หัวข้อ: นานาสังวาสกะและสมานสังวาสกะ :สมเด็จพระญาณสังวร เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 กันยายน 2555 17:31:19 (http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/545266_4506223744500_1191713157_n.jpg) นานาสังวาสกะและสมานสังวาสกะ พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเกิดความแตกแยกแห่งสงฆ์ในกรุงโกสัมพีขึ้น จนทำให้พระผู้มีพระภาคได้เสด็จจาริกสู่ป่ารักขิตวัน หรือป่าเลไลยกะ จนทำให้ชาวกรุงโกสัมพีต่างโกรธแค้นเหล่าภิกษุที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนทำให้พวกตนสูญเสียประโยชน์จากการได้เห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงต่างก็พร้อมใจกันไม่ให้การอุปถัมภ์พระภิกษุเหล่านั้น ในฝ่ายภิกษุบริษัท พระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า จะปฏิบัติในภิกษุเหล่านั้นอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ดำรงอยู่โดยธรรม พระสารีบุตรก็ได้กราบทูลถามว่า จะพึงรู้ว่าเป็นธรรมหรือว่าอธรรมอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสว่า ภิกษุที่เป็นอธรรมวาที คือ ผู้กล่าวไม่เป็นธรรมนั้น พึงทราบได้ด้วยวัตถุ ๑๘ ข้อ เมื่อรวมเป็นคู่ก็ได้ ๙ คู่ คือ คู่ที่ ๑ แสดงอธรรม ว่า ธรรม แสดงธรรม ว่า อธรรม คู่ที่ ๒ แสงดอวินัย ว่า วินัย แสดงวินัย ว่า อวินัย คู่ที่ ๓ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า มิได้ตรัส แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัส ว่า ตรัสไว้ คู่ที่ ๔ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงประพฤติ ว่า ทรงประพฤติ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติ ว่า มิได้ทรงประพฤติ คู่ที่ ๕ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ ว่า ทรงบัญญัติ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ว่า มิได้ทรงบัญญัติ คู่ที่ ๖ แสดงอนาบัติ ว่า อาบัติ แสดงอาบัติ ว่า อนาบัต คู่ที่ ๗ แสดงอาบัติเบา ว่า อาบัติหนัก แสดงอาบัติหนัก ว่า อาบัติเบา คู่ที่ ๘ แสดงอาบัติที่มีส่วนเหลือ ว่า เป็นอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ แสดงอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ ว่า เป็นอาบัติที่มีส่วนเหลือ คู่ที่ ๙ แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่า ไม่ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่า เป็นอาบัติที่ชั่วหยาบ ภิกษุที่มีวาทะดังกล่าวมานี้ก็ให้พึงรู้ว่าเป็นอธรรมวาที กล่าวไม่เป็นธรรม ภิกษุที่เป็นธรรมวาที ส่วนภิกษุที่เป็นธรรมวาที คือ กล่าวเป็นธรรมนั้น ก็พึงทราบด้วยวัตถุ ๑๘ ข้อ อันมีอรรถ คือ เนื้อความตรงกันข้ามจากที่กล่าวมาแล้ว คือ คู่ที่ ๑ แสดงอธรรม ว่า อธรรม แสดงธรรม ว่า ธรรม คู่ที่ ๒ แสงดอวินัย ว่า อวินัย แสดงวินัย ว่า วินัย คู่ที่ ๓ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่า ได้ตรัสไว้ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัส ว่า มิได้ตรัส คู่ที่ ๔ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงประพฤติ ว่า มิได้ทรงประพฤติ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติ ว่า ได้ทรงประพฤติ คู่ที่ ๕ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ ว่า มิได้ทรงบัญญัติ แสดงข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ว่า ได้ทรงบัญญัติ คู่ที่ ๖ แสดงอนาบัติ ว่า อนาบัติ แสดงอาบัติ ว่า อาบัต คู่ที่ ๗ แสดงอาบัติเบา ว่า อาบัติเบา แสดงอาบัติหนัก ว่า อาบัติหนัก คู่ที่ ๘ แสดงอาบัติที่มีส่วนเหลือ ว่า เป็นอาบัติที่มีส่วนเหลือ แสดงอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ ว่า เป็นอาบัติที่ไม่มีส่วนเหลือ คู่ที่ ๙ แสดงอาบัติชั่วหยาบ ว่า ชั่วหยาบ แสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบ ว่า เป็นอาบัติที่ไม่ชั่วหยาบ ภิกษุที่มีวาทะดังกล่าวมานี้รวมเรียกว่า เป็น ธรรมวาที กล่าวเป็นธรรมวัตถุ ฝ่ายอธรรมวาที ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการวิวาทกันจนแตกร้าวกัน เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เภทกรณวัตถุ แปลว่า วัตถุเป็นเครื่องทำให้แตกกัน ส่วนวัตถุฝ่ายธรรมวาทีย่อมเป็นเครื่องทำให้ไม่แตกกัน ทำให้ปรองดองกัน โดยตรงกันข้าม และวัตถุฝ่ายอธรรมวาที ๑๘ ข้อ ๙ คู่ ดังกล่าวมานี้ เป็นมูลเหตุแห่งวิวาทาธิกรณ์ ในคณะสงฆ์ คือ อธิกรณ์ที่เกิดขึ้นจากการวิวาทกัน การวิวาทกันนี้มิใช่วิวาทด้วยเรื่องส่วนตัวของใครผู้ใดผู้หนึ่ง แต่วิวาทคือทุ่มเถียงกันว่า นี้เป็นธรรม นี้ไม่เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้ไม่เป็นวินัยเป็นต้น ตามคู่ทั้ง ๙ นั้น เมื่อวิวาทกันแม้เพียงคู่ใดคู่หนึ่งก็เรียกว่าเป็นวิวาทที่จะก่อให้เกิดเรื่องราว อันเรียกว่า อธิกรณ์ ขึ้นได้ และเมื่อเป็นวิวาทาธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์แล้ว ก็ย่อมจะปันสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายที่มีความเห็นข้างนี้ ฝ่ายที่มีความเห็นข้างโน้น ก็เลยแตกกันเป็น ๒ ฝ่าย แตกกันจนแยกกันทำ สังฆกรรม และเมื่อแยกกันทำสังฆกรรมก็เรียกว่าเป็น สังฆเภท คือ ความแตกของสงฆ์ ถ้ายังไม่ถึงกับ แยกกันทำสังฆกรรม ก็ยังไม่เป็นสังฆเภท แต่เรียกว่าเป็น สังฆราชี ซึ่งความแตกของสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้น เรียกว่า นานาสังวาสกะ คือ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมต่างกัน เป็นนานาสังวาสกะของกันและกัน ส่วน สมานสังวาสกะ คือ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ร่วมเสมอกัน เป็นความพร้อมเพรียงปรองดองกันของสงฆ์ สังฆสามัคคีอุโบสถ คือ อุโบสถสวดพระปาติโมกข์ เป็นการทำสังฆสามัคคี ตามที่กล่าวมานี้ไม่ได้กำหนดว่าเป็นวันไหนเหมือนอย่างอุโบสถที่กำหนดทำอยู่โดยปกติ เมื่อเกิดสังฆเภทขึ้นและสงฆ์มาปรองดองกันเป็นสังฆสามัคคีเมื่อใด ก็ทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ขึ้นเมื่อนั้น เรียกว่า สังฆสามัคคีอุโบสถ (http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/c0.0.400.400/p403x403/404162_3547687342391_86852291_n.jpg) ที่มา : ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก วัดบวรนิเวศวิหาร http://www.phuttha.com/stupa/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-10 |