ฆ่าคนครั้งที่สองครั้งที่สองการพยายามฆาตกรรมของปีเตอร์ไม่สำเร็จ เขายอมรับต่อศาลว่า เขาปล่อยให้ผู้หญิงไม่ทราบชื่อ
ที่เขาข่มขืนในป่าเกรเนเบิร์ก ของดุสเซอดอร์ฟ หนีไปได้ แต่ไม่มีใครทราบซะตากรรมของเธอหลังจากนั้น
สันนิษฐานว่า เธอคงมีสติและคลานหนีได้ แต่คงอายและกลัวจึงไม่ได้เหตุการณ์ให้ใครฟัง
แต่เหยื่อรายอื่น ๆ ไม่โชคดีเหมือนกับเธอนี้สิ
25 พฤษภาคม ปี 1913 มีการพบศพหนูน้อยคริสติน ไคลน์ อายุ 10 ขวบ เธอถูกพบบนเตียง มีร่องรอยถูกข่มขืน
ที่ลิ้นมีรอยกัดอย่างรุนแรง และปาดคอ เลือดเต็มเตียง ในโรงแรมเล็ก ๆ ที่ โคโลญจ์
และในห้องมีผ้าเช็ดหน้าปัก
อักษรย่อ P.K. อยู่ แต่น่าเสียดายที่พ่อของเด็กหญิงเคราะห์ร้ายก็มีตัวอักษรย่อของชื่อว่า P.K. เช่นกัน
คดีนี้จึงไม่ถูกโยงมาถึงตัวเคอร์เทน
เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวลุงของเธอในฐานะผู้ต้องสงสัย แต่ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะไม่มีหลักฐาน
แต่ความละอายใจในข้อกล่าวหามันติดตัวเขาจนตายจนกระทั้งเขาเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของปีเตอร์ คาร์เทนในศาลเวลาต่อมา
เขาเล่าย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17 ปี ก่อนว่า.........
"วันนั้น ใช่วันที่ 25 พฤษภาคมปี 1913 นั้นแหละ ตอนนั้นผมกำลังเข้าโรมแรมโคโลญจ์เพื่อไปขโมยของ
เจ้าของห้องอยู่ชั้นบน ส่วนผมอยู่ชั้นล่าง ผมเปิดประตูแต่ไม่พบอะไรน่าขโมยเลย แต่ผมพบเด็กนั้นนอนอยู่
บนเตียงในห้องของเธอ ท่าทางหลับปุ๋ยเชียว เมื่อเห็นแล้ว ผมก็จับเด็กด้วยมือซ้าย และบีบคอประมาณ
หนึ่งนาทีครึ่ง เด็กตื่น พยายามดิ้นรน แต่หมดสติไป ไม่มีเสียงร้องสักเอะ"
"ผมมีมีดพกคม ๆ ประจำตัว ผมใช้มีดนั้นปากคอจนถึงหลอดลมของเธอ โดยช้อนศีรษะของเด็กนั้น
เลือดพุ่งออกมาเหมือนท่อประปาแตก เลอะเสื่อที่ปูอยู่ข้าง ๆ เตียง ผมได้ยินเสียงเลือดพุ่งของเธอ
มันกระตุ้นอารมณ์ทางเพศผม ผมข่มขื่นเธอในขณะที่เลือดพุ่งไม่หยุด ประมาณ 3 นาทีได้ จากนั้น
ผมก็ปิดล็อกประตูห้อง
จากนั้นก็กลับบ้านที่ดุสเซอดอร์ฟ และกลับมาที่เมืองนี้อีกที่ พอดีมีร้านกาแฟ
อยู่ตรงข้าม ผมนั่งดื่มเบียร์และอ่านข่าวฆาตกรรมในหนังสือพิมพ์ ทุกคนในร้านพูดแต่เรื่องนี้ ทุกคน
หวาดกลัวและขุนเคืองกับข่าวที่ออกมา ผมมองสีหน้าของพวกเขา มันทำให้รู้สึกดีเป็นบ้า!"ส่วนเคอร์เทนนั้น หลายสัปดาห์ให้หลังจากฆ่าหนูน้อยคริสติน ไคลน์ เขาถูกจับในข้อหาเผารถม้า
พร้อมกับพยายามฆ่าหญิงสาว 2 คน และถูกจำคุก 8 ปี แต่ก็ทำให้เขารอดพ้นจากการเกณฑ์ทหาร
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปได้ปี 1921 เคอร์เทนถูกปล่อยตัว และกลับมายังดุสเซอดอร์ฟอีกครั้ง ในช่วงนี้เองที่เขาพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ที่เขารักอย่างแท้จริงไปจนสิ้นชีวิต หญิงดังกล่าวก็มีประวัติติดตัวเช่นกัน เธอถูกนักต้นตุ๋นแต่งงานหลอก
จึงยิงอีกฝ่ายตายด้วยความแค้น ในครั้งแรก ฝ่ายผู้หญิงปฏิเสธคำขอแต่งงานของเคอร์เทนมาตลอด
แต่เมื่อเคอร์เทนขู่ว่าเขาจะฆ่าเธอ เธอก็เลยยอมแต่งงานด้วยในปี 1923เพื่อนบ้านมักพูดเสมอถ้าถามว่าเขาเป็นคนอย่างไร
"เขาเป็นคนสุขุม สุภาพ เรียบร้อย พูดเสียงเบา เคร่งศาสนา เข้าโบสถ์เป็นประจำ และรักเด็ก เขาชอบใส่เสื้อ
ที่สะอาดหมดจด คนข้าง ๆ ได้กลิ่นหอมโอเดอโคเลญจ์ ดูแล้วน่าคบหามาก"
แต่ภายในร่างบุรุษที่สุภาพ ดูอ่อนแอนั้น แท้จริงคือปีศาจ ปีเตอร์มักตบตีทำร้ายภรรยา เป็นกิจวัตรประจำวัน
นอกจากนี้ พฤติกรรมของเขานับวันยิ่งโหดร้ายมากขึ้น เช่น ชอบทำร้ายคนแปลกหน้าด้วยกรรไกรหรือมีด
ชอบก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย เช่น ขโมยของ ทำร้ายร่างกายคนอื่น และมักหนีรอดจากเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง
(ความจริง เคอร์เทนรักภรรยาของเขาอย่างจริงใจจนตลอดชีวิต แต่ดูเหมือนเรื่องความรักกับเพศสัมพันธ์
จะเป็นคนละเรื่องกัน เขาคบหากับผู้หญิงหลายคน และเคยถูกภรรยาจับได้ด้วย)
2 ปีหลังจากนั้น เคอร์เทนใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างปกติ จะมีก็เพียงคดีทำร้ายร่างกายสาวใช้ ซึ่งยังนับว่า
เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาชญากรรมที่เขาก่อทั้งหมด
ปี 1925 เคอร์เทนปักหลักที่ดุสเซลดอร์ฟซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นเวทีในชีวิตอาชญากรรมของเขา
ช่วง 3 ปีแรก เขาก่อคดีพยายามทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ 3 คดีและคดีวางเพลิงอีก 17 คดี
ในปี 1929 คดี "ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ" ก็เปิดฉากขึ้น ปี 1929 คลื่นความตื่นกลัวกระหน่ำทั่วเมืองดุสเซลดอร์ฟ
8 กุมภาพันธ์ โรซ่า โอลิก้า (8) ถูกแทง 13 แผลจนเสียชีวิต ศพของเธอมีร่องรอยถูกล่วงเกินทางเพศ
และถูกราดด้วยน้ำมัน
12 กุมภาพันธ์ รูดอลฟ์ เชล (45) ถูกแทง 20 แผลจนเสียชีวิตหลังจากนั้นเขาพยายามจะฆ่ารัดคอหญิงสาว 2 คน
แต่ปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้ คำให้การของหญิงทั้งสองทำให้ผู้มีอาการป่วยทางจิตอีกคนถูกจับ แล้วเคอร์เทน
ก็หลบซ่อนตัวอยู่หลายเดือน
27 พฤศจิกายน พบศพเกอทรูด อัลเบอร์มานน์ วัย 5 ขวบ ถูกใบมีดเฉือน และมีแผลตามร่างกายถึง 36 แผล
11 สิงหาคม มาเรีย ฮานส์ (20) ถูกแทงเสียชีวิต ศพของเธอถูกฝังริมฝั่งแม่น้ำไรน์ คูร์เท่นตั้งใจขุดขึ้นมาประจาน
ในภายหลัง แต่ศพหนักเกินไป เขาจึงฝังกลับลงไปเหมือนเดิม
เช้าวันที่ 24 สิงหาคม ตำรวจพบศพเด็กน้อยสองคน ภายหลังทราบชื่อ หลุยส์ เลนเซน อาย อายุ 14 ปี
และเกอทรูด เลนเซน อายุ 5 ปี สองพี่น้อง พบศพในระหว่างทางกลับบ้านจากงานเทศกาลประจำปี
ที่บริเวณชานเมือง ฟลิห์ สภาพศพนอนกองจมเลือด
ความจริงของคดีนี้ทั้งหมด ได้จากคำรับสารภาพของคาร์เทนในศาลเวลาต่อมาเย็นวันที่ 23 สิงหาคม ในขณะที่สองพี่น้องกำลังจะกลับบ้าน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตามหลังมาว่า
"น้าลืมซื้อบุหรี่ พวกเธอเป็นคนมีน้ำใจ เธอช่วยไปซื้อบุหรี่ให้น้าหน่อยได้ไหม น้าจะช่วยดูแลน้องของเธอเอง
ผมบอกด้วยเสียงสั่น ใจอยากกระหายที่จะฆ่าคนสองคนนี้เต็มแก่แล้ว" ...ปีเตอร์นึกถึงความหลัง...
"ผมพูดกับเด็กสองคนนั้น ผมให้เงินกับคนพี่(หลุยส์) เขารับเงินและไปซื้อบุหรี่ ผมรีบฉวยโอกาสนั้นลากคนน้อง(เกอทรูด)
เข้าไปหลังรั่วไม้ ผมรัดคอและปาดคอด้วยมีด เลือดเธอพุ่งกระฉูด ร่างเธอกระตุก แต่ผมไม่ใส่ใจมากนักเพราะคนน้อง
กำลังกลับมา ผมทิ้งศพไว้หลังรั่ว เมื่อคนน้องกลับมา ผมรับบุหรี่และเงินทองจากเธอ จากนั้นก็ให้รางวัลกับเธอ..........
ด้วยความตาย ด้วยวิธีที่ไม่แตกต่างกับคนพี่เท่าไรนัก "
ในเวลาไม่นานนักมีเด็กรับใช้ชื่อ เกอทรด ซูส์ท ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ถูกแทง 24 แผล
ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน ในทางเดินใกล้ ๆ กับนูซ
ปีเตอร์ ก็ยอมรับคดีนี้ เช่นกันว่าเขาเป็นคนทำทั้งหมด
"มันไม่หนำใจมากนักในการฆ่าพี่น้องสองคนนั้น พอผมกลับบ้าน ผมก็ออกเดินเล่นอีก ประมาณ 12 ชั่วโมงได้
ก็เจอเด็กคนหนึ่ง(เกอทรูด) ในใจผมกระตุ้นอยากฆ่าคนอีกแล้วสิ ผมวางแผน โดยเสนอพาเธอไปงานใกล้ ๆ กับนูซ
ในขณะที่ผ่านป่า ผมเห็นสบโอกาส ผมพยายามขมขื่นเธอ แต่เธอต่อสู้ ผมโกรธมาก ผมใช้มีดเล่มเดิมนั้นปาดคอ
และแทงที่ไหล่และหลังเธอ จับเธอและโยนลงพื้น พอดีมีดเล่มนั้นเกิดหักและคาอยู่หลังบนหลังเธอ"
แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่คนเดินทางผ่านมาได้ยินเสียงเธอ และเข้ามาช่วยปีเตอร์ เคอร์เทน
เห็นท่าไม่ดี จึงปล่อยเกอทรูดนอนจมเลือด ส่วนตนเองหนีรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ชาวบ้านส่งตัวเธอเข้ารักษา
ในโรงพยาบาลได้ทันเวลาพอดี เกอทรด ซูส์ท ได้ให้การเกี่ยวกับคนร้ายว่าเป็น
"ชายท่าทางอัธยาศัยดี อายุราว 40 ปี ไม่มีลักษณะเด่นอะไร"29 กันยายน เอียด้า รอยเตอร์ (31) ถูกทุบด้วยค้อนจนเสียชีวิต
11 ตุลาคม เอริซาเบท โดริเอล (ไม่ทราบอายุ) ถูกทุบด้วยฆ้อนจนเสียชีวิต
7 พฤศจิกายน เกลทรูเด้ อัลเบลแมน (5) หลังจากบีบคอแล้วก็ถูกแทงจนเสียชีวิต 2 วันให้หลัง เคอร์เทน
ส่งจดหมายแจ้งที่ทิ้งศพของอัลเบลแมนและที่ฝังศพของแมรี่ ฮานส์ไปให้กับหนังสือพิมพ์ มีการอธิบาย
สถานที่อย่างละเอียดละออและแนบกระทั่งแผนที่มาให้ จดหมายลงท้ายชื่อว่า
"อัจฉริยะ"