[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
22 พฤษภาคม 2567 13:03:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: 56 นาทีที่แล้ว 
เริ่มโดย Maintenence - กระทู้ล่าสุด โดย Maintenence



เทพบันดาล
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร เมืองพัทยา ชลบุรี


ความสุขที่ได้จากข้าวของเงินทองนี้มันสู้ความสุขที่ได้จากความสงบไม่ได้ ความสุขที่ได้จากความสงบมันดีกว่า มันสุขมากกว่า แล้วมันไม่มีพิษมีภัยเหมือนกับความสุขที่ได้จากข้าวของเงินทอง จากการมีแฟน เพราะข้าวของเงินทองมันก็ไม่แน่นอน แฟนก็ไม่แน่นอน วันดีคืนดีเขาอาจจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ได้ พอเขาจากเราไปทีนี้ ความสุขที่ได้จากเขาก็เลยกลายเป็นความเศร้าโศกเสียใจ แต่ความสุขที่ได้จากความสงบนี้ไม่มีพิษมีภัย ถึงแม้มันจะหายไปมันก็ไม่ได้ทำให้เราเศร้าโศกเสียใจ แต่มันจะทำให้เราอยากจะกลับเข้าไปอยู่เรื่อยๆ

ดังนั้น ต้องพยายามเข้าให้ถึงความสงบนี้ให้ได้ แม้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม แล้วก็ชั่วแป๊บเดียวก็ตาม ถ้าใครมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน บางท่านอาจจะเคยมีบุญเก่ามา แล้ววันดีคืนดีไปอยู่คนเดียวตามลำพังสักแป๊บหนึ่ง จิตก็อาจจะรวมขึ้นมาโดยอัตโนมัติก็ได้ โดยที่ไม่คาดฝันมาก่อน เหมือนพระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นเด็ก เคยถูกปล่อยให้นั่งอยู่คนเดียวใต้ร่มไม้ วันนั้นมีงานในวัง พวกที่คนคอยดูแลอุปัฏฐากไปช่วยงาน ปล่อยให้เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารนั่งอยู่คนเดียวใต้โคนไม้ พอไม่มีใครมายุ่งกับท่าน ใจของท่านที่เคยมีความสงบมาจากอดีตชาติ มันก็สงบขึ้นมาทันทีเพราะบรรยากาศมันเอื้อต่อความสงบ พอกายวิเวกจิตก็วิเวกโดยที่ไม่ได้ไปตั้งใจนั่งสมาธิ ดูลมหายใจ หรือพุทโธ หรืออะไรแต่อย่างใด อันนี้เรื่องของบุญเก่า ท่านถึงเรียกว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่ง

การที่ได้มีการกระทำบุญเก่าไว้ วันดีคืนดีบุญเก่ามันส่งผลให้กับเราได้ เช่น บางทีเราตกทุกข์ได้ยาก ก็มีคนยื่นมือมาช่วยเหลือเรา โดยที่เราไม่ต้องไปขออะไรจากใคร อันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องของบุญเก่า เราเคยช่วยคนอื่นมามาก พอถึงเวลามันจะกลับมาหาเราเองเวลาที่เราเดือดร้อน เวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ ไม่ต้องไปขอ เพราะเทวดาไปขอให้แทน เคยได้ยินว่า “เทพบันดาล” ไหม เพราะคนที่มีบุญนี้เทพจะปกครอง จะคุ้มครอง จะคอยดูแลรักษา พอรู้ว่าขาดเหลืออะไร เดือดร้อนอะไร เดี๋ยวเทพไปเข้าฝันคนนั้นคนนี้เอง เดี๋ยวคนนั้นคนนี้ก็อยู่ดีๆ ก็มาหามาช่วยเรา โดยที่เราไม่ต้องไปขออะไร ขอให้เรามีบุญเท่านั้นแหละ ขอให้เรามีบุญในอดีต บุญเก่า แล้วมันจะมาเป็นสิ่งที่จะมาคุ้มครองเราในยามที่เราตกทุกข์ได้ยาก ท่านถึงบอกว่าคนที่มีบุญนี้เป็นคนที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ บุญนี่แหละจะคุ้มครองพวกเรา

ถ้าพวกเรายังไม่มีก็ทำกันเสียแต่บัดนี้ ยังมีเวลาทำได้ เพราะเราอาจยังต้องอยู่ต่อไปในอนาคตอีกนาน อาจยังต้องกลับมาเกิดใหม่อีกหลายรอบด้วยกัน ถ้าเรายังไม่สามารถทำพระนิพพานให้แจ้งในรอบนี้ได้ เราก็อาจจะต้องกลับมาเกิด ดังนั้นเราอย่าประมาทในบุญ ถึงแม้ว่าเราจะไปภาวนาก็ตาม แต่ถ้าเรามีเวลามีโอกาสที่จะทำบุญได้เราก็ควรจะทำ ช่วยเหลือใครได้ก็ช่วยเหลือเขาไป เพราะเราไม่ขาดทุน เพราะเงินทองเหลือใช้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เก็บไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร เก็บไว้ทำไม สู้เอามาทำเป็นบุญไม่ดีกว่าหรือ เพราะบุญนี้เป็นเหมือนซื้อประกันชีวิตซื้อประกันภัย เดี๋ยวเวลาที่เราตกทุกข์ได้ยาก ประกันภัยของบุญจะมาช่วยเหลือเราต่อไป


ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

 2 
 เมื่อ: 1 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย Maintenence - กระทู้ล่าสุด โดย Maintenence


ขุททกนิกายภาค ๑  เอกนิบาต ๑. อปัณณกวรรค
๙. มฆเทวชาดก ว่าด้วยเทวทูต

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้

สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งพรรณนาการเสด็จออกบรรพชาของพระทศพล ลำดับนั้น พระศาสดาเสด็จมายังโรงธรรมสภา ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาถามว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายนั่งพรรณนาการเสด็จออกบรรพชาของพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตออกเนกขัมมะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ออกเนกขัมมะแล้วเหมือนกัน”

ภิกษุทั้งหลายจึงอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อตรัสเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงเรื่องในอดีต ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ ได้มีพระราชาพระนามว่า มฆเทวะ เป็นพระมหาธรรมราชาผู้ดำรงอยู่ในธรรม พระเจ้ามฆเทวะนั้นทรง ให้กาลเวลาอันยาวนานหมดสิ้นไปวันหนึ่ง ตรัสเรียกช่างกัลบกมาว่า

“ดูก่อน ช่างกัลบกผู้สหาย ท่านเห็นผมหงอกบนศีรษะของเราในกาลใด ท่านจงบอก แก่เราในกาลนั้น”

ฝ่ายช่างกัลบกก็ได้ทำให้เวลาอันยาวนานหมดสิ้นไป วันหนึ่ง เห็นพระเกศาหงอกเส้นหนึ่งในระหว่างพระเกศาทั้งหลายอันมีสีดังดอกอัญชัน ของพระราชา จึงกราบทูลว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ พระเกศาหงอกเส้นหนึ่งปรากฏแก่พระองค์”

พระราชาตรัสว่า “สหาย ถ้าอย่างนั้นท่านจงถอนผมหงอกนั้นของเราเอามาวางในฝ่ามือ”

เมื่อพระราชาตรัสอย่างนั้น ช่างกัลบกจึงเอาแหนบทองถอนแล้วให้พระเกศาหงอกประดิษฐานอยู่ในฝ่าพระหัตถ์ของพระราชา

ในกาลนั้น พระราชายังมีพระชนมายุเหลืออยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระราชาได้ทรงเห็นผมหงอกแล้ว ก็ทรงสำคัญประหนึ่งว่าพระยามัจจุราชมายืนอยู่ใกล้ ๆ และประหนึ่งว่าตนเองมาอยู่บรรณศาลาอันไฟติดโพลงอยู่ ฉะนั้น ได้ทรงถึงความสังเวช จึงทรงพระดำริว่า

“ดูก่อนมฆเทวะผู้เขลา เจ้าไม่อาจละกิเลสเหล่านี้จนตราบเท่าผมหงอกเกิดขึ้น”

เมื่อพระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงรำพึงถึงผมหงอกที่ปรากฏแล้ว ความเร่าร้อนภายในก็เกิดขึ้น พระเสโทในพระสรีระไหลออก จนชุ่มเครื่องทรง

พระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงพระดำริว่า “เราควรออกบวชในวันนี้แหละ” จึงทรงพระราชทานบ้านชั้นดีแก่ช่างกัลบก แล้วรับสั่งให้เรียกพระโอรสพระองค์ใหญ่มาตรัสว่า

“ดูก่อนพ่อ ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของพ่อแล้ว พ่อเป็นคนแก่แล้ว ก็กามของมนุษย์พ่อได้บริโภคแล้ว บัดนี้ พ่อจักแสวงหากามอันเป็นทิพย์ นี้เป็นการออกบวชของพ่อ เจ้าจงครอบครองราชสมบัตินี้ ส่วนพ่อบวชแล้วจักอยู่กระทำสมณธรรมในอัมพวันอุทยานชื่อมฆเทวะ”

อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระราชา แล้วทูลถามว่า

“ข้าแต่สมมติเทพอะไรเป็นเหตุแห่งการทรงผนวชของพระองค์ ?”

พระราชาทรงถือผมหงอก ตรัสพระคาถานี้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า

“ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้เกิดแล้ว เป็นเหตุนำวัยไป เทวทูตปรากฏแล้ว นี้เป็นสมัยแห่งการบรรพชาของเรา”

พระเจ้ามฆเทวะนั้น ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วจึงสละราชสมบัติบวชเป็นฤๅษีในวันนั้นเอง ประทับอยู่ในเมฆอัมพวันนั้นนั่นแหละ เจริญพรหมวิหาร ๔ อยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ดำรงอยู่ในฌานอันไม่เสื่อม สวรรคตแล้วบังเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกนั้น ได้เป็นพระราชาพระนามว่า เนมิ ในกรุงมิถิลา นั่นแหละอีก สืบต่อวงศ์ของพระองค์ที่เสื่อมลง จึงทรงผนวชในอัมพวันนั้นนั่นแหละ เจริญพรหมวิหาร กลับไปเกิดในพรหมโลกตามเดิมอีก

แม้พระศาสดาก็ได้ตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ออกแล้วเหมือนกัน”

ครั้งทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ ๔ ในเวลา จบอริยสัจ ภิกษุบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชุมชาดกว่า

ช่างกัลบกในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ในบัดนี้

บุตรในครั้งนั้น ได้เป็นพระราหุลในบัดนี้

ส่วนพระเจ้ามฆเทวะได้เป็นเราตถาคตแล


ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง

 3 
 เมื่อ: 1 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ปาร์ตี้วันเกิด "แหวนแหวน" ธีมซาฟารี รวมซุปตาร์คนดังจัดเต็มอลังการทำถึงทุกคน
         


ปาร์ตี้วันเกิด "แหวนแหวน" ธีมซาฟารี รวมซุปตาร์คนดังจัดเต็มอลังการทำถึงทุกคน" width="100" height="100  แหวนแหวน ปวริศา จัดงานวันเกิดธีมทุ่งหญ้าสะวันนา รวมซุปตาร์คนดังจัดเต็มแต่งถึงกันทุกคนจริงๆ
         

https://www.sanook.com/news/9389078/
         

 4 
 เมื่อ: 4 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
เปิดภาพความเสียหาย สิงคโปร์แอร์ไลน์ส SQ321 ตกหลุมอากาศ เละเทะทั้งลำ
         


เปิดภาพความเสียหาย สิงคโปร์แอร์ไลน์ส SQ321 ตกหลุมอากาศ เละเทะทั้งลำ" width="100" height="100  เปิดภาพความเสียหาย สิงคโปร์แอร์ไลน์ส SQ321 ประสบเหตุตกหลุมอากาศ สภาพห้องโดยสารเละเทะทั้งลำ  
         

https://www.sanook.com/news/9389014/
         

 5 
 เมื่อ: 7 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
เครื่องบินตกหลุมอากาศคืออะไร? มีความรุนแรงกี่ระดับ ทำให้เครื่องบินตกได้หรือไม่
         


เครื่องบินตกหลุมอากาศคืออะไร? มีความรุนแรงกี่ระดับ ทำให้เครื่องบินตกได้หรือไม่" width="100" height="100  เครื่องบินตกหลุมอากาศคืออะไร? มีความรุนแรงกี่ระดับ ทำให้เครื่องบินตกได้หรือไม่
         

https://www.sanook.com/news/9388978/
         

 6 
 เมื่อ: 9 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
มิติใหม่! ห้องน้ำแบบ “โถยืนฉี่” ดีไซน์เป็นส่วนตัว หนุ่มขี้อายกดไลค์รัวๆ
         


มิติใหม่! ห้องน้ำแบบ “โถยืนฉี่” ดีไซน์เป็นส่วนตัว หนุ่มขี้อายกดไลค์รัวๆ" width="100" height="100  โซเชียลฯ แชร์ภาพห้องน้ำชายแบบ “โถยืนฉี่” ดีไซน์เป็นส่วนตัว หนุ่มขี้อายกดไลค์ ชาวเน็ตแห่สนับสนุน
         

https://www.sanook.com/news/9388598/
         

 7 
 เมื่อ: 12 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
รู้หรือไม่... ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ได้ด้วยการ "กินไอติม" แล้วต้องกินรสไหนดีที่สุด?
         


รู้หรือไม่... ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ได้ด้วยการ "กินไอติม" แล้วต้องกินรสไหนดีที่สุด?" width="100" height="100  ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ได้ด้วยการกินไอติม จัดไปเน้นๆ รสดาร์กช็อกโกแลต ยิ่งดี!!!
         

https://www.sanook.com/news/9388990/
         

 8 
 เมื่อ: 13 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
ประวัติ “พิชิต ชื่นบาน” หลังประกาศลาออกจาก รมต.
         


ประวัติ “พิชิต ชื่นบาน” หลังประกาศลาออกจาก รมต." width="100" height="100  ประวัติ“พิชิต ชื่นบาน” คือใคร และมีหน้าที่ทางการเมืองที่สำคัญอย่างไรบ้าง?
         

https://www.sanook.com/news/9388874/
         

 9 
 เมื่อ: 15 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย สุขใจ ข่าวสด - กระทู้ล่าสุด โดย สุขใจ ข่าวสด
คนดูเป็นล้าน! คลิปวายร้ายบุกงานแต่ง "ฮีโร่สาว" หิ้วคอด้วยมือเปล่า พาคืนสู่ธรรมชาติ
         


คนดูเป็นล้าน! คลิปวายร้ายบุกงานแต่ง "ฮีโร่สาว" หิ้วคอด้วยมือเปล่า พาคืนสู่ธรรมชาติ" width="100" height="100  มาผิดงานแล้วน้อง! งานแต่งเกือบวงแตก แขกไม่ได้รับเชิญบุกถึงบันได แต่เจอมือปราบ "สาวฮีโร่" หิ้วคืนสู่ธรรมชาติ
         

https://www.sanook.com/news/9388618/
         

 10 
 เมื่อ: 17 ชั่วโมงที่แล้ว 
เริ่มโดย Kimleng - กระทู้ล่าสุด โดย Kimleng


สุสันธีชาดก

วาติ คนฺโธ ติมิรานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อุกฺกณฺฌฐิฺภิกขุํ อารพฺภ กเถสิ ฯ

เมื่อสมเด็จพระอังคีรสทศพลญาณ เสด็จสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีความกระสันรูปหนึ่ง จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีกำหนดด้วยบทพระคาถาว่า วาติ คนฺโธ ติมิรานํ ดังนี้ ฯ

ความพิสดารว่า สมเด็จพระมหามุนีตรัสถามภิกษุนั้นว่า ภิกษุ ได้ยินว่า ท่านมีความกระสันอยากสึกหรือ ภิกษุนั้นทูลรับสมจริงตามพุทธดำรัส จึงตรัสถามว่า ท่านได้เห็นสิ่งอะไร จึงได้มีความกระสัน  ภิกษุนั้นทูลว่าได้เห็นมาตุคามที่ประดับเครื่องอาภรณ์ พระองค์จึงตรัสสอนว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามนี้อันใครๆ ไม่อาจที่จะรักษาน้ำจิต ถึงโบราณกบัณฑิตแม้รักษาไว้ในพิภพสุบรรณ ก็ไม่สามารถที่จะรักษาน้ำจิตมาตุคามนั้นไว้ได้ ครั้นตรัสฉะนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ ภิกษุนั้นจึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องที่ตนมิได้เห็นปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้

อตีเต พาราณสิยํ ตมฺพราชา นาม รชฺชํ กาเรสิ ฯ  ในอดีตชาติครั้งพระเจ้าตัมพราชได้ผ่านสมบัติในกรุงพาราณสี พระอัครมเหสีทรงนามว่านางสุสันธีมีพระรูปงามอุดมฯ ครั้งนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดสุบรรณ ฯ

เกาะนาคในกาลนั้นได้มีนามปรากฏว่าเกาะเสรุม ส่วนพระบรมโพธิสัตว์อยู่ ณ พิภพสุบรรณที่เกาะนี้ ครั้งหนึ่งพระยาครุฑแปลงอินทรีย์เป็นมานพ ออกจากพิภพสุบรรณไปสู่กรุงพาราณสี เล่นสกากับพระเจ้าตัมพราชบรมกษัตริย์ฯ  นางปริจาริกาได้เห็นรูปสมบัติของมาณพนั้นพากันนำความไปทูลนางสุสันธี ฯ  ครั้นพระมเหสีได้สดับคำนางปริจาริกา มีความปรารถนาจะใคร่เห็นมาณพนั้น วันหนึ่งนางแต่งพระองค์เสร็จเสด็จมาสู่ที่เล่นสกา  ปลอมพระองค์ทอดทัศนาอยู่ในหมู่นางปริจาริกาที่ยืนดู ฯ  ส่วนมาณพผู้นั้นก็แลดูนาง ฯ  ฝ่ายคนทั้งสองต่างมีจิตรักใคร่ซึ่งกันและกัน ฯ  พระยาสุบรรณก็นฤมิตให้เป็นลมพายุพัดมาในพระนคร มนุษย์ทั้งหลายพากันออกจากพระราชนิเวศน์ เหตุความกลัวพระราชมณเฑียรจะหักพัง  พระยาครุฑกระทำพระราชวังให้มืดด้วยอานุภาพฤทธิ์ของตน แล้วพาพระเทวีหนีไปโดยอากาศได้เข้าไปสู่พิภพของตนในเกาะนาค ฯ  ชนเป็นอันมากจะรู้เหตุที่นางสุสันธีไปหามีไม่  พระยาครุฑได้ร่วมอภิรมย์กับนางสุสันธีแล้วไปเล่นสกากับพระเจ้าตัมพราชอีก ฯ  ฝ่ายคนขับรำของพระราชามีอยู่ผู้หนึ่งมีนามปรากฏว่านาคอัคคะ  พระราชาจึงรับสั่งให้หาคนขับรำนั้นมา รับสั่งให้ไปเที่ยวแสวงหานางให้สิ้นทั้งทางบกแลทางน้ำ ให้รู้เห็นว่านางไปอยู่ที่ไหน ฯ  คนขับรำไปเที่ยวแสวงหา ตั้งแรกแต่บ้านใกล้ประตูเมืองจนบรรลุถึงท่าภารุกัจฉาฯ

ครั้งนั้นพ่อค้าชาวภารุกัจฉาเตรียมสินค้าบรรทุกเรือจะไปสู่สุวรรณภูมิ คนขับรำเข้าไปหาพ่อค้าเหล่านั้นขอโดยสาร รับจะกระทำการขับร้องให้หักค่าจ้างเรือ ฯ  พ่อค้ายอมอนุญาตให้ไป ฯ  ครั้นออกเรือแล้ว พ่อค้าเหล่านั้นจึงให้หาคนขับรำมาขับให้พวกตนฟัง ฯ  คนขับกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าจะพึงทำการขับให้ท่านฟังไซร้ ก็แต่ว่าเมื่อข้าพเจ้าขับอยู่ ปลาทั้งหลายจะขึ้นมาทำเรือให้โยกโคลง เมื่อเป็นเช่นนี้เรือของท่านจักแตกทำลาย  ฯ  พ่อค้าทั้งหลายกล่าวว่า ท่านทำการขับรำอยู่ในทางที่มนุษย์เคยไปมา หามีปลาที่จะทำให้เรือโยกโคลงได้ไม่ ท่านจงขับไปเถิด ฯ  คนขับกล่าวว่าถ้าเช่นนั้นท่านอย่าได้โกรธข้าพเจ้า ครั้นกล่าวฉะนี้แล้วแก้พิณออกดีดแลร้องขับให้เสียงรับกับสายพิณที่ดีดนั้น ฯ  ฝูงปลาจึงพากันมาประชุมเพราะได้ยินเสียงนั้นทำเรือให้หวั่นไหวโยกโคลง ฯ  ครั้งนั้นปลามังกรตัวหนึ่งจึงโดดเข้าไปในเรือนั้น ดิ้นจนเรือแตกทำลายลง ฯ  ส่วนนายอัคคะลงนอนเหนือแผ่นกระดานลอยตามลมไป บรรลุถึงถิ่นไม้ไทรซึ่งเป็นพิภพสุบรรณอันอยู่ในนาคทวีป ฯ

กาลเมื่อพระยาครุฑไปเล่นสกาในกรุงพาราณสี ฝ่ายนางสุสันธีลงจากวิมานไปเที่ยวเดินเล่นที่ริมฝั่งน้ำ ครั้นเห็นนายอัคคะก็จำได้จึงถามว่า ท่านมาอย่างไร ฯ  นายอัคคะได้แจ้งเหตุที่ตนมาให้นางฟังทุกประการฯ  นางกล่าวปลอบนายอัคคะให้มีใจ จึงประคองให้ขึ้นบนวิมานแล้วให้สยนาการเหนือที่นอน ฯ  กาลเมื่อนายอัคคะมีความสามารถหายเหน็ดเหนื่อยลง นางจึงให้บริโภคโภชนาหารแล้วเชิญให้อาบน้ำหอม นุ่งห่มผ้าประดับประดาตนด้วยดอกไม้แลของหอมแต่ล้วนเป็นของทิพย์ทุกประการ แลได้เชิญให้นอนเหนือแท่นทิพย์อีก ฯ  นางปฏิบัตินายอัคคะอยู่อย่างนี้ ปกปิดแต่เวลาที่พระยาครุพมา ในเวลาเมื่อพระยาครุฑไปเล่นสกานางก็ได้ร่วมอภิรมย์กับนายอัคคะนั้น จำเดิมแต่วันนั้นมาล่วงไปได้กึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่ง พ่อค้าชาวเมืองพาราณสีมาถึงต้นนิโครธในเกาะนั้นเพื่อจะหาฟืนแลน้ำ ฯ  นายอัคคะจึงได้โดยสารเรือนั้นไปถึงเมืองพาราณสีได้เข้าเฝ้าพระเจ้าตัมพราช ครั้นเวลาบรมกษัตริย์ทรงสกากับพระยาครุฑ นายอัคคะจึงถือพิณมา เมื่อจะขับรำถวายพระราชาจึงได้กล่าวคาถาที่แรกว่า


              วาติ คนฺโธ ติมารานํ     กุสมุทฺโทว โฆสวา
              ทูเร อิโต หิ สุสนฺธี               ตมฺพ กามา ตุทนฺติมํ ฯ

              กลิ่นดอกติมิระ ทั้งหลายฟุ้งตระหลบไป น้ำในมหาสมุทรกึกก้อง
               คะนองใหญ่เทียว  นางสุสันธีอยู่ในที่ไกลจากพระนครนี้แท้
               ข้าแต่พระเจ้าตัมพราช กามทั้งหลายเจาะแทงหฤทัยข้าพระบาทอยู่



ครั้นพระยาครุฑได้ฟังคาถานั้นจึงได้กล่าวคาถาที่สองว่า

              กถํ สมุทฺทมตริ         กถํ อทฺทกฺขิ เสรุมํ
              กถํ ตสฺสา จ ตุยฺหญฺจ       อหุ อคฺค สมาคโม ฯ

              ท่านข้ามสมุทรไปอย่างไร ทำไฉนท่านจึงได้เห็นเกาะเสรุม
               แน่ะ นายอัคคะ ความสมาคมของนางแลตัวท่านได้มีแล้วอย่างไร ฯ



ในลำดับนั้น นายอัคคะจึงได้ภาษิตคาถาทั้งสามว่า

              ภรุกจฺฉา ปยาตานํ     พาณิชานํ ธเนสินํ
              มงฺกเรหิ ภินฺนา นาวา     ผลเกน มหณฺณวํ
              สา มํ สญฺเหน มุทุนา     นิจฺจํ จนฺทนคนฺธินี
              องฺเคน อุทฺธริ ภทฺทา     มาตา ปุตฺตํว โอรสํ ฯ
              สา มํ อนฺเนน ปาเนน     วตฺเถน สยเนน จ
              อตฺตนาปิ จ มทกฺขี     เอวํ ตมฺพ วิชานาหิ ฯ

              เมื่อพ่อค้าทั้งหลายผู้แสวงหาทรัพย์ไปแล้วจากท่าชื่อภารุกัจฉา เรือของพ่อค้าเหล่านั้น
               อันฝูงปลามังกรให้แตกแล้ว ฯ  นางสุสันธีผู้มีกลิ่นกายหอมดังแก่นจันทน์เป็นนิจ
               มีลักษณะงามวิจิตรควรดูควรชมนั้น ครั้นเห็นเราผู้ข้ามถึงฝั่งได้เพราะแผ่นกระดาน
               ได้ยกเราด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ประหนึ่งมารดาประคองอุ้มบุตรผู้เกิดในอกฉะนั้น
               กล่าวปลอบเราด้วยถ้อยคำอันไพเราะอ่อนหวาน นางได้บำเรอเราด้วยข้าวน้ำ
               ผ้านุ่งห่มแลที่นอน ใช่แต่เท่านั้น ถึงตัวนางก็ได้ยังเราให้อภิรมย์ยินดีมีนัยเนตร
               เป็นที่ยั่วยวนใจ ข้าแต่พระเจ้าตัมพราชบรมกษัตริย์ ขอพระองค์จงทรงทราบชัด
               อย่างนี้เถิด ฯ


ครั้นนายอัคคะกล่าวขับขึ้นฉะนี้ พระยาครุฑมีความระแวงใจว่า เราอยู่ถึงในพิภพสุบรรณยังมิอาจที่จะรักษานางนั้นไว้ได้ เราจะประโยชน์อะไรด้วยคนทุศีลเห็นปานนี้ ครั้นดำริแล้วจึงนำนางสุสันธีมาถวายคืนแก่บรมกษัตริย์แล้วกลับพิภพสุบรรณ ฯ  จำเดิมแต่กาลนั้นพระยาครุฑก็มิได้มาเล่นสกาอีกต่อไป ฯ

สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา  สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบลงแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจทั้งสี่ ครั้นจบเทศนาลงภิกษุผู้มีความกระสันก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล  สมเด็จพระทศพลจึงทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาในกาลนั้นได้มาเป็นอานนท์  พระยาครุฑได้มาเป็นเราตถาคต มีพุทธพจน์ให้จบลงแต่เพียงนี้ ฯ


-------------------------------------------------------
อรรถกถาว่าต้นไม้นี้ล้อมรอบต้นนิโครธซึ่งที่เป็นวิมานครุฑ
ยุ อหมฺปลวี เราลอยไปแล้ว (กวป.)


* สุสันธีชาดก มีเนื้อหาสอดคล้องกับเรื่อง "กากี" มีที่มาจากนิบาตชาดก ๓ เรื่อง คือ กุณาลชาดก กากาติชาดก และสุสันธีชาดก  เรื่องดังกล่าวเป็นที่นิยมแพร่หลายในสังคมไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 
   มุ่งแสดงโทษแห่งความปรวนแปรไม่แน่นอนของมาตุคามอันเป็นอุปสรรคต่อการครองเพศพรหมจรรย์  ในชาดกทั้ง ๓ เรื่อง ไม่ปรากฏชื่อ "กากี" เป็นตัวเอกของเรื่อง และชื่อของบุคคลอื่นๆ ก็มีความลักลั่น
   แตกต่างไปจากเรื่องกากี ได้แก่

   กากาติชาดก นางกากาติ - พระเจ้าพาราณสี - พญาสุบรรณ - นฏะกุเวร (คนขับพิณลำนำ)
   สุสันธีชาดก  นางสุสันธี - พระเจ้าตัมพราช - พระยาครุฑ - นายอัคคะ (คนขับพิณลำนำ)
   กุณาลชาดก  นางกากวันตี - พระยาครุฑเวนไตย - นาฏกุเวร (คนขับพิณลำนำ)

   ชื่อ กากี ปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรที่น่าจะมีอายุเก่าที่สุดคือ สมุดภาพไตรภูมิสมัยอยุธยา



คัดจาก : กากีคำกลอนและลิลิตกากี กรมศิลปากร พิมพ์เผยแพร่ พุทธศักราช ๒๕๖๓

หน้า:  [1] 2 3 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.154 วินาที กับ 24 คำสั่ง

Google visited last this page 04 เมษายน 2567 20:52:25