใส บริสุทธิ์) แต่เศร้าหมองเพราะ
อุป
กิเลส
ที่จรมา
” มีความหมายว่า
จิต
นี้
โดย
ธรรมชาติของมันเอง
มิใช่เป็น
สภาวะ
ที่แปดเปื้อนสกปรก หรือมีสิ่งเศร้าหมอง
เจือ
ปนอยู่ แต่
สภาพ
เศร้าหมองนั้นเป็น
ของ
แปลกปลอม
เข้ามา ฉะนั้น
การชำระจิต
ให้สะอาดหมดจดจึงเป็น
สิ่ง
ที่เป็นไปได้
ปริเทวะ
- ความครํ่าครวญ, ความร่ำไรรําพัน ความบ่นเพ้อ จึงรําลึกถึงทั้งในสุขและทุกข์ เช่น คร่ำครวญหรือรำพันในทุกข์ หรือบ่นเพ้อคือคร่ำครวญถึงความสุข; ดูอาสวะกิเลส
ปริยัติ
- พุทธพจน์อันจะพึงเล่าเรียน, สิ่งที่ควรเล่าเรียน (โดยเฉพาะหมายเอาพระบาลี คือพระไตรปิฎก พุทธพจน์หรือพระธรรมวินัย); การเล่าเรียนพระธรรมวินัย
ปิยรูป สาตรูป๑๐
- สิ่งที่มี
สภาวะ
น่ารักน่าชื่นใจ เป็นที่
เกิด
และเป็นที่
ดับ
ของ
ตัณหา
ปีติ
- (มักเขียนกันเป็นปิติ) ความอิ่มใจ, อิ่มเอิบ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ คือ ๑.
ขุททกาปีติ
ปีติ
เล็กน้อย
พอขนชันน้ำตาไหล ๒.
ขณิกาปีติ
ปีติ
ชั่วขณะ
รู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ ๓.
โอกกันติกาปีติ
ปีติ
เป็น
ระลอก
รู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง ๔.
อุพเพคาปีติ
ปีติ
โลดลอย
ให้
ใจฟูตัวเบาหรืออุทาน
ออกมา ๕.
ผรณาปีติ
ปีติ
ซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์เป็นของประกอบ
กับ
สมาธิ
(มีรายละเอียดอยู่ในบท
ฌาน,สมาธิ
)
ปุถุชน
- คนที่
หนาแน่น
ไปด้วย
กิเลส
, คนที่
ยัง
มี
กิเลส
มาก หมายถึง
คน
ธรรมดา
ทั่วๆ ไป
ซึ่งยังไม่
เป็น
อริย
บุคคล
หรือ
พระ
อริยะ
ปัจจัย
- ในทางธรรมหมายถึง
เครื่อง
สนับสนุนให้ธรรม(สิ่ง)อื่นๆ
เกิด
ขึ้น,
เหตุ
ที่ให้
ผล
เป็นไป,
เครื่องหนุนให้เกิด
(
เหตุ
- สิ่งที่ทำให้เกิดผลขึ้น, สิ่งที่ก่อเรื่อง, เค้ามูล, เรื่องราว, )
-
ของ
สำหรับ
อาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต,
สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ อย่าง
คือ จีวร (ผ้านุ่งห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) คิลานเภสัช (ยาบำบัดโรค)
ปัจจัตตัง
- รู้ได้เฉพาะตน ดังการกินอาหาร ใครจะกล่าวว่าอร่อย เปรี้ยว หวาน มัน เค็มเยี่ยงไร ก็ย่อมไม่สามารถรู้รสชาดได้บริบูรณ์เหมือนการ
ชิม
ด้วยตนเอง จึงเป็น
ลักษณาการ
ของการ
รู้
ได้
เฉพาะ
ตน
ปัญญา
- ความ
รู้
ทั่ว, ปรีชา
หยั่งรู้
เหตุผล, ความ
รู้
เข้าใจชัดเจน, ความ
รู้
เข้าใจ
หยั่งแยก
ได้
ใน
เหตุผล ดีชั่ว คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์
เป็นต้น และ
รู้
ที่จะจัดแจง จัดสรร จัดการ,
ความ
รอบรู้ใน
กอง
สังขาร
มอง
เห็น
ตามเป็นจริง
- ความเข้าใจหรือความเห็น เป็นไป
ตาม
ความเป็นจริง กล่าวคือ
ไม่เชื่อไม่เห็นไปตาม
ความคิด,ความเชื่อ,ความอยาก
ของ
ตน
เอง
จึงไม่ได้หมายถึงความฉลาดเฉลียว หรือI.Q.สูงแต่อย่างใด แต่เป็น
ปัญญา
ในการเห็นการเห็นหรือเข้าใจ
ตามความจริง
ที่
เป็นไป
(
ยถาภูต
ญาณ
)
ปัญญาจักขุ, ปัญญาจักษุ
- จักษุคือปัญญา, ตาปัญญา, จึงหมายถึงปัญญา ; เป็น
คุณสมบัติ
อย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระองค์
ตรัสรู้
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ด้วย
ปัญญาจักขุ (ข้อ
๓
ในจักขุ
๕
)
ปัญญาวิมุตติ
- ความหลุด
พ้น
ด้วย
ปัญญา
,
ความหลุดพ้นที่
บรรลุ
ด้วยการ
กำจัด
อวิชชา
ได้ ทำให้สำเร็จ
อรหัตต
ผล
และทำให้
เจโตวิมุตติ
เป็น
เจโตวิมุตติ
ที่ไม่
กำเริบ
คือ ไม่
กลับกลาย
ได้อีกต่อไป
ปัสสัทธิ
- ความสงบกาย,สงบใจ ความผ่อนคลายกายและใจ (ข้อ
๕
ใน
สัมโพชฌงค์๗
)
เป็นธรรมดา
-
อาการ
หรือ
ความ
เป็นไปแห่ง
ธรรมชาติ
; สามัญ, ปกติ, พื้นๆ : ในเรื่องต่างๆที่กล่าวนั้น จะสังเกตุได้ว่ามีคำว่า เป็นธรรมดา หรือ มันเป็นเช่นนั้นเอง(
ตถตา
)แทรกอยู่อย่างมากมายแทบทุกบททุกตอน จึงอยากขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยว่า เป็นธรรมดานั้น เป็นธรรมดาที่ไม่ธรรมดา หรือหมายถึงยิ่งใหญ่นั่นเอง หมายถึง
ต้อง
เป็นไปเช่นนั้นเอง
เท่านั้น ไม่
เป็น
อื่น
ไปได้
เพราะความเป็น
สภาวธรรม
หรือ
ธรรมชาติ
นั่นเอง
อันเป็น
อสังขตธรรม
แม้เป็น
อนัตตา
แต่มี
ความ
เที่ยง
คงทนอยู่ได้
ทุก
กาล
จึง
ต้อง
เป็นไปเช่นนั้นเอง ไม่
เป็นอื่น
ไปได้, จึง
เป็น
ธรรมดา
ที่ไม่
ธรรมดา
บันทึกการเข้า
คำค้น:
ถอดความศัพท์
ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต
และจาก พจนานุกรม
ฉบับราชบัณทิตยสถาน
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ
เริ่มโดย
ตอบ
อ่าน
กระทู้ล่าสุด
ปฏิจจสมุปบาท (dependent origination)
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
เงาฝัน
16
14960
23 กันยายน 2554 07:24:16
โดย
เงาฝัน
พุทธวจน-ปฏิจจสมุปบาท
เสียงธรรมเทศนา
เรือใบ
0
2106
14 กุมภาพันธ์ 2556 10:20:32
โดย
เรือใบ
ปฏิจจสมุปบาท เหตุผลแห่งวัฏสงสาร ( พระอาจารย์ มหาสี สยาดอว์ วิปัสนาจารย์ )
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก
0
2926
29 กันยายน 2559 08:58:37
โดย
มดเอ๊ก
ปฏิจจสมุปบาท...เราเข้าใจได้นะ (โดย อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม )
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก
0
1371
29 กันยายน 2559 22:41:51
โดย
มดเอ๊ก
ปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
Maintenence
0
50
24 เมษายน 2567 09:41:57
โดย
Maintenence
กำลังโหลด...