จากปม มินิ วปอ. ย้อนเปิดวิจัย 'เครือข่ายผู้บริหารระดับสูงผ่านเครือข่ายทางการศึกษาพิเศษ'
<span class="submitted-by">Submitted on Fri, 2024-01-12 21:16</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>จาก ปม มินิ วปอ. ที่มีชื่อ ' แพทองธาร' สมัคร พร้อมลูกหลานนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ในโอกาสนี้ชวนย้อนอ่านงานวิจัย 'เครือข่ายผู้บริหารระดับสูงผ่านเครือข่ายทางการศึกษาพิเศษ' ชี้เป็นช่องจัดตั้งหา "พวก" ส่งผลต่อความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจและระบบประชาธิปไตย ขณะที่เมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา 'เศรษฐา' เคยอัดกลางเวที วปอ. ชี้สร้างอภิสิทธิ์ชน เตือนเยาวชนจับตาอยู่</p>
<p> </p>
<p>จากที่มีการเปิดเผยว่า แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงเจตจำนง สมัครเข้าเรียน หลักสูตร การป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) หรือ มินิ วปอ. รุ่นแรก National Defence Course for Future Leader (NDCFL) มินิวปอ.รุ่น1 ในโควตาการเมือง ส่งผลให้เกิดความสนใจและกระแสวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะบรรดารายชื่อภาคการเมือง เครือข่ายข้าราชการ นักวิชการ คนมีชื่อเสียงนักธุรกิจต่างๆ ที่สมัครเข้าร่วมหลักสูตรนั้น</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">'เศรษฐา' เคยอัดกลางเวที วปอ. ชี้สร้างอภิสิทธิ์ชน เตือนเยาวชนจับตาอยู่</span></h2>
<p>ย้อนไปเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานรับฟังการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติของ วปอ. ท่ามกลางบรรดา ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา เข้าร่วมรับฟัง นายกฯ กล่าววิจารณ์ วปอ. ด้วยว่า เป็นสถาบันสร้างคอนเน็คชั่นอภิสิทธิ์ชนท็อป 1% ของประเทศนี้ พร้อมทั้งเตือนเยาวชนจับตาอยู่ และขอให้ใช้สายสัมพันธ์เพื่อประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ ความยากจนและความยากลำบาก</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53188632869_2c98dbe618_h.jpg" /></p>
<div class="more-story">
<ul>
<li>
'เศรษฐา' อัดกลางเวที วปอ. ชี้สร้างอภิสิทธิ์ชน เตือนเยาวชนจับตาอยู่ วอนใช้สายสัมพันธ์เพื่อประเทศ</li>
<li>
ส่องเทรนด์ "หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง" เครือข่ายชั้นนำใหม่?</li>
</ul>
</div>
<p>"สำหรับ วปอ.ยังพาทุกท่านเข้ามาทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นสมาคม สร้างสังคมและกลายเป็นสายสัมพันธ์อันดีของทุกๆท่านในที่นี้ ความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์เก่าเป็นที่ประจักษ์ในสังคมไทย เส้นสายสัมพันธ์คอนเน็คชั่นของพวกท่านในประเทศ ทำให้พวกท่านเป็นบุคคลพิเศษหรือเรียกว่าอภิสิทธิ์ชนก็ว่าได้ เป็นท็อป 1% หรือน้อยกว่านั้นของประเทศนี้ เป็นสถาบันที่คนอยากเข้ามาศึกษา ที่อยากได้รับเกียรติเข้ามาอยู่ในที่นี้ คอนเน็คชั่นที่ท่านได้รับจากสถาบันนี้จะสามารถให้ประโยชน์ต่ออาชีพการงานของพวกท่าน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ภาครัฐวิสากิจ ภาคประชาสังคมหรือต่อยอดธุรกิจได้อย่างมหาศาล" เศรษฐา กล่าว พร้อมเรียกร้องขอให้ใช้ความรู้ความสามารถและสายสัมพันธ์จากที่นี้ให้เกิดประโยชน์โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรของรัฐ ไม่ได้ใช้แต่สิทธิ์ ให้ดูถึงหน้าที่และความเหมาะสมเพราะทุกสายตาในประเทศจับจ้องกันอยู่ในฐานะเป็นบุคคลพิเศษที่จะเป็นผู้นำของประเทศนี้ในทุกๆ ด้าน</p>
<p>ย้อนไปที่ พ.ย.2556 รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการ "
สู่สังคมไทยเสมอหน้า การศึกษาโครงสร้างความมั่งคั่งและโครงสร้างอำนาจเพื่อการปฏิรูป" ที่จัดทำโดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาตราจารย์ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสนับสนุนโดยสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย</p>
<p>บทหนึ่งของรายงานวิจัยดังกล่าวชื่อ "เครือข่ายผู้บริหารระดับสูงผ่านเครือข่ายทางการศึกษาพิเศษ" ของนวลน้อย ตรีรัตน์ และ ภาคภูมิ วาณิชกะ ระบุไว้ในบทคัดย่อว่า </p>
<div class="note-box">
<p style="margin-left: 40px;">ขณะนี้มีหลักสูตรทีอบรมผู้บริหารระดับสูง โดยเน้นการผสมผสานผู้เข้าอบรมจากภาคราชการ ทังข้าราชการพลเรือน ทหาร ตํารวจ ผู้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ภาคการเมือง และภาคธุรกิจ ทําให้เกิดความสัมพันธ์ทังทีเป็นทางการและไม่เป็นทางการระหว่างบุคคลในรุ่นการศึกษาเดียวกัน และระหว่างรุ่น คําถามสําคัญคือ หลักสูตรการศึกษาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการสร้างเครือข่ายขึ้นในลักษณะกลุ่มผู้มีอิทธิพลระดับสูงใช่หรือไม่ และเครือข่ายเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลประการใดในสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย จากการวิเคราะห์ความเป็นมา เนื้อหา กิจกรรมของหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมาก เช่นวิทยาลัยตลาดทุน วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และอื่นๆ รวมหกหลักสูตร อีกทั้งศึกษาบทบาททางเศรษฐกิจการเมืองของเครือข่ายที่เกิดขึ้นได้ข้อค้นพบสําคัญคือหลายหลักสูตรแม้จะมีเป้าหมายในการให้ความรู้ด้วย แต่ลึกๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับการจัดตั้งกลุ่มผลประโยชน์หรือการหา "พวก" เพื่อเพิ่มช่องทางและพลังในการผลักดันผลประโยชน์ขององค์กรที่จัดหลักสูตร "การศึกษา" เป็นข้ออ้างในการรวบรวมบุคคลภายนอกองค์กรที่มีหน้าที่กํากับดูแลการทํางานหรือพิจารณาอนุมัติผลประโยชน์ขององค์กรเข้ามาสู่กระบวนการกล่อมเกลาเพื่อให้บุคคลเหล่านั้น "เชื่อ" ในเป้าหมายเดียวกัน การเป็นเพื่อนร่วมรุ่นร่วมหลักสูตรได้รับการตอกยํ้ามาก เกิดเป็นเครือข่ายผู้บริหารระดับสูง มีบทบาทเป็นเงื่อนไขของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจการเมืองทั้งในระดับของการแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะบุคคล และในระดับของโครงสร้างอํานาจโดยตัวของมันเอง</p>
<p style="margin-left: 40px;">โดยรวมการดําเนินการของหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงในปัจจุบันแม้จะมีผลดีบ้าง แต่อาจจะมีผลเสีย ต่อความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจและระบบประชาธิปไตยของสังคมไทย ทําให้เกิดคําถามเกี่ยวกับความโปร่งใสในการดําเนินนโยบายหรือการตัดสินใจในองค์กรภาครัฐเพิ่มมากขึ้น เป็นปัญหาต่อการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ การศึกษาครั้งนี้จึงมีข้อเสนอเบื้องต้นให้พัฒนาระบบธรรมาภิบาลและพิจารณาถึงแนวทางในการหลีกเลียง ป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ทีอาจเกิดขึ้นต่อองค์กรที่จัดตังหลักสูตร โดยกําหนดกรอบการดําเนินงานของหลักสูตรผู้บริหารทีดําเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ ต้องมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ หรือ การพัฒนาประสิทธิภาพในการทํางานของหน่วยงานภาครัฐอย่างแท้จริงเป็นหลัก และควรมีการกําหนดหลักเกณฑ์ทีชัดเจนในการอนุญาตให้ผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐเข้าศึกษาในหลักสูตรผู้บริหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรทีดําเนินการโดยภาครัฐหรือภาคเอกชน โดยยึดหลักความจําเป็น ผลประโยชน์ของหน่วยงาน และผลกระทบต่องานที่รับผิดชอบเป็นสําคัญเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการทํางานเพราะบางหลักสูตรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่แต่อย่าง</p>
</div>
<p>นอกจากนี้ วันที่ 15 ส.ค.55 ประชาไทเคยนำเสนอรายงานกิจกรรมงานสัมมนาทางวิชาการเพื่อการเสนอผลงานวิจัย "สู่สังคมไทยเสมอหน้า การศึกษาโครงสร้างความมั่งคั่งและโครงสร้างอำนาจเพื่อการปฏิรูป" ที่ศูนย์สารนิเทศ จุฬาฯ ซึ่ง นวลน้อย พูดถึงงานวิจัยชิ้นนี้ด้วยว่า ศึกษาโครงสร้างอำนาจจากการวิเคราะห์เครือข่ายความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์กรในระดับสูง หรือชนชั้นนำในสังคมทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมโดยพิจารณากลไก วิธีการ และกระบวนการที่ก่อให้เกิดความร่วมมือที่ทำให้เกิดการสร้าง รักษา และสืบทอดอำนาจ และเชื่อมโยงถึงการสะสมความมั่งคั่ง โดยศึกษาหลักสูตรผู้บริหาร 6 หลักสูตร ได้แก่
(1) หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
(2) หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) ของวิทยาลัยการยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม
(3) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) ของสถาบันพระปกเกล้า
(4) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ของสถาบันวิทยาการตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(5) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (TEPCoT) ของหอการค้าไทย
(6) หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง</p>
<p>จาก 6 หลักสูตรแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย 4 หลักสูตร คือ วปอ. (รวมทั้งหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) และหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐเอกชนและการเมือง (วปม.) บ.ย.ส., ปปร. และ พตส. กลุ่มที่ 2 คือ หลักสูตรที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานที่ไม่ใช่ภาครัฐ ประกอบด้วย 2 หลักสูตร คือ วตท. และ (2) TEPCoT</p>
<p>เป้าหมายของกลุ่มที่ 1 จะเน้นพัฒนาศักยภาพหรือแนวคิดของผู้เข้าเรียน มีการประเมินผลอย่างชัดเจน เป้าหมายของการศึกษามีลักษณะกว้างและเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยเครือข่ายที่หลักสูตรสร้างขึ้นไม่มีบทบาทในการผลักดันผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของหลักสูตรชัดเจนนัก ขณะที่กลุ่มที่ 2 เน้น "กล่อมเกลาทางความคิด" ให้คนที่เข้ามาเกิดความเชื่อแบบเดียวกันเป็นหลัก และจะมีการผลักดันข้อตกลงหรือแนวคิดบางประการจากเครือข่ายที่หลักสูตรสร้างออกไปด้วย</p>
<p>การสร้างเครือข่ายของหลักสูตร แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ 1.การคัดเลือกบุคคลเข้ารับการศึกษา โดยกลุ่มที่ 1 ซึ่งจัดโดยราชการ เน้นผู้เรียนที่เป็นผู้บริหารระดับกลางที่เป็นดาวรุ่ง หรือผู้นำในอนาคต ขณะที่กลุ่มที่ 2 เน้นที่ผู้มีอำนาจบทบาททางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม 2.การสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของหลักสูตร โดยทั้งสองกลุ่มเน้นการสร้างกิจกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของผู้เรียน โดยมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ ปฐมนิเทศ การรับน้อง มีสายรหัส 3.ตอกย้ำหรือรักษาความสัมพันธ์หลังสำเร็จการศึกษา โดยตั้งสมาคมศิษย์เก่า เพื่อดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระหว่างรุ่น</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
http://farm8.staticflickr.com/7249/7789530440_96917d3ae5_z.jpg" />
<span style="color:#e67e22;">อาชีพของผู้เข้าเรียนในหลักสูตรต่างๆ</span></p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
http://farm9.staticflickr.com/8284/7789529220_862cdb3a27.jpg" />
<span style="color:#e67e22;">การตั้งเครือข่ายศิษย์เก่า (ที่มา: สไลด์ประกอบการบรรยาย)</span></p>
<p>นวลน้อยยกตัวอย่างเครือข่ายที่เกิดขึ้นในระดับปัจเจก อาทิ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งผ่านการศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงมา 3 หลักสูตร คือ วปอ. 34 (2534) วตท. 4 (2550) และ TEPCoT 2 (2552) ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บมจ. ที.เค.เอส.เทคโนโลยี ซึ่งมีสุพันธุ์ มงคลสุธี กรรมการและรองประธานกรรมการบริษัทเป็นนักศึกษา วตท.รุ่นที่ 3 และณรงค์ จุนเจือศุภฤกษ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบเป็นนักศึกษา วตท.รุ่น 4 และณรงค์เป็นรองประธานกรรมการ บมจ.มติชนในปัจจุบัน</p>
<p>ส่วนตัวอย่างของเครือข่ายเชิงสถาบันกับการผลักดันผลประโยชน์องค์กร นวลน้อยยกตัวอย่างของการจัดสัมมนาใหญ่ "ตลาดทุนไทย...ใครจะผ่าตัด" เมื่อปี 2551 โดย วตท.รุ่น 1-5 ซึ่งสามารถเชิญ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง ในขณะนั้นมาร่วมงาน และหลังจากนั้น นพ.สุรพงษ์ ได้เซ็นคำสั่งจัดตั้งแผนพัฒนาตลาดทุน ซึ่งมีคณะทำงานเกือบ 90% ผ่าน วตท.ทั้งสิ้น แผนนี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วใน 1-2 ปี โดยมีเรื่องสำคัญคือ การเปลี่ยนสภาพตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นวาระของคนส่วนหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์อยู่ในแผนดังกล่าว การผลักดันนี้เข้าสู่กฤษฎีกาได้ในสมัยรัฐบาล ปชป. แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็พลิกล็อค โดยกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่เห็นด้วยกับการแปรสภาพเป็นพื้นฐานเดิมอยู่แล้ว ในฐานะผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เองมีความเกี่ยวเนื่องกับคนในตลาดบางส่วนที่ต้องสูญเสียประโยชน์ สุดท้ายปลายปี 2554 เขาได้ขอถอนร่างออกจากกฤษฎีกา โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นนโยบายรัฐบาล</p>
<p>ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการรวมตัวเชิงสถาบัน และกล่อมเกลาทางความคิด หลายเรื่องเดินหน้าไปได้เร็ว แต่เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่ใช่คนกลุ่มดียวในสังคม กลุ่มอื่นๆ จึงสามารถปะทะขัดขวางแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ได้</p>
<p>นอกจากนี้ เมื่อเทียบหลักสูตรการศึกษาพิเศษเหล่านี้กับมหาเศรษฐีไทย 40 อันดับ จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ พบว่า นักธุรกิจที่มีธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐ จะไม่นิยมเข้าเรียน นอกจากนี้ พบว่า จาก 40 ตระกูล คนในแต่ละตระกูลนิยมเข้าเรียน วตท. 19 ตระกูล วปอ. 13 ตระกูล และ บ.ย.ส. และ ปปร. อย่างละ 6 ตระกูล</p>
<p>นวลน้อยตั้งคำถามในครั้งนั้นว่า การรวมตัวของบุคคลชั้นนำผ่านหลักสูตรเหล่านี้จะก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจชนชั้นนำมากขึ้นหรือไม่ หรือจะเกิดในลักษณะที่สองคือ เป็นช่องทางให้กลุ่มทุนใหม่ที่เติบโตจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัว แทรกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ ซึ่งส่วนตัวแล้วเชื่อแบบที่สองมากกว่า</p>
<p>อย่างไรก็ตาม นวลน้อยชี้ว่า แต่เมื่อพิจารณาทั้งหมด ไม่ว่าจะส่งผลแบบใด ก็คงไม่ทำให้สังคมไทยเสมอหน้ามากขึ้น เพราะการเกาะเกี่ยวกันไม่ว่ารูปแบบไหน ทำให้การแสวงหาผลประโยชน์กระจุกตัวอยู่ที่ชนชั้นนำมากขึ้น โดยที่ประชาชนที่อยู่ภายนอกหรือระดับล่างย่อมเข้าไม่ถึง และสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นปัญหาในอนาคต</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/01/107605