[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 พฤษภาคม 2567 00:03:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 23
321  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก็คือ “อุโมงค์ขุนตาน” เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2563 23:10:29

อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก็คือ “อุโมงค์ขุนตาน”

                    อุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ก็คือ “อุโมงค์ขุนตาน” อยู่ระหว่างจังหวัดลำปางกับลำพูน เจาะลอดใต้ดอยงาช้างของเทือกเขาขุนตาลเข้าไป ยาวถึง ๑,๓๖๒.๐๕ เมตรกว่าจะทะลุอีกด้าน นับเป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ สร้างความตื่นเต้นให้คนทั้งประเทศ ซึ่งต้องใช้วิทยาการและความอุสาหะอย่างมาก เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ก็ไม่มีเหมือนในยุคนี้ ต้องใช้แรงคนตอกหินทีละก้อน ทั้งการเดินทางเข้าไปทำงานก็ยากลำบาก ต้องบุกป่าฝ่าดงแบกอุปกรณ์เข้าไป ซ้ำวิศวกรชาวเยอรมันที่ควบคุมงานทั้งหมดยังถูกจับในฐานะเป็น “ชนชาติสัตรู” ต้องใช้เวลาถึง ๓ รัชกาลจึงเปิดเดินรถได้   หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงทำพิธีเริ่มสร้างทางรถไฟในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๔๓๔ จนปลายปี ๒๔๔๘ รถไฟสายเหนือก็เพิ่งเดินรถไปได้แค่สถานีนครสวรรค์ และการสำรวจเส้นทางที่จะไปถึงเชียงใหม่มีอุปสรรคใหญ่ คือเทือกเขาขุนตาลที่ขวางกั้นจนยากที่หลบเลี่ยงได้
หลังจากสำรวจอยู่ ๒ ปี ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะขุดอุโมงค์ลอดไปอย่างที่ในยุโรปทำกันมาแล้ว แต่การขุดอุโมงค์ลอดใต้ภูเขายาวเป็นกิโลเมตรเช่นนี้ ทั้งยังอยู่ในดินแดนทุรกันดารที่ต้องปีนป่ายภูเขาเข้าไป นับเป็นเรื่องที่คนไทยทั่วไปมองไม่เห็นทางที่จะเป็นไปได้ แต่ก็มีความศรัทธาเชื่อถือในวิศวกรเยอรมัน ซึ่งตอนนั้นคนไทยนิยมเยอรมันมาก ถือกันว่าสินค้าเยอรมันมีคุณภาพดีกว่าทุกชาติในโลก ทั้งยังคบหากันได้อย่างสบายใจ เพราะเยอรมันไม่มีนโยบายแสวงหาอาณานิคมในย่านนี้ ผิดกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ไว้ใจไม่ได้ ยอกย้อนซ่อนแผนที่จะยึดครองประเทศไทยให้ได้

               การเจาะอุโมงค์ขุนตานเริ่มต้นในปี ๒๔๕๐ ซึ่งยังอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยมีวิศวกรเยอรมันชื่อ อีมิล ไอเซนโฮเฟอร์ เป็นผู้ควบคุมคนแรก และขุดทั้ง ๒ ด้านให้มาบรรจบกันพอดี ซึ่งต้องใช้การคำนวณที่แม่นยำมาก
จุดเริ่มต้นขุดอุโมงค์ทั้ง ๒ ด้าน อยู่ในบริเวณทุรกันดารที่การเดินทางต้องใช้เดินเท้าหรือขี่ม้าเข้าไป ส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ในการก่อสร้างและสัมภาระทั้งหลาย ต้องใช้ช้างและเกวียนบรรทุก บางตอนที่เป็นภูเขาชันก็ต้องใช้รอกกว้านขึ้นไป โดยฐานหัวงานอยู่ที่ลำปาง

322  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / “โอเค ซิกาแรต” เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2563 23:05:34

“โอเค ซิกาแรต”

                                                                                                                                                  คำว่า โอเค ซึ่งแปลว่า ตกลง ไปเกี่ยวกับ ซิกาแรต ที่แปลว่า บุหรี่ ได้อย่างไร ?

                                                                              ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารอเมริกันเป็นทหารเศรษฐี มียุทโธปกรณ์และเครื่องบำรุงความสุขพร้อมมูล หลังอาหารทุกมื้อเขาจะได้รับแจกของกินหลังอาหารแพ็กไว้ในอับโลหะแบน ๆ ทาสีเขียวเข้ม เรียกว่า ration

                                                                              ในนั้นมี ผงกาแฟ ๑ ซอง, น้ำตาล ๑ ซอง-๔ ก้อน, ครีม ๑ ซอง, มีช็อกโกแลต ๑ ซอง-๔ ก้อน, มีบุหรี่อเมริกัน ๔ มวน, ไม้ขีดกระดาษใช้แผงกระดาษแข็งพับหุ้ม ๑ แผง และที่มาของ “โอเค ซิกาแรต” ก็มาจาก เด็กน้อยในยุคสมัยนั้น

                                                                              ตามถนนที่จอแจในกรุงเทพฯ จะมีเด็กชายอายุ ๕ ขวบถึง ๑๐ ขวบ ไม่ว่าลูกไทย-ลูกจีน ชูกล้วยหอม ๑ หวีดักหน้าทหารอเมริกัน พลางร้องว่า  ‘โอเค, ซิกาแร็ต’ เพื่อขอแลกบุหรี่หรือแท่งช็อกโกแลตกับกล้วยหอมตามแต่จะชูนิ้วต่อรองกัน

                                                                              ว่า บุหรี่กี่มวน, ช็อกโกแลตกี่ก้อน แลกได้กล้วยหอมกี่ลูก
                   
 
                                                                              CR- โอเค ซิกาแรต
                                                                              ข้อมูลของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ที่เล่าไว้ในคอลัมน์ “วาบความคิด” มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๐๒๘ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๓

                                                                              http://www.sarakadee.com/2015/10/08/ok-cigarette/   
เย้ เย้ เย้ เย้



323  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: ยิ่งปั่น ยิ่งตัน จริงไหม? เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2563 22:50:08


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=O1CzB6MOQms&amp;feature=emb_title" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=O1CzB6MOQms&amp;feature=emb_title</a>
324  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ยิ่งปั่น ยิ่งตัน จริงไหม? เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2563 22:49:35

ยิ่งปั่น ยิ่งตัน จริงไหม?

         กรณีที่ยิ่งปั่นหูแล้วยิ่งตัน โดยส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่เราปั่นหูเรามักจะเข้าใจว่าเราเอาคอตตอนบัตเข้าไปแล้วเราจะควักตัวขี้หูออกมา แต่ว่าบางทีตรงส่วนปลายเราไม่เห็น เวลาที่เราปั่นเข้าไปปุ๊บ ตรงปลายขี้หูมันอาจจะยิ่งเข้าไปตันในหู อาจจะทำให้เกิดภาวะขี้หูอุดตันได้มากขึ้นจริง

โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเวลาที่เราอาบน้ำ แล้วเกิดมีน้ำเข้าหู จริง ๆ ก็ไม่แนะนำให้ปั่นหูเหมือนกัน แนะนำว่าอาจจะใช้คอตตอนบัตซับตรงปลายรูหู แล้วก็เอียงนิดหนึ่ง เพื่อซับตรงบริเวณปลายรูหูให้น้ำออกแค่นั้นก็พอ แต่ถ้าเรายิ่งปั่นเข้าไป มันมีโอกาสที่ขี้หูจะเกิดการอุดตันได้มากขึ้น แล้วถ้ายิ่งอุดตันแน่น การได้ยินก็อาจจะยิ่งมีปัญหาได้มากขึ้น

ขี้หูอุดตัน ส่งผลอะไร

ส่งผลกระทบแน่นอน คือ กรณีที่ขี้หูอุดตันมาก ๆ จะทำให้มีภาวะการได้ยินบกพร่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการนำเสียงบกพร่อง เพราะฉะนั้น คนไข้อาจจะรู้สึกหูอื้อ หรือการได้ยินที่ลดลงได้หลังจากที่เกิดภาวะขี้หูอุดตันได้ เวลาที่เราปั่นหู อาจจะไม่ได้ทำให้เกิดแค่ขี้หูอุดตันอย่างเดียวก็ได้ อาจจะทำให้มีภาวะการถลอกหรือเกิดเป็นแผลของบริเวณรูหูชั้นนอก ซึ่งอาจจะนำไปสู่การติดเชื้อ เกิดภาวะหูชั้นนอกอักเสบ หรือถ้ายิ่งกว่านั้น เราแคะแล้วลึกเกินไป อย่างเช่น กรณีที่เราใช้ไม้แคะหูแหลม ๆ แล้วเกิดเราลึกเกินไป อาจจะไปเกิดการบาดเจ็บของบริเวณเยื่อแก้วหูตามมาได้ ซึ่งก็จะมีผลเสียได้เช่นกัน

เราจำเป็นต้องแคะขี้หูไหม


การเขี่ยเอาขี้หูออก ถ้าทำโดยผู้เชี่ยวชาญหรือหมอจะไม่ค่อยอันตราย เพราะว่าคุณหมอจะมีกล้องที่จะส่องดูว่าเราเขี่ยถึงไหน หรือว่าโดนแก้วหูหรือยัง หรือว่าเอาออกหมดไหม และเขี่ยแค่ตรงบริเวณตัวขี้หู ก็จะไม่ได้ไปโดนตัวเยื่อบุหรือผนังหู แต่ถ้าเราทำเองแล้วไปเขี่ยโดนแก้วหูหรือเขี่ยโดนผนังรูหู ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะการบาดเจ็บของหูชั้นนอกได้

ถ้ารูหูปกติดี ช่องหูปกติดี ไม่ได้มีภาวะผิดปกติของช่องหู เช่น มีภาวะรูหูแคบ หรือว่ามีภาวะติดเชื้อของรูหูชั้นนอก หมอแนะนำว่าไม่ต้องทำความสะอาดรูหูเลย เพราะว่าลักษณะของขี้หู เทียบง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับขี้ไคล มันหลุดลอกออกเองได้โดยเฉพาะเวลาที่เราขยับใบหน้า เราเคี้ยวอาหาร มันหลุดลอกออกเองได้ ยกเว้นแต่ว่าบางคนมีปัญหาผิดปกติ อย่างเช่น ไปดำน้ำ ว่ายน้ำมา แล้วมีน้ำสกปรกเข้าไป ทำให้กลไกการขับขี้หูเสียไป ซึ่งการสังเกตก็คือ ดูว่าหากมีการได้ยินที่ผิดปกติ มีปวดหู มีหนองออกหู หรือมีกลิ่นที่ผิดปกติ อันนี้ควรมาพบแพทย์
เราไม่จำเป็นที่จะต้องแคะหรือปั่นขี้หูเพราะโดยปกติแล้ว ขี้หูจะมีการหลุดออกเองโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะเวลาที่เราเคี้ยวอาหาร หรือเรามีการขยับของใบหน้า โดยส่วนใหญ่แล้วมันมักจะหลุดออกเองได้



ข้อมูลโดย
อ. พญ.นวรัตน์ อภิรักษ์กิตติกุล ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล




325  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ชัมบาลา อยู่หนใด ? เมื่อ: 29 มิถุนายน 2563 12:50:22

ชัมบาลา อยู่หนใด ?


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=rcF4ZcAHkGQ" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=rcF4ZcAHkGQ</a>







326  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:30:32

ลาเต้ (ภาษาอิตาลี: Latte)
          เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ "caffe e latte" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า "cafe au lait" กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ

มอคค่า (Mocha)
          ในนี้หมายถึงกาแฟมอคค่า เป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ มอคค่า ยังหมายถึงเครื่องดื่มกาแฟซึ่งมี เอสเพรสโซ่ และ โกโก้ เป็นส่วนประกอบ เสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง

อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (cafe americano)
          คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ. การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกานั้น ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา จึงมีการเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซซึ่งทำให้เจือจางด้วยน้ำร้อน. แม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกา แต่อเมริกาโนก็มิได้เป็นกาแฟที่ชาวอเมริกานิยมดื่ม จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของร้านกาแฟแฟรนไชส์ สตาร์บัคส์ ในปี พ.ศ. 2533 แต่ถึงกระนั้นอเมริกาโนก็ไม่จัดเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมมากนัก

http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/images/americano1.gif

กาแฟขาว (white coffee)
          เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ค้นพบที่เมืองเบรุต นิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย และนิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกาจะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง

แหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียง

          จาไมกา เป็นแหล่งผลิตกาแฟที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก บลูเมาน์เทน ซึ่งปลูกบนยอดเขาสูง ผลผลิตเกือบทั้งหมดถูกส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น และที่เหลืออีกเล็กน้อยถูกส่งไป สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, และเยอรมนี ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงคือ ไฮเมาน์เทนซูพรีม (Hign Mountain Supreme) และ ไพรม์วอชท์จาไมกัน (Prime Washed Jamaican)
          บราซิล ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 1 ของโลก ยี่ห้อมีชื่อคือ บราซิเลียน ซานโตส (Brazillian Santos)
          โคลัมเบีย ผลิตกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก กาแฟที่มีชื่อคือ ซูรีโม (Suremo)
          ฮาวาย กาแฟขึ้นชื่อคือ โคน่า (Kona)
          อินโดนีเซีย ชวา วิธีการเฉพาะของที่นี่คือ การบ่มในโกดังพิเศษเพื่อให้เมล็ดกาแฟเปลี่ยนสี และมีรสชาติที่ดี สุมาตรา ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า กาแฟแมนเฮลิงและอันโกลาของชวา มีรสชาติดีกว่าบลูเมาน์เทนและโคน่าเสียอีก
          อินเดีย มีกาแฟรสชาติเฉพาะตัว ชื่อมอนซูน มาลาบาร์ (Monsooned Malabar)
          เอธิโอเปีย ประชากร 1 ใน 4 ของประเทศมีรายได้จากอุตสาหกรรมกาแฟ กาแฟที่นี่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากมีกาแฟป่าปะปนอยู่ แต่นี่ก็เป็นสาเหตุให้รสชาติมีความไม่แน่นอนสูงด้วยเช่นกัน กาแฟที่มีชื่อเสียงคือ ฮารา ลองเบอรี่ (Harrar Longberry), ซีดาโม (Sidamo), และคาฟฟา (Kaffa)
          เคนยา พิถีพิถันเรื่องคุณภาพมาก กาแฟที่มีคุณภาพที่สุดคือ "เคนยา AA"
          เวียดนาม ส่งออกกาแฟได้เป็นอันดับ 3 ของโลก

             สำหรับประเทศไทยปลูกกาแฟโรบัสต้า ร้อยละ 98 โดยมากปลูกทางภาคใต้เช่น กระบี่ และชุมพร อีกประมาณร้อยละ 2 เป็นกาแฟอราบิก้าซึ่งปลูกมากตามดอยต่างๆ ทางภาคเหนือ กาแฟที่มีชื่อเสียงของไทยได้แก่ กาแฟดอยช้าง ซึ่งปลูกบนดอยช้าง จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นกาแฟได้จากกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับสากล และรสชาติดีเทียบเคียงกับกาแฟที่มีชื่อเสียงของโลก


          ที่มา http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/coffee.html
               
327  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:25:32

กาแฟแต่ละชนิด

กาแฟดำ
          ชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที)

http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/images/black.gif


เอสเพรสโซ (espresso)
          คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเพรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเพรสโซ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเพรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเพรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป(ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ)

          การสั่งเอสเพรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเพรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ ผงกาแฟที่ใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละระบบการชง ระบบการชงแบบแรงดันน้ำหรือแรงอัด จะต้องใช้ผงละเอียด แต่ไม่ถึงกับเป็นแป้ง (ขนาดของไซด์ผงกาแฟที่บด จะแปรผันตาม ระยะเวลาที่ทำกาแฟ อาทิ เครื่องชงแบบ เอสเพรสโซ่ เวลามาตราฐานอยู่ที่ 18-30 วินาที ก็ต้องใช้ ผงละเอียด แต่หากเป็นการชง ลักษณะอื่นๆ เช่น ชงโดยที่ชงแบบเฟรนช์เพรส ก็ต้องบดให้หยาบขึ้นและระยะเวลาที่ชงก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ <ยิ่งหยาบยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้นในการชง>)

          ในการชงเอสเพรสโซ จะต้องควบคุมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อรสชาด อาทิ เมล็ดกาแฟที่ใช้ (สมควรเป็นเมล็ดกาแฟที่คั่ว เก็บมาไม่เกิน 1 เดือน),การบดกาแฟ (ขนาดของผงกาแฟที่บด ต้องสัมพันธ์ กับเครื่องชงและระยะเวลาการไหล ของกาแฟ ขณะชง) , น้ำที่ใช้ชงกาแฟ (คุณภาพเป็นน้ำที่ใช้ บริโภค ไม่ควรใช้น้ำสะอาดบริสุทธิ์ จนเกินไป เพราะ นอกจากไม่ได้รับ สารอาหารที่มากับน้ำ แล้วยังมีผลกระทบ ต่อรสชาด ด้วย) , ระยะเวลาในการชง (ดังที่กล่าวไว้ ในข้างต้น หากใช้เวลา การชงเอสเพรสโซ่ต่ำกว่า 18 วินาที หรือ underextract แสดงว่า การแพคกาแฟ ต่อชอต ไม่แน่นพอ หรือ ปริมาณผงกาแฟในชอต มีน้อยเกินไป หรือ ขนาดผงกาแฟหยาบเกินไป หากการหลั่นกาแฟเอสเพรสโซ่ นานเกินกว่า 30 วินาที จะมีผลทำให้เอสเพรสโซ่ที่ได้ มีรสขม bitter ไม่เข้ม มีกลิ่นไหม้ burn จากการชงแบบเครื่องอัด ศัพท์ฝรั่งเรียก overextract)

http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/images/es.gif



คาปูชิโน (cappuccino)
          เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเพรสโซ และ นม การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/images/cappuccino.gif


328  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:21:58

การชง
          การชงกาแฟมีหลากหลายวิธี ซึ่งสามารถแบ่งเป็นประเภทตามการให้น้ำกับกากกาแฟ ได้สี่ประเภทหลักๆ ดังนี้

          การต้มเดือด: กาแฟตุรกี วิธีการดั้งเดิมในการชงกาแฟ ซึ่งยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ ได้แก่การต้มผงกาแฟละเอียดเข้ากับน้ำในหม้อคอคอด ซึ่งเรียกว่าไอบริก (ibrik) ในภาษาอารบิก, เซสฟ์ (cezve) ในภาษาตุรกี, และเซสวา (dzezva) ในภาษาเซอร์โบ-โครเอเชียน และปล่อยให้เดือดเล็กน้อย บางครั้งก็จะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น

          การใช้ความดัน: เอสเพรสโซ ถูกชงด้วยน้ำเดือดอ้ดความดัน และมักเป็นพื้นฐานนำไปผสมกาแฟหลายๆ ชนิด หรือไม่ก็เสิร์ฟเปล่าๆ ก็ได้ (มักจะเป็นหลังจากมื้อค่ำ) กาแฟชนิดนี้เป็นหนึ่งในประเภทที่แรงที่สุดที่ดื่มกันโดยทั่วไป และมีรสชาติและความมัน(crema)ที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึม (หรือหม้อม็อคค่า) มีลักษณะแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนล่างใช้สำหรับต้มน้ำ เพื่อให้ไอลอยขึ้นไปยังกากกาแฟซึ่งอยู่ในส่วนตรงกลาง น้ำกาแฟที่ได้ ซึ่งมักมีความเข้มข้นระดับเดียวกับเอสเพรสโซ จะถูกเก็บอยู่ในส่วนบนสุด ส่วนที่มักวางติดกับเครื่องอุ่นหรือเตา เครื่องบางแบบยังอาจมีฝา 5 แก้วหรือพลาสติกใสเพื่อเอาไว้ดูกาแฟตอนที่มันลอยขึ้นข้างบน

          การใช้แรงโน้มถ่วง: การชงแบบหยด (หรือแบบกรอง) เป็นการหยดน้ำร้อนผ่านกากกาแฟที่วางอยู่ในที่กรอง (อาจเป็นกระดาษหรือโลหะเจาะรู) ความเข้มขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างน้ำกับกาแฟ แต่โดยปกติแล้วจะไม่เข้มข้นเท่าเอสเพรสโซ เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึมประเภทที่สอง ก็เป็นแบบที่ใช้แรงโน้มถ่วงดึงให้น้ำไหลผ่านกากกาแฟ แต่ให้ความเข้มมากกว่า

          การจุ่ม: เฟรนช์เพรส (หรือ cafetiere) เป็นกระบอกแก้วที่สูงและแคบ ประกอบด้วยลูกสูบที่มีตัวกรอง กาแฟและน้ำร้อนจะถูกผสมกันในกระบอก (ประมาณ2-3นาที) ก่อนที่ตัวลูกสูบ ซึ่งอยู่ในรูปฟอยล์โลหะ จะถูกกดลง เพื่อให้เหลือแต่น้ำกาแฟอยู่ข้างบนพร้อมเสิร์ฟ ถุงกาแฟ (ลักษณะเดียวกับถุงชา) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าการใช้ถุงชงชามาก เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่กว่ามาก (ปริมาณกาแฟที่ต้องใส่เข้าไปในถุงมากกว่าปริมาณชามาก) กาแฟทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้ต่างใช้กากกาแฟชงกับน้ำร้อน กาแฟอาจถูกปล่อยค้างอยู่หรือไม่ก็ถูกกรองออกไป แต่ละวิธีต่างต้องการความละเอียดของการบดแตกต่างกันไป เครื่องทำกาแฟแบบไฟฟ้าสามารถต้มน้ำและชงผงที่ละลายได้ โดยไม่ต้องพึ่งคนมากนัก และบางประเภทก็มีตัวตั้งเวลาด้วย พวกที่ดื่มกาแฟอย่างจริงจังมักจะรังเกียจวิธีการที่สะดวกสบายแบบนี้ ซึ่งมักจะทำให้สูญเสียรสชาติและกลิ่นที่ดีไป คนกลุ่มนี้มักจะโปรดปรานกาแฟที่เพิ่งบดใหม่ๆ และวิธีการชงแบบดั้งเดิมมากกว่า

 
329  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:21:09

ชนิดของเมล็ดกาแฟ


          ต้นกาแฟอาราบิก้า - บราซิลกาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลักๆ ที่ได้รับความนิยมมี 2 พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม และมีรสชาติดี และ โรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณกาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแพโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่นๆ)

          กาแฟอาราบิก้ามักจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามชื่อท่าเรือที่ใช้ส่งออก ท่าเรือที่เก่าแก่ที่สุดสองที่ได้แก่ ม็อคค่า (Mocha) และ ชวา (Java) กาแฟในปัจจุบันยิ่งมีความเจาะจงในที่ปลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีการระบุถึงประเทศ ภูมิภาค และบางครั้งต้องบอกว่าปลูกที่พื้นที่บริเวณไหนเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกาแฟอาจจะถึงกับต้องประมูลกาแฟกัน โดยดูว่าเป็นล็อตหมายเลขเท่าใด กาแฟชนิดโรบัสต้าที่มีมูลค่าสูงที่สุดชนิดหนึ่งได้แก่ โกปิ ลูวัค (Kopi Luwak) ของอินโดนีเซีย เมล็ดของกาแฟชนิดนี้ถูกเก็บขึ้นมาจากมูลของชะมด (Common Palm Civet) (ตระกูล Paradoxirus)ซึ่งกระบวนการย่อยภายในร่างกายชะมดทำให้ได้รสชาติที่ดีเป็นพิเศษ เรียกเป็นภาษาไทยว่า กาแฟขี้ชะมด

การผลิตเมล็ดกาแฟ

การบ่ม ในการผลิตกาแฟ วิธีที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีนักวิธีหนึ่งได้แก่การบ่ม (Aging) กาแฟหลายๆ ประเภทจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผ่านการบ่ม รสเปรี้ยวของมันจะลดลง ในขณะที่ความกลมกลืนของรสชาติโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตหลายๆ รายมักจะขายเมล็ดกาแฟออกไปหลังจากได้บ่มเอาไว้แล้วถึง 3 ปี และร้านที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษบางร้าน (เช่น "Toko Aroma" ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย) ถึงกับบ่มเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วไว้ถึง 8 ปีทีเดียว

การคั่ว กระบวนการคั่วเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในการที่จะได้กาแฟรสชาติดีสักถ้วยหนึ่ง. เมื่อถูกคั่ว เมล็ดกาแฟสีเขียวก็จะพองออกจนเกือบจะมีขนาดเป็นสองเท่าของของเดิม พร้อมทั้งเปลี่ยนสีและความหนาแน่นไป เมื่อเมล็ดได้รับความร้อน มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและในที่สุดก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบสีของผลอบเชย (cinnamon) และมันก็จะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถูกยกออกจากความร้อน พร้อมกันนี้ เราก็จะเห็นน้ำมันออกมาตามผิวของเมล็ด ในการคั่วแบบอ่อนๆ กาแฟจะเก็บรสชาติดั้งเดิมไว้ได้ดีกว่า รสชาติดั้งเดิมนี้จะขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศในที่ที่ต้นกาแฟได้เติบโตขึ้นมา. เมล็ดกาแฟจากพื้นที่ที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะชวา และประเทศเคนยา จะถูกคั่วเพียงอ่อนๆ เท่านั้นเพื่อให้ยังคงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ให้มากที่สุด ยิ่งเมล็ดกาแฟถูกคั่วให้เข้มมากขึ้นเท่าไหร่ รสชาติดั้งเดิมของมันก็จะยิ่งถูกบดบังด้วยรสที่เกิดจากการคั่วมากขึ้นเท่านั้น กาแฟบางประเภทที่ถูกคั่ว จนรสชาติแทบจะไม่ได้บ่งบอกถึงสถานที่ปลูกเลย จะถูกขายโดยใช้ระดับของการคั่วเป็นหลัก โดยเริ่มตั้งแต่ "อบเชยคั่วอ่อนๆ (Light Cinnamon Roast)" ไปจนถึง "การคั่วแบบเวียนนา (Vienna Roast)" และ "การคั่วแบบฝรั่งเศส (French Roast)" และอื่นๆ
          ในศตวรรษที่ 19 เมล็ดกาแฟมักจะถูกซื้อขายขณะที่ยังเป็นเมล็ดเขียวๆ อยู่ และก็มักจะนำไปคั่วในกระทะสำหรับทอด การคั่วในลักษณะนี้ต้องใช้ความชำนาญสูงมาก สำหรับการสูญเสียรสชาติของเมล็ดที่ยังไม่ได้คั่วนั้น สามารถป้องกันได้โดยการบรรจุในห่อสูญญากาศ แต่ปัญหาก็คือการที่เมล็ดกาแฟจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นวันๆ หลังจากที่ถูกคั่วเสร็จใหม่ๆ ผู้ผลิตจึงต้องปล่อยให้กาแฟที่คั่วแล้วค้างไว้ก่อนที่จะนำไปบรรจุลงห่อสูญญากาศได้ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยีสองชนิดจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมา บริษัทอิลลี (Illy) ได้ใช้กระป๋องอัดความดัน (pressurized can) ส่วนผู้ผลิตกาแฟคั่วรายอื่นๆ ใช้วิธีการบรรจุเมล็ดทั้งอันลงในถุงทันทีที่คั่วเสร็จโดยใช้วาล์วปล่อยความดัน (pressure release valves)
ในทุกวันนี้การคั่วเองตามบ้านได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เครื่องคั่วกาแฟที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ช่วยให้การคั่วกาแฟเองในบ้านง่ายขึ้นมาก และบางครัวเรือนก็ใช้วิธีการคั่วในเตาอบหรือเครื่องทำข้าวโพดคั่ว หลังจากคั่วแล้ว กาแฟจะสูญเสียรสชาติอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีบางคนชอบทิ้งกาแฟไว้ 24 ชั่วโมงก่อนจะนำไปชงถ้วยแรก แต่ทุกๆ คนก็เห็นด้วยว่ามันจะเริ่มสูญเสียรสชาติและความขม หลังจากเก็บไว้ประมาณ1สัปดาห์ ถึงแม้จะเก็บอยู่ในที่ที่มีสภาพที่เหมาะสมที่สุดก็ตาม

การบด

          ความละเอียดของกากที่ได้จากการบดมีผลอย่างมากต่อรสชาติ ยิ่งบดกาแฟละเอียดเท่าไร ก็จะยิ่งได้รสชาติที่เข้มข้นและครบบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น เหตุผลหลักที่บางคนไม่บดละเอียดมากนัก คือเพื่อไม่ให้กากสามารถผ่านตัวกรองชนิดหยาบๆ ออกไปได้ (เช่น cafetiere) การผลิตกากกาแฟพร้อมชงมีสามวิธีด้วยกัน

          การโม่: กดเมล็ดโดยใช้อุปกรณ์หมุนสองตัว ใช้การหมุนเพื่อให้เมล็ดแตก วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยที่เมล็ดจะไหม้ เครื่องบดอาจมีลักษณะเป็นแบบล้อหรือแบบกรวย โดยที่แบบกรวยจะทำงานได้เงียบกว่าและมีโอกาสเกิดการอุดตันน้อยกว่า
Grinder แบบกรวยช่วยรักษากลิ่นส่วนใหญ่ไว้ได้ และสามารถบดได้ละเอียดมาก อีกทั้งกากที่ได้ก็จะมีความละเอียดสม่ำเสมอกันอีกด้วย โม่ที่ทำจากเหล็กซึ่งมีการออกแบบที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจทำให้ลดประสิทธิภาพของเฟืองลง ส่งผลให้การบดทำได้ช้าลง ยิ่งการบดช้าลงเท่าไร ก็ยิ่งมีความร้อนเข้าไปในกากกาแฟน้อยลงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรักษากลิ่นไว้ได้อย่างดี เนื่องจากสามารถปรับความละเอียดได้หลายระดับมา การบดวิธีนี้จึงเหมาะกับกาแฟทุกประเภท ทั้งแบบที่ทำด้วยเครื่องชงเอสเพรสโซ (Espresso) แบบหยด (Drip) แบบใช้เครื่องต้มให้น้ำซึมเข้า (Percolator) และแบบเฟรนช์เพรส (French Press) เครื่องโม่แบบกรวยที่คุณภาพดียังสามารถบดให้ละเอียดเป็นพิเศษสำหรับใช้ในการทำกาแฟแบบตุรกี ความเร็วในการบดโดยทั่วไปไม่เกิน 500 รอบต่อนาท
ี   เครื่องโม่ประเภทจานหมุน สามารถบดได้รวดเร็วกว่าแบบกรวย (10,000 ถึง 20,000 รอบต่อนาที) และจะส่งผลให้มีความร้อนเข้าไปในกาแฟเล็กน้อย เครื่องแบบนี้เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดในการผลิตกากละเอียดสม่ำเสมอ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ กากแบบนี้เหมาะสมมากกับเครื่องชงเอสเพรสโซ่แบบปัมป์ตามบ้าน อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถบดให้ละเอียดได้เท่ากับเครื่องแบบกรวย

          การสับ: 'เครื่องบด'สมัยใหม่มักใช้วิธีการหั่นเมล็ดกาแฟออกเป็นชิ้นๆ ถึงแม้จะให้ผลเหมือนกับการบดดีๆ โดยทั่วไป คนที่พิถีพิถันมักตำหนิว่าวิธีนี้ให้กาแฟคุณภาพสู้วิธีแบบเก่าไม่ได้ เครื่องบดแบบใบมีด “ปั่น” เมล็ดให้ละเอียดโดยใช้ใบมีดหมุนด้วยความเร็วสูง (20,000 ถึง 30,000 รอบต่อนาที) กากกาแฟที่ได้จะไม่ละเอียดสม่ำเสมอ และจะได้รับความร้อนมากกว่าการใช้เครื่องโม่ เครื่องบดใบมีดจะก่อให้เกิด “ฝุ่นกาแฟ” ซึ่งอาจทำให้ตะแกรงร่อนของเครื่องชงเอสเพรสโซและเครื่องชงเฟรนช์เพรสเกิดการอุดตันได้ ดังนั้นเครื่องบดแบบนี้ จึงเหมาะสมกับเฉพาะเครื่องชงแบบหยด และมันยังสามารถใช้บดเครื่องเทศและสมุนไพรได้เป็นอย่างดี เครื่องชนิดนี้ไม่ควรใช้กับเครื่องชงเอสเพรสโซแบบปัมป์

          การบดเป็นผง: กาแฟตุรกีหรือ(เตอร์กิส คอฟฟี่)เป็นการต้มทั้งกากที่ได้จากการบด โดยวิธีการดื่มจะเทดื่มเลยและต่อมาจึงเริ่มมีการกรองดื่มเฉพาะน้ำ วิธีการนี้ให้กากซึ่งละเอียดเกินไปและเหมาะสำหรับการชงแบบนี้เท่านั้น

330  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:16:46

http://www.anatomy.dent.chula.ac.th/images/cof15.gif


กาแฟ (Coffee) เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ นิยมดื่มร้อนๆ แต่สามารถดื่มแบบเย็นได้ด้ว บางครั้งนิยมใส่นมหรือครีมลงในกาแฟด้วย ในกาแฟหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 80-140 มิลลิกรัม กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก

ประวัติ

          เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ชื่อคาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้นกาแฟนั่นเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะกลายเป็น คอฟฟี ในภาษาอังกฤษ และกาแฟ ในภาษาไทย ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก จึงส่งออกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง โดยการลักลอบนำออกมาโดยชาวอินเดียที่ไปแสวงบุญที่เมกกะ และก็ได้แพร่ขยายไปยังชวา เนเธอร์แลนด์ และทั่วยุโรปในที่สุด สำหรับทวีปอเมริกานั้น ต้นกาแฟถูกนำไปอย่างยากลำบาก โดยทหารเรือฝรั่งเศสในต้นศตวรรษที่ 18 ในครั้งแรกนั้น มีต้นกาแฟที่เหลือรอดชีวิตบนเรือมาขึ้นฝั่งอเมริกาได้เพียง 1 ต้น และก็ได้แพร่ขยายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก

331  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:13:33

          ประวัติกาแฟโบราณ

          ในต่างประเทศแถบยุโรป มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟแพร่หลายมานาน และถือว่ากาแฟเป็นเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในตลาดโลก

โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลก เมล็ดกาแฟขาดแคลน และมีราคาแพง พ่อค้ากาแฟจึงพยายามนำส่วนของพืชชนิดต่าง ๆ มาผสมลงในกาแฟ หรือนำมาทดแทนเมล็ดกาแฟ เพื่อลดปริมาณการใช้กาแฟแท้ลง เป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ปรากฏในตลาดการค้ามานานกว่าร้อยปีแล้ว ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ดื่มที่ไม่ชอบความขมของกาแฟ  กลุ่มผู้ดื่มที่ไม่ประสงค์จะบริโภคคาเฟอีน หรือกลุ่มผู้ดื่มบางลัทธิที่มีข้อห้ามในการดื่มสิ่งที่อาจมีสารเสพติด เป็นต้นคะ

ส่วนของพืชที่นำมาแปรรูปเป็นกาแฟในต่างประเทศ เช่น

- ชิโครี (Chicory) โดยนำส่วนรากของต้นโครีมาคั่วและชงด้วยน้ำร้อนจะให้กลิ่นและรสคล้ายกาแฟ ใช้กันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งราวศตวรรษที่ 17 ในยุดล่าอาณานิคม การนำเข้าเมล็ดกาแฟไปยังยุโรปเป็นไปได้ยากและมีราคาแพง จึงได้มีการปลูก และเก็บเกี่ยวชิโครี มาผลิตเป็นกาแฟในระดับอุตสาหกรรม รากชิโครีมีส่วนกระตุ้นความอยากอาหาร ระบบย่อย และสามารถลดกรดในกระเพาะอาหารได้ด้วย

 - ข้าวบาร์เลย์ (Barley)  มีการนำมอลต์ ของข้าวบาร์เลย์มาคั่ว ซึ่งได้รับความนิยมระดับหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลมกล่อม

 - ข้าวสาลี (Wheat) มีการใช้ทดแทนกาแฟในสหรัฐอเมริกา ในช่วง พ.ศ.2455 ผลิตภัณฑ์นี้ทำจากส่วนผสมของข้าวสาลี รำข้าวสาลี และกากน้ำตาลจากอ้อย เรียกว่า Postum Cereal

 - ข้าวโพด  พบว่าใช้เช่นเดียวกับประเทศไทย คือ มีการนำเอาเมล็ดข้าวโพดมาคั่วผสมกับกาแฟ เพื่อเป็นการลดต้นทุน แต่มีข้อเสีย คือ มักมีกลิ่นหืนได้ในระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากมีไขมันในเมล็ดค่อนข้างสูง

 - ถั่วเหลือง  มีการใช้เป็นกาแฟมานาน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี  เมื่อคั่วเสร็จใหม่ๆ แล้วนำมาชงน้ำร้อนจะมีรสชาติคล้ายกาแฟมาก แต่มีข้อเสีย คือ เกิดการเหม็นหืนได้ง่าย ทำให้เก็บไว้นานไม่ได้ ในประเทศไทย ก็พบว่ามีการวางจำหน่ายกาแฟถั่วเหลือง ด้วยเช่นกัน

 - ถั่วลิสง ถึงแม้จะมีคุณภาพด้อยกว่าถั่วเหลืองในด้านกลิ่น แต่ให้รสชาติที่คล้ายกาแฟ  ส่วนมากจะนำมาทดแทนโกโก้มากกว่า

- Sakka coffee หรือ Sultan coffee ซึ่งก็มีส่วนของเปลือกผลกาแฟ และกะลากาแฟ ที่นำมาคั่วแล้วบดเป็นผงละเอียดสำหรับการชงกับน้ำร้อนทำเป็นเครื่องดื่มได้เช่นกัน

          นอกจากนี้ยังมีการนำธัญพืชอีกหลากหลายชนิดที่มีการนำมาใช้ทดแทนกาแฟ ตามแต่ละภูมิภาคที่แตกต่างกันไป เช่น ถั่วลูกไก่  ถั่วลูพิน  เป็นต้น นอกจากนี้เมล็ดอัลมอนด์ก็ได้เคยถูกนำมาคั่วและบดเป็นผงละเอียด เพื่อนำมาชงน้ำร้อนเป็นเครื่องดื่ม แต่ต่อมาเมล็ดอัลมอนด์ ถูกนำไปใช้ผลิตเป็น ขนมขบเขี้ยว หรือส่วนผสมผลิตภัณฑ์ช็อกโกแล็ต ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เมล็ดอัลมอนด์มีราคาสูงขึ้น จึงไม่นำมาผลิตเป็นส่วนผสมกาแฟ

          สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมการผลิตกาแฟได้เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดกาแฟมีราคาแพงมาก จึงนำเมล็ดธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว  มาคั่ว-บด ผสมลงในกาแฟด้วย เพื่อลดปริมาณต้นทุน

          เมล็ดธัญพืชที่ประเทศไทยนำมาผสมกับกาแฟ เช่น

- ข้าวโพด  ส่วนใหญ่จะใช้ข้าวโพดที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีความแข็งไม่แตกตัวง่ายในขณะคั่ว ข้าวโพดที่คั่วแล้วจะมีปริมาตรสูงขึ้น มีการพองตัว มีน้ำหนักเบา

  - ข้าวกล้อง มีราคาถูก มีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ หลังคั่วแล้วจะเป็นตัวเพิ่มน้ำหนักให้กาแฟ

  - งา ใช้งาดำซึ่งไม่ได้กะเทาะเปลือกออก แต่มีราคาสูงเมื่อเทียบกับวัตถุดิบอื่นๆ งาที่ผ่านการคั่วสุกแล้ว จะมีกลิ่นหอม มีส่วนช่วยเพิ่มกลิ่นรสของกาแฟให้ดีขึ้น

- น้ำตาล  ใช้น้ำตาลทรายดิบ ผสมกับน้ำตาลทรายแดง ช่วยเพิ่มกลิ่นและรสของกาแฟให้ดีขึ้น

- เนย มีองค์ประกอบของไขมันคล้ายกับที่มีในเมล็ดกาแฟ ทำหน้าที่ช่วยให้กาแฟเกิดการเลื่อมมัน กลิ่นและรสดีขึ้น ใช้เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิของน้ำตาล ขณะหลอมตัวไม่ให้สูงจนเกินไป

- เกลือ ใช้ป้องกันความเปรี้ยวอันจะเกิดกับกาแฟที่เคี่ยวน้ำตาลแก่ หรืออ่อนเกินไป ก่อนที่จะทำการคลุกเคล้า

- ถั่วเหลือง ให้กลิ่นที่คล้ายกาแฟ แต่มีข้อเสียคือ เก็บไว้ได้ไม่นาน เพราะเกิดการเหม็นหืนได้ง่าย

- เม็ดมะขาม ถ้าใช้ในปริมาณที่เยอะเกินไป จะทำให้กาแฟมีรสชาติฝาด

          นอกจากการใช้เมล็ดพืช ข้างต้นแล้ว อาจพบผลิตภัณฑ์กาแฟที่ใช้วัตถุดิบเป็นผลไม้อยู่บ้าง เช่น กล้วย (ระยะที่สุกห่าม) ลำไยแห้ง เป็นต้น

          ราคากาแฟโบราณ ในปัจจุบันขายตามท้องตลาดราคากิโลกรัมละ 20-30 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ และปริมาณกาแฟแท้ที่ผสมอยู่  ซึ่งโรงงานกาแฟโบราณในประเทศไทยมีอยู่ 100-200 โรงงาน คุณภาพกาแฟโบราณที่ผลิต ขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการของตลาดคู่แข่งขัน โดยมีราคาเป็นเครื่องกำหนด โรงงานที่ผลิตเกือบทั้งหมดมีกรรมวิธีที่คล้ายคลึงกัน เครื่องมือที่ใช้คั่ว และบด มักเป็นเครื่องมือพื้นบ้าน อาจมีการปรับปรุงเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่บ้างในบางโรงงาน แต่จะแตกต่างกันไปคือ วัตถุดิบที่นำมาผลิตแต่ละชนิด และเทคนิคในการคั่วบดกาแฟ สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ กาแฟแต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกันไป ทั้งในด้านกลิ่นรส รวมทั้งราคาที่จำหน่ายด้วย

          แหล่งที่มาของข้อมูล “หนังสือ สรรสาระ กาแฟ”

         โดย พัชนี สุวรรณวิศลกิจ และ ปัญหาพิเศษเรื่อง กาแฟเทียมจากธัญพืช โดย อนันท์ ไทยอุดมทรัพย์

332  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร? เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 21:10:33
กาแฟสด กับกาแฟโบราณ ต่างกันอย่างไร?

            กาแฟโบราณ คือ การผลิตโดยเอาน้ำตาลมาเคี่ยวจนมีสีดำ แล้วใส่เมล็ดกาแฟลงไปแล้วนำมาตากแห้ง แล้วเอามาบดเป็นผง แล้วผสมแป้ง หรือส่วนผสมอื่นของแต่ละร้าน (เมล็ดธัญพืชต่างๆ) ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของกาแฟ จะแตกต่างกันในแต่ละสูตร
            กาแฟโบราณชงโดยใช้ถุงชงที่ทำจากผ้า

                                      
            กาแฟสด เป็นกาแฟที่ได้มาจากการบดเมล็ดกาแฟแท้ๆ 100% แล้วแต่ว่าจะเลือกเมล็ดกาแฟพันธุ์ไหนมาใช้ เอามาบดก่อนแล้วชงผ่านน้ำร้อนจากเครื่องชงกาแฟอัดแรงดัน (Espresso Machine ) ซึ่งจะมีรสชาติและความมัน(crema)ที่เป็นเอกลักษณ์











333  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Russ Gremel ชายผู้บริจาคเงินกำไรจากหุ้นทั้งหมดให้กับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 11:42:21

Russ Gremel ชายผู้บริจาคเงินกำไรจากหุ้นทั้งหมดกว่าสองล้านดอลลาร์ให้กับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า

https://cdn.lifedaily.com/wp-content/uploads/2017/06/04-scoutmaster-cashes-in-stocks.jpg

               
                  Russ Gremel เป็นชายชาวอเมริกันวัย 98 ปีผู้บริจาคเงินกำไรจากหุ้นทั้งหมดให้แก่การอนุรักษ์สัตว์ป่า  ในช่วงวัยหนุ่ม เมื่อ 70 ปีก่อน Gremel ได้ลงทุนซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมยาตามคำแนะนำของพี่ชาย โดยเขาได้ลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท Walgreen ซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายธุรกิจยาในชิคาโก้       

                 Gremel ได้ลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท Walgreen เป็นจำนวน 20 หุ้น มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 บาท)  70 ปีผ่านไป หุ้นจำนวน 20 หุ้นนั้นได้ขยายเป็น 27,648 หุ้น และมูลค่าจาก 1,000 ดอลลาร์ก็กลายเป็นจำนวนสูงกว่าสองล้านดอลลาร์ (ประมาณ 60 ล้านบาท)แต่แทนที่จะเอาเงินนั้นไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายในช่วงบั้นปลายชีวิต เขากลับนำเงินกำไรทั้งหมดนั้นไปบริจาคให้กับศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าและปลูกป่ากว่า 400 เอเคอร์เพื่อให้เป็นที่พักพิงของสัตว์ป่า

                 Gremel ให้สัมภาษณ์ว่าเขาคิดว่าเงินของเขาน่าจะมีประโยชน์กับสัตว์ป่ามากกว่าการเอาเงินนั้นให้ญาติพี่น้อง และที่เขาบริจาคตั้งแต่ตอนนี้ ก็เพราะเขาแก่แล้ว เขาอยากเห็นประโยชน์จากเงินของเขาตั้งแต่ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่     ทุกวันนี้ Gremel ยังคงอาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังเล็กๆ และเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านทุกคน ที่สำคัญ เขาไม่ใช่คนเหยียดผิวหรือเชื้อชาติ ต่อให้เป็นคนดำหรือเอเชีย บ้านของเขานั้นยินดีต้อนรับเสมอ

                Gremel ยังกล่าวอีกว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินที่บริจาค เนื่องจากเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เขาแค่ถือหุ้นไว้เฉยๆ แล้วรอให้มูลค่ามันขึ้น และเขาก็คิดว่าเงินของเขานั้นน่าจะมีประโยชน์มากและสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้นับเป็นคนที่น่าเคารพนับถือมากคนหนึ่ง


References:https://allthatsinteresting.com/russ-gremel-wildlife-sanctuary?fbclid=IwAR1NgEwNq6uxhhsUlJnc0OVeEwGKt3UahH1Sf7w98rcYRdpsJwC695573fg] [url]https://allthatsinteresting.com/russ-gremel-wildlife-sanctuary?fbclid=IwAR1NgEwNq6uxhhsUlJnc0OVeEwGKt3UahH1Sf7w98rcYRdpsJwC695573fg[/url]
https://www.ecowatch.com/russ-gremel-wildlife-refuge-2434684785.html?
fbclid=IwAR0R7TydRIuEaLw4arHgw_L2HEKFs8tJtBq9oHGpzhhgZiI_C35mGMUsT_M


ต้นฉบับ https://www.blockdit.com/articles/5e15826b2f13090e8300d7d8?fbclid=IwAR18m3H1BNrt0ExDNQ9-K7cocLh-zAqGwUD0e1a_TX56LMlF1UVA-
X0CXvA


334  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / Maximillian - Scars เมื่อ: 28 มิถุนายน 2563 09:07:26

Maximillian - Scars

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=OUFuaMj6z-w" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=OUFuaMj6z-w</a>








335  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: มารู้จักกับแคคตัส พืชไม้อวบสุดกิ๊บเก๋ #ที่น่าซื้อมาลองเลี้ยงดูสักต้น เมื่อ: 27 มิถุนายน 2563 19:49:44

8. กลุ่ม Echinocactus ลำต้นค่อนข้างอวบกลมมีหนามปกคลุมทั่วลำต้น ดอกจะเกิดบริเวณตอนกลางของด้านบนสุดของต้น และไม่มีเซฟาเลียม หรือถังทอง ปล. เจ้าของกะทู้รักมากก เพราะนางอ้วนกลม แถมมีสีเหลืองสีโปรดอีกด้วยย ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus16.jpg

   ซึ่ง 8 สายพันธุ์ที่กล่าวมานี้เป็นลักษณะสายพันธุ์พื้นฐานและจำแนกออกเป็นสัดส่วนชัดเจน จากลักษณะของลำต้น และลักษณะของหนาม แต่กระบองเพชรก็ยังคงเอกลักษณ์และความคล้ายคลึงกัน แต่ใครที่ศึกษาและสนใจจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ ที่จะแยกประเภทและสายพันธุ์ของเจ้าแคคตัสจิ๋วนี้


ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก

rabeangmai.blogspot.com

pinterest.com


 

 
336  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: มารู้จักกับแคคตัส พืชไม้อวบสุดกิ๊บเก๋ #ที่น่าซื้อมาลองเลี้ยงดูสักต้น เมื่อ: 27 มิถุนายน 2563 19:44:23

4. กลุ่ม Echinopsis มีลักษณะคล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่ต้นมีขนาดเล็กกว่าและผิวด้านนอกของดอกมีลักษณะเป็นหลอดมักมีขนหรือเกล็ดสั้นๆ ปกคลุม

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus9.jpg

5. กลุ่ม Hylocereus ลักษณะคล้ายกับกลุ่ม Cereus แต่เป็นพวกพืชอิงอาศัย (epiphytic) มีระบบรากอากาศคือรากไม่ติดกับพื้นดิน ลำต้นเป็นสัน ลักษณะหนามเป็นแบบบอบบาง อย่างเช่นที่เห็นได้ง่ายในประเทศไทยก็จะมีต้นแก้วมังกรที่เห็นได้ชัดซึ่งใครบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแก้วมังกรคือพืชตระกูลแคคตัส

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus11.jpg

6. กลุ่ม Melocactus ลักษณะคล้ายกับกลุ่ม Neopoteria โคนหลอดดอกมีปุยหรือไม่มีก็ได้ แต่จะมีหนามขึ้นปกคลุมทั่วลำต้น ดอกเกิดบนเซฟาเลียมหรือบริเวณบนสุดยกเว้นสกุล Buiningia ที่ดอกจะเกิดที่ด้านข้างของเซฟาเลียมหรือด้านข้างของลำตัว

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus12.jpg

7. กลุ่ม Neopoteria ลักษณะลำต้นขนาดค่อนข้างเล็ก เป็นทรงกลมแป้นหรือทรงกระบอก ต้นเป็นสันเห็นได้ชัดเจน บริเวณโคนหลอดดอกมีปุยนุ่มและมีหนาม  เรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์หายาก

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus13.jpg



337  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: มารู้จักกับแคคตัส พืชไม้อวบสุดกิ๊บเก๋ #ที่น่าซื้อมาลองเลี้ยงดูสักต้น เมื่อ: 27 มิถุนายน 2563 19:39:16

      ปัจจุบันมีการค้นพบว่าแคคตัสมีอยู่ประมาณ 50-150 สายพันธุ์ มีสกุลมากกว่า 2000 ชนิด โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ 8 กลุ่ม (ตามวิธีของ Gordon Rowley) โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้

1. กลุ่ม Pereskia เป็นกลุ่มที่มีใบ เรียกว่าใบที่แท้จริง หรือบางชนิดจะมีขน ขนจะมีลักษณะแข็งและปลายจะงอ

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus4.jpg

2. กลุ่ม Opuntia เป็นกลุ่มที่ใบมีขนาดเล็ก ลักษณะใบเป็นปุ่มๆ มีหนามหรือขนแข็งๆ ลักษณะปลายงอ หาซื้อง่ายตามท้องตลาด

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus5.jpg

3. กลุ่ม Cereus เป็นแคคตัสชนิดไม่มีใบ เมล็ดมีสีดำหรือสีน้ำตาล ลำต้นเป็นรูปทรงกระบอก มีสันและหนามมากมาย ลำต้นจะมีขนาดใหญ่ ส่วนบริเวณโคนดอกอาจมีหนามหรือไม่มีหนามปกคลุม กลุ่มที่นิยมกันมากในท้องตลาด ดูแลง่าย แต่จะออกดอกได้ยาก

https://www.bareo-isyss.com/images/design-tips/CACTUS/cactus7.jpg

 

338  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / มารู้จักกับแคคตัส พืชไม้อวบสุดกิ๊บเก๋ #ที่น่าซื้อมาลองเลี้ยงดูสักต้น เมื่อ: 27 มิถุนายน 2563 19:33:48


สวัสดีค่าาาาาาา วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับกระบองเพชร ไหนใครชอบเลี้ยงแคคตัสบ้าง ขอเสียงหน่อยเร็ว  1 2 3 เริ่ม  !!!
  ปล.เจ้าของกระทู้ชอบมากค่า


         
         
         แคคตัสหรือกระบองเพชรเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนยาว กระบองเพชรเป็นพืชที่ทั้งถึกทั้งทน ก็คิดเอาแล้วกันว่ากระบองเพชรอยู่กลางทะเลทรายได้  ไม่ตาย อยากรู้ล่ะสิ้ ทำไมอะอ่านต่อเลยจ้า
ต้นไม้ที่กำลังเป็นที่นิยม และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้า แคคตัส ด้วยขนาดที่เหมาะสม ดูแลง่าย และรูปทรงที่น่ารัก เหมาะกับการตกแต่งบ้าน หรือ คอนโด เป็นต้นไม้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากในการจัดวาง ไม่ต้องการน้ำมากจนเกินไป ทำให้เจ้าแคคตัสจึงเป็นที่นิยมมาก ดังนั้นสำหรับเดือนนี้จะพาคนรักการออกแบบตกแต่งภายในไปทำความรู้จักกับเจ้า แคคตัส ว่ามีดีอย่างไรบ้าง

         แคคตัส (cactus) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลไม้อวบน้ำ (succulent) แตกต่างจากพืชชนิดอื่นๆทั้งรูปแบบของลำต้นที่มีหนาม และการปรับตัวของเจ้าแคคตัสซึ่งจะปรับตัวได้ดีกับทุกสภาพอากาศ สามารถเจริญเติมโตได้ในทุกพื้นที่ แคคตัสจะเก็บน้ำไว้ในลำตัวจึงทำให้ลำต้น ใบ และราก มีลักษณะอวบอ้วน และจะปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี แคคตัสเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีตามทะเลทราย แต่บางชนิดก็เจริญเติบโตได้ดีในป่าร้อนชื้น


        แคคตัสไม่ได้เป็นเพียงพืชที่ปลูกเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังได้ชื่อว่าเป็นพืชมงคลที่มีความเชื่อดีๆมากมาย เช่น ทำให้อายุยืน และช่วยป้องกันศัตรู ดังนั้นแคคตัส จึงไม่ได้มีแค่ใช้ตกแต่งบ้านเพียงอย่างเดียวแต่ยังคงนิยมให้เป็นของขวัญเพราะความเชื่อ และช่วยเสริมสิริมงคล แคคตัส หรือต้นกระบองเพชรมีมากมายหลายสายพันธุ์ และหลายขนาด แต่ที่กำลังเป็นที่นิยมคงพลาดไม่ได้ที่จะเป็น แคคตัสสายพันธุ์จิ๋ว ซึ่งมักนิยมมากในหมู่สาวๆ



339  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: สีของปัสสาวะ…สัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ เมื่อ: 26 มิถุนายน 2563 19:28:53
 
มาต่อค่าาา หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

6.สีส้ม
ปัสสาวะสีส้มอาจหมายถึง ร่างกายขาดน้ำและอาจหมายถึงมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีหรือตับ รวมถึงอาจเกิดจากการกินแครอท การกินวิตามินบี 2 ในปริมาณมาก ยาบางชนิดที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีส้ม เช่น ยาซัลฟาซาลาซีน ยาฟีนาโซไพริดีน ยาไอโซไนอาซิด ยาระบายบางชนิด เป็นต้น

7.สีส้มเข้มหรือสีน้ำตาล
สาเหตุเกิดขึ้นได้จากการขาดน้ำอย่างรุนแรง เป็นดีซ่าน มีภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย (rhabdomyolysis) นอกจากนี้ยาบางชนิดยังทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลได้ เช่น ยาเมโทรนิดาโซลที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือยาควีนินซึ่งใช้ป้องกันโรคมาลาเรีย

8.สีน้ำตาลเข้มหรือดำ
อาจเกิดจากการกินถั่วบางชนิดในปริมาณมาก ผักรูบาร์บ ว่านหางจระเข้ หรือแสดงถึงโรคบางชนิด เช่น โรคตับ โรคมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น ยาควีนินซึ่งใช้ป้องกันโรคมาลาเรีย ยาปฏิชีวนะเมโทรนิดาโซล

9.สีชมพูและสีแดง
ปัสสาวะสีชมพูไปจนถึงสีแดงอาจหมายถึงการมีเลือดเจือปนอยู่ในปัสสาวะหรือเป็นสัญญาณของโรคไต โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โรคนิ่วในไต เนื้องอกหรือมะเร็งที่ไต กระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก รวมถึงการกินอาหารบางชนิด เช่น บลูเบอร์รี่ รูบาร์บ บีทรูท หรือหลังการออกกำลังกายอย่างหนักทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ซึ่งไม่เป็นอันตรายใด ๆ

10.สีเขียว
ผักแอสพารากัสอาจทำให้ปัสสาวะมีสีเขียวและมีกลิ่น ยาบางชนิดและสีผสมอาหารสีเขียวอาจทำให้ปัสสาวะเป็นสีเขียวได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้

11.สีฟ้า
อาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมเมตาบอลิกที่หายากซึ่งทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ (familial hypercalcemia หรือ blue diaper syndrome) หรือเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ส่วนใหญ่แล้ว เกิดจากยาหรือสีผสมอาหารสีน้ำเงิน เช่น ยาแก้ปวดอินโดเมทาซิน ยารักษาอาการซึมเศร้าอะมิทริปไทลีนและยายับยั้งการหลั่งกรดไซเมทิดีนและยาระงับความรู้สึกโปรโพฟอล เป็นต้น

12.สีม่วง
ปัสสาวะสีม่วงมีชื่อเรียกเฉพาะว่า อาการปัสสาวะในถุงเป็นสีม่วง (purple urine bag syndrome) ซึ่งพบได้ไม่บ่อยในผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะที่มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะทำให้ปัสสาวะเป็นสีม่วง
 
เมื่อไรที่ควรพบแพทย์

       
 โดยส่วนใหญ่แล้ว ปัสสาวะที่มีสีเปลี่ยนไปไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงต่อสุขภาพจนต้องรู้สึกวิตกกังวล แต่คุณควรรีบไปพบแพทย์หากพบว่าปัสสาวะของคุณมีความผิดปกติดังนี้

1.หากปัสสาวะของคุณมีสีชมพูหรือสีแดงเพราะมีเลือดออกปนกับปัสสาวะ

2.ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีส้ม ผิวหนังและดวงตาเป็นสีเหลือง อุจจาระมีสีซีด อาจเกิดจากตับทำงานบกพร่อง

3.ปัสสาวะมีสีที่แปลกไปอย่างไม่มีสาเหตุติดต่อกันนานหลายวัน
 
เรียบเรียงโดย ศูนย์โรคไต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์


340  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / สีของปัสสาวะ…สัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ เมื่อ: 26 มิถุนายน 2563 19:27:50

สีของปัสสาวะ…สัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ

สีปัสสาวะที่ปกติเป็นอย่างไร

สีปัสสาวะที่ปกติจะมีสีเหลืองอ่อนใส ไม่ขุ่น ยิ่งคุณดื่มน้ำมากเท่าไร ปัสสาวะของคุณจะยิ่งใสมากขึ้นเท่านั้น ถ้าคุณดื่มน้ำมากแต่ปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองขุ่นหรือดื่มน้ำน้อยแต่ปัสสาวะเป็นสีขาวใส อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ
 
12 สีปัสสาวะบอกอะไรคุณได้บ้าง
 
1.ใส ไม่มีสี
แสดงว่าคุณดื่มน้ำปริมาณมากกว่าปริมาณที่แนะนำให้ดื่มในแต่ละวัน ทำให้ระดับเกลือแร่ในร่างกายต่ำเกินไป ในบางกรณีระดับเกลือแร่ที่ต่ำมากอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากปัสสาวะของคุณใสเป็นบางครั้งบางคราวถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากปัสสาวะของคุณใสอยู่ตลอดเวลา คุณควรลดปริมาณการดื่มน้ำ นอกจากนี้ปัสสาวะใสยังบอกถึงโรคบางอย่างได้ เช่น โรคเบาหวาน การกินยาขับปัสสาวะ โรคไต เป็นต้น

2.สีขาวขุ่น
พบได้ในคนที่ดื่มนมปริมาณมากจนทำให้เกิดผลึกของฟอสเฟตหรือเกิดจากโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคกรวยอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมถึงอาจเกิดจากการมีน้ำเหลืองปนอยู่ในปัสสาวะหรือมีโปรตีนมากเกินไปร่างกาย

3.สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีเหลืองทอง
หมายถึงระดับน้ำในร่างกายของคุณอยู่ในระดับปกติ คุณควรสังเกตว่าปัสสาวะสีที่ปกติของคุณเป็นอย่างไรเพื่อให้คุณบอกได้ว่าเมื่อใดที่สีปัสสาวะของคุณผิดปกติไป

4.สีเหลืองเข้ม
เป็นสีปัสสาวะที่ปกติ แต่คุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้น

5.สีเหลืองสด
ปัสสาวะเป็นสีเหลืองสดหรือสีนีออนเกิดจากการกินวิตามินและอาหารเสริม ซึ่งไม่เป็นอันตรายใด ๆ แค่เป็นอาการที่บอกว่าคุณกินวิตามินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มกินวิตามินหรืออาหารเสริมใด ๆ



หน้า:  1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 23
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.531 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 21 สิงหาคม 2566 10:07:16