ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้องกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนอ่าวกุ้ง ถูกโครงการท่าเทียบเรือฟ้อง บุกรุก-ทำลายทรัพย์
<span class="submitted-by">Submitted on Tue, 2023-09-05 15:46</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้องกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนอ่าวกุ้ง ภูเก็ต ข้อหาบุกรุก-ทำลายทรัพย์สิน หลังถูกเจ้าของโครงการสร้างท่าเทียบเรือสำราญ ฟ้องร้อง ก่อนหน้านี้ชาวบ้านอ่าวกุ้ง เคยมีข้อพิพาท คัดค้านเจ้าของโครงการสร้างท่าเทียบเรือฯ เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม-ระบบนิเวศ และอาชีพประมงท้องถิ่น</p>
<p> </p>
<p>5 ก.ย. 2566 มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน รายงานวันนี้ (5 ก.ย.) ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 จังหวัดภูเก็ต ยืนตามศาลชั้นต้นยกฟ้อง 5 สมาชิกแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านอ้าวกุ้ง ถูกเจ้าของโครงการสร้างท่าเทียบเรือสำราญ ฟ้องร้องต่อศาลภูเก็ต ในข้อหาร่วมกันบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 5 คน มีการบุกรุกและทำลายรั้วลวดหนามผ่านที่ดินของโจทก์เข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่ป่าชายเลน</p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53165853084_ee7770be68_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ภาพบรรยากาศการฟังความพิพากษาวันนี้ ที่ศาลจังหวัดภูเก็ต</span></p>
<p>ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน สรุปเนื้อความคำตัดสินพิพากษา ระบุว่า สำหรับข้อหาร่วมกันบุกรุก ศาลวินิจฉัยว่า ที่ดินของโจทก์ หรือเจ้าของโครงการท่าเทียบเรือนั้น เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งไม่อาจกำหนดแนวเขตที่แน่นอนได้ ทั้งที่ยังไม่เคยมีการดำเนินรังวัดตรวจแนวเขตให้ถูกต้อง เพื่อแบ่งแยกแนวเขตที่ดินของโจทก์ และป่าชายเลน อันพิจารณาได้ว่าที่ดินที่จำเลยผ่านเข้าไปนั้นเป็นที่ดินที่โจทก์มีสิทธ์ครอบครอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำโดยมีเจตนาบุกรุก จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุก</p>
<p>อีกข้อหาคือ การทำให้เสียทรัพย์นั้น ไม่ปรากฏในอุทธรณ์โจทก์ว่า โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างใด หรือที่ถูกต้องเป็นเช่นไร คงมีเพียงคำขอให้พิพากษากลับคำตัดสินศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้ง ถือไม่ได้ว่าเป็นอุทธรณ์ ศาลไม่รับวินิจฉัย </p>
<p>กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจา่กกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลน ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ออกมาร่วมคัดค้านการสร้างท่าเทียบเรือสำราญและกีฬาอ่าวกุ้งมารีน่า เนื่องจากชาวบ้านมีความกังวลว่า ขั้นตอนและกระบวนการการสร้างท่าเทียบเรืออาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรอบป่าชายเลน ทำให้สัตว์น้ำลดลง ส่งผลต่อการประกอบอาชีพประมงของคนในพื้นที่ </p>
<p>นอกจากนี้ ในช่วงโควิด-19 ระบาดเมื่อปี 2563-2565 ชาวบ้านท้องถิ่นที่ตกงานและขาดรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ซบเซา ได้หันกลับมาทำงานประมงในอ่าวกุ้งเยอะขึ้น เพื่อหาเลี้ยงประทังชีพ จึงทำให้ชาวบ้านกังวลอย่างมากว่า การสร้างท่าเทียบเรือจะทำให้แหล่งอาหาร และสัตว์น้ำ ที่ช่วยพยุงชีพพวกเขาในช่วงวิกฤตหายไปด้วย </p>
<div style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53166071645_00c9301956_b.jpg" /></div>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">แผนที่: อ่าวกุ้ง ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต</span></p>
<p>สำหรับส่วนของคดีความ เกิดขึ้นเมื่อ ธ.ค. 2562 เจ้าของโครงการท่าเทียบเรือได้ยื่นฟ้องแกนนำกลุ่มอนุรักษ์ชายเลนอ่าวกุ้ง 5 คนเป็นคดีอาญา ข้อหาบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ ต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เป็นหมายเลขดำที่ อ.1216/2562 โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 5 คน มีการบุกรุกและทำลายรั้วลวดหนามผ่านที่ดินของโจทก์เข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่ป่าชายเลน</p>
<p>โดยในชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยทั้ง 5 คนได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาเนื่องจากการฟ้องของโจทก์เป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต หรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้ง หรือเอาเปรียบจำเลย หรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ (ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161/1) ซึ่งจุดประสงค์ของโจทก์ต้องการฟ้องปิดปาก เพื่อให้จำเลยและกลุ่มเคลื่อนไหวหยุดเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการท่าเทียบเรือของของโจทก์ แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าว เนื่องจากศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุให้เชื่อได้ว่าโจทก์มีเจตนาไม่สุจริตในการฟ้องคดี และในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนี้ ศาลได้มีคำสั่งว่าคดีมีมูลให้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป</p>
<p>ภายหลังศาลมีคำสั่งรับฟ้อง ในชั้นพิจารณาคดี จำเลยทั้ง 5 คน ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน เนื่องจากหากต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวอาจต้องใช้หลักทรัพย์มูลค่า 50,000 บาท ต่อคน รวม 5 คนอาจต้องใช้หลักประกันถึง 250,000 บาท ซึ่งศาลก็มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกัน เพราะเห็นว่าจำเลยเป็นชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีพฤติการณ์ที่หลบหนี และไม่เคยมีพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น และการปล่อยตัวชั่วคราวไม่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดีในศาล โดยคดีมีกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 9 ส.ค. 2565 และนัดสืบพยานจำเลย 10-11 ส.ค. 2565</p>
<p>ต่อมา เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2565 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน เนื่องจากโจทก์นำสืบได้ไม่แน่ชัดว่าที่ดินที่จำเลยทั้ง 5 คน เดินผ่านนั้น เป็นที่ดินของโจทก์หรือเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำการโดยมีเจตนาบุกรุก จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก ส่วนที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งห้าทำลายรั้วลวดหนาม ก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ โดยเป็นการสันนิษฐานเองว่า จำเลยทั้งห้าเป็นผู้ทำลายรั้วลวดหนาม ไม่มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ</p>
<p>อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลชั้นต้นยกฟ้อง ทางโจทก์ ได้ยื่นขออุทธรณ์ ก่อนที่ต่อมา วันนี้ (5 ก.ย.) ศาลอุทธรณ์ได้มีการยกฟ้องทั้ง 2 ข้อหา </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/09/105776