เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนาพระไพศาล วิสาโล
นิตยสาร CHIP
มีนาคม ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๓
เทคโนโลยีในทัศนะของพุทธศาสนาเทคโนโลยีเมื่อนำมาใช้ในทางที่ดีก็เป็นสิ่งดี เมื่อนำมาใช้ในทางที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งเลวร้ายได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองเทคโนโลยีด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาจนเกินไป มีหลายคนหลงคิดว่าเทคโนโลยีล้วนเป็นเพียงเครื่องมือ หรือ Tools ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งาน แต่ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งลงไปก็จะเห็นถึงความสลับซับซ้อนมากกว่านั้น
เทคโนโลยีไม่เป็นกลางเมื่อ 22 ปีก่อน อาตมาเคยแปลหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "วิพากษ์คอมพิวเตอร์ เทวรูปแห่งยุคสมัย" เขียนโดยไมเคิล แชลลิส หนังสือเล่มนี้วิพากษ์วิจารณ์เทคโนโลยีใหม่ในยุคสมัยนั้น คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ว่ามีผลกระทบต่อสังคมและผู้คนทั้งโลกอย่างไร ประเด็นที่เขาหยิบยกขึ้นมานั้นน่าสนใจยิ่ง เขาอธิบายว่าเทคโนโลยีกับสังคมนั้นแยกกันไม่ออก เทคโนโลยีสามารถก่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้มากมาย อย่างเช่น คอมพิวเตอร์จะมีผลกระทบต่อแบบแผนการทำงานและความสัมพันธ์ในสังคม ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ความคิดอ่านของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย เป็นต้น
วิพากษ์คอมพิวเตอร์ เทวรูปแห่งยุคสมัย
The Silicon Idol: The Micro Revolution and Its Social Implications
โดย : ไมเคิล แชลลิส
แปล : พระไพศาล วิสาโล, สมควร ใฝ่งามดี
สำนักพิมพ์ : มูลนิธิโกมลคีมทอง
ISBN 974-7233-03-7เทคโนโลยีกำหนดโลกทัศน์ของผู้ใช้เทคโนโลยี เปรียบเหมือนคนที่มีค้อนอยู่ในมือ ก็จะมองเห็นแต่ตะปู หรือมองอะไรเป็นตะปู คนที่มีมีดพร้า ก็จะสนใจว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเองสามารถจะฟันหรือถากด้วยมีดได้
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คนใช้รถยนต์กับคนใช้จักรยาน จะมีทัศนะต่อโลกและชีวิตไม่เหมือนกัน คนใช้รถจะรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจ มองว่าคนข้ามถนนและคนเดินบนบาทวิถีคือตัวปัญหา มองว่าต้นไม้ที่เกาะกลางถนนเป็นตัวกีดขวางการเดินทางที่เร่งด่วน แต่ทัศนะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นกับคนขี่จักรยาน เพราะเขาจะมองว่าคนเดินถนนคือเพื่อนร่วมทาง และต้นไม้ที่เกาะกลางถนนคือร่มเงา ทัศนะที่แตกต่างกันเป็นเพราะใช้เทคโนโลยีที่ต่างกัน
ความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ที่มาของมัน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมีที่มาจากอุตสาหกรรมการทหารและอาวุธ การทหารทำให้เกิดความจำเป็นที่มนุษย์ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อคำนวณหาเป้าหมายในการทำลายล้าง และเสาะแสวงหาข่าวกรองด้านความมั่นคง เทคโนโลยีดิจิตอลที่เราใช้แปลงข้อมูลข่าวสารทั้งหลายในโลกเพื่อการส่งถึงกันนั้น ก็มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่การมองโลกแบบทวิลักษณ์ คือ 0 และ 1 ไม่ขาวก็ต้องเป็นดำ ซึ่งก็คือการปิดและเปิดกระแสไฟฟ้าบนแผงวงจรนั่นเอง ทั้งที่สรรพสิ่งในโลกของเราล้วนแตกต่างหลากหลายมากมายกว่านั้น คือนอกจากขาวและดำแล้ว ยังมีเทาด้วย
Binary
หมายถึงสิ่งที่มีองค์ประกอบ 2 อย่าง ยกตัวอย่างเช่นในทางคณิตศาสตร์ ระบบเลขฐานสอง หรือ Binary numeral system คือระบบการคำนวนที่ใช้เลขเป็นตัวแทนเพียง 2 ตัวเลข คือ 0 และ 1อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นความไม่เป็นกลางของเทคโนโลยี คืออาวุธนิวเคลียร์ แม้จะมีการพูดว่าอาวุธชนิดนี้จะใช้เพื่อรักษาสันติภาพหรือคุกคามสันติภาพก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เพื่ออะไร อย่างไรก็ตามเมื่ออาวุธชนิดนี้อยู่ในมือของประเทศใด ก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าเดิม แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีอาวุธชนิดนี้อยู่ในมือ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สันติภาพโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเปลี่ยนแปลงไปส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศมีการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ มากน้อยเพียงใด
ถึงแม้ทุกวันนี้ มีการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในทางสันติ คือใช้เป็นเชื้อเพลิงพลังงาน มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ในท้ายที่สุด กากของเสียนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นก็ยังสร้างปัญหาเพราะสามารถเอาไปใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ ดังนั้นการมีอยู่ของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ จึงทำให้คนทั้งโลกรู้สึกไม่ปลอดภัยและหวาดกลัวต่อสงครามมาโดยตลอดเช่นกัน แม้ว่าสงครามเย็นจะยุติแล้ว แต่ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ก็ยังไม่หมด เพราะมีความเป็นห่วงว่าอาวุธชนิดนี้อาจตกอยู่ในมือของกลุ่มก่อการร้าย โลกเราจึงไม่เคยสงบสุขได้อย่างแท้จริงเลยหลังจากที่มีการคิดค้นเทคโนโลยีชนิดนี้ขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก ขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้มันอย่างไรมากกว่า ขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันมันด้วยว่า มันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนอย่างไร ทุกวันนี้เราไม่ค่อยมีหนังสือแนวของไมเคิล แชลลิส ให้อ่านกัน ตอนนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองจะหันมาใช้คอมพิวเตอร์แล้วหรือยัง แต่ข้อเสนอของเขายังน่ารับฟัง และนำมาอภิปรายเพื่อคิดอ่านร่วมกัน อย่างน้อยที่สุด ก็เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีมาครอบงำเราไม่ว่าในด้านการดำเนินชีวิตหรือในระดับจิตสำนึก
คำสอนในพระพุทธศาสนาผู้ที่เคร่งศาสนาส่วนใหญ่มักจะมีแนวโน้มต่อต้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือเป็นพวก Luddite ทั้งนี้เพราะผู้ที่สนใจศาสนามักเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ส่วนเทคโนโลยีมักก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่สวนทางกับประเพณีหรือค่านิยมของศาสนิกชน ดังนั้นเราจึงพบว่าในกลุ่มประเทศอิสลาม พวกเคร่งศาสนาแบบสุดโต่งมักต่อต้านอินเทอร์เน็ตหรือจานดาวเทียม เพราะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสื่อกลางที่นำเอาค่านิยมตะวันตกไปเผยแพร่ในประเทศของคน รวมทั้งทำให้เกิดความหลงใหลในเรือง เซ็กส์ วัตถุนิยม ความรุนแรง ฯลฯ
ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็มีลักษณะอนุรักษ์นิยมเช่นกัน แต่ไม่เข้มข้นหรือสุดโต่งขนาดนั้น แน่นอนว่าในสมัยพุทธกาลยังไม่มีการคิดค้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถนำคำสอนของพระองค์ มาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโลกยุคดิจิตอลได้
หลักการแรกคือการพิจารณาถึงคุณค่าแท้และคุณค่าเทียม ยกตัวอย่างเรื่องการกินอาหาร ก็มีคุณค่าอยู่ทั้ง 2 ด้าน คุณค่าแท้คือประโยชน์ด้านสุขภาพอนามัยที่ช่วยบำรุงร่างกายให้อยู่ได้ด้วยดี คุณค่าเทียมคือความเอร็ดอร่อย ความโก้เก๋ ดังนั้นการกินอาหารในร้านริมถนนกับการกินอาหารในภัตตาคารหรูหรา ในแง่คุณค่าแท้ก็ไม่ต่างกัน คือได้ประโยชน์ในทางสุขภาพใกล้เคียงกันมาก แต่เราทุกคนต่างก็อยากไปกินอาหารในภัตตาคาร เพราะมันอร่อยกว่า โก้เก๋กว่า นี่คือการให้ความสำคัญกับคุณค่าเทียมในเรื่องการกินอาหาร
พระพุทธเจ้าสอนว่าให้เราเอาคุณค่าแท้เป็นหลัก คือกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ให้มีเรี่ยวแรงในการทำงานและมีชีวิต ไม่ใช่กินเพื่อมุ่งเอาความเอร็ดอร่อยเป็นหลัก ถ้าใครติดคุณค่าเทียม ก็จะเกิดโทษ เช่น เป็นโรคอ้วน หรือถ้ากลัวอ้วน ก็กลายเป็นโรคบูลีเมียและอนอเรกเซีย
ถ้ามองในเรื่องเทคโนโลยีทั่วไปอย่างเช่นรถยนต์ คุณค่าแท้ของรถยนต์คือใช้เป็นพาหนะเพื่อเดินทาง เป็นการทุ่นแรงทุ่นเวลา คุณค่าเทียมของมันคือความโก้เก๋ การสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผู้ขับขี่ สมัยนี้เราเน้นคุณค่าเทียมมาก ดังนั้นเวลาดูโฆษณารถยนต์ ให้สังเกตว่าเขาไม่ค่อยพูดว่ารถคันนี้ช่วยให้คุณไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยและประหยัด แต่เน้นว่ารถคันนี้ขับแล้วโดดเด่น โก้เก๋ ไม่เหมือนใคร สถานะทางสังคมสูงส่งกว่าผู้อื่น
ในสังคมปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บทางร่างกาย และปัญหาสังคมจำนวนมาก ล้วนเกิดขึ้นจากการที่ผู้คนหมกมุ่นยึดติดกับคุณค่าเทียมมากเกินไป อาตมามีความเห็นว่าคนในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องถึงขั้นปฏิเสธคุณค่าเทียมไปเสียทั้งหมด เพียงแต่อย่าให้ความสำคัญกับมันมากไปจนมองข้ามคุณค่าแท้
การใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน เราควรเลือกซื้อและนำมาใช้งานเพื่อคุณค่าแท้ คือเพื่อทำงานเอกสาร ใช้ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ช่วยให้งานสำเร็จเสร็จสิ้นได้รวดเร็วขึ้น ไม่ควรเอาคุณค่าเทียมเป็นหลักคือใช้เพื่อความสนุกสนาน บันเทิง ความตื่นเต้น หลายคนใช้คอมพิวเตอร์เป็นประโยชน์ประเภทหลังจนหยุดไม่ได้ ถึงขั้นเสพติดเทคโนโลยี
เดี๋ยวนี้คนเสพติดเทคโนโลยีไอทีมาก โดยเฉพาะเกมออนไลน์ ในประเทศเกาหลีมีหลายคนติดเกมออนไลน์จนชีวิตย่ำแย่ บางคนติดเกมออนไลน์จนถูกไล่ออกจากงาน เลยเล่นเกมทั้งวันทั้งคืนจนหัวใจวายตาย มีอยู่ข่าวหนึ่งซึ่งน่าเศร้ามาก สามีและภรรยาชาวเกาหลีคู่หนึ่งติดเล่นเกมออนไลน์นอกบ้าน ทอดทิ้งลูกอายุเพียง 3 เดือนให้อดอาหารจนตาย
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 คิมแจบอม อายุ 40 ปี และ คิมยุนเจียง อายุ 25 ปี ถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานทำให้ลูกสาวของตนเองอายุ 3 เดือนเสียชีวิตโดยประมาท
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือหลังจากเลิกงาน พวกเขากลับมาบ้านเพื่อเอาลูกเข้านอน แล้วรีบออกไปเล่นเกมออนไลน์ที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ นานกว่า 10 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาที่บ้านและพบว่าลูกสาวเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร นี่นับเป็นข่าวสะเทือนขวัญของประเทศเกาหลี และนำไปสู่การออกกฎหมายจำกัดเวลาการเล่นเกมออนไลน์ในเวลาต่อมา
เกมออนไลน์ที่พวกเขาเล่นมีชื่อว่า "Prius Online" เป็นเกมที่มีตัวละครหลักเป็นเด็กผู้หญิงที่สามารถเติบโตขึ้นมาโดยมีพลังพิเศษมากมาย โดยผู้เล่นจะต้องแข่งกันคอยประคบประหงมเลี้ยงดูเธอแบบออนไลน์ตลอดเวลา
ลูกสาวอายุ 3 เดือนที่เสียชีวิต ชื่อว่า "คิมซาราง" โดยคำว่า "ซาราง" แปลว่า "ความรัก"นี่คือตัวอย่างของการใช้ไอทีเพื่อสนองกิเลสจนเกิดความหลง ความมัวเมา และเสพติด เพราะเราใช้เพื่อมุ่งตอบสนองคุณค่าเทียมที่ไม่มีวันจบสิ้น จนหลงลืมคุณค่าแท้ไป
เทคโนโลยีนั้นสามารถทำให้เสพติดได้ไม่ต่างจากยาเสพติด โดยนักวิทยาศาสตร์เคยทำการวิจัยเรื่องการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ พบว่ามันมีผลต่อสมองในส่วนที่มีปฏิกิริยาต่อการได้รับรางวัล เหมือนกับคนที่ทำอะไรสำเร็จหรือได้รางวัล จะรู้สึกดีใจขึ้นมา มีความสุข สนุกสนาน เพราะมีสารเคมีบางอย่างหลั่งออกมาในสมอง เกมคอมพิวเตอร์ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน มันทำให้ผู้เล่นต้องเอาชนะ ต้องทำให้สำเร็จเป็นขั้นๆ ไปเรื่อยๆ และเมื่อชนะหรือผ่านได้แต่ละขั้น สารเคมีชนิดนี้หลั่งออกมาเรื่อยๆ ผู้เล่นก็จะรู้สึกมีความสุขและอยากได้ความรู้สึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นการเสพติดในที่สุด
อีกหลักการที่เกี่ยวกับการเลือกใช้เทคโนโลยี คือหลักมหาประเทศ 4 ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าวางไว้เพื่อพิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ในกรณีที่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นในอนาคตโดยที่พระองค์ไม่ได้ระบุไว้ว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ เช่น ถ้าพระองค์ไม่ได้ห้ามไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ไม่ควร สิ่งนั้นก็ไม่ควรทำไม่ควรเสพ และถ้าพระองค์ไม่ได้อนุญาตไว้ แต่มันเข้ากับหลักที่ควร สิ่งนั้นก็ควรทำหรือทำได้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรานำมาใช้เพื่อเผยแผ่ธรรม หรือเพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ก็ถือว่าใช้ได้หรือควรใช้ แต่ถ้านำมาใช้ในทางที่ส่งเสริมกิเลส ทำให้ขาดสติ ก็ไม่ควรใช้
พระพุทธานุญาตมหาประเทศ 4 ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่า สิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระมีพระภาคเจ้า.
วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง 8 ข้อ ดังต่อไปนี้.
1. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้น ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย.
4. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่าสิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
Space & Time ที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีอันรวดเร็วฉับไว มีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจก็ คือคนสมัยนี้มักรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเวลา ไม่รู้เวลาหายไปไหน ทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีนานาชนิดล้วนทุ่นแรงทุ่นเวลาให้เรา เช่น รถยนต์ ทำให้เราถึงที่หมายเร็วขึ้น โทรศัพท์ทำให้เราติดต่อคนที่อยู่ไกลได้โดยใช้เวลาน้อยลง แต่ทำไมทุกวันนี้เราถึงกลับรู้สึกว่า ไม่ค่อยมีเวลาเลย
ทุกวันนี้สำนึกเรื่องเวลาของคนรุ่นเราเปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนเราเคยนั่งรอกันได้เป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ เวลาทำงานสำคัญสักชิ้น เราใช้เวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยไม่รู้สึกว่ามันนานเกินไป เวลากษัตริย์ไทยยกทัพไปตีเชียงใหม่ กองทัพต้องเดินเท้าเป็นเดือน ๆ กว่าจะถึง โดยไม่รู้สึกว่ามันนาน แต่เดี๋ยวนี้พวกเราแค่รอรถติด 2 นาที ก็กระสับกระส่าย หงุดหงิด หรือเวลาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้ามันบูธเกิน ๑ นาที ก็ทนไม่ไหวแล้ว อยากหาซื้อเครื่องใหม่ อยากได้รุ่นที่เร็วกว่านี้ นั้นเป็นเพราะเราไม่รู้จักรอ เราจึงหงุดหงิดง่ายขึ้น
อาตมาคิดว่ามันขัดแย้งกันมาก เรามีเทคโนโลยีทุ่นแรง ทุ่นเวลา มากมาย แต่แทนที่เราจะมีเวลาเหลือมากขึ้น มีเวลาสบาย ๆ มากขึ้น กลับกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยมีเวลา ผิดกับคนสมัยก่อนกว่าข้าวจะสุกต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะซักผ้าเสร็จ กว่าจะเดินออกจากบ้านไปถึงไร่นาก็อีก 1 ชั่วโมง แต่ทำไมในแต่ละวันเขามีเวลาว่างเหลือมากมาย ตรงกันข้ามกับคนในเมืองใหญ่ มีรถยนต์ที่เร็วมาก มีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต สามารถทำงานที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แต่กลับมีเวลาว่างน้อยลง ไม่มีเวลาให้ครอบครัว เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมี นอนได้ไม่เต็มที่
คำถามคือ "เวลาหายไปไหน" คำตอบคือ "เวลาหายไปอยู่กับเทคโนโลยี"
เคยมีคนทำวิจัยพบว่าคนกรุงเทพฯ ใช้เวลาอยู่บนรถ 65 วันต่อปี คือใช้เวลา 1 ใน 6 ของทั้งปีเลยทีเดียว ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกหรอก ถ้าเราต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็คือ 1 ใน 6 ของวัน
เด็กวัยรุ่นไทยในแต่ละวัน อยู่กับ เกมออนไลน์และอินเทอร์เน็ต 3 ชั่วโมง ดูทีวีอีก 3 ชั่วโมง คุยโทรศัพท์อีก ๒ ชั่วโมง รวมแล้ว 8 ชั่วโมง ซึ่งก็คือ 1 ใน 3 ของวัน แล้วเด็กจะมีเวลานอน เวลาเรียน เวลาออกกำลังกาย เวลาคุยกับพ่อแม่ได้อย่างไร
ข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมายมหาศาลในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กินเวลาเราอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในอินเทอร์เน็ตมีข่าวสารมากมาย อาตมาเองเสียเวลากับเรื่องนี้วันหนึ่ง ๆ ก็ไม่น้อย แค่ตอบอีเมล์ก็เกือบชั่วโมงแล้ว ข้อมูลเหล่าในอินเทอร์เน็ตเหล่านี้บางทีก็อดใจไม่ไหวที่จะเปิดอ่าน เราจึงควรคุมตัวเองให้ได้ อย่าไปจมกับมันมาก เพราะมันจะดึงดูดเราลึกเข้าไปเรื่อยๆ ข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปแบบนี้ มันจะดึงเราเข้าไปแบบไม่มีวันจบ ได้ข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องเตือนใจให้รู้จักหยุด รู้จักพอ
ไม่น่าแปลกใจที่คนเราใช้เวลามากมายกับข้อมูลข่าวสาร หรืออยู่กับเทคโนโลยีไอที จนกระทั่งไม่มีเวลาเหลือ ในบ้านมีพ่อแม่ลูก 4 คน มีโทรทัศน์คนละเครื่อง แต่ละคนก็อยู่ในห้องตัวเอง ทั้งวันก็ต่างคนต่างอยู่หน้าจอโทรทัศน์ หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จนไม่มีเวลาคุยกัน พ่อจะเรียกลูกมากินข้าว ต้องใช้โทรศัพท์มือถือเรียกลงมา บางคนถึงกับส่ง SMS หรือเขียนอีเมล์ถึงลูกให้ลงมากินข้าว
นั่นแปลว่า ไม่เพียงแค่สำนึกเรื่องเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไป สำนึกในเรื่อง space รวมทั้งความสัมพันธ์กับผู้คนก็เปลี่ยนไปพร้อมกันด้วย ในด้านหนึ่งเทคโนโลยีช่วยให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราเหินห่างจากคนใกล้ตัวเช่นคนในบ้าน ขณะที่คนไกลได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่คนใกล้กลับห่างเหินกัน Space บิดเบือนไปหมด เราติดต่อกับเพื่อนที่อเมริกาทุกวัน แต่เราไม่คุยกับพ่อแม่เราเอง