.ประวัติพระสกุลาเถรี เอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุ
ประวัติพระสกุลาเถรี
เอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุพระสกุลาเถรีผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน และไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้
ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีตครั้งนั้น นางเกิดในเมืองหงสวดีมีนามว่าขัตติยนันทนา มีรูปสวยงดงามอย่างยิ่งเป็นที่พึงใจ เป็นพระธิดาของพระราชาผู้ใหญ่ พระนามว่าอานันทะ เป็นพระภคินีต่างพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ห้อมล้อมด้วยราชกัญญาทั้งหลาย ประดับด้วยสรรพาภรณ์ เข้าไปเฝ้าพระวีรเจ้า แล้วได้ฟังธรรมเทศนา
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุณีผู้มีทิพยจักษุในท่ามกลางบริษัทสี่ พระนางได้ฟังพระพุทธพจน์นั้นแล้ว มีความร่าเริง ถวายทานและบูชาพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้ปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง
พระบรมศาสดาได้ตรัสกะพระนางว่า ดูกรขัตติยนันทนา เธอจักได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนา ตำแหน่งที่เธอปรารถนานี้เป็นผลแห่งการถวายประทีปในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นพระสาวิกาของพระศาสดามีนามว่าสกุลา
เธอกระทำกุศลกรรมอย่างยิ่งตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตลงก็เวียนว่ายอยู่ในภพภูมิเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป
ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกัสสปะ ครั้งนั้นนางได้บวชปริพาชิกา ถือลัทธิเที่ยวไปผู้เดียว เที่ยวไปเพื่อภิกษา ก็ได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่ง บังเกิดมีใจผ่องใส เอาน้ำมันนั้นมาตามประทีปบูชาพระเจดีย์ชื่อสัพพสังวร แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจต์จำนงไว้ เมื่อนางละร่างกายมนุษย์นั้นแล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยอำนาจบุญกรรมนั้นเ เมื่อนางไปเกิดในที่ใดๆ ประทีปเป็นอันมากก็สว่างไสวแก่นางในที่นั้นๆ เมื่อนางปรารถนาจะได้สิ่งที่อยู่นอกฝาหรือสิ่งที่อยู่นอกภูเขาศิลา ก็เห็นได้ทะลุปรุโปร่ง นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป นางมีนัยน์ตาแจ่มใส รุ่งเรืองด้วยยศ มีศรัทธ มีปัญญา นี้ก็เป็นผลแห่งการถวายประทีป
นางจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ดี ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกเท่านั้นตลอดพุทธันดรหนึ่ง
ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้าในพุทธุปปาทกาลนี้ นางมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ อันมีทรัพย์มากมายแห่งกรุงสาวัตถี เมื่อเติบใหญ่ก็ได้แต่งงานมีบุตรและธิดา ในครั้งนั้นเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้ลืมเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์ซึ่งมีราคา ๙ โกฏิไว้ในพระอาราม และพระอานนท์ได้เก็บรักษาไว้ เมื่อนางวิสาขาทราบว่าพระเถระเก็บรักษาไว้จึงไม่รับคืนแต่ได้ให้นำออกขายและนำทรัพย์ที่ได้มาซื้อที่ดิน และออกเงินส่วนตัวอีก ๙ โกฏิเพื่อสร้างพระอาราม ครั้นเมื่อสร้างพระอารามเสร็จ จึงได้ใช้ทรัพย์อีก ๙ โกฏิเพื่อฉลองพระอาราม
ในวันงานถวายพระอารามแต่พระผู้มีพระภาคนั้นเอง นางสกุลาก็มีโอกาสได้ฟังธรรมบังเกิดความเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสิกาในคราวนั้น
ต่อมาก็ได้มีโอกาสฟังธรรมในสำนักของพระภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพรูปหนึ่ง บังเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วจึงได้สละบ้านเรือน บุตรและธิดาออกบวช แต่เนื่องจากอายุยังไม่ครบบวชจึงเป็นได้เพียงนางสิกขมานา และนางก็บำเพ็ญเพียรทำมรรคเบื้องบนให้เกิดขึ้นโดยการปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทา ได้ตัดขาดซึ่งอาสวะทั้งหลาย ซึ่งจะต้องทำลายด้วยอนาคามิมรรค บรรลุอนาคามิผล และเมื่ออายุครบก็ได้บวชเป็นภิกษุณี บวชแล้วเริ่มเจริญวิปัสสนา เพียรพยายามอยู่ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น
ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้มีทิพยจักษุภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนาพวกภิกษุณีไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระสกุลาเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ