แสดงกระทู้
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 152 153 154 155 156 157 158 159 160 161 162 163 164 165 166 167 168 169 170 171 172 173 174 175 176 177 178 179 180 181 182 183 184 185 186 187 188 189 190 191 192 193 194 195 196 197 198 199 200 201 202 203 204 205 206 207 208 209 210 211 212 213 214 215 216 217 218 219 220 221 222 223 224 225 226 227 228 229 230 231 232 233 234 235 236 237 238 239 240 241 242 243 244 245 246 247 248 249 250 251 252 253 254 255 256 257 258 259 260 261 262 263 264 265 266 267 268 269 270 271 272 273 274 1 ... 149 150 [151 ] 152 153 ... 274
3002
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / การผูกเสี่ยว ตามจารีตประเพณีของคนอีสาน
เมื่อ: 20 กันยายน 2559 17:16:20
การผูกเสี่ยว ตามจารีตประเพณีของคนอีสาน คนทั่วๆ ไป ยังเข้าใจความหมายของคำว่า “เสี่ยว” ซึ่งเป็นคำที่แพร่หลายที่สุดของ “คนอิสาน” คลาดเคลื่อน, บิดเบือนไปจากความหมายของเขาแทบทั้งสิ้น... “เสี่ยว ” ในความรู้สึกของ ‘คนกรุงเทพฯ’ สมัยหนึ่งนั้น คือการดูถูกเหยียดหยามกันอย่างชัดๆ ที่เบาลงมาหน่อยก็เป็นไปในทำนอง ‘เชย’, ‘เปิ่น’, บ้านนอก ฯลฯ ถ้าเอ่ยคำว่า ‘เสี่ยว’ คนกรุงเทพฯ หมายถึงชาวอิสานโดยเฉพาะ รวมไปถึงคำพ่วงอีกคำหนึ่งนำหน้าหรือตามหลังเช่น ‘บักหนาน’ – ‘บักเสี่ยว’ ซึ่งอยู่ในนัยเดียวกัน คนอิสานเกลียด, โกรธ, ขมขื่นใจ, ที่คนต่างถิ่น ขนานนามเขาว่า ‘เสี่ยว’ โดยไม่เลือกกาลเทศะ ในขณะที่ไม่มีเหตุผลหรือเหตุการณ์อะไรที่ใกล้เคียงเกี่ยวข้องกับ คำว่า ‘เสี่ยว’ แต่คำนี้กลับถูกเรียกออกมาลอยๆ โดดๆ ความรู้สึกของเขาจึงดูประหนึ่งถูกหมิ่นถูกหยามอย่างชนิดเลือดฉ่าไปทั้งตัวทีเดียว แต่ก็อย่างว่าเขาเหล่านั้นมาจากดินแดนที่มีแต่ความทรหดอดทน การข่มขันติ และการรักสันติ เป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา จนพวกเขาได้รับสมญานามว่า “ถิ่นไทยดี” ดังนั้นเขาจึงทนได้ กลั้นได้, แม้ว่าเลือดเขาจะพล่านสักปานใดก็ตาม การข่ม, การเงียบ, การยอมจำนน, คนกรุงเทพฯ ยุคนั้นเลยนึกว่าหมู ว่าได้ว่าเอา ว่าให้แสบใจเล่นๆ งั้นแหละ ทั้งๆ ที่นักมวยมือดีๆ, นักการเมือง, นักการทหาร, รวมไปถึงผู้มีอำนาจในแผ่นดินยุคหนึ่งคือ ‘เสี่ยว’ ของคนกรุงเทพฯ นั่นเอง เมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นเถลิงอำนาจ สามล้อเกือบหมื่นคันพากันไปชุมนุมที่สนามหลวง พากันแห่ขบวนไปรอบๆ ตะโกนกึกก้องไปสู่ท้องฟ้า... “ข้าวเหนียวขึ้นโต๊ะ...ข้าวเหนียวขึ้นโต๊ะ...แล้วเว๊ย...” จากนั้นเป็นต้นมาคำว่า “เสี่ยว” ก็ค่อยๆ จางหายไป คนกรุงเทพฯ เริ่มรู้จักคนอิสานและรักใคร่คบหาสนิทใจขึ้นกว่าเดิม ที่สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คนหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศแวะผ่านไปมาร่วมสังสรรค์ เมื่อใครพบกลุ่มใครซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน ก็ล่อภาษาพื้นเมืองกันอย่างครื้นเครงและเต็มไปด้วยความภาคภูมิ คนใต้ออกจะเลือดร้อนกว่าเพื่อน คนที่คิดว่าตนเองคือ “คนกรุงเทพฯ” เรียกคนใต้ว่า “ไอ้พวกต้ำปรื้อ” เพียงคำเดียว ปากก็กินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน ต่างกับคนอิสานเรียก ‘เสี่ยว’ เรียก ‘หนาน’ เรียกได้เรียกไปข้อยบ่ถือ เพราะแกไม่ได้ศึกษาถึงที่มาของคำนี้ หากแกรู้และซึ้งถึงความหมายของคำนี้แล้ว...วันนั้นแกจะละอายใจต่อความพล่อยของลิ้นลมปากตนเอง... คนอิสานยกย่องเทิดทูนเคารพคำว่า ‘เสี่ยว’ นี้อย่างซาบซึ้ง มันเป็นคำที่ละเอียดอ่อน ยากนักที่จะปฏิบัติตนให้เป็นไปตามคำขาน, คำเรียกของคำๆ นี้ได้ง่ายๆ ‘เสี่ยว’ มิได้หมายความถึง เพื่อนรัก-เพื่อนใคร่ หรือเพื่อนเกลอ ดั่งที่ความเข้าใจสามัญๆ เข้าใจเช่นนั้น ความหมายของมันสูงส่งยิ่งกว่านั้นมากนักเสี่ยว คำนี้มีความหมายยิ่งยง เหมือนพงศาวดารสามก๊ก ตอน เล่าปี่, กวนอู เตียวหุย, กรีดเลือดดื่มน้ำสาบาน ร่วมเป็นพี่เป็นน้อง ร่วมเป็นร่วมตาย อย่างไรก็อย่างนั้น แต่ ‘เสี่ยว’ ของคนอิสาน ไม่ถึงขั้นที่ต้องกรีดเลือดกรีดเนื้ออย่างสามก๊ก เขามีพิธีการที่ละมุนละมัยอ่อนโยน ผูกพันจิตใจ กระหวัดรัดรึงกันยิ่งกว่านั้น เสี่ยว เท่าที่เห็นๆ มีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทแรกได้แก่การ “ผูกเสี่ยว ” แบบธรรมดาพื้นๆ ประเภทหลัง ได้แก่การ “ผูกเสี่ยวเหยเพยแพง ” เสี่ยวเหยเพยแพง จะเกิดขึ้นแต่ละครั้งจะต้องมีพิธีรีตองกันอึงคะนึง ราวกับจะจัดงานบุญ หรือประกอบนักขัตฤกษ์อะไรๆ ทำนองนั้น มีการตีฆ้องร้องป่าว มีสักขีพยานที่จะต้องรับรู้ในพิธีกรรมอันนี้ คู่ที่จะเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง จักต้องดื่มน้ำพุทธมนต์แทนน้ำสาบานร่วมบาตรหรือขันเดียวกัน ต่อหน้าสักขีพยาน ท่ามกลางการอ่านโองการของปูมปุโรหิต สาปแช่งและให้พรชัยไปพร้อมกัน คนคู่นั้นถึงจะเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง กันได้โดยสมบูรณ์แบบ ‘เสี่ยว’ แบบธรรมดาๆ หรือพื้นๆ มีพิธีรีตองเช่นกัน แต่ย่นย่อลงหลายอย่างจนเกือบจะไม่เป็นพิธี แต่ก็นับเนื่องเข้าเป็น เสี่ยว ได้โดยนัย และส่วนใหญ่ของคนอิสานก็มีเสี่ยวระดับนี้เป็นสโลแกนของสังคมอยู่ทั่วไป ประเภทแรกจึงสูงกว่า หนักแน่นกว่า และเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ประเภท ๒ ดำเนินรอยตามไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียวกัน การผูกเสี่ยวของคนอิสาน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นชายกับชาย หญิงกับหญิง แม้แต่ชายกับหญิง หรือหญิงกับชาย ก็เป็นเสี่ยวเหยเพยแพงกันได้ ไม่เลือกเพศเลือกวัย เลือกวรรณะ ฐานะ หากมีจิตใจมีแก่นแท้ของการผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกันเป็นสรณะแล้ว การประกอบพิธีการผูกเสี่ยวก็เกิดขึ้นได้ พิธีกรรมของการผูกเสี่ยวเหยเพยแพงจะเริ่มขึ้นด้วยการนัดวันหาฤกษ์ยามที่เหมาะสมกับสมพงษ์ของคนทั้งสอง เมื่อได้โฉลกฤกษ์ยามวันดี การล้มวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ก็ลงมือทันที การล้มหมู วัว ควาย นี้อยู่ที่ฐานะของบุคคลทั้งสองจะกำหนดเอาเอง ฐานะดีก็เล่นวัวควายให้เอิกเกริก ถ้าหย่อนลงมาก็แค่หมูหรือเป็ดไก่ก็ใช้ได้เช่นกัน ทั้งสองคนที่จะเป็น “เสี่ยวเหยเพยแพง” ไม่จำเป็นที่จะต้องมีฐานะทัดเทียมกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีฐานะเหนือกว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ออกเงินไป ถ้าฐานะทัดเทียมกันก็ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง พิธีการก็เริ่มขึ้นโดยทางศาสนาและพิธีของพราหมณ์ผสมกัน ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของคนทั้งสองฝ่าย จะถูกป่าวร้องชวนเชิญให้มาในงาน “เอาเสี่ยว” หรือ “ผูกเสี่ยว” ล่วงหน้า ๑ วัน ไม่ว่าจะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันหรือคนละถิ่นละแห่ง ก็จักต้องป่าวร้องให้มาเป็นสักขีพยานในการ ‘ผูกเสี่ยว’ ในครั้งนี้โดยทั่วถึง รวมความแล้วทั้งสองฝ่ายมีพ่อแม่ญาติโกโหติกาเท่าไหร่ก็ขนกันมา เพื่อที่จะเป็นวงศาคณาญาติสืบเนื่องกันไปเบื้องหน้า โดยคนทั้งสองเป็นหลักประกันในการผูกสัมพันธ์ของวงศาคณาญาติ พิธีทางศาสนาเริ่มด้วยการนิมนต์พระมาฉันอาหารเพล เพื่อจะขอน้ำมนต์แทนน้ำสาบาน ต่อจากพิธีทางศาสนาจึงเป็นพิธีของพื้นบ้านซึ่งมีลัทธิของของพราหมณ์เข้ามาผสม มีการตั้งขันโตกบายศรี เรียกว่า ‘ขันแปด’ เมื่อพระเสร็จพิธีของสงฆ์และท่านลงเรือนไปแล้ว พิธีสูตรขวัญก็เริ่มขึ้นด้วยการโอมอ่านโองการเชิญเทวดามาชุมนุมจนสิ้นขบวนความ จึงประกาศการเป็นเสี่ยวเหยเพยแพง ของบุคคลทั้งสอง ต่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้น ให้รับรู้เป็นสักขีพยาน แล้วจึงโอมอ่านคำอวยชัยให้พรและสาปแช่งการตระบัดสัตย์ซึ่งกันและกันควบคู่ไปในเนื้อหาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงให้ญาติพี่น้องมิตรสหายของคนทั้งสองเข้ามาผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ รับเอาความผูกพันเหล่านั้นกระชับเกลียวเข้าไปด้วยก็เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้นก็เปิดรายการกินกันสำราญบานใจ ไปจนกระทั่งตกค่ำย่ำเย็น หรือจนกว่าจะตะบันเข้าไปไม่ไหวโน่นแหละจึงจะเลิกรากัน บัญญัติของ ‘เสี่ยว’ ที่ได้ตราไว้เป็นกฎเกณฑ์นั้น ตามโอมอ่านของพราหมณ์ปุโรหิตสรุปรวมความแล้วได้ความว่า “สูเจ้าทั้งสอง ได้ประกาศต่อหน้าเทวดาฟ้าดินและสักขีพยานรอบๆ นี้แล้วว่า จะรักซื่อตรงต่อกัน แม้ชีวิตก็จักพลีให้แก่กัน จะไม่ยอมทอดทิ้งกันและกันไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด เจ้าทั้งสองได้ประกาศแล้วว่าชีวิตของเจ้าทั้งสองจะเหมือนเป็นชีวิตเดียวกัน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเจ้าทั้งสองจะเป็นเสมือนคนครัวเรือนเดียวกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามตกทุกข์ได้ยากหรือยามมั่งมีศรีสุข เจ้าทั้งสองจักต้องดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกัน จนกว่าชีวิตของเจ้าทั้งสองจะดับสูญ ฯลฯ” นี่แหละครับการเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง ต้องอยู่ในสูตรเหล่านี้และจะต้องอยู่อย่างเคร่งครัดจริงๆ คนเหมืองหลวงหรือทั่วๆ ไปก็มีคำนี้เช่นกัน เช่น เพื่อนน้ำมิตร เพื่อนตาย เพื่อนยาก เพื่อนเกลอ ฯลฯ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่หนักแน่นจริงจังเหมือนคำว่า เสี่ยว ของคนอิสานเองเลย ความหมายอันยิ่งใหญ่ของคำว่า เสี่ยว นี้ มีเรื่องเล่าเป็นคติไว้โลนๆ หลายเรื่อง เป็นการลองใจหรือล้อกันเล่นระหว่าง ‘เสี่ยว’ คือมี ‘เสี่ยว’ คู่หนึ่งภายหลังจากการผูกเสี่ยวกันแล้วก็แยกย้ายกันไปมีเมีย ความห่างเหินในการไปมาหาสู่ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ จนกระทั่งวันดีคืนดี ‘เสี่ยว’ ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ลงทุนไปเยี่ยมอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งคู่โผเข้ากอดรัดตบหัวหูซึ่งกันและกันแสดงออกถึงน้ำใจยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่เช่นเดิม แล้วฝ่ายที่ถูกเยี่ยมก็เรียกเมียสาวออกมารู้จักกัน พอเห็นหน้าเมียของเสี่ยว ผู้ไปเยี่ยมก็ออกปากเอาตรงๆ เลยว่า “เฮ้ย เสี่ยว เมียมึงสวยจริงๆ ขอกูได้ไหมวะ!...” เสี่ยวที่ถูกเยี่ยมสะอึก ยังไงๆ โอมอ่านบัญญัติของพราหมณ์ปุโรหิตในวันผูกเสี่ยวก็ยังกึกก้องอยู่เสมอ หมอก็ตอบเสียงดังฟังชัดไปทันทีว่า “ตกลงๆ ๆ” เสี่ยวฝ่ายที่ลองใจก็ถอนหายใจเฮือกกอดเพื่อนแน่นกว่าเก่า ซึ้งในน้ำใจที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และทำนองเดียวกัน ฝ่ายถูกเยี่ยมไปเยี่ยมตอบแทนบ้าง พอเจอหน้า ‘แม่เสี่ยว’ (เมียของเสี่ยว) ก็ออกปากเอาดื้อๆ เหมือนกัน ฝ่ายนั้นก็หัวเราะก๊ากๆ ‘เอาเลย เอาเลยเพื่อน’ เป็นแต่เพียงการเปรียบเปรยให้เห็นความล้ำลึกของจิตใจของคำว่า “เสี่ยว” ว่าล้ำลึกเพียงใด โดยนัยแล้วเขาผนึกชีวิตเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สำมะหาอะไรกับทรัพย์หรือสิ่งประกอบอื่นใดที่เป็นของภายนอก เขาจะปรารมภ์แม้แต่เมีย คนกรุงเทพฯ เพื่อนรุ่นพี่ของผู้เขียนคนหนึ่ง ชอบล้อเลียนผู้เขียนอยู่ทุกบ่อยๆ จนดูๆ คล้ายกับเป็นการเหยียดหยามกันไปในเชิง โดยพบหน้าผู้เขียนคราวใดจะต้องทักทายออกมาลอยๆ ด้วยเสียงอันดังอยู่เสมอว่า ‘เฮ้ยเสี่ยว’ ‘ว่ายังไงบักเสี่ยว’ ฯลฯ บ้าง วันหนึ่งผู้เขียนทนไม่ไหวก็เลยตอบโต้ไปด้วยเสียงอันดังพอๆ กันว่า “พี่รู้บ้างไหมที่เรียกผมว่าเสี่ยว, บักเสี่ยวหน่ะ เสี่ยวนี้มันหมายถึงเพื่อนเป็นเพื่อนตาย แม้แต่เมียก็ยังเปลี่ยนกันนอนได้ พี่พร้อมแล้วหรือที่จะเป็นเสี่ยวกับผม...” ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพื่อนรุ่นพี่คนนั้นก็เลิกคำว่า เสี่ยว กับผู้เขียนชนิดเงียบกริบไปเลย เพราะผู้เขียนว่าไปยังงั้นแล้วก็อธิบายให้แกรู้ที่มาของคำว่าเสี่ยวและจารีตประเพณีเกี่ยวกับการเป็นเสี่ยวอย่างยืดยาว รู้สึกว่าแกนิ่งฟังด้วยความสนใจและเข้าใจ ผู้เขียนจึงทราบว่าที่แท้นั้นแกรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่าที่จะจงใจล้อเลียน เราก็ยังรักใคร่นับถือกันเรื่อยมาจนบัดนี้ คนอิสานวางกฎเกณฑ์ของการเป็น เสี่ยว ไว้ละเอียดและรัดกุมมาก หากเสี่ยวทั้งสองฝ่ายมีลูกเต้าเป็นหญิงชายคนละคน หากเด็กมันเกิดรักกันขึ้น “พ่อเสี่ยว-แม่เสี่ยว” จักต้องโอเค จัดการให้เกิดการผนึก “เสี่ยวกำลังสอง” กำลังสามเพิ่มขึ้นไปให้เป็นปึกแผ่นแผ่ขยายออกไปไม่มีขัดข้อง แต่หากในกรณี เสี่ยวผู้ชายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเป็นพ่อหม้ายหรือพ่อร้าง ดันเสือกไปชอบพอลูกหลานหรือน้องสาวของเสี่ยวอีกฝ่ายหนึ่งเข้าให้ อันนี้จารีตไม่อนุมัติอย่างเด็ดขาด ถือว่าเป็นเสนียดและทรยศต่อน้ำสาบาน และเสี่ยวผู้นั้นจะถูกคนถุยสาปแช่งทั่วไป หรือว่า ผู้หญิงกับผู้ชาย หรือผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งคูใด ได้เข้าพิธี “ผูกเสี่ยว” ตามคำโอมอ่านโองการของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ต่อมาเสี่ยวหญิงชายทั้งคู่นี้เกิดรักกันฉันท์หนุ่มสาวขึ้น...เสียใจจริงๆ ที่คนคู่นี้จะแต่งงานกันไม่ได้ เพราะบัญญัติของเสี่ยวได้เป็นกำแพงกั้นไว้ เขาจะหาทางออกกันยังไง ผู้เขียนเองก็งุนงงอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เท่าที่ได้ฟังและได้เห็นมา เห็นเสี่ยวทั้งคู่นี้ทำพิธีลบล้างหรือถอนคำว่า ‘เสี่ยว’ ออกโดยกรรมวิธีของพราหมณ์เสียก่อน แล้วเขาจึงจัดทำพิธีแต่งงานกัน...ยังงี้ก็มีด้วย... ความจริงหญิงกับชายหรือชายกับหญิงคู่ใดจะผูกเสี่ยวกันขึ้นนั้น ชายที่เป็นเสี่ยวกันอย่างตรงไปตรงมาตามแบบฉบับ ส่วนมากมักจะหนีธรรมชาติไปไม่พ้น การผูกเสี่ยวจึงเห็นการอำพรางทดสอบจิตใจกันในระยะต้น ต่อเมื่อความรักและธรรมชาติเรียกร้องจนสุกหง่อมแล้ว เขาก็ทำพิธีถอนเสี่ยวออกแล้วแต่งงาน ดูๆ ไปก็ไม่น่าจะแปลกอะไรที่เสี่ยวแต่งงานกับเสี่ยว แต่ถ้าจารีตหรือบทบัญญัติไม่วางไว้เช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า เสี่ยว ในภาคอิสานก็ไม่มีเป็นสัญลักษณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอนหากว่าท่านหนึ่งท่านใดได้ถูกคนอิสานขอ “ผูกเสี่ยว” ด้วย มันหมายถึงเขาให้เกียรติท่านอย่างสูงส่งที่สุดแล้ว และท่านจงเชื่อเถิดว่า ท่านกำลังมีมหามิตรเพื่อนร่วมตายที่แสนซื่อและเซ่อจนน่าสงสาร จนท่านไม่ควรจะลืมความสูงส่งของคำว่า “เสี่ยว” ที่เขามอบให้เป็นอันขาด
3003
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่างสู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
เมื่อ: 19 กันยายน 2559 16:41:20
งานสลักดุน ราชอาณาจักรไทย • ภาคเหนือNorthern Thailand งานช่างสลักดุนภาคเหนือ ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในจังหวัดแถบภาคเหนือของไทย จะเป็นที่รู้จักในนามของ “ช่างเชียงใหม่” เนื่องจากเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา มีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายเชื้อชาติ อาทิ ยวน ลื้อ ลาว เขิน และชาวเขาอาศัยอยู่ รูปแบบของงานสลักดุน จะสะท้อนออกมาในศิลปะของเชิงช่างตามสายสกุล สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ งานสลักดุนของสกุลช่างเชียงใหม่ จะมีลักษณะโดดเด่นกว่างานสลักดุนของกลุ่มสกุลช่างอื่น ทั้งในส่วนของรูปทรงและลวดลาย โดยการแกะลายของช่างจะใช้กรรมวิธีการแกะลายสองด้านและจะตอกลายจากด้านในหรือด้านหลังของชิ้นงานให้เป็นรอยนูนสูงตามโครงร่างภายนอกของลายก่อน ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า การโกลนลาย หรือการขึ้นลาย จากนั้นจึงตีกลับจากด้านนอกเพียงด้านเดียว เพื่อเป็นการทำรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในกรณีของสกุลช่างอื่นๆ มักนิยมการแกะลายหรือตอกลายจากด้านนอกเป็นหลัก งานสลักดุนของสกุลช่างเชียงใหม่ จึงแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลผสมผสานของงานสลักดุนจากกลุ่มวัฒนธรรมที่อยู่ใกล้เคียงรายรอบ เช่น อิทธิพลงานสลักดุนของกลุ่มวัฒนธรรมพม่า จีน ลาว เนื่องจากเชียงใหม่มีอาณาเขตติดต่อกับพม่า จีน และลาว ลักษณะงานสลักดุนภาคเหนือ มีแบบเฉพาะของตนเอง ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกตามสายสกุลช่างต่างๆ เช่น สกุลช่างวัวลาย สกุลช่างสันป่าตอง สกุลช่างลำปางหลวง สกุลช่างแพร่ สกุลช่างน่าน และงานสลักดุนชาวเขา ซึ่งงานชาวเขาที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคือ งานสลักดุนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ ที่พบที่จังหวัดน่าน พะเยา และเชียงราย แต่เชียงใหม่ก็ยังเป็นแหล่งผลิตงานสลักดุนที่หลากหลาย ที่มีการผลิตงานสลักดุนขึ้นใช้กันจนแทบจะเป็นวิถีชีวิตของคนล้านนาไปแล้ว สิ่งที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขันหรือสลุง ตลับหมากหรือเชี่ยนหมาก พานทรงแบนขาสูง หรือขันดอก พานทรงสูงขาต่ำ และเครื่องรูปพรรณต่างๆ เช่น ปิ่น หวีสับ ลานหูหรือต่างหู กรองคอ หัวเข็มขัด เป็นต้น เอกลักษณ์ ลวดลายที่ปรากฏบนงานสลักดุนภาคเหนือ จะนิยมลวดลาย เช่น ลายสับสองนักษัตร ลายชาดก ลายดอกกระถิน ลายดอกทานตะวัน ลายสับปะรด ลายนกยูง ลายดอกหมาก เป็นต้น งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย (ภาคเหนือ) • ภาคใต้Southern Thailand งานช่างสลักดุนของสกุลช่างภาคใต้ มีปรากฏพบส่วนใหญ่ที่นครศรีธรรมราช บางครั้งจึงมีผู้นิยมเรียกงานช่างสลักดุนนี้ว่า งานช่างสลักดุนสกุลช่างนครศรีธรรมราช สืบเนื่องจากทำเลที่ตั้งของเมืองนครศรีธรรมราชนั้นอยู่ในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Southern Peninsula หรือ Malay Peninsula เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางผ่านของการเดินเรือ หรือการค้าทางทะเลมานับพันๆ ปี ดังนั้นศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ จากหลากหลายประเทศทั้งในซีกโลกตะวันตก เช่น ประเทศสเปน ประเทศโปรตุเกส เอเชียกลาง เช่น ประเทศอิหร่าน เอเชียตะวันตก เช่น ประเทศอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศมาเลเซีย ประเทศอินโดนีเซีย และเอเชียตะวันออก เช่น ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ทำให้รูปแบบของงานสลักดุนที่ค้นพบในสกุลช่างภาคใต้นี้มีรูปทรงและลวดลายที่มีลักษณะผิดแปลกไปอย่างมาก ชิ้นงานสลักดุนในสกุลช่างภาคใต้ที่ค้นพบส่วนใหญ่จะมีอายุเก่าแก่ร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ปรากฏว่ามีหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยชิ้นมาก ที่ยังปรากฏพบเหลืออยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่มีอายุร่วมสมัยกับกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีรูปทรง และลวดลายที่แสดงจากสกุลช่างมาเลค่อนข้างชัดเจน และที่สำคัญที่สุดคือ งานช่างสลักดุนสกุลช่างภาคใต้ หรือสกุลช่างนครศรีธรรมราชในปัจจุบันมีปรากฏพบเป็นจำนวนน้อยและมีชื่อเสียงไม่เทียบเท่ากับเครื่องถมตามที่ทำกันในปัจจุบัน งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย (ภาคใต้) หัวเข็มขัด และสายเข็มขัด ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน-สกุลช่างภาคใต้ อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๔๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้คาดทับผ้านุ่งหรือผ้าโจงกระเบนให้กระชับแน่นติดกับลำตัวหัวเข็มขัด นี้มีลักษณะคล้ายช่องลูกฟักตามแบบศิลปะอิสลาม และมีขนาดใหญ่มาก ลวดลายที่นิยมประดับบนหัวเข็มขัด จะเป็นลายพันธุ์พฤกษา ลายใบไม้ก้านขด ลายลูกประคำเสมอๆ เนื่องจากศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้ใช้ลวดลายรูปคนหรือสัตว์ ส่วนสายเข็มขัดนั้น ก็เป็นการนำเอาเส้นเงินมาถักเส้น
กลัก ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน-สกุลช่างภาคใต้ อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๐๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้สำหรับใส่ยาเส้น หรือใส่ของกระจุกกระจิกที่มีขนาดเล็กมากกลัก ที่พบในภาคใต้ นิยมทำเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลิ้นปิดเปิดตรงกลาง ซึ่งจะขอดเว้าเป็นเอวเข้ามาทั้งสองด้าน ลักษณะคล้ายหมอน และมักจะมี สายทิ้ง หรือสร้อยถักเส้นเล็กๆ เกี่ยวโยงที่ปลายทั้งสองด้าน ลวดลายสลักดุน บนกลักเหล่านี้ เป็นลายตาข่ายดอกไม้สี่กลีบ หรือลายดอกไม้สี่กลีบ แบบลายแก้วชิงดวง
จับปิ้ง ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน-สกุลช่างภาคใต้ อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๒๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้เป็นเครื่องผูกบั้นเอวเพื่อปิดของลับของเด็กหญิงและชายจับปิ้ง ที่พบในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ล้วนเป็นจับปิ้งที่สร้างขึ้น โดยฝีมือสลักดุนที่เป็นชาวมุสลิมทั้งสิ้น ดังนั้น ลวดลายที่พบจึงเป็น ลายก้านขด ลายพันธุ์พฤกษา ลายเถาดอกไม้ใบไม้ ลายเกลียวเชือก ลายลูกประคำ เป็นต้น
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) Northeastern Thailand ในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของประเทศไทย จะพบชุมชนช่างเงินอยู่ตามท้องถิ่นที่เป็นเมืองเก่าหรือจังหวัดที่มีพื้นที่ดินแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาว และรู้จักกันในนาม “ช่างเงิน-ช่างคำ” เช่น จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม เป็นต้น ช่างสลักดุนส่วนใหญ่ มีเชื้อสายลาวเวียงจันทน์ มีฝีไม้ลายมือในการสร้างสรรค์รูปแบบงานสลักดุน ในสกุลช่างไทย-ลาว ส่วนใหญ่จะมีผลิตงานสลักดุนขึ้นใช้ในชุมชน และจำหน่ายในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเภทงานสลักดุนที่พบได้แก่ เครื่องประดับชนิดต่างๆ เช่น สร้อยคอ กำไล เข็มขัด เครื่องภาชนะ เช่น พาน ชัน และเชี่ยนหมาก เป็นต้น อีกสกุลช่างหนึ่งของภาคอีสาน คือ สกุลช่างอีสานใต้ ที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา รูปแบบของช่างในชุมชนที่สืบทอดเชื้อสายมาจากช่างเขมร ลวดลายที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมนี้ จะพบที่ชุมชนบ้านเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ชุมชนส่วย อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาในรูปเครื่องประดับ เช่น ลูกปะเกือม ตะเภา (ต่างหู) เป็นต้น งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) Northeastern Thailand แผ่นทองคำสลักดุนรูปพระพุทธรูป อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๑๓๐๐-๑๕๐๐ ประโยชน์ : สร้างขึ้นเพื่อสืบพระพุทธศาสนา หรือเพื่อเป็นพุทธบูชา แผ่นทองคำสลักดุนรูปพระพุทธรูปนี้ เป็นชิ้นงานพุทธศิลป์ของวัฒนธรรมมอญ หรือทวาราวดีในภาคอีสานของประเทศไทย ที่นิยมสลักดุนเป็นรูปพระพุทธรูป หรือพระโพธิสัตว์ในพระพุทธศาสนา หรือเทพเจ้าสำคัญสูงสุดของศาสนาฮินดู ลงบนแผ่นโลหะมีค่า เช่น ทองคำ
ซองพลู ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างนครพนม อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๖๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้สำหรับใส่ใบพลูที่จีบเป็นคำแล้ว รูปทรงของซองพลูดังกล่าวจะเป็นรูปเหลี่ยมมีรอยพับเป็นสันด้านหน้าและด้านข้าง ทำให้เกิดเป็นเหลี่ยม ตามแบบล้านนา ส่วนขอบของซองพลูจะนำเส้นเงินมาเลี่ยมทับ และที่ขอบด้านหน้ามีลักษณะเป็นขอบหยัก รูปทรงปีกกา ตามแบบอิทธิพลจีนและเวียดนาม ลวดลายที่นิยมสลักดุนมักเป็นลายแถบแคบๆ รอบตัวซองพลู ภายในบรรจุลายกลีบบัวหรือลายซิกแซกฟันปลา
สร้อยปะเกือม หรือสร้อยประคำ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างหมู่บ้านโชค อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๕๐๐-ปัจจุบัน ประโยชน์ : ใช้เป็นเครื่องประดับประคำ หรือ ปะเกือม ทำจากโลหะเงินหรือทองคำบริสุทธิ์แผ่เป็นแผ่นบางๆ หุ้มทับไว้บนชัน หรือครั่งที่อัดไว้ด้านใน เพื่อให้แผ่นเงินหรือทองคำนั้นทรงตัวตามต้องการได้ จากนั้นจึงสลักดุนเพื่อให้เกิดลวดลายซี่ ที่นิยมส่วนใหญ่จะทำมาจากที่พบเห็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น ลายเส้นตรงคู่ ลายตาตาราง ลายกลีบบัว ลายดอกพิกุล ลายดอกจัน ลายพระอาทิตย์ ลายดอกไม้บาน
งานสลักดุนราขอาณาจักรไทย • ภาคกลางCentral Thailand
3004
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: “สลักดุน” ภูมิปัญญาเชิงช่างจากอดีตสู่ปัจจุบัน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป
เมื่อ: 19 กันยายน 2559 13:37:00
งานสลักดุน สาธารณรัฐประชาชนจีน งานสลักดุน สาธารณรัฐประชาชนจีน ชื่อชิ้นงาน : ชิ้นส่วนเครื่องประดับ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างจีนสิบสองปันนา มณฑลยูนาน ประเทศจีน อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๐๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้ปักประดับลงไปบนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย หรือเป็นเครื่องประดับ ช่างสลักดุนชาวสิบสองปันนา นิยมสลักดุนแผ่นเงินให้เป็นลวดลายเพื่อใช้ปักประดับ ลงไปบนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และลวดลายสลักดุน ตรงกลางจะทำเป็นรูปลาย สัตว์มงคลและโดยรอบของลายวงกลมก็มักจะเป็นลายดอกไม้สี่ฤดู หรือลายวัตถุมงคล แปดประการของจีน ส่วนเครื่องประดับประเภทเครื่องห้อยหรือเครื่องแขวน ตามรูปแบบ ของพัดด้ามจิ๋วที่คว่ำลง มีห่วงห้วย ลวดลายส่วนใหญ่เป็นลายมงคล เช่น ลายนก ผีเสื้อ ดอกไม้ ค้างคาว ลายนกกระสา และลายส้มมือ เป็นต้น นอกจากการสลักดุนแล้ว ยังมีการฉลุลายโปร่งอีกด้วย
งานสลักดุน สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล งานสลักดุน สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ชื่อชิ้นงาน : สิงห์ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างเนปาล อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๖๐-๒๕๐๐ วัสดุ : โลหะทองเหลือง แก้ว และหินมีค่า ประโยชน์ : ใช้สำหรับประดับตกแต่งบ้าน ช่างสลักดุนสกุลช่างเนปาล มีความสามารถในการสร้างชิ้นงานสลักดุนให้มีรูปทรงแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการทำรูปสัตว์ต่างๆ หนึ่งในสัตว์ยอดนิยมของชาวเนปาล คือ รูปลิง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของการปกปักรักษาและอำนาจ ช่างสลักดุนชาวเนปาล นิยมแสดง ฝีมือในการขึ้นรูปภาชนะและสิ่งของ แต่ไม่นิยมในการสลักดุนลวดลายต่างๆ บนผิวภาชนะ หากแต่จะใช้เม็ดแก้วหรือหินมีค่า ติดลงไปบนพื้นผิวของภาชนะเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะนิยมเม็ดแก้วสีแดง สลับกับหินเทอร์ควอยซ์สีฟ้า
งานสลักดุน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม งานสลักดุน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ชื่อชิ้นงาน : ตลับ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างเวียดนาม อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๕๐-๒๕๐๐ ประโยชน์ : ใช้ใส่ยาเส้น หรือใส่ของกระจุกระจิก หรือบางครั้งอาจเป็นลูกเชี่ยน คือเป็นส่วนหนึ่งของชุดเชี่ยนหมากหรือสำรับหมาก ตลับใบนี้สร้างขึ้นเป็นทรงลูกท้อ อันเป็นผลไม้ของชาวจีนและชาวเวียดนาม ฝาสลักเป็นเทพเจ้าจีน ซึ่งน่าจะหมายถึงเทพเจ้าชิ่ว ที่มีความหมายถึงอายุมั่น ขวัญยืน มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง เนื่องจากสลักดุนเป็นรูปชายชรา มีหนวดเครายาว มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือลูกท้อ อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายถึงอายุยืนยาว ลวดลายที่ขอบโดยรอบก็เป็นการสลักดุนแบบเถา ลายตื้น ไม่ลึกมาก แต่ต่างจาก ของจีนที่มักเก็บรายละเอียดทั้งส่วนฝาและส่วนด้านข้าง
งานสลักดุน ทวีปยุโรป งานสลักดุน ทวีปยุโรป ชื่อชิ้นงาน : ชุดน้ำชา ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างยุโรป อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๒๐-๒๔๘๐ ประโยชน์ : ใช้เป็นชุดน้ำชาตามแบบวัฒนธรรมตะวันตก งานสลักของยุโรปที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่ มีทั้งการขึ้นรูปด้วยมือ และการขึ้นรูป ด้วยเครื่องจักรกล จากนั้นจึงมีการสลักลายเบาหรือเพลาลายเบาให้เป็นลวดลายเส้น ตกแต่งประดับชิ้นงาน โดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นลายเครือเถาแบบยุโรป โดยภาชนะ สลักดุนส่วนใหญ่ของยุโรป จะไม่นิยมสลักดุนเต็มพื้นที่ และมุ่งเน้นให้เห็นความงดงาม ของรูปทรงมากกว่าลวดลาย
งานสลักดุน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา "ทั่วแคว้นแดนไทย จะหาไหนมาเปรียบปาน" ลวดลายสลักดุนนูนสูง อันวิจิตรงดงาม เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเครื่องเงินพม่า ซึ่งในอดีตมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ศิลปหัตถกรรมเครื่องเงินให้แก่ชาวล้านนา งานศิลปะงานช่างสลักดุน หรือเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ช่างบุ” ตามรูปแบบของสกุลช่างพม่า (เมียนมา) ส่วนใหญ่ล้วนมีหลักฐานมาตั้งแต่ ๒,๔๐๐ ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใหญ่จะพบในรูปแบบศิลปะงานช่าง ในสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเภทเครื่องทรงของกษัตริย์ หรือศาสตราวุธ ตลอดจนเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศของชนชั้นปกครอง ส่วนใหญ่จะทำด้วยโลหะมีค่าประเภททองคำ เงินฝังพลอยหรือรัตนชาติอันมีค่าต่างๆ ปัจจุบันจะเห็นตัวอย่างได้จากเครื่องยศของอดีตกษัตริย์ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ และนับตั้งแต่พม่าในขณะที่อยู่ในการปกครองของอังกฤษ ได้ทำให้งานวิจิตรศิลป์ประเภทสลักดุนเหล่านี้ได้สูญหายไปอย่างมากมาย คงหลงเหลืออยู่แต่ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น รูปแบบงานบุ (สลักดุน) โลหะ ที่พบในเมียนมา อีกอย่างก็คือการแผ่แผ่นโลหะประเภททองคำ หรือทองจังโกหุ้มเจดีย์ หรือพุทธสถานในศาสนาพุทธ งานเหล่านี้มีความเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ราวสมัยเมืองพุกามรุ่งโรจน์ สืบเนื่องลงมาจนถึงสมัยพระเจ้ามินดง กษัตริย์องค์สุดท้ายของเมียนมา นอกจากนี้ ยังพบข้าวของเครื่องใช้ของชนชั้นสูงหรือคหบดีประเภทอูบ หรือแอบ หรือสลุง ที่ทำด้วยเงินสลักดุนลาย แต่ละรัฐแต่ละเมืองก็มีความแตกต่างในรูปแบบ ลวดลาย ต่างสมัยที่ต่างกัน หากแต่ก็ยังคงเอกลักษณ์งานสลักดุนตามแบบลวดลายศิลปะงานช่างแบบดั้งเดิมของพม่าไว้ เช่น ลายพันธุ์พฤกษา และลายภาพเล่าเรื่องตัวละครในวรรณคดีเป็นเรื่องราว อาทิ มหาชาติ ทศชาติชาดก หรือรามเกียรติ์ สิบสองนักษัตร หรือวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองสังคมยุคนั้น เป็นต้น ผลงานที่มีชื่อเสียงมากเป็นที่ยอมรับนับถือกันในฝีมือเชิงช่างก็ก็ สกุลช่างแห่งรัฐชาน เพราะผลงานการสลักดุนเป็นเรื่องราวภาพเล่าเรื่องนูนเด่น ละเอียดลออ ราวกับมีชีวิต บางคนจะเรียกว่า “ภาพสลักดุนสามมิติ” นั่นเอง งานสลักดุน ราชอาณาจักรกัมพูชา งานสลักดุน ราชอาณาจักรกัมพูชา ชื่อชิ้นงาน : พานกลีบบัว ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างพนมเปญ อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๘๐-๒๕๒๐ ประโยชน์ : ใช้เป็นภาชนะใส่สิ่งของที่มีความสำคัญ เช่น ข้าวตอก ดอกไม้ ธูปเทียนแพ กระทงดอกไม้ เพื่อสักการะในพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาพานกลีบบัว สลักดุนลายกลีบบัว โดยมีไส้ลายในกลีบบัวเป็นลวดลาย พันธุ์พฤกษา หรือในภาษาของช่างชาวกัมพูชาเรียกว่า ลาย “ผกากระวาน” แปลว่า “ดอกนมแมว” ซึ่งลวดลายในลักษณะเช่นนี้บ่งบอกถึงสกุลช่างสลักดุน ของเมืองพนมเปญ ที่นิยมทำกันในหมู่ช่างเงิน ช่างทอง ที่อาศัยอยู่บริเวณ ด้านข้างของพระราชวังกรุงพนมเปญ
ชื่อชิ้นงาน : ชุดอุปกรณ์สำหรับเสิร์ฟอาหารแบบวัฒนธรรมตะวันตก ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างพนมเปญ แหล่งที่มา : เมืองพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๘๐-๒๕๒๐ ประโยชน์ : ใช้สำหรับรับประทานอาหารแบบวัฒนธรรมตะวันตก ด้ามจับของอุปกรณ์สำหรับเสิร์ฟอาหารเหล่านี้ มีการสลักดุนลายเบา เป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา โดยฝีมือช่างสลักดุนชาวกัมพูชา แสดงให้เห็น อิทธิพลของวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่เข้ามาสู่ราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างชัดเจน ในช่วงระยะเวลานี้ จึงทำให้ช่างสลักดุนผลิตชิ้นงานสลักดุนโลหะประเภทชุดอุปกณ์ สำหรับการเสิร์ฟอาหารแบบตะวันตกขึ้น เพื่อจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเสียมเรียบ ที่เข้าชมเพื่อปราสาทนครวัด
ชื่อชิ้นงาน : กล่องใส่บุหรี่ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างพนมเปญ แหล่งที่มา : เมืองพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๑๐-๒๔๖๐ ประโยชน์ : ใช้สำหรับใส่บุหรี่ หรือใส่ของกระจุกกระจิก กล่องเงิน รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบนขนาดย่อมประมาณฝ่ามือ เป็นที่นิยมกันในช่วงระยะเวลาที่ฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจและ นำความนิยมในการสูบบุหรี่แบบชาติตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ และเนื่องจากรูปทรงของบุหรี่ในราชอาณาจักรกัมพูชา นิยมมวน ด้วยยอดตองอ่อน กลีบบัวหลวงอ่อน หรือใบยาสูบ ที่มีขนาดยาว และอ้วนกว่าซองบุหรี่ของตะวันตกมาก จึงผลิตภาชนะบรรจุบุหรี่ สำหรับพกพาติดตัวไปได้โดยสะดวก ลวดลายที่นิยมสลักดุนตาม รสนิยมของชาวกัมพูชา คือลายใบฝ้ายหรือลายใบเทศ
ชื่อชิ้นงาน : กาน้ำ ฝีมือช่าง : ช่างสลักดุน สกุลช่างอุดมมีชัย แหล่งที่มา : เมืองอุดมมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา อายุ : ประมาณพุทธศักราช ๒๔๙๐-๒๕๑๐ ประโยชน์ : ใช้ใส่น้ำร้อนหรือน้ำชา กาน้ำทองแดงขึ้นรูป และสลักดุนลายเป็นลวดลายดอกไม้ และลายพันธุ์พฤกษา ฝีมือช่างสลักดุนจากเมืองอุดมมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา สืบเนื่องจากในช่วงระยะเวลานั้นโลหะเงินมีราคา สูงมาก และผู้บริโภคก็ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพงมาก ดังนั้น ช่างสลักดุนชาวกัมพูชาจึงปรับเปลี่ยนมาใช้โลหะที่มีราคาย่อมเยากว่า เช่น ทองแดง หรือทองเหลือง เพื่อเป็นวัตถุดิบในการสร้างชิ้นงานสลักดุน
งานช่างบุ หรืองานสลักดุนโลหะ ของมหาอาณาจักรอันเกรียงไกรในอดีต ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่เหนือทะเลสาบเขมร เป็นที่รู้จักกันในนามประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน มีประวัติศิลปะงานช่างอันยาวนานตั้งแต่พบหลักฐานสมัยก่อนเมืองพระนคร ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๑-๑๒ ส่วนใหญ่จะเป็นงานสลักดุนโลหะวัตถุมีค่าประเภททองคำเป็นเครื่องทรงเทวรูป ที่เคารพนับถือในศาสนสถาน หรือในเทวาลัย ประวัติศิลปะงานช่างอันยาวนานที่แสดงถึงอายุสมัยของศิลปะกัมพูชา สามารถแบ่งแยกสมัยต่างๆ ตามรูปแบบโบราณคดีถึง ๑๕ สมัย ได้แก่ ศิลปะสมัยพนมดา ศิลปะสมัยถาลาบริวัติ ศิลปะสมัยสมโบไพรกุก ศิลปะสมัยไพรกเมง ศิลปะสมัยกุเลน ศิลปะสมัยพะโค ศิลปะสมัยบาเค็ง ศิลปะสมัยเกาะแกร์ ศิลปะสมัยแปรรูป ศิลปะสมัยบันทายศรี ศิลปะสมัยคลัง (เกรียง) ศิลปะสมัยบาปวน ศิลปะสมัยนครวัด และศิลปะสมัยบายน หลังจากสมัยบายน อันเป็นช่วงสุดท้ายของศิลปกรรมแบบกัมพูชาแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของอาณาจักนี้ จนถึงในช่วงที่กัมพูชาที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศในเวลาต่อมา และอยุธยาก็ปกครองกัมพูชาอย่างต่อเนื่องมาและเป็นเวลาเกือบ ๔๐๐ ปี ตลอดช่วงระยะเวลานี้ ช่างฝีมือการสลักดุนและบุโลหะของทั้งไทยและกัมพูชาได้มีโอกาสศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้และรูปแบบศิลปะซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก ชิ้นงานสลักดุนหลายต่อหลายชิ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นจึงล้วนแล้วแต่แสดงอิทธิพลของศิลปะกัมพูชาได้อย่างชัดเจน กระทั่งเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชจากการปกครองของฝรั่งเศส และเป็นช่วงที่มีชาวต่างประเทศรู้จักกัมพูชาและพากันเดินทางมาชมปราสาทนครวัดในกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น ทำให้งานช่างฝีมือสลักดุนและบุโลหะของช่างกัมพูชา เริ่มฟื้นขึ้นอีกครั้งด้วยการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นในลักษณะของที่ระลึก ก่อให้เกิดความหลากหลายของรูปแบบ เพื่อตอบสนองประโยชน์การใช้งานของชาวยุโรปและอเมริกาที่มาเยือน เช่น กล่องใส่ซองบุหรี่ เครื่องเขียนบนโต๊ะทำงาน ช้อนส้อมขนาดใหญ่ สำหรับใช้เสิร์ฟอาหาร เป็นต้น ในปัจจุบัน จะพบสกุลช่างสลักดุนหรือบุโลหะได้ในเมืองพนมเปญเป็นส่วนใหญ่ ชิ้นงานสลักดุนพบเห็นอยู่ตามร้านขายเครื่องเงินโดยทั่วไปในกรุงพนมเปญ แม้ฝีมือจะเทียบไม่ได้เลยกับฝีมือของบรรพบุรุษในอดีต แต่ผู้คนและนักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจกันอย่างมาก รูปแบบของผลิตภัณฑ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขัน เชี่ยนหมาก กลัก ตลับ หรือกล่องรูปสัตว์ต่างๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนเป็นสินค้าประเภทเครื่องประดับ ของแต่งบ้านมากขึ้น และใช้เนื้อเงินค่อนข้างต่ำ และนิยมผสมโลหะอื่นๆ มากขึ้น เช่น ทองเหลือง อัลลอย (alloy ) เป็นต้น
3005
สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (ปาราชิก ๔ สิกขาบท)
เมื่อ: 16 กันยายน 2559 17:12:05
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๙ (พระวินัยข้อที่ ๔๘) (ต่อ)
อนาบัติ ภิกษุอยู่ปราศ ๖ คืน ๑ อยู่ปราศไม่ถึง ๖ คืน ๑ ภิกษุอยู่ปราศ ๖ คืน แล้วกลับมายังคามสีมา อยู่แล้วหลีกไป ๑ ภิกษุถอนเสียภายใน ๖ คืน ๑ สละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ ฉิบหาย ๑ ถูกไฟไหม้ ๑ ถูกชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ภิกษุได้สมมติ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย. มหาวิ.๑/๓/๑๑๑๗-๑๑๒๑ ๑.ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แม้ในกาลก่อนก็อยู่ในป่าเหมือนกัน แต่ภิกษุเหล่านั้นอยู่จำพรรษาในเสนาสนะใกล้แดนบ้าน ด้วยสามารถแห่งปัจจัย(หาปัจจัย ๔ ได้สะดวก) เพราะเป็นผู้มีจีวรคร่ำคร่า เป็นผู้มีจีวรสำเร็จแล้ว ปรึกษากันว่า บัดนี้พวกเราหมดกังวลแล้ว จักกระทำสมณธรรม จึงพากันอยู่ในเสนาสนะป่า ๒.ทรงอนุญาตให้เก็บไว้ในละแวกบ้านเพื่อสงวนจีวรไว้ เพราะธรรมดาว่า ปัจจัยทั้งหลายโดยชอบธรรมเป็นของหาได้ยาก, จริงอยู่ ภิกษุผู้มีความขัดเกลา ไม่อาจเพื่อจะขอจีวร แม้กะมารดา, แต่พระองค์ไม่ทรงห้ามการอยู่ป่า เพราะเป็นการสมควรแก่ภิกษุทั้งหลาย ๓.ลักษณะแห่งป่ากล่าวแล้วในปาราชิกอทินนาทาน, ส่วนที่แปลกกันมีดังนี้ ถ้าว่าวัดมีเครื่องล้อม พึงวัดระยะตั้งแต่เสาเรือนแห่งบ้านซึ่งมีเครื่องล้อม และจากสถานที่ควรล้อมแห่งบ้านที่ไม่ได้ล้อมไปจนถึงเครื่องล้อมวัด ถ้าเป็นวัดที่ไม่ได้ล้อม สถานที่ใดเป็นแห่งแรกของทั้งหมด จะเป็นเสนาสนะก็ดี โรงอาหารก็ดี สถานที่ประชุมประจำก็ดี ต้นโพธิ์ก็ดี เจดีย์ก็ดี ถ้าแม้มีอยู่ห่างไกลจากเสนาสนะ พึงวัดเอาที่นั้นให้เป็นเขตกำหนด ถ้าแม้นว่า มีหมู่บ้านอยู่ใกล้ พวกภิกษุอยู่ที่วัดย่อมได้ยินเสียงของพวกชาวบ้าน แต่ไม่อาจจะไปทางตรงได้ เพราะมีภูเขาและแม่น้ำเป็นต้น กั้นอยู่ และทางใดเป็นทางตามปกติของบ้านนั้น ถ้าแม้นจะต้องโดยสารไปทางเรือ ก็พึงกำหนดเอาที่ห้าร้อยชั่วธนูจากบ้านโดยทางนั้น แต่ภิกษุใดปิดกั้นหนทางในที่นั้น เพื่อทำให้ใกล้บ้าน ภิกษุนี้พึงทราบว่าเป็นผู้ขโมยธุดงค์ ๔.ในเสนาสนะป่า มีองค์สมบัติดังต่อไปนี้ ภิกษุเข้าจำพรรษาในวันเข้าพรรษาแรก ปวารณาในวันมหาปวารณา นี้เป็นองค์หนึ่ง, ถ้าภิกษุเข้าพรรษาในวันเข้าพรรษาหลังก็ดี มีพรรษาขาดก็ดี ย่อมไม่ได้เพื่อจะเก็บไว้, เป็นเดือน ๑๒ เท่านั้น นี้เป็นองค์ที่ ๒, นอกจากเดือน ๑๒ ไป ย่อมไม่ได้เพื่อจะเก็บ เป็นเสนาสนะที่ประกอบด้วยประมาณอย่างต่ำ ๕๐๐ ชั่วธนูเท่านั้น นี้เป็นองค์ที่ ๓, ในเสนาสนะที่มีขนาดหย่อนหรือมีขนาดเกินคาวุตไป ย่อมไม่ได้เพื่อจะเก็บไว้, จริงอยู่ ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตแล้วอาจเพื่อกลับมาสู่วัดทันเวลาฉันในเสนาสนะใด เสนาสนะนั้นทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้ แต่ภิกษุผู้รับนิมนต์ไว้ไปสิ้นทางกึ่งโยชน์บ้าง โยชน์หนึ่งบ้าง แล้วกลับมาเพื่อจะอยู่ ที่นี้ไม่ใช่ประมาณ, เป็นเสนาสนะมีความรังเกียจ และมีภัยเฉพาะหน้าเท่านั้น นี้เป็นองค์ที่ ๔, จริงอยู่ ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะไม่มีความรังเกียจ ไม่มีภัยเฉพาะหน้า แม้จะประกอบด้วยองค์ก็ไม่ได้เพื่อจะเก็บไว้ -เว้นไว้แต่โกสัมพิกสมบัติที่ทรงอนุญาตไว้ในอุทโทสติสิกขาบท (สิกขาบทที่ ๒ แห่งจีวรวรรค) ก็ถ้าว่ามีภิกษุได้สมมตินั้นไซร้ จะอยู่ปราศจากเกิน ๖ ราตรีไปก็ได้ -ถ้ามีเสนาสนะอยู่ทางทิศตะวันออกจากโคจรคาม และภิกษุนี้จะไปยังทิศตะวันตก เธอไม่อาจจะมายังเสนาสนะให้ทันอรุณที่ ๗ ขึ้น จึงแวะลงสู่ตามสีมา พักอยู่ในสภา หรือในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง (ที่ไม่ใช่ป่า) ทราบข่าวคราวแห่งจีวรแล้วจึงหลีกไป ควรอยู่ -ภิกษุผู้ไม่อาจกลับไปทัน พึงยืนอยู่ในที่ที่ตนไปแล้วนั้นนั่น แล้วปัจจุทธรณ์ (ถอน) เสีย จีวรจักตั้งอยู่ในฐานแห่งอดิเรกจีวร ฉะนี้แล ๕.สิกขาบทนี้มีกฐินเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นอกิริยา อจิตตกะ ปัณณัติวัชชะ, กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ ๖.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ จำพรรษา – อยู่ประจำสามเดือนในฤดูฝน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (อย่างนี้เรียกปุริมพรรษา แปลว่า พรรษาต้น) หรือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (อย่างนี้เรียกว่า ปัจฉิมพรรษา แปลว่า พรรษาหลัง), วันเข้าพรรษาต้น คือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า ปุริมิกา วัสสูปนายิกา, วันเข้าพรรษาหลัง คือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ เรียกว่า ปัจฉิมิกา วัสสูปนายิกา, อานิสงส์การจำพรรษา มี ๕ อย่าง คือ ๑.เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา ๒.จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ ๓.ฉันฉคโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้ ๔.เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปวารณา ๕.จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้น เป็นของได้แก่พวกเธอ, อานิสงส์ทั้ง ๕ นี้ ได้ชั่วเวลาเดือนหนึ่ง นับแต่ออกพรรษาแล้ว คือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญฺโญ อุภยตฺถ นนฺทติ ปุญฺญํ เม กตนฺติ นนิทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต ฯ ๑๘ ฯ คนทำดีย่อมสุขใจในโลกนี้ คนทำดีย่อมสุขใจในโลกหน้า คนทำดีย่อมสุขใจในโลกทั้งสอง เมื่อคิดว่าตนได้ทำแต่บุญกุศล ย่อมสุขใจ ตายไปเกิดในสุคติ ยิ่งสุขใจยิ่งขึ้น Here he is happy, hereafter he is happy, In both worlds the well-doer is happy; Thinking; 'Good have I done', thus he is happy, When gone to the state of bliss. .
...
ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก คัดจาก คัดจาก พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก, ธรรมสภา และ สถาบันบันลือธรรม จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา (ฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)
3006
สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (ปาราชิก ๔ สิกขาบท)
เมื่อ: 16 กันยายน 2559 17:09:23
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๔ (พระวินัยข้อที่ ๔๔) ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุอื่น โกรธแล้วชิงเอาคืนมาก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นชิงคืนมาก็ดี ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
พระอุปนันทศากยบุตร กล่าวชวนภิกษุผู้เป็นสัทธิวิหาริกของภิกษุผู้เป็นพี่น้องกันว่า จงมา เราจะพากันเที่ยวไปตามชนบท ภิกษุนั้นตอบว่า ผมไม่ไปขอรับ เพราะมีจีวรเก่า ท่านอุปนันทะกล่าวว่า ไปเถิด ผมจักให้จีวรแก่ท่าน แล้วได้ให้จีวรแก่ภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้นได้ทราบข่าวการเสด็จของพระศาสดา คิดว่าเราจักไม่ไปกับท่านอุปนันทะ จักตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปตามชนบท ครั้นถึงกำหนดเดินทาง เธอแจ้งแก่ท่านอุปนันทะๆ โกรธ น้อยใจ ได้ชิงจีวรที่ให้นั้นคืนมา ภิกษุนั้นแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายๆ เพ่งโทษติเตียน... แล้วกราบทูล... ทรงมีพระบัญญัติว่า “อนึ่ง ภิกษุใดให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อรรถาธิบาย -โกรธ น้อยใจ คือ ไม่ชอบ มีใจฉุนเฉียว เกิดมีใจกระด้าง -ชิงเอามา คือ ยื้อแย่งเอามาเอง จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ -ให้ชิงเอามา คือ ใช้คนอื่น ต้องอาบัติทุกกฎ -ภิกษุรับคำสั่งครั้งคราวเดียว ชิงเอามาแม้หลายคราว ก็เป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล -วิธีเสียสละแก่สงฆ์และแก่คณะ พึงทราบโดยทำนองก่อนวิธีเสียสละแก่บุคคล ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง... กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุเอง แล้วชิงเอามา เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนให้ด้วยดีว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้อาบัติ ๑.อุปสัมบัน (ภิกษุ, ภิกษุณี) ภิกษุรู้ว่าเป็นอุปสัมบัน ให้จีวรเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๒.อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๓.อุปสัมบัน ภิกษุคิดว่าเป็นอนุปสัมบัน... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๔.ภิกษุให้บริขารอย่างอื่นแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี ต้องทุกกฎ ๕.ภิกษุให้จีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี แก่อนุปสัมบันแล้ว โกรธ น้อยใจ... ต้องทุกกฎ ๖.อนุปสัมบัน ภิกษุคิดว่าเป็นอุปสัมบัน... ต้องทุกกฎ ๗.อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย... ต้องทุกกฎ ๘.อนุปสัมบัน ภิกษุรู้ว่าเป็นอนุปสัมบัน... ต้องทุกกฎอนาบัติ ภิกษุผู้ได้รับไปนั้นให้คืนเองก็ดี ภิกษุเจ้าของเดิมถือวิสาสะแก่ผู้ได้รับไปนั้นก็ดี ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๑๐๗๔-๑๐๗๗ ๑.ท่านอุปนันท์ชิงคืน เพราะสำคัญว่าของตน จึงไม่เป็นปาราชิก ๒.สำหรับผู้ชิงเอาจีวรผืนเดียวหรือมากผืน ซึ่งเนื่องเป็นอันเดียวกัน เป็นอาบัติตัวเดียว, เมื่อชิงเอาจีวรมากผืน ซึ่งไม่เนื่องเป็นอันเดียวกัน และตั้งอยู่แยกกัน และเมื่อใช้ให้ผู้อื่นนำมาให้โดยสั่งว่า เธอจงนำสังฆาฏิมา จงนำผ้าอุตราสงค์มา เป็นอาบัติมากตัวตามจำนวนวัตถุ, แม้เมื่อกล่าวว่า เธอจงนำจีวรทั้งหมดที่เราให้แล้วคืนมา ก็เป็นอาบัติจำนวนมากเพราะคำพูดคำเดียวนั้นแล ๓.ภิกษุหนุ่มถูกพระเถระกล่าวด้วยคำมีอาทิอย่างนี้ว่า คุณ! เราให้จีวรแก่เธอด้วยหวังว่า คุณจะทำวัตรและปฏิวัตร จักถืออุปัชฌาย์ จักเรียนซึ่งธรรมในสำนักของเรา มาบัดนี้ เธอนั้นไม่กระทำวัตร ไม่ถืออุปัชฌาย์ ไม่เรียนธรรม ดังนี้ จึงให้คืนว่า ท่านขอรับ ดูเหมือนท่านพูดเพื่อต้องการจีวรๆ นี้ จึงเป็นของท่าน ภิกษุผู้รับไปนั้นให้คืนด้วยอาการอย่างนี้ก็ดี, ก็หากว่าพระเถระกล่าวถึงภิกษุหนุ่มผู้หลีกไปสู่ทิศอื่นว่า พวกท่านจงให้เธอกลับ, เธอไม่กลับ, พระเถระสั่งว่า พวกท่านจงยึดจีวรกันไว้, ถ้าอย่างนี้ เธอกลับเป็นการดี ถ้าเธอกล่าวว่า พวกท่านดูเหมือนพูดเพื่อต้องการบาตรและจีวร พวกท่านจงรับเอามันไปเถิด แล้วให้คืน, แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าภิกษุผู้รับไปนั้นให้คืนเองก็ดี อนึ่ง พระเถระเห็นเธอสึกแล้วกล่าวว่า เราได้ให้บาตรและจีวรแก่เธอ ด้วยหวังว่าจะกระทำวัตร บัดนี้เธอก็สึกไปแล้ว, ฝ่ายภิกษุหนุ่มที่สึกไปพูดว่า ขอท่านโปรดรับเอาบาตรและจีวรของท่านไปเถิด แล้วให้คืน, แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่า ภิกษุผู้รับไปให้คืนเอง, แต่จะให้ด้วยกล่าวอย่างนี้ว่า เราให้แก่เธอผู้ถืออุปัชฌาย์ในสำนักของเราเท่านั้น เราไม่ให้แก่ผู้ถืออุปัชฌาย์ในที่อื่น เราให้เฉพาะแก่ผู้กระทำวัตร ไม่ให้แก่ผู้ไม่กระทำวัตร เราให้แก่ผู้เรียนธรรมเท่านั้น ไม่ให้แก่ผู้ไม่เรียน เราให้แก่ผู้ไม่สึกเท่านั้น ไม่ให้แก่ผู้สึก ดังนี้ ไม่ควร เป็นทุกกฎแก่ผู้ให้ แต่จะใช้ให้นำมาคืน ควรอยู่, ภิกษุผู้ชิงเอาจีวรที่ตนสละให้แล้วคืนมา พระวินัยธรพึงปรับตามราคาสิ่งของ ๔.สิกขาบทมี ๓ สมุฏฐาน คือ เกิดทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา เป็นสจิตตกะ โลกวัชชะ, กายกรรม, วจีกรรม, อกุศลจิต (โทสมูลจิต) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๖ (พระวินัยข้อที่ ๔๕) ภิกษุขอด้ายต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา เอามาให้ช่างหูกทอเป็นจีวร ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
ครั้งนั้นเป็นคราวทำจีวร พระฉัพพัคคีย์ขอด้ายเขามาเป็นอันมาก แม้ทำจีวรเสร็จแล้ว ด้ายก็ยังเหลืออยู่เป็นอันมาก พระฉัพพัคคีย์ปรึกษากันว่า พวกเราควรไปหาด้ายอื่นๆ มาให้ช่างหูกทอจีวรเถิด ครั้นไปขอด้ายมาแล้ว ให้ช่างหูกทอ ด้ายก็ยังเหลืออีกมากมาย จึงไปขอมาให้ช่างหูกทอ แม้ครั้งที่สอง... แม้ครั้งที่สาม... ชาวบ้านเพ่งโทษติเตียนว่า ไฉนพระสมณะเหล่านี้จึงได้ขอด้ายเขามาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวรเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยิน... จึงกราบทูล... ทรงมีพระบัญญัติว่า “อนึ่ง ภิกษุใดขอด้ายมาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อรรถาธิบาย -บทว่า เอง คือ ขอเขามาเอง -ด้าย มี ๖ อย่าง คือ ทำด้วยเปลือกไม้ ๑ ทำด้วยฝ้าย ๑ ทำด้วยไหม ๑ ทำด้วยขนสัตว์ ๑ ทำด้วยป่าน ๑ ทำด้วยสัมภาระเจือกันใน ๕ อย่างนั้น ๑ -ยังช่างหูก คือ ให้ช่างหูกทอ เป็นทุกกฎในขณะที่ช่างหูกทอจัดทำอยู่ เป็นนิสสัคคีย์เมื่อได้จีวรมา จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล -วิธีเสียสละแก่สงฆ์และคณะ พึงทราบตามทำนองก่อนวิธีเสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง...กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่าน จีวรผืนนี้เป็นของข้าพเจ้า ขอด้ายมาเองแล้วยังให้ช่างหูกให้ทอ เป็นของจำจะสละ... ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้อาบัติ ๑.ให้เขาทอ ภิกษุรู้ว่าให้เขาทอ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๒.ให้เขาทอ ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๓.ให้เขาทอ ภิกษุคิดว่าไม่ได้ให้เขาทอ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๔.ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุคิดว่าให้เขาทอ ต้องทุกกฎ ๕.ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุสงสัย ต้องทุกกฎ ๖.ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุรู้ว่าไม่ได้ให้เขาทอ ไม่ต้องอาบัติอนาบัติ ภิกษุขอด้ายมาเพื่อเย็บจีวร ๑ ขอด้ายมาทำผ้ารัดเข่า ๑ ขอด้ายมาทำประคดเอว ๑ ทำผ้าอังสะ ๑ ทำถุงบาตร ๑ ทำผ้ากรองน้ำ ๑ ขอต่อญาติ ๑ ขอต่อปวารณา ๑ ขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๑๐๘๓-๑๐๘๘ ๑.ด้ายที่ภิกษุขอเองเป็นอกัปปิยะ ด้ายที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งญาติเป็นต้น เป็นกัปปิยะ แม้ช่างหูกก็ไม่ใช่ญาติและไม่ใช่คนปวารณา ภิกษุได้มาด้วยการขอ เป็นอกัปปิยะ, ช่างหูกที่เป็นญาติและคนปวารณาเป็นกัปปิยะ, บรรดาด้ายและช่างหูกเหล่านั้น ด้ายที่เป็นอกัปปิยะเป็นนิสสัคคีย์แก่ภิกษุผู้ให้ช่างหูกผู้เป็นอกัปปิยะทอ อนึ่ง เมื่อภิกษุให้ช่างหูกที่เป็นอกัปปิยะนั้นแล ทอด้วยด้ายที่เป็นกัปปิยะ เป็นทุกกฎเหมือนนิสสัคคีย์ในเบื้องต้นนั้นแล เมื่อภิกษุให้ช่างหูกอกัปปิยะนั้นแล ทอด้วยกัปปิยะและอกัปปิยะ ถ้าจีวรเป็นดุจกระทงเนื่องกันเท่าประมาณแห่งจีวรขนาดเล็ก อย่างนี้คือ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายที่เป็นกัปปิยะล้วนๆ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ เป็นปาจิตตีย์ในทุกๆ ตอนที่สำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ, เป็นทุกกฏในตอนที่สำเร็จด้วยด้ายเป็นกัปปิยะนอกนี้อย่างนั้นเหมือนกัน ถ้ามีหลายตอนหย่อนกว่าขนาดจีวรที่ควรวิกัปอย่างนั้น ในที่สุดแม้ขนาดเท่าดวงไฟก็เป็นทุกกฏตามจำนวนตอนในทุกๆ ตอน ถ้าจีวรทอด้วยด้ายที่คั่นลำดับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน) ให้ด้ายอกัปปิยะอยู่ทางด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี เป็นทุกกฎทุกๆ ผัง ๒.สิกขาบทนี้เป็นสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ, กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๕ (พระวินัยข้อที่ ๔๖) ภิกษุไปกำหนดให้ช่างหูกทำให้ดีขึ้น ซึ่งจีวรที่คฤหัสถ์ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา สั่งให้ช่างหูกทอถวายแก่ภิกษุ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
บุรุษผู้หนึ่งเมื่อจะไปค้างแรมต่างถิ่น ได้กล่าวกับภรรยาว่า จงกะด้ายให้ช่างหูกคนโน้น ให้ทอจีวรเพิ่มเก็บไว้ เมื่อฉันกลับมาแล้วจักนิมนต์พระคุณเจ้าอุปนันท์ให้ครองจีวร ภิกษุผู้ซึ่งเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรได้ยิน ได้ไปบอกแก่ท่านอุปนันท์ๆ ได้เข้าไปหาช่างหูก กล่าวว่า จีวรผืนนี้ เขาให้ท่านทอเฉพาะเรา ท่านจงทำให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของขึงดี ทอดี ให้เป็นของที่สางดี และให้เป็นของที่กรีดดี ช่างหูกแจ้งว่า เขากะด้ายส่งมาเท่านี้ ด้ายมีไม่มีที่จะทำอย่างที่ท่านต้องการให้ทำได้ พระอุปนันท์กล่าวว่า เอาเถิดความขัดข้องด้วยด้ายจักไม่มี ช่างหูกได้ด้ายมาใส่ในหูกแล้วไม่พอ จึงไปหาภรรยาบุรุษนั้น สตรีนั้นแย้งว่า สั่งแล้วมิใช่หรือว่าจงทอด้วยด้ายเท่านี้ ช่างหูกได้แจ้งการมาของท่านอุปนันท์ ให้นางทราบแล้ว นางได้เพิ่มด้ายให้จนพอ บุรุษนั้นกลับมา นิมนต์ท่านอุปนันท์มาแล้ว ให้ภรรยาหยิบจีวรมา นางหยิบมาแล้ว เล่าเรื่องนั้นให้สามีทราบ บุรุษนั้นถวายจีวรแล้วเพ่งโทษติเตียนว่า พระสมณะนี้มักมาก จะให้ครองจีวรก็ทำไม่ได้ง่าย ไฉนเราไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงเข้าไปหาช่างหูกแล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยิน... กราบทูล... ทรงมีพระบัญญัติว่า “อนึ่ง พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ สั่งช่างทอหูกให้ทอจีวรเฉพาะภิกษุ ถ้าภิกษุนั้นเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกแล้ว ถึงความกำหนดในจีวรในสำนักของเขานั้นว่าจีวรผืนนี้ทอเฉพาะรูป ขอท่านจงทำให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี ให้เป็นของที่กรีดดี แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลแก่ท่าน ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลโดยที่สุดแม้สักว่าบิณฑบาต เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อรรถาธิบาย -บทว่า อนึ่ง...เฉพาะภิกษุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุ ทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้วใคร่จะให้ครองจีวร -ช่างหูก ได้แก่ คนทำการทอ -เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน คือ เป็นผู้อันเขาไม่ได้บอกไว้ก่อนว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะต้องการจีวรเช่นไร ผมจักทอจีวรเช่นไรถวาย -คำว่า ถึงความกำหนดในจีวรนั้น คือ กำหนดว่า ขอท่านจงทำให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่น ให้เป็นของที่ขึงดี ให้เป็นของที่ทอดี ให้เป็นของที่สางดี ให้เป็นของที่กรีดดี แม้ไฉนรูปจะให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัลแก่ท่าน -คำว่า ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นให้ของเล็กน้อยเป็นรางวัล โดยที่สุดแม้สักว่าบิณฑบาต อธิบายว่า ยาคูก็ดี ข้าวสารก็ดี ของเคี้ยว ก้อนจุรณ ไม้ชำระฟัน หรือด้ายเชิงชายก็ดี โดยที่สุดแม้กล่าวธรรม ก็ชื่อว่าบิณฑบาต -เขาทำให้ยาวก็ดี กว้างก็ดี แน่นก็ดี ตามคำของเธอ เป็นทุกกฎในขณะที่เขาทำ เป็นนิสสัคคีย์เมื่อได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล -วิธีเสียสละแก่สงฆ์และแก่คณะ พึงทราบโดยทำนองก่อนๆวิธีเสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าไปหาช่างหูกของเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงความกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้อาบัติ ๑.เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุรู้ว่ามิใช่ญาติ เขาไม่ได้ปวารณา เข้าไปหาช่างหูกของเจ้าเรือน แล้วถึงความกำหนดในจีวร เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๒.เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๓.เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุคิดว่าเป็นญาติ... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๔.เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุคิดว่ามิใช่ญาติ... ต้องทุกกฎ ๕.เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย... ต้องทุกกฎ ๖.เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุรู้ว่าเป็นญาติ... ไม่ต้องอาบัติอนาบัติ ภิกษุขอต่อญาติ ๑ ขอต่อคนปวารณา ๑ ขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่นๆ ๑ จ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ เจ้าเรือนใคร่จะให้ทอจีวรมีราคามาก ภิกษุให้ทอจีวรมีราคาน้อย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๑๐๙๗-๑๐๙๘ สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ, กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๘ (พระวินัยข้อที่ ๔๗) ภิกษุเก็บผ้าจำนำพรรษาไว้เกินกาลจีวร ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
มหาอำมาตย์ผู้หนึ่งเมื่อจะไปค้างแรมต่างถิ่น ได้ส่งคนไปนิมนต์ภิกษุทั้งหลายว่า จักถวายผ้าจำนำพรรษา ภิกษุทั้งหลายไม่ไป เพราะรังเกียจว่าทรงอนุญาตผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ออกพรรษาแล้วเท่านั้น มหาอำมาตย์ผู้นั้นได้เพ่งโทษติเตียนว่า ไฉนจึงไม่มา เราจะไปกองทัพ จะเป็นหรือจะตายก็ยากที่จะรู้ได้ ภิกษุทั้งหลายได้ยิน จึงกราบทูล...ทรงอนุญาตอัจเจกจีวร รับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อรับอัจเจกจีวร แล้วเก็บไว้ได้” ภิกษุทั้งหลายทราบพระพุทธานุญาตนั้นแล้ว รับอัจเจกจีวรเก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล จีวรเหล่านั้นภิกษุห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง พระอานนท์จาริกไปตามเสนาสนะพบเข้า ถามภิกษุว่าเก็บไว้นานเท่าไรแล้ว ภิกษุเหล่านั้นแจ้งความที่ตนเก็บไว้ พระอานนท์เพ่งโทษ ติเตียนว่า ไฉนจึงรับอัจเจกจีวรแล้วเก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาลเล่า แล้วกราบทูล... ทรงมีพระบัญญัติว่า “วันปรุณมีที่ครบ ๓ เดือนแห่งเดือนกัตติกา ยังไม่มาอีก ๑๐ วัน อัจเจกจีวรเกิดขึ้นแก่ภิกษุ ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้ ครั้นรับแล้วพึงเก็บไว้ได้ตลอดสมัยที่เป็นจีวรกาล ถ้าเธอเก็บไว้ยิ่งกว่านั้น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อรรถาธิบาย -บทว่า ยังไม่มาอีก ๑๐ วัน คือ ก่อนวันปวารณา ๑๐ วัน -บทว่า วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือนแห่งเดือนกัตติกา นั่นคือ วันปวารณา ท่านกล่าวว่าวันเพ็ญเดือนกัตติตกา -ที่ชื่อว่า อัจเจกจีวร อธิบายว่า บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพก็ดี ประสงค์ไปแรมคืนต่างถิ่นก็ดี บุคคลเจ็บไข้ก็ดี สตรีมีครรภ์ก็ดี บุคคลยังไม่ศรัทธา มามีศรัทธาเกิดขึ้นก็ดี บุคคลที่ยังไม่เลื่อมใส มามีความเลื่อมใสเกิดขึ้นก็ดี ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า นิมนต์ท่านผู้เจริญมา ข้าพเจ้าจักถวายผ้าจำนำพรรษา ผ้าเช่นนี้ชื่อว่า อัจเจกจีวร -คำว่า ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร พึงรับไว้ได้... คือ พึงทำเครื่องหมายว่า นี้อัจเจกจีวร แล้วเก็บไว้ -ที่ชื่อว่า สมัยที่เป็นจีวรกาล คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้ท้ายฤดูฝน ๑ เดือน เมื่อกรานกฐินแล้วได้ขยายออกไปเป็น ๕ เดือน -คำว่า ถ้าเธอเก็บไว้ยิ่งกว่านั้น คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน เก็บไว้ล่วงเลยวันสุดท้ายแห่งฤดูฝนเป็นนิสสัคคิยะ เมื่อได้กรานกฐินแล้ว เก็บไว้ล่วงเลยวันกฐินเดาะ เป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคลวิธีเสียสละแก่สงฆ์ ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์... กล่าวอย่างนี้ว่า ”ท่านเจ้าข้า ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เก็บไว้ล่วงเลยสมัยจีวรกาล เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่สงฆ์” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า อัจเจกจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”วิธีเสียสละแก่คณะ (พึงทราบทำนองเดียวกับการเสียสละแก่สงฆ์ เพียงเปลี่ยนจากสงฆ์เป็นท่านทั้งหลาย)วิธีเสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูปนั้นrพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งเท้าประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่าน ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เก็บไว้ล่วงเลยสมัยจีวรกาล เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละพึงรับอาบัติ แล้วคืนให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้ผ้าอัจเจกจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้อาบัติ ๑.อัจเจกจีวร ภิกษุรู้ว่าเป็นอัจเจกจีวร เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๒.อัจเจกจีวร ภิกษุสงสัย...เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๓.อัจเจกจีวร ภิกษุคิดว่ามิใช่อัจเจกจีวร...เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๔.จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกัป ยังไม่ได้สละ ภิกษุคิดว่า อธิษฐานแล้ว วิกัปแล้ว สละแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ทั้งสิ้น ๕.จีวรยังไม่หาย ยังไม่ฉิบหาย ยังไม่ถูกไฟไหม้ ยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุเข้าใจว่าหายแล้ว ฉิบหายแล้ว ถูกไฟไหม้แล้ว ถูกชิงไปแล้ว เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ทั้งสิ้น ๖.จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุยังไม่สละ บริโภค ต้องทุกกฎ ๗.ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุคิดว่าเป็นอัจเจกจีวร เก็บไว้ล่วงสมัยจีวรกาล ต้องทุกกฎ ๘.ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุสงสัย... ต้องทุกกฎ ๙.ไม่ใช่อัจเจกจีวร ภิกษุรู้ว่าไม่ใช่อัจเจกจีวร ไม่ต้องอาบัติอนาบัติ ภิกษุอธิษฐาน ๑ ภิกษุวิกัป ๑ ภิกษุสละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ จีวรฉิบหาย ๑ ถูกไฟไหม้ ๑ ถูกชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ในภายในสมัย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๑๑๐๖-๑๑๐๙ ๑.บทว่า ทสาหานาคตํ มีความว่า วันทั้งหลาย ๑๐ ชื่อว่า ทสาหะ (วันปุรณมีที่ครบ ๓ เดือนแห่งเดือนกัตติกา), ยังไม่มาโดยวัน ๑๐ นั้นชื่อว่า ทสาหานาคตะ, วันมหาปวารณาแรกตรัสรู้ เรียกว่า ทสาหานาคตา ตั้งแต่กาลใดไป ถ้าแม้นว่าอัจเจกจีวรพึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุแน่นอนตลอดวันเหล่านั้นทีเดียว (ใน ๑๐ วันนั้น) ภิกษุรู้ว่านี้เป็นอัจเจกจีวร (จีวรรีบด่วน) พึงรับไว้ได้แม้ทั้งหมด, จีวรรีบด่วน ตรัสเรียกว่า อัจเจกจีวร ก็เพื่อแสดงจีวรนั้นเป็นผ้ารีบด่วน -คำว่า พึงทำเครื่องหมายแล้วเก็บไว้ ตรัสเพราะว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายแจกอัจเจกจีวรนั้นก่อนวันปวารณา ภิกษุที่ได้ผ้าอัจเจกจีวรนั้นไป ต้องไม่เป็นผู้ขาดพรรษา แต่ถ้าเป็นผู้ขาดพรรษา จีวรจะกลายเป็นของสงฆ์ไปเสีย เพราะฉะนั้นจักต้องกำหนดแจกให้ดี เหตุนั้นจึงได้ตรัสคำนี้ไว้ ๒.พึงทราบว่า จีวร คือ ผ้าอาบน้ำฝนที่ยังไม่ได้ทำ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้บริหาร ๕ เดือน เมื่อเพิ่มฤดูฝน (เพิ่มอธิกมาส) ได้บริหาร ๖ เดือน เมื่อได้กรานกฐินได้บริหารอีก ๔ เดือน, ได้บริหารอีก ๑ เดือน ด้วยอำนาจการอธิษฐานให้เป็นจีวรเดิม เมื่อมีความหวังจะได้ผ้าในวันสุดท้ายแห่งฤดูหนาว รวมเป็นได้บริหาร ๑๑ เดือน อย่างนี้, อัจเจกจีวรเมื่อไม่ได้กรานกฐิน ได้บริหาร ๑ เดือน กับ ๑๑ วัน เมื่อได้กรานกฐินได้บริหาร ๕ เดือน กับ ๑๑ วัน ต่อจากนั้นไปไม่ได้บริหารแม้วันเดียว ๓.สิกขาบทนี้มีกฐินเป็นสมุฏฐาน เป็นอกิริยา เป็นอจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ, กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ ๔.การถวายอัจเจกจีวร (ผ้ารีบด่วน) เขตในกาลถวายอัจเจกจีวรเริ่มตั้งแต่ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ รวม ๑๐ วัน ด้วยกัน (คือ ถวายก่อนเขตกฐินได้ ๑๐ วัน)ผู้ถวายอัจเจกจีวร มี ๔ จำพวก คือ (๑)บุคคลประสงค์จะไปในกองทัพ (ไปรบ) (๒)บุคคลเจ็บไข้ (๓)สตรีมีครรภ์ (๔)บุคคลยังไม่มีศรัทธา แต่มามีศรัทธาเกิดขึ้นในภายหลังคำถวายอัจเจกจีวร วสฺสาวาสิกํ ทมฺมิ ข้าพเจ้า ขอถวายผ้าสำหรับภิกษุผู้อยู่จำพรรษา การถวายอัจเจกจีวรนี้ มีอานิสงส์ดุจเดียวกับการถวายกฐิน เพราะถวายพระสงฆ์เหมือนกัน แต่มีผู้รู้เรื่องการถวายอัจเจกจีวรนี้น้อยมาก และก็ยังมีข้อแตกต่างกันเกี่ยวกับการถวาย คือ กฐินนั้นไม่จำกัดบุคคลผู้ถวาย จะเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือเทวดา เป็นต้น ก็ถวายได้ ส่วนอัจเจกจีวรมีบุคคล ๔ จำพวก ตามที่กล่าวแล้วเท่านั้นที่ถวายได้อัจเจกจีวรถวายสงฆ์ มยํ ภนฺเต อิมสฺมึ อาราเม อสฺสาวาสิกานิ อจฺเจกจีวรานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทม. อิทํ โน ปุญฺญํ สพฺพมงฺคลตฺถาย จ สพฺพทุกฺขนิโรธาย จ โหตุ. อิมํ ปุญฺญปตฺตึ สภฺเพสํ สตฺตานํ เทม. สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนตุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์ในอารามนี้ ขอให้บุญกุศลจากการถวายทานนี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อก่อให้เกิดสิริมงคลทั้งปวง และเพื่อความดับทุกข์ในสังสารวัฏ ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนบุญนี้ให้แก่สรรพสัตว์ มีบิดามารดาเป็นต้น ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงมีความสุขกายสุขใจด้วยเถิด.อัจเจกจีวรถวายบุคคล อหํ ภนฺเต อิมสฺมึ อาราเม วสฺสาวาสิกํ อจฺเจกจีวรํ อายสฺมโต ทมุมิ. อิทํ โน ปุญฺญํ สพฺพมงฺคลตฺถาย จ โหตุ. อิมํ ปุญฺญปตฺตึ สพฺเพสํ สตฺตานํ ทมฺมิ. สพฺเพ สตฺตา สุขิตา โหนฺตุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถวายผ้าจำนำพรรษาแต่ท่านที่พำนักอยู่ในอารามนี้ ขอให้บุญกุศลจากการถวายทานนี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อก่อให้เกิดสิริมงคลทั้งปวง และเพื่อความดับทุกข์ในสังสารวัฏ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญนี้ให้แก่สรรพสัตว์ มีบิดามารดาเป็นต้น ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงมีความสุขกาย สุขใจด้วยเถิด (นานาวินิจฉัย/๑๘๒-๔) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๙ (พระวินัยข้อที่ ๔๘) ภิกษุจำพรรษาในเสนาสนะป่า ออกพรรษาแล้วเก็บจีวรได้เพียง ๖ คืน ถ้าเก็บไว้เกินกว่านั้น ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วยับยั้งอยู่ในเสนาสนะป่า พวกโจรเดือน ๑๒ เข้าใจว่า ภิกษุทั้งหลายได้ลาภแล้ว จึงพากันเที่ยวปล้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูล... รับสั่งว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ในเสนาสนะป่า เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้” ภิกษุทั้งหลายทราบว่า ทรงอนุญาตให้เก็บไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้ จึงเก็บไว้แล้วอยู่ปราศจาก ๖ คืนบ้าง จีวรเหล่านั้นหายบ้าง ฉิบหายบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง หนูกัดบ้าง ภิกษุทั้งหลายมีแต่ผ้าไม่ดี มีแต่จีวรปอน “หนึ่ง ภิกษุจำพรรษาแล้ว จะอยู่ในเสนาสนะป่า ที่รู้กันว่าเป็นที่รังเกียจ มีภัยจำเพาะหน้า ตลอดวันเพ็ญเดือน ๑๒ เมื่อปรารถนาอยู่ พึงเก็บจีวร ๓ ผืนๆ ใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้านได้ และปัจจัยอะไรๆ เพื่อจะอยู่ปราศจากจีวรนั้น จะพึงมีแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นพึงอยู่ปราศจากจีวรนั้นได้ ๖ คืนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเธออยู่ปราศจากยิ่งกว่านั้น เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” อรรถาธิบาย -บทว่า อนึ่ง จำพรรษาแล้ว คือ ภิกษุออกพรรษาแล้ว วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ตรงกับวันปุรณมีดิถี เป็นที่เต็ม ๔ เดือน ในกัตติกมาส (เดือน ๑๒, ได้อานิสงส์จำพรรษา) -คำว่า เสนาสนะป่า เป็นต้น คือ เสนาสนะที่ชื่อว่าป่านั้นมีระยะไกล ๕๐๐ ชั่วธนู เป็นอย่างน้อย -ที่ชื่อว่า เป็นที่รังเกียจ คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม มีสถานที่อยู่ ที่กิน ที่ยืน ที่นั่ง นอน ของพวกโจรปรากฏอยู่ -ที่ชื่อว่า มีภัยเฉพาะหน้า คือ ในอาราม อุปจารแห่งอาราม มีมนุษย์ถูกพวกโจรฆ่า ปล้น ทุบตี ปรากฏอยู่ -บทว่า ปรารถนา คือ ภิกษุจะยับยั้งอยู่ หรือพอใจอยู่ในเสนาสนะเช่นนั้น -คำว่า และปัจจัยอะไรๆ เพื่อจะอยู่ปราศจากจีวรนั้น จะพึงมีแก่ภิกษุนั้น คือ มีเหตุมีกิจจำเป็น ก็พึงอยู่ปราศจากได้เพียง ๖ คืน เป็นอย่างมาก -บทว่า เว้นไว้แต่ได้สมมติ คือ ยกเว้นภิกษุผู้ได้รับสมมติ ถ้าเธออยู่ปราศยิ่งกว่านั้น เมื่ออรุณที่ ๗ ขึ้นมา จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคลวิธีเสียสละแก่สงฆ์ ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์... กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้าอยู่ปราศแล้วเกิน ๖ คืน เป็นของจำจะสละ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรนี้แก่สงฆ์” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”วิธีเสียสละแก่คณะ (พึงทราบทำนองเดียวกับการเสียสละแก่สงฆ์ เปลี่ยนเพียงสงฆ์เป็นท่านทั้งหลาย)วิธีเสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าหาภิกษุรูปหนึ่ง... กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่าน จีวรผืนนี้... ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน” ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้อาบัติ ๑.จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุรู้ว่าเกิน อยู่ปราศ เว้นไว้แก่ภิกษุได้สมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๒.จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุสงสัย... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๓.จีวรเกิน ๖ คืน ภิกษุคิดว่ายังไม่เกิน... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ ๔.จีวรยังไม่ได้ถอน ยังไม่ได้สละ ภิกษุคิดว่าถอนแล้ว สละแล้ว...เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ทั้งสิ้น ๕.จีวรยังไม่หาย ยังไม่ฉิบหาย ยังไม่ถูกไฟไหม้ ยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุคิดว่า หายแล้ว ฉิบหายแล้ว ไฟไหม้แล้ว ถูกชิงไปแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์ทั้งสิ้น ๖.จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุไม่ได้สละ บริโภค ต้องทุกกฎ ๗.จีวรยังไม่ถึง ๖ คืน ภิกษุคิดว่าเกิน... ต้องทุกกฎ ๘.จีวรยังไม่ถึง ๖ คืน ภิกษุสงสัย... ต้องทุกกฎ ๙.จีวรยังไม่ถึง ๖ คืน ภิกษุรู้ว่ายังไม่ถึง ๖ ราตรี บริโภค ไม่ต้องอาบัติ
3007
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: จากคอลัมน์ ฝึกภาษาอังกฤษ
เมื่อ: 14 กันยายน 2559 12:43:45
แฮ็กข้อมูล หลายสัปดาห์ก่อนมีข่าวตู้เอทีเอ็มของธนาคารออมสินถูกมิจฉาชีพแฮ็กได้เงินไปกว่า ๑๒ ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย เราพูดกันในภาษาไทยว่าตู้เอทีเอ็ม ถูกแฮ็ก ในภาษาอังกฤษใช้คำเดียวกันคือ Hack หมายถึงการแอบเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ อีกหนึ่งคำศัพท์เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เห็นกันบ่อยๆ คือ Phishing แม้จะเป็นการกระทำเพื่อแอบลักลอบเข้าถึงข้อมูลเหมือนกัน แต่ความหมายจริงๆ แล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในการ Hack นั้น แฮ็กเกอร์จะใช้เทคนิควิธีการใดๆ ก็ตามที่ทำให้สามารถเข้าไปในระบบ ดูหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ แปลว่าพวกเขาจะต้องแอบลักลอบเจาะเข้าไปควบคุมระบบเองให้ได้เสียก่อน ซึ่งเจ้าของข้อมูลนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือองค์กรไม่ได้สมัครใจให้แฮ็กเกอร์ได้ข้อมูลไป แต่ Phishing นั้นเหนือชั้นกว่า เพราะจะปลอมตัวมาในรูปลักษณ์ที่หลอกให้เราตายใจแล้วหลงเชื่อยอมให้ข้อมูลไปเองโดยสมัครใจ เช่น ทำเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาแล้วหลอกให้ผู้ใช้กรอก username, password หรือรหัสบัตรเครดิตต่างๆ โดยผู้ใช้ก็ยอมให้ไปเพราะคิดว่าปลอดภัย อีกรูปแบบคืออีเมล์ปลอม เช่น อีเมล์หลอกลวงว่าเราได้รับรางวัลแต่ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ กลับไป เป็นต้น ทั้งสองอย่างนี้เป็นวิธีการเข้าถึงข้อมูลออนไลน์แบบไม่ถูกต้องเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ Phishing นั้น เจ้าของข้อมูลสมัครใจกรอกให้ไป หลายครั้งแฮ็กเกอร์บางคน จึงใช้วิธี Phishing ร่วมด้วย เพื่อหลอกให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างมา แล้วนำมา Hack ต่ออีกทีหนึ่ง ไฟใต้
ประเด็นความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ กลับมาเป็นที่พูดถึงกันแพร่หลายอีกครั้งหลังมีหลักฐานที่เชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม BRN เข้ากับเหตุระเบิดเมื่อวันที่ ๑๑-๑๒ ส.ค. ความขัดแย้งดังกล่าวมักเรียกกันสั้นๆ ตามหน้าสื่อว่า "ไฟใต้" ในขณะที่สื่อภาษาอังกฤษมักจะเรียกว่า "Thailand"s southern insurgency " หรือแปลว่าการต่อต้านรัฐในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศไทย คำสั้นๆ ก็คือ Deep South หรือ Far South หมายถึง ภาคใต้ตอนลึก หรือภาคใต้ตอนไกล อันหมายถึงสามจังหวัดชายแดนใต้นั่นเอง คำว่า insurgency แปลว่า การต่อต้านรัฐหรือผู้มีอำนาจ ส่วนผู้ก่อการเรียกว่า insurgents หรือบางครั้งก็เรียกว่า militants ซึ่งแปลว่า กลุ่มผู้ติดอาวุธ แต่ถ้าจะพูดอย่างเจาะจง กลุ่มคนเหล่านี้มีเป้าหมายปลดแอกรัฐปาตานี ดังนั้น คำที่ใช้เรียกได้อีกก็คือ secessionist แปลว่า ผู้ต้องการแยกประเทศ โดยคำดังกล่าวมาจากคำว่า secede แปลว่า แยกดินแดนหรือแยกประเทศ คำที่ใกล้เคียงกันคือ separatists แปลว่า ผู้แบ่งแยกดินแดน มาจากคำว่า separate ที่แปลว่า การแบ่งแยก สื่อต่างประเทศจึงมักเรียกเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ว่าเป็น secessionist violence หรือ separatist violence (ความรุนแรงที่มาจากความพยายามแบ่งแยกประเทศ) กล่าวได้ว่า ความรุนแรงดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา (ethnic and religious conflict) ที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ และทางภาครัฐก็พยายามแก้ไขกันอยู่ วิธีหนึ่งที่มีการเสนอกันคือ การให้สิทธิปกครองตนเอง (autonomy) มากขึ้นสำหรับสามจังหวัดชายแดนใต้ อีกหนึ่งแนวทางคือการพูดคุยเพื่อนำไปสู่การยุติความขัดแย้ง วิธีนี้มักจะเริ่มจาก การพูดคุยเพื่อสันติภาพ (peace talk) อันเป็นการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการและไม่มีข้อผูกมัดกันก่อนที่จะดำเนินไปสู่การเจรจา (negotiation) ที่มีการยอมรับอย่างชัดเจนจากทั้งสองฝ่าย และถ้าหากสำเร็จก็จะนำไปสู่การ หยุดยิง (ceasefire) และการยุติความขัดแย้งซึ่งกันและกัน (cessation of hostility) ในที่สุด แน่นอนว่าการเจรจากับผู้ก่อเหตุรุนแรงย่อมถูกวิจารณ์ว่าเหมือนเจรจากับโจร หรือเหมือนว่าอ่อนข้อให้โจร แต่ผู้เขียนก็ขอยกคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ มากล่าวอีกทีตรงนี้ว่า "Let us never negotiate out of fear. But let us never fear to negotiate." แปลว่า จงอย่าเจรจากับใครเพราะความกลัว แต่ขณะเดียวกันก็อย่ากลัวที่จะเจรจาเช่นกัน ไฮโซ ช่วงนี้มี "ไฮโซ" หลายคนตกเป็นข่าว ทั้งไฮโซไม่จริงและจริง ตั้งแต่ "หญิงไก่" ไปจนถึง "หม่อมหลวง อ" หรือ "หม่อมตกอับ" สัปดาห์นี้จึงขอเสนอคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับวงการสังคมชั้นสูง หรือที่คนไทยเรียกกันว่า ไฮโซ คำนี้ถึงแม้จะฟังดูเป็นภาษาอังกฤษที่ย่อมาจาก high society (สังคมชั้นสูง) แต่จริงๆ แล้ว ฝรั่งไม่ใช้กัน ในภาษาอังกฤษ เขาไม่ใช้คำว่าไฮโซ แต่ใช้คำว่า ไฮคลาส - high class หรืออีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกกันมาก คือคำว่า posh (พอช) คำนี้นอกจากจะใช้เรียกบุคคลในแวดวงไฮโซ ยังใช้เรียกสิ่งของต่างๆ ที่ดูไฮโซด้วย ส่วนบรรดาคนดังอย่างดารานักร้อง หรือที่คนไทยเรียกกันว่า เซเลบ มาจากคำว่า เซเลบริตี้ (celebrity ) อย่างไรก็ตาม ในสังคมตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ประชาชนส่วนใหญ่มักมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนชั้นสูง เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มคนอภิสิทธิ์ชน โดยคำที่ฝรั่งมักใช้เรียกไฮโซอย่างเหยียดหยามคือ elite (อีลิต) แปลว่า พวกชนชั้นสูง หรือพูดอีกอย่างก็คือประเทศตะวันตกมีลักษณะเป็นสังคมเท่าเทียมกัน (egalitarian ) ไม่ค่อยมีระบบชนชั้น (hierarchy ) ขณะที่บุคคลซึ่งสืบเชื้อสายราชสกุลหรือราชนิกุล เรียกว่า royal bloodline ส่วนขุนนางเรียกกว้างๆ ว่า aristocrats ถึงแม้ฝรั่งจะไม่มีตำแหน่ง "คุณหญิง" แบบไทย แต่ก็มีอะไรที่คล้ายๆ กัน นั่นคือตำแหน่ง "lady " (เลดี้) ในสหราชอาณาจักร ยกตัวอย่าง เลดี้ไดอาน่า สำหรับกรณี หญิงไก่ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคุณหญิงนั้น ในภาษาอังกฤษเรียกว่า impostor (อิมพอสเตอร์) แปลว่าผู้แอบอ้างตำแหน่งหรือยศ ที่มา : คอลัมน์ "ฝึกภาษาอังกฤษ
KHAOSOD ENGLISH " , หนังสือพิมพ์ข่าวสด
3008
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: 'อาเซียน' เรื่องน่ารู้..ที่คนไทยควรรู้
เมื่อ: 14 กันยายน 2559 11:18:32
น้ำปลาอาเซียน นอกจากข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักจนเป็นที่มาของสัญลักษณ์รวงทอง ๑๐ ช่อแล้ว ชาติอาเซียนยังชื่นชอบอาหารที่มีรสชาติเข้มข้นเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่เครื่องปรุงรสในอาเซียนจะเป็นหนึ่งในตัวชูโรงอาหารแสนอร่อย แถมยังสร้างชื่อระดับโลก ประเดิมกันที่น้ำปลา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเหลว มีรสเค็ม ใช้ปรุงแต่งกลิ่นรสของอาหาร ทำจากการหมักปลากับเกลือ คนไทยเรียกว่า "น้ำปลา" ตรงตามตัวคือน้ำที่มาจากปลา เช่นเดียวกับ "น้ำปา" ของลาว สำหรับเวียดนาม คือ "เนื้อก มั้ม" เนื้อกหมายถึงน้ำ ส่วนมั้มคือปลาหมักเกลือ หรือปลาร้าแบบญวนนั่นเอง กัมพูชาใช้คำว่า "ตึกตรัย" ส่วนชาวพม่าเรียกน้ำปลาว่า "ง่าน เปี่ย เหย่" ขณะที่น้ำปลาเวอร์ชั่นอินโดนีเซีย คือ "เทราซี" หรือ "แทรสซี" และฟิลิปปินส์ คือ "ปาตีส" ส่วนมาเลเซียมี "บูดู" ทำคล้ายน้ำปลาแต่จะผสมกากที่หมักลงไปด้วย แน่นอนว่าคนไทยเองก็คุ้นเคยกับบูดูหรือน้ำบูดูที่ใส่ในข้าวยำ และด้วยอิทธิพลของมลายูในสิงคโปร์และบรูไน เครื่องปรุงเสริมรสชาติที่ทั้งสองประเทศใช้จึงเป็นบูดูด้วยนั่นเอง ซอสพม่า-ลาว พม่านั้นมีข้อมูลบันทึกถึงการทำซอสถั่วเหลืองย้อนกลับไปในสมัยอาณาจักรพุกาม อาณาจักรโบราณช่วงศตวรรษที่ ๙ และ ๑๐ เริ่มจากซอสถั่วเหลืองผสมกับน้ำที่ได้จากการหมักปลา เรียกว่า "เป ง่าน ยาร์ เย" ต่อมาในสมัยราชวงศ์คองบอง หรือ อลองพญา ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า ซอสที่เดิมผสมกับน้ำหมักปลาค่อยๆ ปรับเปลี่ยนแยกเป็นซอสถั่วเหลือง และได้รับความนิยมทำใช้ในครัวเรือนอย่างแพร่หลาย โดยซอสถั่วเหลืองซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจใช้ปรุงอาหารพม่าสารพัดชนิด คือ "จา โหย่" หรือซอสถั่วเหลืองแบบข้น มีรากศัพท์และลักษณะคล้ายกับ "เจี้ยงโหยว" หรือซีอิ๊วของจีนนั่นเอง ขณะที่ชาวลาวได้รับอิทธิพลใช้ซอสถั่วเหลืองในการทำอาหารมาจากจีน คล้ายกับอีกหลายประเทศอาเซียน ชาวลาวเรียก "น้ำสะอิ๊ว" เป็นซีอิ๊วแบบเดียวกับของไทย วัตถุดิบหลักคือถั่วเหลือง นำไปหมักกับข้าวหรือข้าวสาลี ซึ่งข้าวจะเป็นอาหารของเชื้อรา จากนั้นนำเกลือและเชื้อรามาหมักในที่ที่ควบคุมอุณหภูมิ ระหว่างหมักนาน ๒-๓ เดือน ต้องคนเป็นระยะเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งจะทำให้ซีอิ๊วมีกลิ่นหอมและรสกลมกล่อม จากนั้นกรองแยกกากและน้ำออกจากกันจนได้เป็นซีอิ๊วในที่สุด ซีอิ๊วขาวจะมีสีน้ำตาลใส กลิ่นหอม รสเค็มเล็กน้อย ส่วนซีอิ๊วดำเป็นสีดำหรือน้ำตาลเข้มมีกลิ่นหอมไหม้ รสเค็มกว่าซีอิ๊วขาว ซอสเวียดนาม ชาวเวียดนามเรียกซอสถั่วเหลืองว่า "เนื้อกต่วง" แม้จะไม่นิยมเท่ากับ "เนื้อกมั่ม" หรือน้ำปลาซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในการปรุงอาหารมากถึงร้อยละ ๘๐ แต่เนื้อกต่วงก็มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน เนื้อกต่วงมีกรรมวิธีการผลิตคล้ายซอสถั่วเหลืองของไทยซึ่งรับมาจากจีนอีกทอดหนึ่ง แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ชนิดแรกมีลักษณะเป็นน้ำซอสใสสีน้ำตาลอ่อนและรสเค็ม ขณะที่ "เซิมแด็ก" หรือ "ฮวาวี" เป็นซอสแบบข้นเหนียวสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีดำ ส่วนใหญ่ไม่ได้นำมาปรุงอาหารโดยตรง แต่นำไปผสมกับเครื่องปรุงอื่นๆ อย่างน้ำต้มสุก หรือไม่ก็น้ำส้มสายชู เพื่อใช้เป็นน้ำจิ้มเสริมรสชาติอาหาร ชนิดสุดท้ายเป็นเนื้อกต่วงที่ผสมเครื่องปรุงอื่นๆ คล้ายซอสสำเร็จรูปสำหรับอาหารประเภทต้ม ผัด หรือทอด นอกจากนี้ยังแบ่งเนื้อกต่วงตามวิธีการผลิตได้เป็น ๓ แบบใหญ่ๆ ได้แก่ ซอสถั่วเหลืองที่หมักโดยวิธีธรรมชาติ หมายถึงซอสที่ได้จากการหมักถั่วเหลืองหรือส่วนผสมของถั่วเหลือง โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ แบบที่สองคือซอสจากการย่อยโปรตีนในกรดเข้มข้น นิยมเพิ่มน้ำมันถั่วลิสงลงไปเพื่อให้ได้กลิ่นรสหอมมันเฉพาะตัว ส่วนซอสอีกตัวเป็นซอสผสมระหว่างเนื้อกต่วงที่ได้จากการหมักและเนื้อกต่วงแบบใช้กรดเข้มข้น ซอสแดนอิเหนา เครื่องปรุงชนิดที่สำคัญสำหรับชาวอาเซียนคงหนีไม่พ้น "ซอสถั่วเหลือง" มีถิ่นกำเนิดในจีนราวศตวรรษที่ ๓-๕ เดิมทีใช้น้ำที่หมักจากปลาผสมกับถั่วเหลือง และเรียกซอสดังกล่าวว่า "เจียง" ต่อมาน้ำหมักปลากับน้ำหมักถั่วเหลืองแยกออกเป็นเครื่องปรุง๒ ชนิด ซอสถั่วเหลืองเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการค้าขายกับจีน ก่อนที่แต่ละประเทศจะปรับสูตรและส่วนผสมให้เป็นไปตามวัฒนธรรมการกินของตน อินโดนีเซียเรียกซอสถั่วเหลืองว่า"เคแค็ป" หรือ "เคเซียบ" มีรากศัพท์คล้ายคลึงกับคำว่า "เคทชัป" หรือซอสมะเขือเทศของชาติตะวันตก โดยซอสที่ชาวอิเหนานิยมใช้ปรุงอาหารมากที่สุดมี ๓ ชนิด อันดับแรก คือ "เคแค็ป มานิส" ซอสถั่วเหลืองหวาน เนื้อสัมผัสค่อนข้างเหนียวข้น มีรสหวานของน้ำตาลทรายแดงหรือกากน้ำตาล เมนูประจำชาติกว่าร้อยละ ๙๐ ของอินโดนีเซียใช้เคแค็ป มานิส ไม่ว่า จะเป็น "นาซิ โกเร็ง" ข้าวผัดอินโดฯ และหมี่ผัด "มีโกเร็ง" รวมถึงอาหารจีนสไตล์ผสมผสานตามแบบฉบับอินโดนีเซีย ซอสชนิดที่สองเรียกว่า "เคแค็ป อะซิน" เป็นแบบเค็มใกล้เคียงกับซอสถั่วเหลืองที่ใช้ทั่วไปในประเทศอื่น แต่ข้นหนืดและมีกลิ่นรสเข้มข้น นิยมใส่ในอาหารจีน โดยเฉพาะเมนูของชาวฮกเกี้ยนซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประเดิมนำเข้าซอสถั่วเหลืองเค็มมายังอินโดนีเซีย สุดท้ายคือ "เคแค็ป มานิส เซดัง" ซอสถั่วเหลืองรสชาติกลางๆ ผสมผสานระหว่างเคแค็ป มานิส และเคแค็ป อะซิน จึงมีรสเค็มนำและหวานอ่อนๆ เนื้อสัมผัสนั้นข้นน้อยกว่าซอสอีกสองชนิด ซอสมาเลย์-บรูไน ซอสถั่วเหลืองของมาเลเซียมีชื่อเรียกคล้ายซอสถั่วเหลืองของอินโดนีเซีย คือ "คีแค็ป" อันที่จริงต้องบอกว่าอินโดนีเซียได้รับอิทธิพลมาจากมาเลเซียซึ่งเป็นต้นทางของภาษา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมในอินโดนีเซียและบรูไน มาเลเซียมีซอสที่นิยม ๒ ประเภท อย่างแรกคือ "คีแค็ป เลอมัก" เป็นซอสถั่วเหลืองเข้มข้นเหมือนเคแค็ป มานิส ซอสถั่วเหลืองชนิดหวานของอินโดนีเซีย แต่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อยกว่ามาก จึงมีรสเค็มเป็นหลักและหวานแค่ปะแล่มๆ ขณะที่ "คีแค็ป แคร์" ใกล้เคียงกับเคแค็ป อะซิน ซอสถั่วเหลืองแบบเค็มของเพื่อนบ้านแดนอิเหนา ซึ่งก็เหมือนๆ กับซอสถั่วเหลืองที่ใช้ทั่วไปในประเทศอื่นๆ แต่ข้นหนืดและมีกลิ่นรสเข้มข้นกว่า ขณะที่ "เคแค็ป มานิส" ของบรูไน แม้จะชื่อเหมือนกันแต่ไม่ได้เป็นซอสรสหวานบรรจุขวดอย่างอินโดนีเซีย เพราะชาวบรูไนจะนำซีอิ๊วดำแบบจีนมาผสมด้วยน้ำตาล กระเทียม โป๊ยกั๊ก หรือจันทน์แปดกลีบ ใบกระวาน และข่า จนได้เป็นซัมบัล เคแค็ป มานิส สำหรับจิ้มอาหารสไตล์บรูไนนั่นเอง ซอสเขมร-สิงคโปร์ เพราะชาวกัมพูชาชื่นชอบรสชาติเปรี้ยวปรี๊ด...ดด อย่างมะนาวและมะขาม จึงไม่แปลกที่จะใช้เครื่องปรุงซึ่งมีรสเค็มแบบน้ำปลา หรือที่เรียกว่า "ตึกตรัย" แทนที่จะใช้ซอสถั่วเหลืองแบบเพื่อนบ้านอาเซียนประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตามหากทำอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนชาวกัมพูชาก็จะใช้ซอสถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบ อาทิ "กุยเตียว" หรือก๋วยเตี๋ยวที่ได้รับการเผยแพร่มาจากจีนและเวียดนามอีกทอดหนึ่ง แต่ก็มีเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น "หมี่กาตัง" คล้ายราดหน้า โดยน้ำเกรวีปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองและกระเทียม กินกับผักดอง ไข่ นอกจากนี้ยังมี "หมี่ชา" หรือหมี่ ผัดที่ใส่ซอสถั่วเหลือง และเช่นเดียวกับ "บายชา" ข้าวผัดใส่กุนเชียง กระเทียม ผัก และซอสถั่วเหลือง สำหรับสิงคโปร์ซึ่งมีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างจีนและมาเลย์ ซอสถั่วเหลืองจึงถือเป็นเครื่องปรุงสำคัญของเมนูท้องถิ่น ชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนที่ใช้ภาษาจีนกลางหรือแมนดารินเรียกซอสถั่วเหลืองว่า "โต๋โหยว" ส่วนชาวจีนฮกเกี้ยนที่ ใช้ภาษาถิ่นแต้จิ๋ว เรียกว่า "เจียงฉิง" ซอสโตโย-ฟิลิปปินส์ สําหรับฟิลิปปินส์นั้น ซอสถั่วเหลืองเรียกว่า "โตโย" มีลักษณะคล้ายกับเจี้ยงโหยวของจีนและโชยุของญี่ปุ่น เป็นซอสที่ผสมผสานระหว่างถั่วเหลือง ข้าวสาลี และเกลือ เมื่อหมักตามกรรมวิธีจนได้ที่จะได้ซอสกลิ่นหอมสีน้ำตาลอ่อนๆ เนื้อสัมผัสของซอสโตโยจะเบาบางและใส แต่รสชาติเค็มกว่าซอสถั่วเหลืองของประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวฟิลิปปินส์นิยมใช้ซอสโตโยหมักเนื้อ ปรุงรส และเป็นซอสจิ้มบนโต๊ะอาหารวางคู่กับน้ำปลาและน้ำส้มสายชูหมักจากอ้อย ซอสโตโยยังเป็นเครื่องปรุงรสสำคัญของเมนูประจำชาติชื่อดัง อย่าง "อาโดโบ" เมนูไก่หรือหมูต้มในกระเทียม น้ำส้มสายชู น้ำมัน และซอสโตโยที่นำไปเคี่ยวจนแห้ง นอกจากนี้ถ้านำไปผสมกับน้ำ "ส้มคาลามันซี" จะได้ซอสจิ้มสามรสในชื่อ "โตโยมันซี" ซึ่งละม้ายคล้ายกับ "ปอนซี" ซอสหรือน้ำจิ้มของญี่ปุ่นที่มีรสออกเปรี้ยว หวาน เค็มนิดๆ ได้มาจากการผสมโชยุกับส้มยุซุนั่นเอง ซอสถั่วเหลืองไทย ซอสด้วยเครื่องปรุงของบ้านเรา ในไทยมีซอสที่ได้จากการย่อยของโปรตีนถั่วเหลือง แบ่งเป็น "ซอสปรุงรส" และ "ซีอิ๊ว" ต่างกันที่กรรมวิธีการผลิต ซอสปรุงรสนั้นส่วนมากใช้กากถั่วเหลือง หรือถั่วเหลืองที่สกัดน้ำมันถั่วเหลืองออกมาแล้วปรับสภาพด้วยด่าง ขณะที่ซีอิ๊วใช้การหมักย่อยโปรตีนถั่วเหลืองด้วยการนำถั่วเหลืองมานึ่งหรือต้มสุก จากนั้นผสมกับแป้งและหัวเชื้อรา ผึ่งจนเชื้อราเติบโตแล้วนำไปหมักหรือบ่ม เชื้อราจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนในถั่วเหลืองและแป้งจนเกิดเป็นกรดอะมิโนและน้ำตาล ระดับโปรตีนในซอสปรุงรสมีหลายระดับ เช่น ร้อยละ ๑๐ ร้อยละ ๑๕ และร้อยละ ๒๐ ต่างเป็นตัวกำหนดมาตรฐานและราคาของซอสนั้นๆ สำหรับคนไทยแล้ว ซอสถั่วเหลืองถือเป็นเครื่องปรุงสำคัญไม่แพ้น้ำปลา โดยซอสปรุงรสมีกลิ่นและสีที่เข้มข้นกว่าซีอิ๊ว จึงเหมาะกับเมนูที่ต้องการเน้นกลิ่นและสีของซอส เช่น อบ ผัด และจิ้ม ส่วนซีอิ๊วเหมาะกับอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน และประเภทต้มที่มา : หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด
3009
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: เรื่องแมวๆ & ตำราดูลักษณะแมว
เมื่อ: 13 กันยายน 2559 20:14:14
ตำราดูลักษณะแมวไทย จากสมุดข่อยโบราณ Kimleng แมวเป็นสัตว์เลี้ยงซุกซน น่ารัก เลี้ยงง่าย เล่าสืบต่อกันมาว่า แมวอยู่กับคนมานานนับเป็นเวลาพันๆ ปี จึงเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ป่าชนิดเดียวที่ไม่กลัวคนและอยู่ใกล้ชิดคนมากที่สุด แมวมาอาศัยอยู่บ้านคนนั้้นเพราะเหตุเดียวคือในบ้านคนมีอาหารมากที่สุด ได้แก่หนู ซึ่งแมวจะจับกินเอง แมวเป็นสัตว์รักอิสระเสรีภาพ เวลาคนส่งเสียงเรียกให้มาหา แมวชอบใจก็จะมา ไม่ชอบใจก็ไม่มา นึกสนุกขึ้นมาก็ไปเที่ยวที่อื่นเสียหลายวัน และนึกจะกลับบ้านเมื่อไรก็กลับ สรุปแล้วแมวก็มีลักษณะดึงดูดให้คนได้หามาเลี้ยงดูสืบต่อเรื่อยมาจนปัจจุบัน อย่างน้อยๆ ก็ไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา ดังบทดอกสร้อยว่า "...ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู" และที่เคล้าแข้งเคล้าขานั้นก็ไม่รู้ว่าแมวว่าง่าย หรือแมวรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ทำกิริยาเช่นนั้น ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าไม่มีขาคน แมวก็จะเคล้าขาโต๊ะหรือขาเก้าอี้ ในหนังสือโบราณของหอสมุดแห่งชาติ มีสมุดข่อยโบราณ เรียกว่า ตำราดูลักษณะแมว แสดงประเภทแมวดี ๑๗ ชนิด และแมวร้าย ๖ ชนิด เป็นข้อพิจารณาในเบื้องต้นแก่ผู้รักแมวและกำลังมองหาแมวมาอุปการะเลี้ยงดู เพื่อจักได้บังเกิดผลประโยชน์ต่อกัน เพราะคนไทยมีความเชื่อว่า การเลี้ยงแมวลักษณะดีย่อมเป็นมงคล จะนำสิ่งดี มีโชคลาภ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตนและครอบครัว ในทางตรงกันข้ามเชื่อว่า หากได้แมวลักษณะไม่ดี หรือแมวร้ายมาเลี้ยงไว้ เปรียบดังเงาร้าย ครอบครัวจะหาความสุขไม่ได้ มีทุกข์ภัยที่ประดังเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน เป็นต้น ตำราดูลักษณะแมว จากสมุดข่อยโบราณ• แมวดี ๑๗ ชนิด ได้แก่ ๑.แมว “วิลาศ ” "แม้ใครใคร่เลี้ยงโดยหมาย จักได้เป็นนายผู้ใหญ่เลื่อนที่ถานา ศฤงคารโภคา ทรัพย์สินจักมาเนืองๆ บริบูรณ์พูลมี" ราวคอทับถงาดท้อง สองหู ขาวตลอดหางดู ดอกฝ้าย มีเสวตรสี่บาทตรู สองเนตร์ เขียวแฮ งามวิลาศงามคล้าย โภคพื้น กายดำ แมววิลาศ ลักษณะตั้งแต่คอถึงท้องและสองหู ตลอดถึงหางและขาทั้ง ๔ มีสีขาวตลอดเหมือนดอกฝ้าย ลูกตาสองตามีสีเขียว ลำตัวส่วนอื่นๆ เป็นสีดำ ลักษณะสวยงาม ๒.แมว “นิลรัตน์ " ถ้าเลี้ยงไว้ย่อมมีคุณเอนกา ศฤงคารโภคา จะเนื่องเป็นนิจบริบูรณ์ สมยานามชาติเชื้อ นิลรัตน์ กายดำสิทธิสามรรถ เลิศพร้อม ฟันเนตรเล็บลิ้นทัต นิลคู่ กายนา หางสุดเรียวยาวน้อม นอบโน้มเสมอเศียร “นิลรัตน์” แปลว่า มณีสีดำ ลักษณะขนสีดำสนิท ฟัน นัยน์ตา เล็บและลิ้นก็เป็นสีดำ หางยาวเรียวยกตวัดได้ถึงหัว ๓.แมว “นิลจักร ” กายดำคอขาวรอบขน ใครเลี้ยงเกิดผลทรัพย์สินสมบัติมากมี นิลจักรบอกชื่อช้อย ลักษณา กายดุจกลปีกกา เทียบแท้ เสวตรอบรัดกรรฐา โดยที่ เนาประเทศได้แม้ ดั่งนี้ควรถนอม แมวนิลจักร ลักษณะสีกายดำเหมือนสีปีกของกา รอบลำคอมีสีขาว ดูเหมือนกับสวมปลอกคอสีขาว เป็นแมวดีที่ควรเลี้ยงรักและถนอมรักษา ๔.แมว “เก้าแต้ม ” ใครได้แมวเก้าแต้มไว้เลี้ยงดูก็จะทำให้การค้าขายรุ่งเรือง ร่ำรวย สลับดวงคอโสตรัตต้น ขาหลัง สองไหล่กำหนดทั้ง บาทหน้า มีโลมดำบดบัง ปลายบาท สองแฮ เก้าแห่งดำดุจม้า ผ่าพื้นขาวเสมอ แมวเก้าแต้ม ลักษณะลำตัวเป็นสีขาว มีดวงตาสีดำ แต้มตามลำตัวที่คอ หู สองไหล่ ปลายเท้าหน้าทั้งสองข้าง รวม ๙ แห่ง ลักษณะแต้มสีดำนี้จะเป็นวงกลมหรือปื้นเหลี่ยมก็ได้ ปลายหางเรียวยาว สีขาว ๕.แมว “มาเลศ ” หรือ “ดอกเลา ” ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำสุขสวัสดิ์มงคล วิลามาเลศพื้น พรรณกาย ขนดังดอกเลาราย เรียบร้อย โคนขนเมฆมอปลาย ปลอมเสวตร ตาดั่งน้ำค้างย้อย หยาดต้องสัตบง แมวมาเลศ หรือแมวดอกเลา ลักษณะลำตัวมีสีดอกเลา คือขนสีเทามอๆ เหมือนเมฆสีเทายามฟ้าพยับฝน มีนัยน์ตาขาวใสหยาดเยิ้มเหมือนสีหยดน้ำค้างบบกลีบดอกบัว ๖.แมว “แซมเสวตร ” ขนดำแซมเสวตรสิ้น สรรพภางค์ ขนคู่โลมกายบาง แบบน้อย ทรงระเบียบสำอาง เรียวรุ่นห์ งามนา ตาดั่งแสงหิ่งห้อย เปรียบน้ำทองทา แมวแซมเสวตร ลักษณะตลอดลำตัวมีขนสีดำแซมด้วยสีขาว ขนเส้นเล็กบาง ละเอียด และค่อนข้างสั้น รูปร่างบางรูปทรงสวยเพรียว ดวงตาสีเขียวเป็นประกายสดใสเหมือนแสงหิ่งห้อย หรือเปรียบเสมือนทาด้วยน้ำทอง ๗.แมว “รัตนกำพล ” "ใครเลี้ยงจักมียศถา มีเดชานุภาพแก่คนเกรงกลัว" สมยากาเยศย้อม สีสังข์ ชื่อรัตนกำพลหวัง ว่าไว้ ดำรัดรอบกายจัง หวัดอก หลังนา ตาดั่งเนื้อทองได้ หกน้ำเนียรแสง แมวรัตนกำพล ลักษณะ ขนสีขาวนวลเหมือนสีหอยสังข์ ช่วงอกถึงหลังมีสีดำรอบลำตัว สีนัยน์ตาเหมือนสีทองน้ำหกเป็นประกายดูเนียนตา ๘.แมว “วิเชียรมาศ ” "มีคุณยิ่งล้ำนัก จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล" ปากบนหางสี่เท้า โสตสอง แปดแห่งดำดุจปอง กล่าวไว้ ศรีเนตรดั่งเรือนรอง นาคสวาดิ ไว้เอย นามวิเชียรมาศไซร้ สอดพื้นขนขาว แมววิเชียรมาศ ลักษณะขนสีขาว แต่ที่ปากส่วนบน หาง เท้าทั้งสี่ และหูทั้งสองข้าง รวม ๘ มีสีดำ(สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกาย สดใส ๙.แมว “ศุภลักษณ์ ” หรือ “ทองแดง ” ใครเลี้ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นที่อำมาตย์มนตรี วิลาศุภลักษณ์ล้ำ วิลาวรรณ ศรีดังทองแดงฉัน เพริศแพร้ว แสงเนตรเฉกแสงพรรณ โณภาษ กรรษสรรพโทษแล้ว สิ่งร้ายคืนเกษม แมวศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง ลักษณะร่างกายสวยงามมาก สีขนเหมือนสีทองแดงตลอดทั้งตัว นัยน์ตาเป็นประกายแวววาว แมวชนิดนี้ให้คุณ ช่วยให้สิ่งที่เป็นโทษหรือสิ่งร้ายกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีได้ ๑๐.แมว “มุลิลา ” แมวชนิดนี้ ตำราว่าให้เลี้ยงได้เฉพาะพระสงฆ์ ไม่ควรเลี้ยงตามบ้าน มุลิลาปรากฏแจ้ง นามสมาน ใบโสตสองเสวตรปาน ปักล้วน ศรีตาผกาบาน เบญจมาศ เหลืองนา หางสุดโลมดำถ้วน บาทพื้นกายเศียร แมวมุลิลา ลักษณะ ขนเรียบ เป็นมัน สีพื้นลำตัวตลอดถึงหางเป็นสีดำ บริเวณสองหูเป็นสีขาว นัยน์ตาสีเหลืองเหมือนสีดอกดอกเบญจมาศเหลืองบาน ๑๑.แมว “กรอบแว่น ” หรือ “อานม้า ” ตีค่าแสนตำลึงทอง ใครเลี้ยงจักนำเกียรติยศมาให้เจ้าของ นามกรอบแว่นพื้น เสวตรผา ขนดำเวียนวงตา เฉกย้อม เหนือหลังดั่งอานอา ชาชาติ งามดั่งวงหมึกพร้อม อยู่ด้าวใดแสวง แมวกรอบแว่นหรือแมวอานม้า ลักษณะพื้นกายสีขาว มีขนสีดำรอบดวงตาทั้งสองข้างเหมือนกรอบแว่นตา และมีสีดำที่หลังของลำตัว เหมือนอานหรือที่นั่งบนหลังม้า เป็นแมววดีมีลักษณะดีมีมงคล ซึ่งผู้คนจะเสาะแสวงหามาเลี้ยงกันมาก ๑๒.แมว “ปัศเวต ” หรือ “ปัดตลอด ” (อ่านว่า แมว "ปัด-ศะ-เวด") หนึ่งดั่งปัดตลอดสอดสี ตำราว่าแมวดี ใครเลี้ยงจักยิ่งตระกูล ปัศเวตลักษณนั้น ปลายนา ษาฤๅ ขาวตลอดหางหา ยากพร้อม รลุมเฉกสลับตา กายเฟพ เดียวแฮ ตาดั่งคำชายล้อม บุศน้ำพลอยเหลือง แมวปัศเวต หรือ ปัดตลอด ลักษณะขนสีดำ ขนที่ปลายจมูก ผ่านศีรษะ หลัง ตลอดจนจรดปลายหาง (ด้านบน) เป็นริ้วทางยาวสีขาวตลอด นัยน์ตาเป็นประกายสีเหลืองเหมือนสีบุษย์น้ำพลอย และมีขนสีเหลืองเหมือนทรายทองล้อมรอบดวงตา สวยงามมาก แมวปัศเวต เป็นแมวที่หายากมาก ๑๓.แมว “การเวก ” ถ้าได้เลี้ยงจะนำโชคลาภมาให้เจ้าของเปลี่ยนฐานะขึ้นไปเรื่อยๆ มีนามการเวกพื้น กายดำ ศรีศรลักษณนำ แนะไว้ สองเนตรเลื่อมแสงคำ คือมาศ ด่างที่ณาษาไซร้ เสวตรล้วนรอบเสมอ แมวการเวก ลักษณะพื้นกายสีดำ แต่ไม่ดำหมดทั้งตัว ที่ปลายจมูกมีแต้มสีขาวเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายเลื่อมแสงสีเหลืองอำพันทองสดใส ๑๔.แมว “จตุบท ” หนึ่งสี่เท้าด่างขบขัน ท่านว่าควรกัน ให้เลี้ยงแต่ราชินิกูล แมวนั้นย่อมจะให้คุณ จตุบทหมดเฟศน้อม นามแสดง ไว้นา โลมสกลกายแสง หมึกล้าย สี่บาทพิศเล่ห์แลง ลายเสวตร ตาเลื่อมศรีเหลืองคล้าย ดอกแย้มนางโสรน แมวจตุบท ลักษณะขนสีหมึก คล้ายเอาหมึกมาไล้ไว้ทั่วร่าง ยกเว้นแต่บริเวณเท้าทั้งสี่และส่วนท้องของลำตัวมีขนเป็นสีขาว นัยน์ตาเป็นสีเหลืองเหมือนดอกโสน ๑๕.แมว “โสงหเสพย ” (อ่านว่า โสง-หะ-เสพ-ยะ) กายดำคอขาวรอบขน ใครเลี้ยงไว้เกิดผล ทรัพย์สินสมบัติมากมี" เสนาะโสงหเสพยชื่อเชื้อ ดำกาย ขาวที่ริมปากราย รอบล้อม เวียนเถลิงสอสังข์ปลาย ณาษิก อยู่แฮ ตาดั่งศรีรงย้อม หยาดน้ำจางแสง แมวโสงหเสพย หรือบางตำราเขียนเป็น "สิงหเสพย์" ลักษณะขนกายป็นแมวขนสีดำ แต่จะมีสีขาวบริเวณริมฝีปาก เวียนไปรอบคอจนถึงปลายจมูก นัยน์ตาเป็นประกายสีเหลืองเหมือนย้อมด้วยน้ำรงสีจาง ๑๖.แมว “กระจอก ” แมวนี้ถ้าเลี้ยงไว้... "จะได้ที่แดนไร่นา ทรัพย์สินโภคา ถ้าเป็นไพร่ก็จักได้เป็นนาย" มีนามกระจอกนั้น ตัวกลม งามนา กายดำศรีสรรพสม สอดพื้น ขนขาวเฉกเมฆลม ลอยรอบ ปากแฮ ตาประสมศรีชื้น เปรียบน้ำรงผสาน แมวกระจอก ลักษณะตัวกลมสวยงาม ขนสีดำตลอดทั้งตัว รอบปากเป็นขนสีขาวเหมือนสีเมฆ นัยน์ตาสีเหลืองเหมือนน้ำรง ๑๗.แมว “โกนจา ” แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย กายดำคอสุดท้อง ขาขนเลเอียดเฮย ตาดั่งศรีบวบกล ดอกแย้ม โกนจาพจนิพนธ์ นามกล่าว ไว้นา ปากแลหางเรียวแฉล้ม ทอดเท้าคือสิงห์ แมวโกนจานี้ มีขนสีดำละเอียด ตั้งแต่คอไปจนถึงท้องและขา ปากและหางมีรูปลักษณะเรียวงาม นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม เท้าเหมือนเท้าสิงห์ ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงห์โต ตำราดูลักษณะแมวไทย จากสมุดข่อยโบราณ (ต่อ)• แมวร้าย ๖ ชนิด ได้แก่ ๑.แมวร้ายชื่อ “ทุพลเพศ ” ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุข เกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ ตัวขาวตาเล่ห์ย้อม ชานสลา หนึ่งดั่งโลหิตทา เนตรไว้ ปลอมลักคาบมัศยา ทุกค่ำ คืนแฮ ชื่อทุพลเพศให้ โทษร้อนแรงผลาญ แมวทุพลเพศ ลักษณะลำตัวสีขาว มีดวงตาสีแดงเหมือนย้อมด้วยชานหมากหรือมีดวงตาเหมือนถูกทาด้วยเลือด มักออกไปหากินยามค่ำคืน และชอบขโมยปลามากิน แมว “ทุพลเพศ” ชื่อ ทุพล หมายถึง ไม่ดี ลักษณะโดยรวมไม่สวยงาม เลี้ยงไว้จะให้โทษร้ายแรง จึงไม่ควรนำมาเลี้ยง ๒.แมวร้ายชื่อ “พรรณพยัฆ หรือ ลายเสือ ” มีพรรณพยัฆเพศพื้น ลายเสือ ขนดั่งชุบครำเกลือ แกลบกล้อง สีตาโสตรแสงเจือ เจิมเปือก ตาแฮ เสียงดั่งผีโป่งร้อง เรียกแคว้นพงไสล แมวพรรณพยัฆเพศ หรือแมวลายเสือ เป็นแมวร้ายที่มีขนกายเป็นลายเสือ ลักษณะขนหยาบเหมือนชุบด้วยเกลือหรือหยาบเหมือนแกลบ มีนัยน์ตาเป็นประกายเหมือนสีของแสงสว่างจนถึงเปลือกตา เวลาร้องเสียงเหมือนเสียงผีโป่งที่ร้องอยู่ตามป่าเขา เป็นแมวร้าย ถือเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรเลี้ยง ๓.แมวร้ายชื่อ “ปีศาจ ” ปิศาจจำพวกนี้ อาจินต โทษนา เกิดลูกออกกิน ไป่เว้น หางขดดั่งงูดิน ยอบขนด ขนสยากรายเส้น ซูบเนื้อยานหนัง แมวปีศาจ เป็นแมวร้ายอีกชนิดหนึ่ง ลักษณะขนสาก หยาบ ตัวผอม หนังยาน ชอบกินลูกของตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวก็กินลูกหมด โบราณจัดเป็นแมวร้าย ห้ามได้นำมาเลี้ยง ๔.แมวร้ายชื่อ “หิณโทษ ” หิณโทษโหจชาติเชื้อ ลักษณา เกิดลูกตายออกมา แต่ท้อง สันดานเพศกายปรา กฎโทษ อยู่แฮ ไภยพิบัติพาลต้อง สิ่งร้ายมาสถาน แมวหิณโทษ เป็นแมวนำมาอันตรายและสิ่งชั่วร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายตั้งแต่อยู่ในท้อง ๕.แมวร้ายชื่อ “เหน็บเสนียด ” เหน็บเสนียดโทษร้าย เริงเข็ญ ด่างที่ทุยหางเห็น โหดร้าย ทรงรูปพิกลเบญ จาเพศ แมวดั่งนี้อย่าไว้ ถิ่นบ้านเสียศรี แมวเหน็บเสนียด ลักษณะคล้ายค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้น มีรูปร่างผิดปกติพิกลพิการ ใครลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงเกียรติยศ ๖.แมวร้ายชื่อ “กอบเพลิง ” มักนอนยุ้งอยู่ซุ้ม ขนกาย อยู่นา เห็นแต่คนเดินชาย วิ่งคล้าย กอบเพลิงกำหนดหมาย นามบอก ไว้เอย ทรลักษณชาติค่างร้าย โทษแท้พลันถึง แมวกอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัว กลัวคน พอเห็นคนมักวิ่งหลบหนี ใครเลี้ยงไว้ไม่ดี จะมีโทษถึงตัว
3011
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: 'อาเซียน' เรื่องน่ารู้..ที่คนไทยควรรู้
เมื่อ: 12 กันยายน 2559 14:05:30
ปีนักษัตร บรูไน-ไทย แม้บรูไนจะเป็นอีกประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่ก็มีชุมชนชาวจีนและชาวบรูไนที่ผสมผสานเชื้อสายจีน ซึ่งในกลุ่มนี้จะยึดถือธรรมเนียมการนับปีนักษัตรแบบจีน คำเรียกจะถอดแบบภาษาจีนต้นฉบับ ยกเว้นบางพื้นที่ที่ใช้ภาษาจีนฮากกาของชาวจีนแคะ ปีชวดเรียกว่า "ฉู่" ปีฉลูคือ "แหง่ว" ปีขาลเป็น "ฝู่" ปีเถาะตรงกับ "ถู่" ปีมะโรง-งูใหญ่ คือ "หลุง" ปีมะเส็งใช้คำว่า "สา" ปีมะเมีย-ม้า เรียกว่า "มา" ปีมะแม-แพะแบ๊ะๆ คือ "หยอง" ปีวอกใช้คำว่า "แห็ว" ปีระกา-ไก่ เป็น "แก" หรือ "ไก" ส่วนปีจอคือ "แกว" และปีกุนเรียกว่า "จู" ปิดท้ายปีนักษัตรอาเซียนที่ไทยเราซึ่งได้รับอิทธิพลการนับปีนักษัตรหรือนักขัต ผสมผสานระหว่างจี และอารยธรรมขอม ปีชวดหมายถึงปีหนู ฉลูคือวัว ขาล-กระต่าย มะโรง-งูใหญ่ แต่บางครั้งก็ใช้พญานาคตามความศรัทธาของอาเซียนตอนบน หรือมังกรแบบจีน มะเส็ง-งูเล็ก มะเมีย-ม้ามะแม-แพะ วอก-ลิง ระกา-ไก่ จอ-สุนัข กุน-หมู แต่บางพื้นที่เช่นภาคเหนือของไทยใช้ช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองเป็นสัญลักษณ์แทน ธรรมะอาสา-มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ กทม. จัดกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ครั้งที่ ๔๓ ตามโครงการ "ความรู้สู่เด็กชนบท" เพื่อเผยแผ่ธรรมะและช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในชนบท โดยมีพระวิทยากรเผยแผ่ธรรมะและครูอาสาร่วมกิจกรรม ปีนักษัตรเวียดนาม ชาวเวียตมีวันขึ้นปีใหม่หรือที่เรียกว่า "เต๊ตเงวียนด๊าน" หรือ "วันเต๊ต" ตรงกับวันที่ ๑ เดือนที่ ๑ ตามปฏิทินจันทรคติแบบเดียวกับจีน อีกอย่างที่เวียดนามมีเหมือนจีนคือปีนักษัตร ต่างแค่การเรียกชื่อและสัตว์บางชนิดเท่านั้น เริ่มที่ปีแรก "ตี๊" ตรงกับปีชวดของไทย มี "จวด" หรือหนูในภาษาเวียดนามเป็นสัญลักษณ์, "สิ่ว" ตรงกับปีฉลู มี "เจิ่ว" ซึ่งหมายถึงควายเป็นสัตว์ประจำปี, "เหยิ่น" ปีขาล มาพร้อม "โห่" หรือเสือ, "หม่าว" ตรงกับปีเถาะ-กระต่าย แต่เวียดนามนับถือ "แหม่ว" หรือแมวเป็นสัตว์ประจำปี, "ถิ่น" ปีมะโรง มี "หร่ง" หรือมังกรเป็นสัตว์สัญลักษณ์ "ติ" คือปีมะเส็ง มี "หรั้น" หรืองูเป็นสัตว์ประจำปี, "หง่อ" ปีมะเมีย มี "เหงื่อะ" ซึ่งหมายถึงม้า, "หมุ่ย" ปีมะแม ใช้ "เซ" หรือแพะเป็นสัญลักษณ์, "เทิน" คือปีวอก สัตว์มงคล คือ "ขี่" หรือลิงนั่นเอง, "เหย่า" ปีระกา มี "ก่า" ซึ่งก็คือไก่เป็นสัญลักษณ์, "ต๊วด" คือปีจอที่มี "จ๋อ" หรือสุนัขเป็นสัตว์มงคล และสุดท้าย "เห่ย" หรือปีกุน กับ "เลิน" ที่หมายถึงหมูเป็นสัตว์ประจำปี ปีนักษัตรพม่า ปีนักษัตรพม่าหรือเมียนมาต่างจากปีนักษัตรทั้ง 12 ที่เพื่อนบ้านอาเซียนตอนบนอย่างกัมพูชา เวียดนาม ลาว และไทย ได้รับอิทธิพลจากจีน ปีนักษัตรพม่าจึงมีเพียง ๘ ปี อิงกับทิศทั้ง ๘ ทิศ และ ๘ วัน ในรอบสัปดาห์ (นับแบ่งวันพุธกลางวันและ พุธกลางคืน) เริ่มจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงกับวันอาทิตย์ หรือ ตะเนงกะหนุ่ยในภาษาพม่า มีดวงอาทิตย์ และ "ครุฑ" หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า "กะโหล่ง" เป็นสัญลักษณ์, ทิศตะวันออกตรงกับวันจันทร์ ภาษาพม่าคือ ตะเหนหล่า มีดวงจันทร์ และ "จา" หรือ "เสือ" เป็นสัตว์ประจำทิศ, ทิศตะวันออกเฉียงใต้ตรงกับวันอังคาร หรือ เองกา มีดาวอังคาร-มาร์ และ "สิงโต" หรือ "ชีงเต๊ะ" เป็นสัญลักษณ์, ทิศใต้ตรงกับวันพุธกลางวัน หรือโบ๊ะดะฮู มีดาวพุธ-เมอร์คิวรี และ "ฉิ่น" ที่หมายถึง "ช้างมีงา" เป็นสัตว์ประจำทิศ ขณะที่ "ช้างไร้งา" หรือ "ฮาย" เป็นสัตว์ประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งตรงกับวันพุธกลางคืน หรือยาฮู ส่วนทิศตะวันตกซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี หรือจ่าต่าบ่าเต่ มีสัญลักษณ์คือดาวพฤหัสบดี- จูปิเตอร์ และ "จแวะ" ที่หมายถึงหนูในภาษาพม่า, ทิศเหนือตรงกับเต๊าจ่า หรือวันศุกร์ มีสัญลักษณ์เป็นดาวศุกร์-วีนัส และ "หนูตะเภา" หรือ "ปู" สุดท้ายคือทิศตะวันตกเฉียงใต้ตรงกับวันเสาร์ หรือสะเหน่ มีดาวเสาร์-แซทเทิร์น และ "นาค" ซึ่งชาวพม่าเรียกว่า "นะกา" เป็นสัตว์ประจำทิศ ปีนักษัตรเขมร ปัจจุบันปีนักษัตรนำไปใช้กันแพร่หลายทั้งฝั่งเอเชียและตะวันตก เป็นวิธีนับหรือการกำหนดรอบปีโดยมีสัตว์เป็นเครื่องหมาย ปีนักษัตรซึ่งรู้จักกันดีเป็นอิทธิพลที่มาจากการนับรอบปีของจีน ส่วนในภูมิภาคอาเซียนผ่านการผสมผสานกับอารยธรรมขอมและกลายเป็นปีนักษัตรที่กลุ่มประเทศอาเซียนตอนบนใช้กัน ขอประเดิมการนับรอบปีนักษัตรของกัมพูชาเป็นประเทศแรก ปีนักษัตรลำดับที่ ๑ ของกัมพูชา คือ "จูด" ตรงกับปีชวดของไทย และมีสัญลักษณ์เป็น "กอนดล" ซึ่งหมายถึงหนู ปีต่อไปคือ "ชโลว" ตรงกับปีฉลู สัตว์ประจำปีคือ "โก" หรือวัว, "คาล" ตรงกับปีขาล สัญลักษณ์เป็น "คลา" นั่นคือเสือ, "เทาะฮ์" ตรงกับปีเถาะ มี "ต็วน ซาย" หรือกระต่ายเป็นสัตว์ประจำปี, "โรง" คือปีมะโรง งูใหญ่ หรือ "ปัวะฮ์โทม" ในภาษาเขมร, "มซัญ" ตรงกับปีมะเส็ง สัตว์ประจำปีคือ "ปัวะฮ์โตจ" หมายถึงงูเล็ก, "โมมี" คือปีมะเมีย ม้า หรือ "แซะฮ์", "โมเม" ตรงกับปีมะแม สัตว์ประจำปีคือ "โปเป", "โวก์" คือปีวอก ลิง หรือที่เรียกว่า "ซวา", "โรกา" ตรงกับปีระกา สัญลักษณ์เป็น "เมือน" นั่นก็คือ ไก่, "จอ" แน่นอนว่าตรงกับปีจอ สัตว์ประจำปีเป็น "ชแก" ซึ่งหมายถึงสุนัข และ "กุร" ตรงกับปีกุน มี "จรูก" หรือหมูเป็นสัญลักษณ์ ปีนักษัตรลาว ปีนักษัตรที่ใช้ในสาธารณรัฐประชา ธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของไทยนั้น จากการสอบถามเจ้าหน้าที่สถานกงสุลลาว จังหวัดขอนแก่น ทำให้ทราบว่า ทั้งไทยและลาวเรียกปีนักษัตรเหมือนกัน จะต่าง ก็แค่สำเนียงการออกเสียง สัตว์สัญลักษณ์ปีนักษัตร ปีชวด คือ "หนู" ปีฉลูเป็น "งัว" หมายถึงวัวในภาษาไทย คำว่า "เสือ" ใช้เหมือนกันในปีขาล เช่นเดียวกับ "กระต่าย" ปีเถาะ "งูใหญ่" หรือ "นาค" เป็นสัตว์ประจำปีมะโรง "งู" ปีมะเส็ง ปีมะเมียใช้ "ม่า" หรือม้า ปีมะแมเป็น "แบะ" ซึ่งก็คือแพะ ปีวอกใช้ "ลิ่ง" หรือลิง ปีระกา คือ "ไก" หมายถึงไก่ ปีจอใช้ "หมา" เหมือนกัน และปีกุนคือ "หมู" ขณะที่ชาวไทลื้อซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงน้ำทา หลวงพูคา บ่อแก้ว ไซยะ บูลี และหลวงพะบางของลาว บางส่วนเรียกปีนักษัตรต่างออกไป โดยปีชวดเรียกว่า "ไจ้" ปีฉลู คือ "เป้า"ปีขาล "ยี่" ส่วนปีเถาะเป็น "เม้า" ปีมะโรงเรียก "สี" ปีมะเส็งคือ "ไส้" ปีมะเมียเรียกว่า "สะง้า" ปีมะแม คือ "เม็ด" ปีวอก คือ "สัน" ปีระกาเป็น "เล้า" ปีจอ คือ "เส็ด" และปีกุนเรียกว่า "ไก้" ปีนักษัตรฟิลิปปินส์ แม้ฟิลิปปินส์จะอยู่ห่างออกไปจากเพื่อนสมาชิกชาติอาเซียน และยังได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกมากกว่า แต่ฟิลิปปินส์ก็รับเอาความเชื่อเรื่องปีนักษัตรแบบจีนมาผสมผสานกับวิถีชีวิตหลากวัฒนธรรมของตน ส่วนใหญ่นิยมเรียกปีนักษัตรด้วยภาษาอังกฤษตามสากล แน่นอนว่าชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายจีนก็จะเรียกเป็นภาษาจีนตามสายใยเชื้อชาติที่ถ่ายทอดสืบกันมา สำหรับภาษาฟิลิปปินส์ และตากาล็อก อีกภาษาราชการ เรียกปีนักษัตรจีนว่า "อินต์ ซิก โซดีแอก" โดยปีชวดมีหนู หรือ "ดากา" เป็นสัตว์สัญลักษณ์ ปีฉลู-วัว คือ "บากา" หรือ "อุนกา" ปีขาลที่หมายถึงเสือ ชาวฟิลิปปินส์เรียกว่า "ติเกร" ปีเถาะ-กระต่าย คือ "คูเนโฮ" หรือ "โคเนโฮ" ปีมะโรงมีมังกรเป็นสัตว์มงคล ที่ฟิลิปปินส์เรียกเหมือนฝรั่ง คือ "ดรากอน" ถ้าเป็นภาษาตากาล็อกจะใช้ "นากา" ที่แปลว่านาค แบบพญานาคบ้านเรา ปีมะเส็ง-งูเล็ก หรืองูธรรมดา เป็น "อาฮาส" ปีมะเมีย-ม้า ใช้ "คาบาโย" ปีมะแมที่มีแพะแบ๊ะๆ คือ "คัมบิง" ปีวอก-ลิง เรียกว่า "ซองโก" ปีไก่ระกา คือ "ตันดัง" ปีจอ-สุนัข คือ "อะโซ" และปีกุน-หมู ใช้คำว่า "บาบอย" นอกจากนี้ ภาษาสเปนเป็นอีกหนึ่งภาษาที่ใช้กันแพร่หลายในฟิลิปปินส์มีคำเรียกสัตว์ที่เป็น ๑๒ สัญลักษณ์นักษัตร แตกต่างออกไป มีเพียงไม่กี่คำที่คล้ายหรือเหมือนกัน หนู คือ "ราโตน" วัว เรียกว่า "วากา" เสือ คือ "ติเกร" คำนี้เหมือนภาษาถิ่น กระต่ายเรียกว่า "โกเนโฆ" งู คือ "เซอร์เปียนเต" ม้า คือ "กาบาโญ" แพะ คือ "กาบรา" ลิงเรียกว่า "โมโน" ไก่ คือ "กัลโญ" สุนัขเป็น "เปรโร" และหมู คือ "แซรโด" ปีนักษัตรอินโดนีเซีย ว่ากันด้วยเรื่องปีนักษัตรในภูมิภาคอาเซียนกันต่อ พาล่องใต้ไป "อินโดนีเซีย" แดนอิเหนา เหตุที่กระโดดข้ามสิงคโปร์ไปนั่นเป็นเพราะสิงคโปร์ได้รับอิทธิพลผสมผสานจากมาเลเซีย ทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม และภาษา ปีนักษัตรในสิงคโปร์จึงเรียกด้วยภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษแบบสากล ขณะที่อินโดนีเซียนั้นแม้จะมีภาษา บาฮาซา อินโดนีเซีย ซึ่งละม้ายคล้ายมลายูของมาเลเซีย แต่ก็มีบางคำที่แตกต่างออกไป โดยปีนักษัตรของชาวอิเหนาเรียกว่า "ชีโอ" "ชีโอตีกุซ" ตรงกับปีชวดซึ่งมีหนู หรือ "ตีกุซ" ในภาษา บาฮาซา เป็นสัตว์สัญลักษณ์, ปีฉลู คือ "ชีโอเกอร์เบา" มี "เกอร์เบา" ที่แปลว่ากระบือ หรือควายเป็นสัตว์ประจำปี ปีขาล-เสือ เป็น "ชีโอมาจัน" คำว่า "มาจัน" หมายถึงเสือ, "ชีโอเกอลินจี" ตรงกับปีเถาะ มีกระต่าย หรือ "เกอลินจี" เป็นสัญลักษณ์, ปีมะโรงคือ "ชีโอนากา" มี "นากา" ซึ่งหมายถึงมังกรเป็นนักษัตร, "ชีโอ อูลาร์" ตรงกับปีมะเส็ง- งูเล็ก หรือ "อูลาร์" ในภาษาบาฮาซา ปีมะเมีย เป็น "ชีโอกูดา" มาพร้อมกับ "กูดา" ที่แปลว่าม้า, "ชีโอกัมบิง" ตรงกับปีมะแม มีสัญลักษณ์คือแพะ หรือ "กัมบิง", ปีวอก เรียกว่า "ชีโอโมแยต" มีลิง หรือ "โมแยต" เป็นสัตว์มงคล, ปีระกา-ไก่ คือ "ชีโออายัม", ปีจอตรงกับ "ชีโออันยิง" คำว่า "อันยิง" หมายถึงสุนัข และสุดท้าย "ชีโอบาบี" คือ ปีกุน มี "บาบิ" หรือหมูเป็นสัตว์ประจำปีนั่นเอง ปีนักษัตรมาเลย์ (แบบจีน) มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่รับเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภาษามาจากจีน ขณะที่ประชากรชาวมาเลย์เชื้อสายจีนมีจำนวนมากกว่าร้อยละ ๓๓ ปีนักษัตรของมาเลเซียจึงได้รับถ่ายทอดตามต้นฉบับ ๑๒ นักษัตรจีนที่เรียกว่า "สู่เซี่ยง" ปีแรกคือ "สู่เหนียน" ตรงกับปีชวดของไทย มีหนู หรือ "เหลาสู่" ในภาษาจีน เป็นสัตว์สัญลักษณ์, ปีฉลูเรียกว่า "หนิว เหนียน" มี "หนิว" ซึ่งหมายถึงวัว เป็นสัตว์ประจำปี, ปีขาล ตรงกับ "หู่เหนียน" มีสัญลักษณ์ "หู่" ซึ่งแปลว่าเสือในภาษาจีน, "ทู่เหนียน" คือปีเถาะ มาพร้อมกระต่าย หรือ "ทู่จื่อ" ปีมะโรงตรงกับ "หลงเหนียน" เป็นปี งูใหญ่ หรือมังกรตามอย่างจีน ซึ่งเรียกว่า "หลง", ปีมะเส็ง-งูเล็ก คือ "เสอ เหนียน" มี "เสอ" ที่แปลว่างูเป็นสัตว์ประจำปี "หม่าเหนียน" ตรงกับปีมะเมีย มีสัญลักษณ์เป็นม้า หรือ "หม่า", ปีมะแมคือ "หยางเหนียน" นักษัตรคือ แพะ ในภาษาจีนเรียกว่า "หยาง", ปีวอก-ลิง เรียกว่า "โหวเหนียน" และใช้ "โหวจื่อ" หรือลิง เป็นสัญลักษณ์, "จีเหนียน" ตรงกับปีระกา และมีไก่ หรือ "จี" เป็นนักษัตร, ปีจอ คือ "โก่วเหนียน" แน่นอนว่าสัญลักษณ์เป็น "โก่ว" หรือสุนัข และปีกุน-หมู เรียกว่า "จูเหนียน" และมี "จู" ซึ่งหมายถึงหมูอู๊ดๆ เป็นสัตว์สัญลักษณ์ ส่วนปีนักษัตรในสไตล์มลายูเป็นอย่างไรนั้น ติดตามต่อ ตอนหน้า ปีนักษัตรมาเลย์ (มลายู) นอกจากมาเลเซียจะใช้ปีนักษัตรแบบจีนแล้ว ชาวมลายูซึ่งเป็นประชากรหลักในมาเลเซียยังมีชื่อเรียกปีเหล่านี้ต่างออกไปด้วย เริ่มจากปีชวด "ตาฮนตีกุส" มีหนู หรือ "ตีกุส" เป็นสัญลักษณ์, ปีฉลู คือ "ตาฮนลูมู" มาพร้อมนักษัตรเคี้ยวเอื้องอย่างวัว ซึ่งภาษามลายูเรียกว่า "เลิมบู" หรือ "ลือมู" "ตาฮนรีเมา" ตรงกับปีขาล มี "ฮารีเมา" ที่แปลว่าเสือเป็นสัตว์ประจำปี ปีเถาะ คือ "ตาฮนอัรนะ" ใช้ "อัรนับ" หรือกระต่ายเป็นสัญลักษณ์ ปีมะโรง-งูใหญ่ ชาวมาเลย์เรียกว่า "ตาฮนอูลาบือซา" สัตว์ประจำปี คือ "มาฆอ" หรือมังกร ส่วนปีมะเส็ง-งูเล็ก ที่มี "อูลา" หรืองูเป็นสัญลักษณ์ เรียกว่า "ตาฮนอูลากจิ" "ตาฮนกูดอ" ตรงกับปีมะเมีย-ม้า หรือ "กูดา" ปีมะแมเรียกว่า "ตาฮนกาเม็ง" กับสัตว์ประจำปีเป็นแพะ "กัมปิง" หรือ "กาเม็ง" ปีวอก คือ "ตาฮนกือรอ" ใช้ลิง หรือ "กือรอ" เป็นสัญลักษณ์ "ตาฮนอาแย" ตรงกับปีระกา-ไก่ ในภาษามลายูเรียกว่า "อาแย" หรือ "อายัม" ปีจอ คือ "ตาฮนอายิง" มีสุนัข "อันยิง" หรือ "ฮาญิง" เป็นนักษัตร และปีกุนเรียกว่า "ตาฮนบาบี" มี "บาบี" ที่แปลว่าหมูเป็นสัญลักษณ์ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
3012
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: เรือนไทย ๔ ภาค และคติความเชื่อเรื่องการปลูกสร้างบ้าน
เมื่อ: 12 กันยายน 2559 13:51:46
บ้านกระเหรี่ยง บ้านดั้งเดิมในรัฐกะเหรี่ยง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพม่า ลักษณะเด่นของบ้านชาวกะเหรี่ยงคือสร้างจากไม้ไผ่และไม้ท่อนเป็นหลัก ส่วนใหญ่มีใต้ถุนสูง หลังคาลาดเอียงแต่ไม่สูงแหลมแบบบ้านท้องถิ่นของอินโดนีเซีย บ้านชาวกะเหรี่ยงช่วงแรกเริ่มสร้างตั้งแต่ ๑,๑๒๕ ปีก่อนคริสตกาล ยาวมาจนถึงปี ค.ศ.๑๙๑๑ ระยะแรกนี้เรียกได้ว่าเป็นบ้านโบราณชาวกะเหรี่ยงของจริง ส่วนยุคใหม่ตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๑๑ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เป็นบ้านที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพ โครงสร้างบ้านของ "กะเหรี่ยงสะกอ" นิยมทำเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหนึ่งมีเฉลียง ระเบียง หรือนอกชานขนาดกว้างสำหรับทำอาหาร บันไดขึ้นเรือนต้องวางไว้เฉพาะทิศตะวันออกหรือตก ขณะที่บ้าน "กะเหรี่ยงโปว์" มีรูปทรงไม่สมมาตร นิยมสร้างลานโล่งแจ้งไว้ในบ้าน ส่วนบ้าน "กะเหรี่ยงแบ" จะตั้งบันไดขึ้นเรือนไว้กลางบ้าน ต่างจากกะเหรี่ยงสะกอที่วางไว้ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ความคล้ายคลึงของบ้านชาวกะเหรี่ยงทั้ง ๓ ชนเผ่าหลัก คือมีหน้าต่างน้อยมาก เพียง ๒-๓ บานหรือแค่บานเดียว สันนิษฐานว่าเพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินรวมถึงป้องกันภัยจากสภาพอากาศที่มีฝนตกชุก ข้อมูล-ภาพ : ข่าวสดออนไลน์
3017
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: แกลเลอรี 'ปักษี' ในดินสอดำบนกระดาน
เมื่อ: 09 กันยายน 2559 14:02:11
นกจับแมลงป่าพรุ Malaysian Blue Flycatcher Cyomis turcosus นกจับแมลงป่าพรุ ลำตัวส่วนบน หัว จนถึงขนคลุมหางและปีก สีน้ำเงินสด หน้าผากเหนือคิ้ว สีฟ้า คางใต้คอสีน้ำเงินเข้ม อกสีส้ม ท้องสีขาว สีข้างเหลืองอ่อน ปากสีดำ ตาสีน้ำตาล ชอบอยู่เป็นคู่ แต่ห่างๆ เกาะนิ่งอยู่ตามกิ่งก้านต้นไม้ รอแมลงบินผ่านมา จึงบินโฉบจับแล้วกลับมาเกาะที่เดิม นกหายาก พบได้เฉพาะที่พรุโต๊ะแดง นราธิวาส
มติชนสุดสัปดาห์ นกชนหิน Helmeted Hornbill Rhinoplax vigil นกชนหิน นกเงือกขนาดใหญ่ หน้าตาแปลกกว่าเพื่อน ตัวผู้หน้าและคอเป็นหนังเปลือย สีแดง ตัวเมีย หน้าและคอสีฟ้าอ่อน ปากไม่ยาวมาก เหนือโคนถึงกลางปาก มีโหนกตั้งสูง ขอบมน ทึบตัน ภายในไม่เป็นโพรงอากาศ ขณะต่อสู้เพื่อชิงการครอบครองอาณาเขตต่างพุ่งเข้าหาโดยใช้ โหนกกระแทกกันเสียงดังสนั่นเหมือนหินกระทบกัน โหนกตันแข็งแกร่ง ทำให้มันถูกล่า เอาโหนก ไปแกะสลักแทนงาช้าง!
มติชนสุดสัปดาห์ ไก่จุก Crested Wood Partridge Rollulus rouloul ไก่จุก ลำตัวกลม หางสั้น หน้าผากขาว มีจุกหงอนแผ่เป็นแผงใหญ่สีแดง ลำตัวสีน้ำเงินเข้ม ดำเป็นมัน ปีกสีน้ำตาล หางและโคนหางด้านบนสีเขียวคล้ำ หนังรอบตาสีแดง ตัวเมียไม่มีหงอน ลำตัวสีเขียวหม่น หัวสีเทาเข้ม ปีกสีน้ำตาลแดง หากินตัวเดียว หรือเป็นคู่ ตามพื้นป่ารก ลูกไม้ ผลไม้หล่นจากต้น เมล็ดพืช หนอนและแมลง ทำรังบนพื้น ซ่อนตัวตามเศษซากใบไม้
มติชนสุดสัปดาห์ นกจาบคาคอสีฟ้า Blue-throated Bee-eater Merops viridis นกจาบคาคอสีฟ้า หัว ท้ายทอย จรดหลังสีน้ำตาลแดง คอสีฟ้าอ่อนมีแถบสีดำ คาดจาก โคนจากใต้ตาถึงแก้ม ลำตัวสีเขียว ตะโพกและหางสีฟ้าสด มีขนหางกลางยาวแหลมยื่นออกมา นกอพยพ บินรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ เกาะกันเป็นก้อน จำนวนมาก นกประจำถิ่นส่วนใหญ่ อาศัยทางภาคใต้และภาคตะวันออก
มติชนสุดสัปดาห์ Red Avadavat Amandava amandava นกกระติ๊ดแดง หัว คอ หลัง ลำตัวด้านบนสีน้ำตาล โคนหางสีแดง ลำตัวด้านล่างสีแดง มีจุดสีขาวกระจาย ท้องสีดำ ปีกสีน้ำตาลเข้ม มีจุดสีขาว ตัวเมียสีน้ำตาล ปากสีแดง มักรวมตัว กันเป็นฝูงเล็กๆ หากินเมล็ดหญ้า เมล็ดข้าว และแมลงตัวเล็ก จากสีสันที่สวยงามในฤดูผสมพันธุ์ ทำให้ถูกจับไปขาย (ลงในเน็ตขายคู่ละ ๒,๕๐๐ บาท!) ฝรั่งเรียก ‘สตรอว์เบอร์รี่แห่งท้องทุ่ง’ ไทยเรียก ‘ชมพูดง’
มติชนสุดสัปดาห์ นกกระเรียนไทย Eastern Sarus Crane Grus antigone นกกระเรียนไทย นกน้ำขนาดใหญ่ ในอดีตมีจำนวนมาก พบเห็นตามทุ่งนาและหนองน้ำทั่วไป มีบันทึกการทำรังวางไข่จำนวนนับหมื่นตัวในบริเวณทุ่งมะค่า นครราชสีมา ช่วง ๔๐ ปีถัดมา กระเรียนไทยถูกล่าจนลดจำนวนลงมาก ภาพฝูงสุดท้าย บันทึกไว้ในปี ๒๔๘๘ จากนั้นก็สูญพันธุ์ ไปจากประเทศไทยนานกว่า ๓๐ ปี กำเนิดใหม่กระเรียนไทย สวนสัตว์นครราชสีมาเป็นศูนย์เพาะ ขยายพันธุ์ฟื้นฟูประชากรนกกระเรียนไทย และปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ วันนี้เราสามารถพบเห็น ได้ที่ทุ่งกระมัง ชัยภูมิ และห้วยจระเข้มาก บุรีรัมย์
มติชนสุดสัปดาห์ นกแต้วแล้วธรรมดา Blue-winged Pitta Pitta moluccensis นกแต้วแล้วธรรมดา หัวและหน้าสีดำ มีแถบสีน้ำตาลอ่อนจากโคนปากเหนือตาไปถึงท้ายทอย หลังสีเขียว ไหล่ ตะโพก และหางสีฟ้าสด คอขาว ลำตัวด้านล่างสีน้ำตาลเหลือง กลางท้องถึงก้นสีแดง ปีกสีดำ มีแถบขาว หากินหนอน แมลง ตามพื้นดินที่ร่มครึ้ม ส่งเสียงร้อง ‘แต้วแล้ว แต้วแล้ว’ อีกชื่อเรียก ‘นกกอหลอ’
มติชนสุดสัปดาห์ นกอินทรีหางขาว White-tailed Eagle Haliaeetus albicilla นกอินทรีหางขาว นกอินทรีกินปลาขนาดใหญ่ หัวสีน้ำตาลอ่อน ลำตัวสีน้ำตาลเข้ม แซมด้วยน้ำตาลอ่อน หางสีขาวสั้นรูปลิ่ม ปีกยาวและกว้างรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หากินตาม ชายฝั่งทะเล บึงน้ำ แม่น้ำใหญ่ จับปลา นกเป็ดน้ำ นกยางเป็นอาหาร จัดเป็นนกพลัดหลง หายากมากพบเพียงครั้งเดียวที่นครสวรรค์
มติชนสุดสัปดาห์
3019
นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ผัดชะครามน้ำพริกปลาทู สูตร/วิธีทำ
เมื่อ: 07 กันยายน 2559 16:44:54
. ผัดชะครามน้ำพริกปลาทู ■ เครื่องปรุง - ผักชะคราม 1 ถ้วย - พริกหนุ่ม 7-8 เม็ด - กระเทียมไทย 2 หัว - หอมแดง 5-7 หัว - ปลาทู 1 ตัว - น้ำปลาดี หรือน้ำปลาร้าต้มสุก - มะม่วงเปรี้ยว สับหรือซอย - น้ำมะนาว ■ วิธีทำน้ำพริกปลาทู 1.เผาพริก หอมแดง กระเทียม จนสุกหอม 2.ย่างปลาทูด้วยไฟอ่อนๆ จนสุกระอุ แกะเอาแต่เนื้อ 3.ลอกเปลือกพริก กระเทียม และหอมแดง โขลกรวมกับเนื้อปลาทูย่าง ใส่มะม่วงสับ ปรุงรสด้วยน้ำปลาดีหรือน้ำปลาร้าต้มสุก และน้ำมะนาว 4.รับประทานคู่กับผักชะครามผัดน้ำมัน ฯลฯ ■ วิธีทำผักชะครามผัดน้ำมัน 1.ใบชะครามมีรสเค็มอยู่ในตัว เพื่อให้ความเค็มเจือจาง ให้แช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วใส่ตะแกรงผึ่งให้สะเด็ดน้ำ 2.ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย รอให้น้ำมันร้อนจัด จึงใส่ใบชะครามลงไปผัดให้สุก 3.จัดเสิร์ฟคู่กับน้ำพริกปลาทู หรือน้ำพริกกะปิ ฯลฯ ปิ้ง หรือย่าง หรือทอด ปลาทู พริกชี้ฟ้า หอมแดง และกระเทียมจนสุกหอม
แล้วนำไปโขลกรวมกัน ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี มะนาว และมะม่วงเปรี้ยวซอย
มีผู้แนะนำเรื่องการปรุงอาหารจากใบชะคราม ให้นำใบชะครามไปลวกหรือต้มแล้วบีบน้ำทิ้ง
เพื่อคลายความเค็มที่มีอยู่ในใบชะคราม แต่ครัว "สุขใจ ดอทคอม" แนะนำให้นำไปแช่ในน้ำสะอาดแทนการต้ม
เพื่อให้คงประโยชน์จากคุณค่าของสารอาหารไว้ให้ครบถ้วน ซึ่งได้ผลดีเช่นกัน
มื้อแรกเป็นขั้นทดลองกิน อยู่ในอาการกลัวๆ กล้าๆ...ไม่กล้าชิม...
จึงหยิบมาทดลองผัดน้ำมันชิมเพียงเล็กน้อย และเอาหน่อไม้ลวกมาเคียงคู่
กลัวน้ำพริกจะไม่มีผักจิ้ม หากกินผักชะครามไม่ได้
จานนี้กินคู่กับน้ำพริกปลาทู วันถัดไปผัดน้ำมันอีก 1 จาน กินคู่กับน้ำพริกปลาร้าผัด...สุดยอดจริงๆ
มีเรื่องมาเล่า เจ้าของเว็บไซต์สุขใจดอทคอม ไปเที่ยวจังหวัดเพชรบุรีเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้หิ้ว “ชะคราม ” มาฝาก 1 ถุง (ประมาณ 2 ขีด) บอกว่าแช่อยู่ในตู้เย็นเอาไว้ทำกับข้าว จึงทำให้ได้มีโอกาสรู้จัก “ชะคราม” เป็นครั้งแรกในชีวิต จับถุงชะครามพลิกไปพลิกมา ใบอะไรก็ไม่รู้เป็นฝอยๆ ค่อนข้างแข็งคล้ายใบสน...ไม่รู้จะทำอะไรกิน และไม่กล้าจะทดลองกินพืชผักแปลกๆ ที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อนด้วย จะทิ้งก็สงสารไอ้เจ้าคนหิ้วมาฝาก หมกๆ ไว้กะรอให้ผักเน่าจะได้เป็นข้ออ้างนำทิ้งถังขยะ จนเกือบสองสัปดาห์ผ่านไป ถูกนายเจ้าของเว็บไซต์กระตุกต่อมเครียด ยิงคำถามว่าป้ากิมเล้งเอาใบชะครามไปทำกับข้าวหรือยัง...ยัง! เป็นเหตุให้ต้องค้นหาข้อมูลเจ้าผักใบเป็นฝอยเหมือนใบสน จึงทำให้ทราบว่าใบของชะคราม ทำอาหารได้หลายเมนู เช่น ยำใบชะคราม แกงเผ็ดใบชะครามกับปูหรือกุ้ง แกงส้มใบชะคราม ใบชะครามลวกราดกะทิ หรือชุบแป้งทอด หรือทอดกับไข่กินคู่กับน้ำพริก ฯลฯ...ลองๆ ชั่งน้ำหนักความเสี่ยงแล้ว มาได้ข้อสรุปให้ตนเองด้วยการเลือกปรุง “ใบชะครามผัดน้ำมัน + หน่อไม้ลวก กินคู่กับน้ำพริกปลาทู” คือถ้าถึงขั้นต้องเททิ้งเพราะกินไม่ได้แล้ว ยังจะนับได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คือเสียเพียงค่าน้ำมันพืชไม่กี่สตางค์เท่านั้นเอง ส่วนน้ำพริกปลาทูยังไงเสียก็ยังมี “หน่อไม้ลวก” ไว้สำรองให้กินแกล้ม ณ บัด Now เพียงคำแรกที่ได้ลิ้มลองรสชาติอันแปลกใหม่ของใบชะครามผัดน้ำมัน ก็ทำให้รู้สึกหลงรักในรสชาติของใบชะครามเข้าให้ซะแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าเอร็ดอร่อยแค่ไหน เจอหน้านายเจ้าของเว็บไซต์ คำแรกที่เอ่ยปากคือ คราวหน้าถ้าแกไปเที่ยวทะเล อย่าลืมซื้อชะครามมาฝากป้ากิมเล้งสักสองเข่ง!...เกิดมาไม่เคยกินผักอะไรที่เอร็ดอร่อยเท่าใบชะคราม รสชาติมันๆ หวานนิด เค็มหน่อย ที่สำคัญไม่มีกลิ่น จึงเหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ชะคราม ภาพจาก : วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
ชะคราม การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ อาณาจักร:
Plantae ไม่ถูกจัดอันดับ :
Angiosperms ไม่ถูกจัดอันดับ :
Eudicots ไม่ถูกจัดอันดับ :
Core eudicots อันดับ:
Caryophyllales วงศ์:
Amaranthaceae วงศ์ย่อย:
Suaedoideae สกุล:
Suaeda สปีชีส์:
S.maritima ชะครามเป็นพืชล้มลุก ประเภทพืชสมุนไพร มีขึ้นอยู่ทั่วไปของพื้นที่ป่าชายเลนตามชายฝั่งทะเลที่น้ำเค็มขึ้นถึง ในไทยพบมากที่ป่าโกงกาง ที่รกร้างรอบๆ นาเกลือ บริเวณจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ เป็นพืชทนเค็ม ขยายพันธุ์ได้ง่าย กิ่งก้านอวบน้ำ ใบแคบยาว พองกลม ปลายแหลมมีนวลจับขาวจำนวนมาก สีเขียวอมฟ้า ใบมีรสเค็ม ออกดอกตามซอกใบ ลักษณะทางพฤกศาสตร์ชะคราม Suaeda maritima (L.) Dumort. Chenopodiaceae ชื่อพ้อง Chenopodium maritimum L. (basionym) ชื่ออื่น ส่าคราม (สมุทรสาคร) ชักคราม ชื่อวงศ์ CHENOPODIACEAE ลำต้น ไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปีเมื่ออายุมากขึ้นจะพัฒนาจนลำต้นมีเนื้อไม้เป็นพุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1 เมตร แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ลำต้นแก่มีผิวหยาบจากรอยแผลที่เกิดจากใบที่ร่วงหล่นไปแล้ว ใบ เป็นใบเดี่ยว รูปทรงกระบอกแคบๆ โค้งเล็กน้อย ยาว 2-5 มม. ปลายเรียวแหลม ไร้ก้าน เรียงสลับ เบียดกันแน่น ไม่มีก้านใบ ใบรูปแถบยาว 1-6 เซนติเมตร. ใบอวบน้ำมีนวลสีเขียวสดหรือสีเขียวอมม่วงในฤดูแล้งจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงอ่อนๆ ดอก ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ยาวประมาณ 15 ซม. ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ยาวประมาณ 15 ซม. แต่ละแขนงดอกออกเป็นกระจุก 3-5 ดอกเรียงยาวตามช่อแขนง มีใบประดับคล้ายใบ ลดรูปตามช่อกระจุกช่วงปลายช่อ ประดับย่อยขนาดเล็ก มี 2-3 อัน ติดใต้กลีบรวม ยาว 0.5-1 มม. ติดทน ลักษณะคล้ายใบ และมีขนาดเล็กลงไปทางปลายช่อ ใบประดับย่อยที่ฐาน วงกลีบรวม มี 2-3ใบรูปขอบขนานมนโปร่งใสและติดคงทนวงกลีบรวม สีเขียว หรือสีเขียวอมม่วง ผล มีลักษณะกลม ขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5เซนติเมตร. อยู่ภายในวงกลีบรวม แต่ละผลมีเมล็ดจำนวนมาก สรรพคุณตามตำรับยาไทย จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แห่งประเทศอินเดีย พบว่า ชะครามมีคุณสมบัติพิเศษคือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถนำมาสกัดสารเพื่อใช้เป็นยาสมุนไพรยับยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็ง อันเป็นความหวังของผู้วิจัยและผู้ป่วยมะเร็งอีกทางหนึ่ง และเนื่องจากเป็นพืชที่ชอบขึ้นในที่เค็ม จึงดูดซับเกลือไว้ในลำต้น ทำให้มีธาตุไอโอดีนสะสมอยู่จำนวนมาก จึงสามารถป้องกันโรคคอพอกได้ นอกจากนี้ทั้งต้น ยังรักษารากผม แก้ผมร่วงได้อีกด้วย ราก ใช้รากรับประทานเป็นยาบำรุงกระดูก แก้พิษฝีภายใน ดับพิษในกระดูก น้ำเหลืองเสีย ผื่นคัน โรคผิวหนัง และเส้นเอ็นพิการ ใบของชะครามทำอาหารได้อร่อยหลายเมนู โดยที่ใบของชะครามจะดูดเอาความเกลือจากดินมาเก็บไว้จึงทำให้ใบมีรสเค็ม ดังนั้นในการปรุงอาหารจึงใช้ใบอ่อนนำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วต้มคั้นน้ำทิ้งไป 2-3 ครั้ง เพื่อให้ลดความเค็มลง
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104 105 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130 131 132 133 134 135 136 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 152 153 154 155 156 157 158 159 160 161 162 163 164 165 166 167 168 169 170 171 172 173 174 175 176 177 178 179 180 181 182 183 184 185 186 187 188 189 190 191 192 193 194 195 196 197 198 199 200 201 202 203 204 205 206 207 208 209 210 211 212 213 214 215 216 217 218 219 220 221 222 223 224 225 226 227 228 229 230 231 232 233 234 235 236 237 238 239 240 241 242 243 244 245 246 247 248 249 250 251 252 253 254 255 256 257 258 259 260 261 262 263 264 265 266 267 268 269 270 271 272 273 274 1 ... 149 150 [151 ] 152 153 ... 274