ก่อนครบ 20 ปีเหตุปะทุที่ปาตานี อะไรทำให้คนดูเหินห่างกันในพื้นที่ชายแดนใต้
<span class="submitted-by">Submitted on Mon, 2023-12-04 14:16</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>พิชญ์สินี ชัยทวีธรรม : รายงาน</p>
<p>พิชญ์สินี ชัยทวีธรรม และ someone : ภาพ</p>
<p>รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งในซีรีย์ 'ศาสนาและสิทธิมนุษยชน' เป็นหนึ่งในซีรีส์ของโครงการวารศาสตร์ที่สร้างสะพานหรือ Journalism that Builds Bridges </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><div class="summary-box">
<ul>
<li>ชวนอ่านมุมของนักเคลื่อนไหวชาวพุทธเรื่องสันติภาพในจังหวัดยะลาที่สะท้อนภาพอดีตซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน ย้ำ 'รัฐ' คือคนที่ทำให้เราเหินห่างด้วยการเลือกปฏิบัติต่อคนแต่ละศาสนา พร้อมเสนอ 'สิทธิ เสรีภาพ เท่าเทียมกัน' คือ กุญแจสำคัญสำหรับไขปัญหา</li>
<li>และเปิดมุมปาตานีในประวัติศาสตร์บอกเล่าของเขา ตอกย้ำเพราะปีนั้นมันเกิดตากใบ กรือเซะ มันจึงเป็นวันนี้ </li>
</ul>
</div>
<p>สามจังหวัดชายแดนใต้ จ.ปัตตานี จ.ยะละ จ.นราธิวาส และ 4 อำเภอสงขลา อ.จะนะ อ.เทพา อ.สะบ้าย้อย และ อ.นาทวี หลังเหตุการณ์กรือเซะ - ตากใบ ปี 2547 พื้นที่ดังกว่าวถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึก ตั้งแต่ปี 2548 ในรัฐบาลของพล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53372225302_7b81283fe0_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">วันที่ 11 พฤศจิกายน วันรำลึกถึงเหตุการณ์สูญเสียเอกราชปาตานี การแต่งกายวัฒนธรรมมลายู เพื่อแสดงละครเหตุการณ์การสูญเสียเอกราชปาตานี </span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">อดีตที่แตกต่างกับปัจจุบัน</span></h2>
<h3>“ในอดีตพุทธ มุสลิมในพื้นที่ไม่ได้แยกจากกัน เราก็โตมากับการวิ่งเล่นกับพวกเขา รากครอบครัวบางคนก็เป็นพุทธบ้าง บางรุ่นมุสลิมบ้างแล้วแต่รุ่น ความเชื่อร่วมเช่น ตูปะ กลับมาหาครอบครัว ทำขนมรากินกัน” รักชาติ สุวรรณ์ นักเคลื่อนไหวชาวพุทธเรื่องสันติภาพในจังหวัดยะลา กล่าว</h3>
<p>รักชาติเป็นชาวพุทธในพื้นที่ได้เล่าว่าในอดีต พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความแตกต่างทางศาสนา และยังมีวัฒนธรรมอาหารร่วมกัน เขาอธิบายว่าในอดีตพื้นที่นอกจากจะไม่มีความขัดแย้ง ประชาชนยังใช้ชีวิตร่วมกัน เติบโตมาด้วยกัน ไม่ได้มีช่องว่างทางศาสนาเหมือนในปัจจุบัน</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373589145_fd171995f8_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพสตรีทอาร์ตจ.ยะลา รูปตูปะ อาหารท้องถิ่นที่เป็นวัฒนธรรมร่วมของพื้นที่จ.ยะลา </span></p>
<h3>“เราเคลื่อนไหวเรื่องความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้วิถีชีวิตเรากลับมาเหมือนเดิม ในอดีตเรานั่งคุยกัน ปั่นจักรยานไปด้วยกันเหมือนเดิม” รักชาติกล่าว</h3>
<p>รักชาติเล่าว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เขาเองก็ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสันติภาพ เช่น ร่วมกันออกแบบชุมชนร่วมกับคนมุสลิม เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อรักษาสันติภาพ รักชาติเล่าว่าเขายังคงจำชีวิตในวัยเด็กก่อนที่เกิดความขัดแย้งและเหตุการณ์ความรุนแรงได้ดีว่าศาสนาทุกศาสนาในพื้นที่นี้ไม่เคยมีปัญหากัน </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">รัฐ คือคนที่ทำให้เราเหินห่างด้วยการเลือกปฏิบัติต่อคนแต่ละศาสนา</span></h2>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373589115_859b68bb84_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">รักชาติ สุวรรณ์ นักเคลื่อนไหวชาวพุทธเรื่องสันติภาพในจังหวัดยะลา</span></p>
<p>รักชาติอธิบายถึงความขัดแย้งทางศาสนาว่า สาเหตุที่คนในพื้นที่ห่างเหินกันไม่ใช่เพราะศาสนา แต่เพราะรัฐเลือกปฏิบัติระหว่างพุทธและมุสลิม จึงทำให้เกิดการเปรียบเทียบและทำให้ประชาชนเกลียดชังกันเอง</p>
<h3>“บริบทของพื้นที่เรานั้นมีทุกศาสนา เราสูญเสียกันทุกศาสนา คนพุทธก็เช่นกันที่สูญเสีย การที่รัฐเลือกปฏิบัติกับประชาชนเลยก่อให้เกิดความไม่พอใจระหว่างประชาชนต่างศาสนา ผ่านการไปดูงาน แล้วทำไมไม่พาคนพุทธไปด้วย เราก็สูญเสียเหมือนกัน” </h3>
<p>รักชาติเล่าว่าช่วงเริ่มต้นของการปะทะระหว่างทหารและกองกำลังนั้นยังไม่มีคนออกมาเคลื่อนไหวเรื่องสันติภาพมากนัก เพราะยังมีความกลัวต่อเหตุการณ์ปะทะกัน เช่น เหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาที่ปัตตานี ทำให้ไม่มีคนพุทธกล้าออกมาเรียกร้อง </p>
<h3>“แต่ความรุนแรงมันเริ่มต้นที่รัฐ ทุ่มเทงาน งบประมาณต่างๆ ให้แก่มุสลิม พยายามเอาใจด้วยการไปดูงานต่างๆ พาไปซาอุดิอาระเบีย คนพุทธก็เกิดคำถามว่าทำไมรัฐไม่ดูแลให้เท่าเทียมกัน”</h3>
<p>รักชาติอธิบายว่าการพาคนมุสลิมไปดูงาน ไปแสวงบุญ แต่ไม่มีการดูแคนพุทธในพื้นที่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนในพื้นที่ ทำให้เกิดภาพการเปรียบเทียบระหว่างสองศาสนา เลยเกิดการตั้งคำถามและความไม่วางใจระหว่างประชาชนต่างศาสนาภายในพื้นที่เดียวกัน</p>
<p>รักชาติเล่าว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2556 เกิดขึ้นและหลังจากการพูดคุยก็มีวงอัปเดทผลเจรจาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ จ.ยะลา </p>
<p>“เราออกมาเคลื่อนไหวเพื่อที่เราอยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม หลังจากออกมาเคลื่อนไหวก็เริ่มมีคนพุทธออกมาในประเด็นที่แตกต่างกันไป เช่น ไม่เอาฮาลาล พุทธต้องเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งจริงๆ มันไม่จำเป็น เราต้องเรียกร้องสิทธิให้คนพุทธเพื่อความเท่าเทียมทางสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การทำให้คนพุทธเหนือหรือเหินห่างจากคนในพื้นที่ต่างหาก”</p>
<h3>“รัฐจึงเป็นตัวแบ่งแยกคน คนพุทธสูญเสีย คนมุสลิมก็สูญเสีย คุณต้องไปดูไทม์ไลน์ว่าเกิดเหตุกับใคร ซึ่งมักเป็นเจ้าหน้าที่ที่ถืออาวุธ”</h3>
<p>รักชาติเล่าทุกวันนี้ค่ายทหารปักหลักถาวร และเขาเองก็ไม่อยากเห็นทหารถืออาวุธเดินอยู่ในพื้นที่ เพราะมันทำให้รู้สึกถึงความรุนแรง ทำให้พื้นที่เกิดภาพตั้งคำถามว่าทหารมาเพื่อปกป้องคนกลุ่มพุทธ และมองคนมุสลิมเป็นผู้ร้าย ประชาชนเลยระแวงกันเอง จนห่างเหินกัน </p>
<h3>“ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน และรัฐเลือกปฏิบัติกับคนต่างศาสนา ทำให้คนพุทธไม่นับตัวเองว่าเป็นคนมลายูอีกเลย” รักชาติกล่าว</h3>
<p>สาเหตุที่รัฐไทยยังคงใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ของตนเองนั้น รักชาติมองว่า “เพราะรัฐไทยมองจากเหตุตากใบกรือเซะว่าเป็นปัญหา เลยต้องไปแก้ที่ศาสนาอิลาม”</p>
<p>รักชาติอธิบายว่า รัฐไทยแก้ปัญหาที่คนมุสลิมด้วยเงินและโอกาสเพื่อซื้อใจคนมุสลิม แต่ไม่ได้มองว่าหน้าที่ของรัฐไทยคือการดูแลประชาชนทุกคน </p>
<p>“เช่น โควต้าการศึกษา ผมสมัย 2516 เพื่อนๆ มุสลิมจบ มส.3 เขาไม่ได้แข็งแรงทางภาษาไทย เขาเลยเลือกทำงานเกษตรต่อที่บ้านเขา รัฐเลยต้องส่งเสริมภาษา เลยต้องให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษา โดยการให้โควต้าการเรียนมหาวิทยาลัย แต่พอเวลาผ่านมา พี่น้องเราภาษาไทยแข็งแรง เข้าถึงความรู้ได้ แต่คนพุทธก็ยังคงไม่ได้รับโควต้าแบบคนมุสลิม ทุกวันนี้อยากให้เปลี่ยนเป็นทุกศาสนาสามารถเข้าสอบโควต้ามหาวิทยาลัยได้แบบเดียวันได้”</p>
<p>รักชาติอธิบายถึงการเรียกร้องเรื่องความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ผ่านเรื่องการเข้าถึงการศึกษาในพื้นที่ซึ่งในอดีตไม่ใช่ทุกคนที่เข้าถึงการศึกษาแกนกลางได้ แต่ทุกวันนี้แตกต่างออกไป ซึ่งโควต้าการเรียนมหาวิทยาลัยยังจำกัดสิทธิใหเฉพาะคนมุสลิมในพื้นที่ รักชาติมองว่านี่เป็นอีกหนึ่งความเหลื่อมล้ำ </p>
<p>“เช่น รัฐให้คนมุสลิมไปแสวงบุญที่ซาอุดิอาระเบีย คนพุทธก็ควรได้แสวงบุญที่อินเดียเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่ายนะ แต่เป็นเรื่องโอกาส แค่ว่ารัฐไทยไม่ได้เข้าใจว่าสำหรับมุสลิมการไปแสวงบุญคือ คนที่เขาพร้อมไปแสวงบุญ แต่กับพุทธ ศาสนาเราไม่ได้บังคับ มันอยู่ที่สายตารัฐมองมุสลิมยังไงถึงได้ต้องพยายามปฏิบัติกับเขาให้แตกต่างกับคนพุทธในพื้นที่ และรัฐจะไม่สนใจคนพุทธก็ไม่ได้ เพราะคนในพื้นที่ต้องได้รับสิทธิเท่าเทียม ไม่เหลื่อมล้ำ เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐในการดูแลประชาชนทุกคน นั่นคือความเท่าเทียม”</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373589185_7cf04bff75_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพรักชาติกับเพื่อนมุสลิมของเขา</span></p>
<p>รักชาติยกตัวอย่างถึงความเท่าเทียมทางศาสนาในพื้นที่ว่า </p>
<p>“เราอยากเรียกร้องวันหยุดสารทเดือน 10 กลับมาทำตูป๊ะ กลับมาหาครอบครัว ทำขนมรากินกัน เพราะเป็นประเพณีที่คนใต้กลับบ้าน แต่ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นวันหยุดชดเชยหากมันชนวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะรายอมุสลิมก็ไม่ได้หยุดเช่นกัน แต่ทำให้ทุกศาสนามีพื้นที่เท่าเทียมกัน นอกจากนั้นยังมีศาสนาอื่นในพื้นที่ คริสต์ ฮินดู รัฐต้องดูแลทุกศาสนาต่างหาก”</p>
<p>และรักชาติมองว่าการมีกฎหมายพิเศษในพื้นที่เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้น“เช่น เราต้องเรียกร้องให้พื้นที่เรายกเลิกกฎหมายพิเศษ คนพุทธอาจไม่สบายใจเพราะเขาคิดว่ารัฐคุ้มครองเขา พอบอกยกเลิกอย่างไร เช่น อ.แม่ลาน และบางพื้นที่ในที่จ.นราธิวาส มีหลายพื้นที่ยกเลิกกฎหมายพิเศษไป เขาก็อยู่กันได้ปกติ”</p>
<p>รักชาติอธิบายว่าประชาชนอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องอาศัยกฎอัยการศึกก็ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ทหารและงบประมาณถูกเทลงมาในพื้นที่ และเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะพื้นที่นี้มีปัญหาเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐในการดูแลประชาชนให้เข้าถึงสวัสดิการต่างๆ โดยเท่าเทียมกัน</p>
<h3>“ทุกวันนี้คนพุทธที่เขาไม่เห็นด้วยกับเราก็มี เช่นการชูธงปาเลสไตน์ ก็มีคนพุทธบางส่วนบอกว่า “พวกเดียวกันก็ย้ายออกไปเลย” ทั้งๆ ที่ในอดีตเราอยู่ด้วยกันได้ ”</h3>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373588980_469d20c628_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพสตรีทอาร์ตจ.ยะลาเล่าถึงการละเล่นในอดีต เด็กด้านซ้ายเป็นมุสลิมเล่นกับเด็กด้านขวาไว้ผมแกละตามวัฒนธรรมเดิมของสยาม</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สิทธิ เสรีภาพ เท่าเทียมกัน กุญแจสำคัญสำหรับไขปัญหา</span></h2>
<p>ในความเห็นของรักชาตินั้นมองว่า รัฐโดยเฉพาะ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. ว่าเป็นรัฐซ้อนรัฐ </p>
<p>“โดยเฉพาะการที่อดีตกอ.รมน.ออกมาบอกว่า ไม่ใช่รัฐซ้อนรัฐเป็นสิ่งที่ขัดแย้งมาก เพราะการทำกิจกรรมต่างๆ การรวมตัว การใช้ชีวิตของปาตานี ถูกควบคุมผ่านการนำของทหาร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานีว่าจะทำได้หรือไม่ได้ ถูกตัดสินจาก กอ.รมน.ไม่ใช่ประชาชน เป็นรัฐซ้อนรัฐ”</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373453129_cc5b22ea79_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพสนามแข่งนกกรงหัวจุก จ.ยะลา</span></p>
<p>“ที่ยะลาไม่ได้เน้นที่วัฒนธรรมของพุทธ กอ.รมน. ศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ) ก็อาจมีการส่งเสริมบ้าง ส่วนมากจะเป็นงาน นกเขาชวาเสียง อาเซียน ที่เทศบาลนครยะลา จะเป็นคนมุสลิมเข้าร่วมซะเยอะ มีคนพุทธเข้าร่วมแข่งบ้าง มีชมรมนกบินอิสระ ของยะลา มาประกวดนกสววยงามกัน ส่วนมากก็เป็นคนมุสลิม พุทธก็มี จะเป็นงานลักษณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่เราออกมาอยู่ร่วมกัน ออกมาสนุกด้วยกันได้”</p>
<p>รักชาติเล่าถึงการรวมกลุ่มทำกิจกรรมว่ามักเป็นงานที่ไม่เกี่ยวข้องทางศาสนาถึงจะออกมาทำกิจกรรมด้วยกัน ซึ่งในอดีตรักชาติ เติบโตมากับปาตานี ได้เล่าว่าในอดีตก็เหมือนคนพื้นที่อื่น มีงานอะไรก็ช่วยกัน สนุกด้วยกัน ไม่ได้มีความห่างเหินทางศาสนาอย่างทุกวันนี้</p>
<p>“คนที่ออกมาบอกว่าพวกเราอยู่ร่วมกันไม่ได้ เราไม่เชื่อแบบนั้น เพราะทุกวันนี้เหตุการณ์เกิดเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นกับกับคู่ต่อสู้ทางตรง คือคนติดอาวุธด้วยกัน ทุกวันนี้เด็กๆ ในพื้นที่อยากเรียนจบมีงานทำที่บ้านเรา แต่มันไม่มีงาน เช่น รือเสาะ เป็นเด็กผู้หญิงพุทธ จบนิติศาสตร์ ถามว่าเขาจะทำงานที่บ้านหรือไม่ เขาตอบว่าถ้าที่บ้านมีงานทำก็ทำ รากปัญหาอาจมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบนะ เพราะมันไม่เกิดการลงทุนที่บ้านเรา แต่ราคาที่ดินที่นี่แพงมาก เป็นอะไรที่ย้อนแย้งมากกับรายได้คนในพื้นที่”</p>
<p>รักชาติอธิบายอีกหนึ่งปัญหาความยากจนคือ การไม่เกิดการลงทุนในพื้นที่ เพราะปาตานีถูก กอ.รมน.เป็นตัวตัดสินและควบคุมพื้นที่ และมีกฎอัยการศึกด้วย ทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่พร้อมสู้รบกัน จนก่อให้เกิดปัญหาความยากจนเเละอัตราการจ้างงานในพื้นที่น้อย เกิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำและยากจนในขณะที่ราคาทีดินในราคายะลาสูงมาก ขัดแย้งกับรายได้ประชาชนในพื้นที่ </p>
<h3>“การที่รัฐจะแก้ปัญหา ต้องมองทุกบริบทของพลเรือนในพื้นที่ เอาใจใส่ ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ”</h3>
<p>รักชาติกล่าวว่า การแก้ปัญหาต้องแก้ให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ เท่าเทียมกัน รัฐไทยต้องมองหน้าที่ของตนเองว่ามีหน้าที่ดูแลประชาชน ไม่มองประชาชนเป็นศัตรูหรือไม่มองประชาชนเป็นปัญหา</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">โรงเรียนศาสนา ตาดีกา</span></h2>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373453094_f85758f8a6_o.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพทหารไทยมาแทรกการสอนในโรงเรียนตาดีกาช่วงเวลาที่นักเรียนกำลังเรียนวิชาศาสนา ด้วยการศาลเกี่ยวกับธงชาติไทย ถ่ายโดย someone </span></p>
<h3>“เจ้าหน้าทหารเข้ามาสอนเรื่องเกี่ยวกับภาษาไทย สัญลักษณ์ไทย ความเป็นไทย มันส่งผลต่อเด็ก” เจ๊ะฆูคอลี ครูโรงเรียนตาดีกาในจังหวัดยะลาเล่าถึงเจ้าหน้าทหารที่เข้ามาสอนในคาบเรียนตาดีกา</h3>
<p>“การที่เจ้าหน้าที่ทหารมาสอนภาษาไทยเป็นเรื่องไม่จำเป็น เพราะจันทร์ถึงศุกร์เด็กๆ เรียนที่โรงเรียนเป็นภาษาไทย”</p>
<p>เจ๊ะฆูคอลีเล่าว่าประสบการณ์ของเขาที่เจอในชั้นเรียนตาดีกาคือ การที่เจ้าที่ทหารเข้ามาสอนเรื่องภาษาไทย สัญลักษณ์เกี่ยวประเทศไทยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ส่วนมากเป็นเวลาครึ่งวันเช้า เเละยังมีการห้ามครูสอนประวัติศาสตร์ปาตานี ทั้งๆ ที่โรงเรียนตาดีกามีการสอนประวัติศาสตร์ศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลาม</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53372225142_df0fc5d1bf_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพทหารพร้อมอาวุธเข้ามาในโรงเรียนตาดีกา โดย someone </span></p>
<h3>“เป็นการรบกวนสมาธิเด็กๆ ต่อเรื่องการเรียนศาสนา เพราะเด็กๆก็จะเห็นภาพทารพร้อมปืน มันคือสัญลักษณ์ของความรุนแรง”</h3>
<p>เขาเล่าว่ามันเป็นภาพที่ไม่เหมาะให้เด็กเล็กได้เห็น เพราะเด็กๆที่เรียนในตาดีกาจะอยู่ในวัยอนุบาลถึงประถมศึกษาที่ 6 ซึ่งเด็กบางคนผ่านความรุนแรง เช่น การถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าบ้านและมีอาวุธ พอเห็นภาพทหารเข้ามาในโรงเรียนก็กระตุ้นความทรงจำของเด็ก</p>
<p>“ส่วนมากครูผู้ชายจะน้อย เพราะเจ้าหน้าที่จะโยงเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะตาดีกาสอนศาสนา รัฐไทยมองมุสลิมในพื้นที่เป็นปัญหา จึงมาแก้ที่ครูสอนศาสนา”</p>
<p>เจ๊ะฆูคอลีเล่าว่าการที่ครูตาดีกาถูกเพ่งเล็งให้เกี่ยวกับความมั่นคง เพราะเจ้าหน้าที่มองว่าผู้ชายจะเกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน แม้ว่าสิ่งที่สอนจะการเรียนการอ่านอัลกุรอานของศาสนาอิสลามก็ตาม แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐขัดขวางช่วงเวลาสอนศาสนาอยู่ดี</p>
<p>“อสม.(อาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ก็มักมีโครงการเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งพวกเขาเล็กเกินจะรู้จักยาเสพติด แต่มันคือการกินเวลาสอนศาสนาของเรา เลยไม่เห็นด้วยกับโครงการเหล่านี้” เจ๊ะฆูคอลีให้ความเห็นต่อการเข้ามาทำกิจกรรมของอสม.ว่าเป็นการแทรกแซงอย่างหนึ่ง ทำให้เด็กๆ มีเวลาเรียนศาสนาน้อยลง การเรียนการสอนภาษามลายูจึงน้อยลงไปด้วย </p>
<p>“ยกตัวอย่าง ภาษายาวี หรือบางที่เรียกยูมี เป็นภาษาที่ใช้เชื่อมต่อพูดคุยกับทางมาเลเซียได้ แต่พอถูกเข้าแทรกแแซงโดยเจ้าหน้าที่รัฐมากๆเข้า เด็กๆ มีเวลาเรียนภาษามลายูน้อยลงและเกิดความสับสน ในสิ่งที่เรียนจากครูในห้องเรียนตาดีกาและสิ่งที่ทหารสอน เราเป็นคนไทยโดยดั้งเดิมหรือปาตานีมีจริงหรือไม่ แม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะมีอยู่มากก็ตาม”</p>
<p>เจ๊ะฆูคอลีอธิบายว่าความสับสนในคาบเรียนที่เกิดจากการแทรกแซงของเจ้าหน้าที่ทหารและอสม.ทำให้เวลาเรียนภาษามลายูน้อยลง ทำให้เด็กๆ เรียนภาษาลายูได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ทั้งติดต่อสื่อสารกับประเทศมาเลเซีย ใช้ในการอ่านอัลกุรอาน และตัวอักษรมลายูหรือยาวีมีความใกล้เคียงกันภาษาอาหรับ ถ้าเด็กๆ อ่านภาษามลายูออก ก็เป็นเรื่องไม่ยากที่เด็กๆ จะเรียนภาษาอาหรับได้ </p>
<p>นอกจากนั้นความสับสนของเด็กๆ จากการแทรกแซงเวลาเรียนในตาดีกาโดยเจ้าที่ทหารและอสม.ยังลดความเชื่อถือต่อครูตาดีกา ทำให้ครูบางคนถูกเด็กๆ มองว่าทำไมพวกเขาต้องเรียนศาสนาอิสลาม เพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไทย ไม่จำเป็นต้องอ่านภาษามลายูก็ได้</p>
<h3>“เด็กๆ ไม่รู้จักปาตานีแล้ว”</h3>
<p>เจ๊ะฆูคอลีครูตาดีกาในจังหวัดยะลากล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าจะมาสอนภาษาไทย ความเป็นไทยก็ไปสอนที่โรงเรียน ตามระบบของกระทรางศึกษาธิการ และถ้าสอนภาษาไทยแล้วเด็กๆ ฟัง อ่าน เขียนไม่ได้ ก็ไปแก้ที่ระบบการศึกษา ไม่ใช่ที่ตาฎีกา”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ปาตานีในประวัติศาสตร์บอกเล่าของเขา</span></h2>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373137931_991fd35755_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพการเล่นละครสมมติบอกเล่าประวัติศาสตร์ปาตานี ในช่วงรัชกาลที่ 5 การฆ่าผู้นำของราชวงศ์ปาตานีและประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าว </span></p>
<p>“สงครามจารีตที่มันดำเนินมาเนิ่นนาน แล้ววันหนึ่งปาตานีก็แพ้ในรัชการที่ 1 และเพื่อถอนรากมลายูทิ้ง และรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว ก็เกิดการกวาดล้างเชื้อพระวงศ์มลายู ปาตานีจึงไม่ได้สู้เพื่ออาณาจักร อีกต่อไป แต่เราสู้ด้วยศรัทธาและสู้เพื่อกำหนดชะตาชีวิตของพวกเราเอง”</p>
<p>ฮาซัน ยามาดีบุ กล่าว อีกหนึ่งนักเคลื่อนไหวด้านการศึกษา และสันติภาพปาตานี คนในพื้นที่มักเรียกเขาว่า อุสตะฮาซัน แปลว่า ครูฮาซัน อธิบายถึงสงครามจารีตและความขัดแย้งในประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐไทยและปาตานีที่สะสมบาดแผลกันมาจนถึงปัจจุบัน และเขาได้เล่าถึงที่มาของคำว่าปาตานีว่า อาณาจักรปาตานีเป็นอาณาจักรตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทร มีการค้าขายกับต่างชาติ ตัวผู้ปกครองในอดีตเป็นมุสลิม ดังนั้นเลยใช้คำว่าสุลต่าน ที่ผ่านมามีการรบในอดีตที่เรียกว่าสงครามจารีต เป็นสงครามที่มีมาโดยตลอด เช่น กรุงศรีอยุธยาไปรบกับอาณาจักรล้านนา กับอาณาจักรต่างๆ ที่นี้ก็เช่นกัน ก็รบกันมาตลอด ก่อนจะล่มสลายไปในรัชกาลที่ 1 </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53372225017_a7dceba41d_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพการเล่นละครสมมติเล่าประวัติศาสตร์ปาตานี ในช่วงรัชกาลที่ 5 การฆ่าผู้นำของราชวงศ์ปาตานี</span></p>
<p>“พอเข้ารัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ปาตานีถูกปกครองโดยเจ้าอาณานิคมคือ อังกฤษ ปาตานีก็พยายามแสดงตัวตนว่าเรามีตัวตน แต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับเพราะยังถูกมองเป็นเมืองประเทศราช แต่สยามก็พยายามแสดงตัวว่าตนว่าตัวเองก็เป็นเจ้าอาณานิคมในแถบนี้เช่นกัน”</p>
<p>อุสตะฮาซันอธิบายว่าความขัดแย้งระหว่างสยามกับปาตานีเรื้อรังกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพราะถึงแม้ปาตานีจะพ่ายแพ้ สยบยอมแก่สยาม แต่ก็ยังคงมีความพยายามทวงคืนเอกราช แต่ไม่สำเร็จ นำไปสู่การกวาดล้างเชื้อพระวงศ์เดิมของมลายูก็สูญสิ้นไปในรัชการที่ 5 </p>
<p>เมื่อสิ้นสุดเชื้อพระวงศ์ สิ่งที่เข้ามาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคนกลายมาเป็นศาสนา เพาะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด เป็นความหวังที่ใช้ในการยืนยันตัวตนของเรา เลยนำไปสู่การเกิดผู้นำโดยโต๊ะครู และเป็นจุดกำเนิดการนำศาสนามาเป็นจุดนำในการต่อสู้ การใช้ศาสนานำการต่อสู้ การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น จนเกิดเป็นกลุ่มต่อสู้รูปแบบต่างๆ ซึ่งมันหลากหลายรูปแบบทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง แต่ความรุนแรงมันออกมาชัดเจนในเหตุการณ์ “ตากใบ กรือเซะ” </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ปาตานีคือผู้คน</span></h2>
<h3>“ปาตานีไม่ใช่แค่ประชาชนมุสลิม แต่หมายถึงทุกคน ไม่เคยทะเลาะกันเพราะต่างศาสนา แต่ปัญหามันเกิดมาตอนที่ทหารส่งลงมาปาตานี” อุสตะฮาซัน กล่าว</h3>
<p>อุสตะฮาซันอธิบายว่าการส่งทหารมายังพื้นที่สามจังหวัดได้เริ่มเข้มข้นขึ้นเป็นอย่างมากในสมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร </p>
<p>ด้วยแนวคิดทางทหารที่พุ่งเป้าไปยังชาวมุสลิมว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยสันนิษฐานว่ามุสลิมเป็นคนร้ายไว้ก่อน แม้จะไม่มีหลักฐานก็ตาม </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373588940_f9f44fc500_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพเจ้าหน้าที่เดินตรวจตราตามซอยบ้านประชาชนในอ.เมืองยะลา จ.ยะลา พร้อมอาวุธ</span></p>
<p>“มีการพูดคุยกับคนต่างศาสนา เช่น ไทยพุทธ ว่าอย่าไปคบค้า เดี๋ยวเกิดเหตุร้าย ประกอบกับการเกิดเหตุยิงรายวัน ยิ่งทำให้คำพูดว่ามุสลิมเป็นคนร้ายยิ่งน่าเชื่อถือ คนไทยพุทธจึงหันไปสนิทกับทหารต่างพื้นที่ที่ถูกส่งเข้ามา มุสลิมก็ระแวงคนพุทธ จนตอนนี้แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน”</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53372225012_9804349128_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพการปิดถนนเวลากลางคืนของชุมชนพุทธในจ.ยะลาเพื่อควบคุมคนเข้าออกชุมชน</span></p>
<p>อุสตะฮาซันเล่าถึงความเหินห่างของคนในพื้นที่ที่ต่างศาสนากัน ถูกทำให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยการส่งทหารเข้ามาควบคุมพื้นที่ นำไปสู่การแทรกแซงในศาสนาโดยทหาร เช่น การส่งโต๊ะครูที่สยามไว้เนื้อเชื่อใจมาสอนศาสนาหรือตามในโรงเรียน และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่</p>
<h3>“ปัจจุบันคนที่เป็นนักการศาสนาของสยามส่งมาไม่ใช่คนมีชื่อเสียง คนก็ไม่นับถือ เลยเกิดการกดดันกรรมการอิสลาม ครูสอนศาสนา” อุตะฮาซัน กล่าว</h3>
<p>อุตะฮาซันอธิบายว่า จากข้อมูลการคุกคามมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดการคุกคามโดยทหารต่อพลเรือน ซึ่งไม่ใช่แค่การมองหาตัวคนร้ายอย่างเดียว แต่การคุกคามยังเป็นวิธีการที่นำไปสู่การทำให้คนในพื้นที่ให้ไปสร้างความแตกแยกทางศาสนาจากภายในได้ เช่นการขู่เข็ญ การพยายามทำให้สารภาพ หรือแม้แต่การซ้อมทรมานเพื่อให้ออกมาแถลงถ้อยคำบางอย่างในสาธารณะ และโดยส่วนมากคนเหล่านี้มักถูกซ้อมทรมานมาก่อน เลยเกิดการจำใจต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เช่น การตีความอังกุรอานในแบบที่ไม่อยากทำ </p>
<p>“เขาก็หายไปจากบ้าน พอกลับมาเราอาจมองไม่เห็นแผลภายนอก แต่มันเกิดบางอย่างขึ้นแน่ๆ ความคิดหรือคำพูดบางอย่างที่เปลี่ยนไป คนเราก็รักชีวิต เขาจำใจต้องพูดตามคำสั่งรัฐไทย เพราะกลัวกระบอกปืน”</p>
<p>อุสตะฮาซันกล่าวว่าการอยู่ในสถายการณ์เช่นนี้เป็นเวลาหลายปี ไม่ใช่สิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการ จึงไม่ใช่การกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนในพื้นที่ แต่เป็นการถูกกำหนดให้กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้มาจากความต้องการของประชาชน</p>
<h3>“หลายคนถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์ตากใบ มันเลยทำให้คนไม่อยากอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้” อุสตะฮาซันกล่าว</h3>
<h2><span style="color:#2980b9;">บงแปลว่าสหาย</span></h2>
<p>บงอลาดีหนึ่งในนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่องสันติภาพปาตานีได้เล่าถึงเหตุจูงใจในการปะทะระหว่างทหารไทยและขบวนการว่า</p>
<h3>“ทักษิณใช้คำว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันทำให้เกิดการปะทะของคู่ขัดแย้งที่ชัดเจน” บงอลาดี กล่าว</h3>
<p>บงอลาดีอธิบายว่า สถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังเหตุการณ์ตากใบ และการที่นายกในสมัยนั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้คำว่าตาต่อตาฟังต่อฟัน จึงทำให่กลุ่มที่เชื่อเรื่องการปกป้องพื้นที่ของตนเองออกมาเคลื่อนไหว และโจมตีกันอย่างชัดเจน เช่น การที่ทหารได้ทำร้ายคนมุสลิมที่ร้านน้ำชาจนถึงแก่ชีวิต ก็ทำให้ชุมชนพุทธก็ถูกโจมตีกลับ เพราะคำว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373321053_85f3739bf6_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพป้ายประกาศจับคดีความมั่นคงที่สถานีรถไฟ อ.เทพา จ.สงขลา</span></p>
<p>“คนพุทธอาจรู้สึกสูญเสียในช่วงรัฐบาลทักษิณ แต่ในทางประวัติศาสตร์พื้นที่ปาตานีเราสูญเสียกันมาโดยตลอด” อลาดี กล่าว พร้อมเล่าถึงความขัดแย้งว่าเป็นปัญหาเรื้อรัง เพราะพื้นที่อื่นในอาณาเขตของไทยนั้นนับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก ในอดีตเคยมีการส่งทหารจากภาคอื่นๆ เช่น อีสาน เหนือ ลงมาปฎิบัติการณ์ในพื้นที่เพื่อกลมกลืนและกลืนกินวัฒนธรรมมลายูและส่งเสริมความเป็นไทยให้มากขึ้น</p>
<p>“จะเห็นได้ชัดผ่านช่วงรัฐชาตินิยม อย่างสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ที่พยายามบังคับให้ทุกคนอยู่ภายใต้วัฒนธรรมเดียวกันคือ วัฒนธรรมของสยาม”</p>
<p>ภายหลังได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่สาจังหวัดชายแดนใต้ ในปี 2550 มีการส่งทหารจากภาคอื่นๆ ของไทยลงมาเช่นเคยและส่วนมากมักเสียชีวิตจากการปะทะกับขบวนการเคลื่อนไหว </p>
<p>“ช่วงหลังมานี้ทหารในพื้นที่จึงมักเป็นคนใต้ด้วยกัน เช่น จากสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ซึ่งพวกเขามีความเชื่อที่เข้มข้นเรื่องศาสนาพุทธเช่นเดียวกับคนปาตานี คู่ต่อสู้จึงยิ่งชัดเจน และเป็นความรุนแรงที่ไม่จบสิ้น”</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373452949_5ca7256532_o.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพจากเฟซบุ๊ก ชนพุทธ กลุ่มน้อย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้</span></p>
<p>“ช่วงหลังมานี้เราจะเห็นกลุ่มพุทธสุดโต่งที่เลือกใช้ความรุนแรงมากกว่าการเจรจา” อลาดี กล่าว และเล่าถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนพุทธที่สนับสนุนความรุนแรงในพื้นที่ โดยช้คำว่า “แบ่งแยกดินแดน” มาเป็นความขัดแย้งระหว่างคนพุทธและมุสลิม ยิ่งทำให้ความขัดแย้งชัดเจนผ่านศาสนามากกว่าเดิม </p>
<h3>“เราต้องเจรจาเพื่อหาทางออก แต่หากเรายังมีรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย การต่อสู้เช่นนี้ไม่มีคนชนะ ทั้งรัฐไทยและขบวนการ เราสูญเสียกันหมด เพื่ออะไร” อลาดี กล่าว</h3>
<p>อลาดีมองว่านี่เป็นความขัดแย้งที่ต้องใช้การเจรจาเพื่อหาทางออก แต่การเจรจาที่ผ่านมานั้นแทบไม่ได้รับความสำคัญจาก รัฐไทย โดยเฉพาะกอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สำคัญในพื้นที่ที่ใช้ทหารในการควบคุมสถานการณ์ </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53372224832_172a688af1_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพจากโรงเรียนตาดีกา</span></p>
<p>“รัฐไทยไม่ให้ความสำคัญกับการเจรจาสันติภาพ เพราะรัฐไทยส่งคนจากข้างนอกพื้นมาตาย เพื่อครอบครองพื้นที่ที่ไม่ใช่ของตน” อลาดี กล่าวทิ้งท้าย</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เพราะเมื่อวานจึงมีวันนี้ เพราะปีนั้นมันเกิดตากใบ กรือเซะ มันจึงเป็นวันนี้</span></h2>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53373137576_f9537f6f6d_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพการแต่งกายวัฒนธรรมปาตานี</span></p>
<p>“ปัญหาปาตานีมันเรื้อรังสะสมมานาน เป็นวันนี้เพราะเมื่อวาน เมื่อวานเพราะปีก่อน เป็นพัฒนาการการต่อสู่ที่มันมาไกล ที่อื่นอาจจะแค่บางจังหวัดที่มีความต้องการปกครองตัวเอง แต่สามจังหวัดมันเป็นไปทั่วทุกหมู่บ้านแล้วมันมีพัฒนาการมาไกล”</p>
<p>อุสตะฮาซันอธิบายถึงทางออกของความขัดแย้งว่า การกระจายอำนาจอาจไม่เพียงพอ อาจไม่ใช่ยารักษาตรงจุด แต่ปัญหาความขัดแย้งจะแก้ไขได้นั้น ต้องให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีสิทธิเลือกว่าเขาอยากได้การปกครองแบบไหน เช่น มีการปกครองเฉพาะพื้นที่ที่มันแตกต่างจากทีอื่น การจัดสรรทรัพยากร เรียนในภาษามลายู การรักษาอัตลักษณ์มลายู ไม่แทรกแซงและยอมรับอัตลักษณ์วัฒนธรรมภาษาของมาลายู รวมถึงคนทำงานราชการ ผู้ว่าฯจังหวัด ผู้นำทางการเมือง ควรมาจากคนในพื้นที่ แต่ไม่ได้เสียหายอะไรที่จะใช้เงินไทย ธงไทย </p>
<h3>“เพราะเราต้องการการยอมรับการมีตัวตนจริง เลิกแทรกแซงและให้ประชาชนในพื้นที่ได้เป็นผู้เลือกเองว่าต้องการให้พื้นที่เป็นแบบไหน” อุสตะฮาซันกล่าว </h3>
<p>เขาอธิบายถึงปัญหาที่เรื้อรังของความขัดแย้งนี้ว่า เพื่อรักษาไว้ซึ่งดินแดนสามจังหวัดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐไทย ในการกำหนดทิศทางของพื้นที่ การใช้ทรัพยากรณ์ และการทำลายรากเหง้าวัฒนธรรม ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้มาจากการเลือกของคนในพื้นที่ แ