พระเป็นเจ้าของพราหมณ์พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระลักษมี เมื่อได้กล่าวมาแล้วถึงพระนารายน์ ก็ควรที่จะกล่าวถึงพระลักษมีผู้เป็นมเหสีคู่พระทัย และพระลักษมีนั้น ในเมื่อพระนารายน์อวตาร ลงมาในมนุษย์โลกก็มักจะได้ตามเสด็จลงมาด้วย ถ้าจะพูดกันอย่างชนสามัญก็จะต้องกล่าว พระนารายน์และพระลักษมีนั้นเป็นคู่ผัวเมียกันโดยแท้ เพราะพระนารายน์นั้นมีมเหสีองค์เดียวแต่พระลักษมีเท่านั้น บางคนก็เข้าใจไปว่าพระนารายน์มีมเหสี ๒ องค์ คือพระศรี ๑ พระลักษมี ๑ แต่อันที่จริง “ศรี” เป็นนามอัน ๑ แห่งพระลักษมีนั้นเอง เช่นภควดีก็เป็นนามอัน ๑ แห่งพระลักษมีฉะนั้น
นอกจากพระลักษมีนี้ ยังมีเข้าใจผิดกันอยู่ในเรื่องมเหสีพระเป็นเจ้าเช่นนี้อีก คือในหนังสืออิศวรพงศ์ ซึ่งรวบรวมพิมพ์ขึ้นเมื่อครั้งเขียนพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น มีข้อความกล่าวอยู่ว่า “มเหสีพระอิศวร คือ พระมเหศวรี ๑ พระอุมา ๑ พระสุรัสวดี ๑” แท้จริงพระมเหศวรีก็คือพระอุมานั้นเอง ฝ่ายพระสุรัสวดีนั้น หาใช่มเหสีพระอิศวรไม่ เป็นมเหสีพระธาดาพรหม การที่ผิดไปเช่นนี้เป็นด้วยเหตุ ๒ ประการ กล่าวคือ ประการที่ ๑ นางเดียวซึ่งมีหลายนามไปแยกออกเป็นหลายนางไป เช่นพระมเหศวรีและพระอุมา กับพระลักษมีและพระศรีเป็นต้น ซึ่งผิดโดยไม่พอที่ ประการที่ ๒ เป็นด้วยฉงนในส่วนตัวพระเป็นเจ้า คือพระธาดาพรหมนั้น มีนามเรียกว่า ปรเมษฐ จึ่งเข้าใจไปว่าเป็นพระอิศวร ซึ่งมีนามว่า ปรเมศวร จึ่งได้ยกพระสุรัสวดีซึ่งเป็นมเหสีพระปรเมษฐ์ (ธาดา) ไปให้แก่พรประเมศวร (อิศวร) เป็นอันผิดทั่วไปเพราะความฉงน โดยมิได้ตรวจตราแบบฉบับให้ละเอียด ความผิดเช่นนี้ เมื่อมีความรู้มากขึ้น อาจค้นคว้าหาแบบฉบับได้แล้ว ก็ควรแก้ไขไปให้ถูกต้อง ไม่ควรจะปล่อยให้ผิดคลาดเคลื่อนอยู่อย่างเดิม ข้าพเจ้าจึ่งนำข้อความเหล่านั้มาลงแซกไว้ ณ ที่นี้ด้วยความมุ่งหมายเช่นนี้
ส่วนกำเนิดแห่งพระลักษมีนั้น มีข้อความเล่ามาต่าง ๆ กัน ข้าพเจ้าได้เก็บมากล่าวไว้ในที่นี้แต่ ๒ ความ พอเป็นตัวอย่าง
ในรามายณะมีเรื่องกำเนิดพระลักษมีอยู่ในพาลกัณฑ์ ตอนที่พระวิศวามิตรมุนีเล่าเรื่องกวนเกษียรสมุทร เพื่อหาน้ำอมฤตให้พระรามและพระลักษมณ์ฟัง ในระหว่างที่เดินทางไปยังนครมิถิลา ฯ เรื่องนี้ถ้าจะเล่าในที่นี้ให้พิสดารก็ไม่จำเป็น เพราะจะได้กล่าวต่อไปในเรื่องกูรมาวตาร (ปางที่ ๒) แล้วนั้น จึ่งควรกล่าวไว้ในที่นี้แต่พอเป็นสังเชป มีข้อความว่า ในกฤตายุคไซร้ อันพวกอาทิตย์ (เทวดา) และแทตย์ (อสูร) ต่างมีฤทธาศักดาอานุภาพมาก และแข่งฤทธิ์กันอยู่เนือง ๆ อยู่มาครั้ง ๑ ทั้งเทวดาและอสูรพร้อมใจกันว่าจะกวนเกษียรสมุทรเพื่อหาน้ำอมฤต เพื่อจะได้กินให้อยู่คงไม่มีเวลาแก่และตาย จึ่งเอาเขามนทรคีรีเป็นไม้กวน เอาพญาวาสุกีนาคราชเป็นเชือกผูกเขา และเทวดากับอสูรก็พากันชักให้เขาหมุนไปมา พญานาคพ่นพิษออกมา เป็นที่เดือดร้อนทั่วไป พระนารายน์จึ่งอัญเชิญพระอิศวรให้เสวยพิษ พระอิศวรก็กลืนพิษเสียสิ้น เทวดาและอสูรชักเขามนทรหมุนกวนไปจนเขานั้นทะลุลงไปยังบาดาล ทวยเหพและสิทธาจารย์จึ่งพร้อมกันไปทูลพระนารายน์ให้ช่วย พระนารายน์จึงอวตารเป็นเต่า (กูรมะ) ไปรองไว้ใต้เขามนทร เขาจึ่งไม่กัดพื้นทะเลต่อไป การกวนก็กระทำได้ต่อไป ในที่สุดจึงมีผลวิเศษผุดขึ้นมาแต่เกษียรสมุทรเป็นลำดับคือ (๑ ) พระธันวันตรี เทวะแพทย์พิเศษ (๒) เทพอัปสร ๖ โกฏินาง (๓) นางสุรา อีกนัย ๑ เรียกว่านางวารุณี (๔) ม้าสำคัญ ชื่ออุจไฉห์ศ๎รพ (๕) แก้วเกาสตุภ (๒) พระโสม คือพระจันทร (๗) พระลักษมี (๘) น้ำอมฤต ฯ ครั้นเมื่อได้นำอมฤตขึ้นมาจากเกษียรสมุทรแล้ว เทวดาและแทตย์เกิดวิวาทรบพุ่งชิงน้ำอมฤตกันอย่างไร จะขอผัดไว้กล่าวโดยพิสดารในเรื่องกูรมาวตารสืบต่อไป แต่ส่วนตอนที่กล่าวด้วยกำเนิดพระลักษมีนั้น ควรจะกล่าวให้พิสดารอีกหน่อยในที่นี้ จึ่งขอนำความพิสดารตามที่นายเร๊ฟ ตี. เอช. คริฟฟิถ ได้แปลและประพันธ์เป็นกาพย์ไว้แล้ว ดังต่อไปนี้ ฯ
“ครั้นเวลาล่วงไปได้หลายปีแล้ว จึ่งมีดอกบัวหลวงดอก ๑ ลอยขึ้นมา ในกลางดอกบัวนั้น มีนางงามอยู่นาง ๑ พึ่งแรกรุ่น รูปร่างแน่งน้อยผุดผ่องทั่วสรรพางค์กาย ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อย่างนางกษัตริย์ ทรงทองกรกอบแก้วนพรัตน์ทั้งสองข้าง บนเศียรนางนั้นมีมงกุฎประดับเพชรรัตน ภายใต้มงกุฎนั้นเห็นเกษาอันยาวงามยิ่งนัก ทรงสร้อยสังวาลแก้วมุกดา แลดูนางนั้นผิวพรรณผุดผ่องเหมือนทองทา ฯ ครั้นบัวลอยมาใกล้ฝั่ง เทวีก็ก้าวขึ้นฝั่ง หัตถ์ถือดอกบัวหลวง และนางปัทมา (ลักษมี) ก็ตรงเข้าไปเฝ้าพระปัทมปาณี (นารายน์) โดยความจงรักภักดียิ่ง ฯ อันนางนี้ไซร้ทวยเทพในเมืองแมนและฝูงชนในแดนมนุษย์ พร้อมกันสมมุติพระนามว่าพระลักษมีภควดี ฯ”
ในวิษณุปราณะ กำเนิดแห่งพระลักษมีกล่าวไว้เป็น ๒ นัย คือนัย ๑ ว่าเป็นบุตรีพระภ๎ฤคมุนีประชาบดีกับนางข๎ยาติ (ขัณฑ์ที่ ๑ วรรคที่ ๘) อีกนัย ๑ ว่าเกิดแต่เกษียรสมุทร (ขัณฑ์ที่ ๑ วรรคที่ ๙) ฯ การที่มีกำเนิดเป็น ๒ นัยเช่นนี้ ในขัณฑ์ที่ ๑ วรรคที่ ๘ มีอธิบายไว้ คือพระไมเตรยะตั้งบัญหาถามพระปราศรมุนีว่า “ตามคำที่ชนมักกล่าวกันนั้น ว่าพระศรีมีกำเนิดจากเกษียรสมุทรเมื่อกวนน้ำอมฤต ก็เหตุไฉนเล่าท่านจึ่งกล่าวว่าเทวีนั้นเป็นบุตรีพระภฤคุกับนางข๎ยาติ” ฯ พระปราศรจึ่งวิสัชนาว่า “พระศรีผู้เป็นมเหสีพระวิษณุ ผู้เป็นพระมารดาโลกนั้นไซร้ ย่อมเป็นผู้คงอยู่ไม่มีเวลาดับ ดูกรพราหมณ์อันประเสริฐ อันพระเป็นเจ้าย่อมสถิตอยู่ในที่ทั้งปวงฉันใด เทวีก็ย่อมอยู่ทั่วไปฉันนั้น ฯ พระวิษณุเป็นอรรถ เทวีเป็นวาจ (คำพูด) พระหริเป็นนัย เทวีเป็นนิติ พระวิษณุเป็นปัญญา เทวีคือวุทธิ (ความฉลาด) พระเป็นเจ้าเป็นธรรม นางเป็นกรียา พระเป็นผู้สร้าง นางเป็นภูติ พระศรีเป็นภูมิ พระหรีเป็นภูธร (ผู้จุนโลก) พระเป็นเจ้าคือ สันโดษ พระอมรรตยลักษมีคือดุษฎี (ความไม่ทะเยอทะยาน) พระเป็นความอยากได้ นางเป็นความคิด พระเป็นยัญกรรม นางเป็นทักษิณา เทวีเป็นอาชยาหุตี (คือการพลีด้วยเนยใส) พระชนรรทนะเป็นปุโรฑาส (เข้าเภา) พระลักษมีเป็นห้องฝ่ายใน (ที่ผู้หญิงนั่งในงานพิธี) พระมธุสูทน์เป็นห้องฝ่ายหน้า (ที่ผู้ชายนั่ง) พระลักษมีคือเวที (แท่นที่บูชาไฟ) พระหริคือยูปะ (หลักผูกสัตว์บูชายัญ) พระศรีคือเชื้อเพลิง พระหริคือกุศะ (หญ้าคา) พระคือองค์แห่งพระสามะเวท กมลาศนะเทวีคือสำเนียงที่สวด พระลักษมีคือสวาหา (คำมงคลบูชาไฟ) พระวาสุเทพโลกนารถคือไฟที่บูชา พระเสารี (นารายน์) คือพระศังกร (อิศวร) พระภูติ (ลักษมี) คือพระมเหศวรี ฯ ดูกรไมเตรยะ พระเกศวะ (นารายนณ์) คือดวงอาทิตย์ และแสงสว่างไซร้ก็คือพระปัทมาลัยเทวี (ลักษมี) พระวิษณุคือปิต๎ฤคณะ (ฝูงบิดาโลก) พระปัทมาคือชายา (ส๎วธา) ผู้ให้ความอิ่ม พระศรีคือสวรรค์ พระวิษณุผู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งทั้งปวงคือนภากาศ พระศรีบดี (นารายน์) คือดวงจันทร์ นางคือแสงอันไม่เหือดหาย นางนั้นได้นามว่าเป็นผู้บันดาลให้โลกกระดิก พระคือลมซึ่งพัดทั่วไป พระโควินท์ (นารายน์) คือมหาสมุทร พระลักษมีคือฝั่ง พระลักษมีคือพระอินทราณี (มเหสีพระอินทร์) พระมทุสูทน์คือพระเทเวนทร (อินทร) พระจักรินคือพระยม พระกมลาศนเทวีคือนางธูโมรณา (มเหสีพระยม) พระศรีเป็นทรัพย์ พระศรีธร (นารายน์) คือพระกุเวร ฯ ดูกรมหาพราหมณ์ พระลักษมีคือนางเคารี พระเกศวะคือพระชลบดี (พระวรุณ) พระศรีคือเทวเสนา พระหริคือเทวเสนาบดี พระคทาธรคือการต่อสู้ พระศรีคือศักดิ์ (กำลัง) พระลักษมีคือกาษฐาและกลา พระหริคือนิเมษและมุหูรตะ (ดูคำอธิบายข้างล่างนี้)๑ พระลักษมีคือแสงสว่าง พระหริผู้เป็นสิ่งทั้งปวงและเป็นวิศวบดี (เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง) คือประทีป พระโลกมาตาคือเถาวัลย์ พระวิษณุคือต้นไม้ซึ่งเถาวัลย์นั้นพันอยู่ นางคือกลางคืน พระเป็นเจ้าผู้ทรงจักรคทาคือกลางวัน พระผู้จำแนกสุข (นารายน์) เป็นสวามี พระกมลาศนเทวีคือภรรยา เทพเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลำน้ำปุลึงค์ (คือที่มีนามเป็นตัวผู้) เทวีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลำน้ำอิถีลึงค์ พระปัทมเนตร (นารายน์) คือธวัช พระปัทมาลัยคือเกตุ (ธง) พระลักษมีคือกาม พระนารายน์โลเกศคือโลภ ฯ ดูกรท่านผู้รอบรู้ในทางธรรม พระโควินท์คือราค พระลักษมีผู้เป็นสุขุมาลยชายาคือรติ (ความรื่นเริง) ฯ แต่เหตุไฉนเล่าจะต้องกล่าวถึงคุณต่าง ๆ แห่งพระองค์ฉะนั้น สิริรวมกล่าวได้โดยสังเขปว่า ในบรรดาเทวดา สัตว์ และมนุษย์ พระหริย่อมเป็นองค์แห่งเพศชาย พระลักษมีย่อมเป็นองค์แห่งเพศหญิง นอกจากพระองค์ทั้งสองนี้แล้ว จะมีสิ่งใดได้ก็หาไม่เลย ฯ”
ส่วนเรื่องกำเนิดพระลักษมีจากเกษียรสมุทรนั้น มีมาในวิษณุปุราณะขัณฑ์ที่ ๑ วรรคที่ ๙ เรื่องราวก็คล้ายกับที่มีอยู่ในรามายณะ ดังได้กล่าวมาแล้ว มีแปลกหน่อยแต่สาเหตุที่เกิดจะต้องกวนเกษียรสมุทรนั้น เป็นเพราะพระทุรวาสมุนีโกรธพระอินทร์ แช่งให้พระอินทร์หมดฤทธิ์ จึ่งแพ้พวกแทตย์และทานพ ต้องจัดการกวนเกษียรสมุทรเอาน้ำอมฤต และของสำคัญที่เกิดขึ้นมาจากเกษียรสมุทรนั้น ก็มีแปลกกับรามายณะ และลำดับผิดกัน คือ (๑) นางโคสุรภี (๒) นางวารุณี คือสุรา (๓) ต้นปาริชาต (๔) อัปสร (๕) พระโสม (๖) พิษ ซึ่งนาคพากันกิน งูจึ่งมีพิษ (๗) ธันวันตรี ถือขันน้ำอมฤต (๘) พระลักษมี ฯ เรื่องกวนเกษียรสมุทรจะได้งดไว้กล่าวถึงในเรื่องกูรมาวตารต่อไป๒ ในที่นี้จะเก็บข้อความแต่เฉพาะที่กล่าวถึงเรื่องกำเนิดพระลักษมีมาลงไว้ ดังต่อไปนี้ ฯ
“คราวนี้พระศรีเทวี ผู้เปล่งปลั่งโสภาคย์ จึ่งผุดขึ้นมาจากคลื่น ประทับบนดอกบัวบาน พระหัตถ์ถือดอกบัว ฯ อันพระสิทธาทั้งหลายพากันมีความโสมนัส ก็พร้อมกันสรรเสริญพระองค์ด้วยศรีสูกต์ (คือบทสรรเสริญพระศรี) ฯ วิศวาวสุและคนธรรพทั้งหลายก็ขับร้อง และนางฆฤตาจีและเทพอัปสรก็ฟ้อนรำต่อหน้าเทวี ฯ พระคงคาและมหานทีอื่น ๆ ต่างพากันมาชำระสระสนาน และเทพหัสดินก็พากันตักน้ำใสสะอาดด้วยหม้อทองมารดถวายพระเทวีผู้เป็นโลกราชินี ฯ พระเกษียรสมุทรนำพวงมาลัยดอกไม่รู้โรยมาถวายโดยตนเอง และพระเทพศิลปิน (วิศวกรรม) ก็ประดับพระองค์ด้วยทิพยาภรณ์ ฯ ครั้นเสร็จสระสรงทรงเครื่องแล้ว นางก็เข้าไปกอดพระหริต่อหน้าทวยเทพ และในขณะที่นางอิงแอบแนบพระองค์อยู่นั้นนางก็ชำเลืองดูทวยเทพ ซึ่งพากันมีความโสมนัสยินดียิ่ง แต่ฝ่ายพวกแทตย์มีท้าววิประจิตติเป็นนายก หารู้สึกเช่นนั้นไม่ แต่กลับมีความพิโรธเมื่อพระวิษณุเป็นเจ้าผันพระพักตร์ไปจากเขาทั้งหลาย และพระลักษมีก็ทอดทิ้งเขาทั้งหลายเสียแต่บัดนั้น ฯ”
พระลักษมีนั้น ข้างพราหมณ์นับถือว่าเป็นเทวีผู้เป็นแบบแผนแห่งนางงามทั่วไป ทั่งถือกันว่าเป็นเจ้าแห่งความรัก ความมั่งคั่ง และความเจริญ เพราะฉะนั้นจึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก จนมีคำพูดกันว่า ถ้าใครมั่งคั่งและเจริญเรียกว่าพระลักษมีโปรด ถ้าใครอับจนและได้ทุกข์ก็ว่าพระลักษมีทิ้งเสียแล้ว
ในรูปมักเขียนพระลักษมีเป็นนางงาม มีสีกายเป็นทอง นั่งบนดอกบัวมือถือดอกบัว บางตำหรับก็ว่ามี ๔ กร แต่โดยมากมักเขียน ๒ กรเท่านั้นเพราะ ๕ กรรงรังนัก
พระลักษมี มีนามเรียกกันต่าง ๆ มาก ที่ใช้บ่อย ๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้วข้างบนนี้) คือ หริปรียา (ที่รักแห่งพระหริ) ชลธิชา (เกิดแต่น้ำ) อินทิรา (งาม) โลกมาตา (มารดาโลก).-------------------------------------
๑ วิษณุปุราณะ ขัณฑ์ที่ ๑ วรรคที่ ๓ มีมาตราเวลาอยู่ว่า:-
๑๕ นิเมษ (พริบตา ) - ๑ กาษฐา
๓๐ กาษฐา - ๑ กลา
๓๐ กลา - ๑ มหูรตะ
๓๐ มหูรตะ - ๑ วันกับคืน.
๒ ดู นารายน์สิบปาง พระราชนิพนธ์ ร. ๖
พญาครุฑ พญาครุฑเป็นพาหนะแห่งพระนารายน์ และมักกล่าวถึงอยู่ด้วยกันเนืองๆ เพราะฉะนั้นจึ่งสมควรที่จะกล่าวถึงกำเนิดและเรื่องราวไว้ในที่นี้บ้าง พอเป็นสังเขป
เรื่องที่กล่าวถึงพญาครุฑนั้น มีกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง แต่ปราชญ์อังกฤษผู้ ๑ ชื่อดับลยู. เย. วิลกินส์ ได้รวบรวมเรื่องพญาครุฑไว้ในหนังสือชื่อ “ฮินดูมิธอโลยิ” แสดงด้วยเรื่องเทวดาต่าง ๆ ในไสยศาสตร์ ข้าพเจ้าเก็บข้อความจากหนังสือฉบับนี้บ้าง จากหนังสืออภิธานนามในไสยศาสตร์ ของอาจารย์ ยอน เดาสัน อีกฉบับ ๑ เลือกสรรที่จุใจมาลงไว้ในที่นี้ ฯ
พระกัศยปประชาบดีมีชายาหลายนาง แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงแต่ ๒ นาง ซึ่งมีนามเนื่องในเรื่องพญาครุฑ คือนางวินะตา ๑ นางกัทรุ ๑ เป็นพี่น้องกัน นางวินะตานั้นเป็นมารดาพญาครุฑกับพระอรุณ นางกัทรุเป็นมารดาแห่งนาคทั้งหลาย ฯ นางทั้ง ๒ นั้นไม่ชอบกัน และลูกต่อลูกก็เป็นอริกันด้วย ฯ สาเหตุที่จะวิวาทกันใหญ่นั้น คือ ๒ นางนั้นเกิดเถียงกันขึ้นถึงเรื่องสีม้า ซึ่งผุดขึ้นมาจากเกษียรสมุทรเมื่อครั้งกวนอมฤต ถึงแก่ท้าพนันกันว่า ถ้าใครแพ้ต้องยอมเป็นทาสี เผอิญนางวินะตาแพ้ จึ่งต้องเป็นทาสีให้นางกัทรุและนาคผู้เป็นลูกใช้ ฯ ในมหาภารตมีเรื่องราวพิสดารกล่าวด้วยการที่พญาครุฑได้ช่วยมารดาให้พ้นจากกรรมกร เนื้อเรื่องเล่าโดยย่อมีอยู่ดังต่อไปนี้ ฯ
เหล่านาคมีความปรารถนาที่จะได้กินน้ำอมฤต เพื่อจะได้ไม่ตาย จึงตั้งข้อสัญญาไว้ว่า ถ้าพญาครุฑไปเอาพระจันทร์ ซึ่งมีน้ำอมฤตอยู่เป็นบ่อ ๆ นั้นมาให้เป็นค่าไถ่ จึ่งจะปล่อยตัวนางวินะตาให้พ้นจากกรรมกร พญาครุฑรับคำแล้วก็ไปหามารดาเพื่อขอเสบียงไปกินในกลางทาง นางก็สอนว่าให้ไปเที่ยวหากินตามริมฝั่งมหาสมุทร แต่กำชับว่าให้ระวังอย่ากินพราหมณ์ ให้กินแต่ผู้ที่ประกอบมิจฉาชีพ มีชาวประมงเป็นต้น ฯ พญาครุฑรับคำมารดาแล้วก็ลาไป จนถึงที่แห่ง ๑ เป็นหมู่บ้านชาวประมง พญาครุฑก็สูดเอาบ้านเรือน ต้นไม้ ปศุสัตว์ มนุษย์ และของอื่น ๆ ในที่นั้นกินเข้าไปหมด แต่ในหมู่คนที่อยู่นั้น เผอิญมีพราหมณ์อยู่คน ๑ ซึ่งพอพญาครุฑกลืนเข้าไปแล้วก็รู้สึกเร่าร้อนเป็นกำลัง รู้ได้ว่าได้กลืนพราหมณ์เข้าไปแล้ว จึงร้องบอกแก่พราหมณ์ว่าให้ออกมาเสียเถิด พราหมณ์ตอบว่ามีภรรยาอยู่คน ๑ เป็นลูกสาวชาวประมง ต้องให้นางนั้นออกมาด้วยพราหมณ์จึ่งจะยอมออกมา พญาครุฑก็ยอมตาม ฯ พญาครุฑบินต่อไปจนถึงพระกัศยปผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นดาวสถิตในนภากาศ พระบิดาก็ชี้ทางให้ไปหาอาหารที่ทะเลสาบแห่ง ๑ พญาครุฑไปก็พบเต่ากับช้างกำลังต่อสู้กันอยู่ เต่านั้นตัวยาว ๘๐ โยชน์ และช้างยาว ๑๖๐ โยชน์ พญาครุฑคีบเต่าด้วยตีน ๑ คีบช้างอีกตีน ๑ แล้วก็ไปจับบนต้นไม้ต้น ๑ สูง ๘๐๐ โยชน์ แต่ต้นไม้นั้นทนน้ำหนักไม่ไหว กิ่งก็ลั่นจะหัก และเผอิญบนค่าคบไม้นั้น มีพราหมณ์คนรูกำลังประชุมกันบูชายัญอยู่หลายพันคน พญาครุฑเกรงว่าพราหมณ์จะเป็นอันตราย จึ่งคาบกิ่งไม้ที่พราหมณ์ประชุมอยู่นั้นด้วยปาก คงถือช้างและเต่าไว้ด้วยตีน และบินไปจนถึงภูเขาแห่ง ๑ ในที่ไกลถิ่นมนุษย์ วางกิ่งไม้ลงโดยดีแล้ว จึ่งกินเต่าและช้างได้โดยสะดวก ฯ ต่อนี้ไปพญาครุฑได้ข้ามพ้นอันตรายต่าง ๆ อีกหลายอย่าง จนในที่สุดจึงไปถึงพระจันทร์ ฉวยพระจันทร์ได้แล้วก็เอาซ่อนใต้ปีกและบินกลับ ฯ มากลางทางพบพระอินทร์และทวยเทพซึ่งทราบเหตุว่าพญาครุฑลักน้ำอมฤตไปได้ เทวดาก็พากันเข้ารบพญาครุฑเพื่อชิงน้ำอมฤตคืน แต่พญาครุฑมีฤทธิ์มาก ทำลายวัชระของพระอินทร์เสียได้ แม้แต่พระนารายน์ก็เอาชำนะพญาครุฑมิได้ แต่พญาครุฑจะหนีพระนารายน์ก็ไม่พ้นเหมือนกัน ในที่สุดจึงตกลงทำสัญญาเป็นไมตรีกัน พระนารายน์ประทานพรให้พญาครุฑไม่ตายและสัญญาว่าจะให้นั่ง ณ ที่สูงกว่า ฝ่ายพญาครุฑยอมเป็นพาหนะแห่งพระนารายน์ ฯ เพื่อเหตุนี้แล พระนารายน์จึ่งทรงครุฑ และส่วนพญาครุฑก็ได้อยู่ในธงที่งอนรถพระนารายน์ อันเป็นที่นั่งที่สูงกว่า ๆ เรื่องนี้ในรามายณะก็มีเหมือนกัน ฯ
พญาครุฑกับพวกนาคนั้น เลยเป็นอริกันไม่มีที่สุด และจนชั้นบุตรหลานก็ยังคงเป็นศัตรูต่อกัน เพราะเหตุฉะนั้นพวกพราหมณ์เมื่อกลัวงูจึ่งออกนามพญาครุฑเพื่อให้งูกลัว ฯ
ส่วนรูปครุฑนั้น ตามตำหรับว่ามีศีรษะ ปีก และตีนเป็นนก แต่มีตัวเป็นคน หน้าสีขาว ปีกสีแดง ตัวเป็นทอง ฯ
พญาครุฑมีชายาชื่ออุนนะตี หรือวินายกา มีบุตรชื่อสัมปาตี (ซึ่งในรามเกียรติ์ของเราเรียก “สัมพาที”) กับชดายุ (ซึ่งในรามเกียรติ์เรียก “สดายุ”)
ส่วนนามแห่งพญาครุฑนั้น มีอยู่เป็นอันมาก แต่ที่ใช้อยู่บ่อย ๆ ได้เก็บมารวบรวมไว้ต่อไปนี้ คือ -
สุบรรณ ม | | ปีกงาม |
ครุตมัน | | จอมนก |
ทักษายะ | | พอใจในความคล่องแคล่ว |
ศาลมลิน | | ผู้อยู่ต้นศาลมะลิ (งิ้ว) |
ตรรกษยะ | | (คำแปลเคลือบคลุม) |
วินายก | | ผู้ปัดเป่า (ความขัดข้อง) |
สีตานน | | หน้าขาว |
รักตะปักษ์ | | ปีกแดง |
เศวตะโรหิต | | ขาวแดง |
สุวรรณกาย | | ตัวทอง |
คัคเนศวร | | จอมฟ้า |
ขะเคศวร | | จอมนก |
นาคานตก | | ทำลายนาค |
ปันนัคนาศน์ | | ผลาญงู |
สรรปาราติ | | ศัตรูกับงู |
อุรคาริ | | อริแห่งงู |
ตรัศวิน | | ผู้ไปเร็ว |
รสายน | | วิ่งเหมือนปรอท |
กามะจาริน | | ผู้เที่ยวไปตามใจ |
กามายุส | | ผู้อยู่ตามสบาย |
จิราท | | กินนาน |
วิษณุรถ | | ยานพระวิษณุ |
วิษณุวาหน | | พาหนะพระวิษณุ |
สุเรนทรชิต | | ผู้ชำนะพระอินทร์ |
วัชระชิต | | ผู้ชำนะวัชระ |
ไวนะเตยะ | | เกิดแต่นางเวนะตา |
พญาอนันตนาคราช เมื่อกล่าวถึงพญาครุฑแล้ว ก็นำให้นึกถึงพญานาค เพราะฝ่าย ๑ เป็นพาหนะพระนารายน์ อีกฝ่าย ๑ ก็เป็นบัลลังก์ ฯ เรื่องราวเที่ยวกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง แต่อาจารย์ยอน เดาสัน ได้เก็บรวบรวมไว้โดยสังเขปในอภิธานของเขา ข้าพเจ้าจึ่งสามารถเกิบข้อความคัดมาไว้ได้ดังต่อไปนี้ ฯ
พญาอนันตนาคราช หรือเศษนาค และวาสุกีก็เรียก เป็นอธิบดีแห่งนาคทั้งหลาย และเป็นใหญ่เหนือแคว้นบาดาล เป็นบัลลังก์ที่พระนารายน์บรรทมพักในระหว่างสร้างโลก มีศีรษะพัน ๑ ฯ บางตำหรับก็ว่าพญาเศษนาคเป็นผู้แบกโลกไว้ และบางแห่งก็ว่ารองบาดาลทั้ง ๗ ชั้น เมื่อหาวครั้งใดแผ่นดินก็ไหวครั้งนั้น ฯ เมื่อสิ้นกัลปก็พ่นพิษเป็นเปลวไฟไหม้โลกหมดสิ้น ฯ เมื่อครั้งเทวดากวนเกษียรสมุทรเพื่อหาน้ำอมฤตนั้น ได้ใช้พญาเศษนาคเป็นเชือกพันรอบมันทรคีรีและชักภูเขานั้นให้หมุนไป ฯ
ในรูปภาพ พญาเศษนาคแต่งกายผ้าสีม่วง สวมสังวาลขาวมือ ๑ ถือผาลไถ และมือ ๑ ถือสากตำข้าว ฯ (ที่ถือผาลไถและสากนี้เพราะกล่าวว่าในปางพระกฤษณาวตาร พญานาคนี้เป็นพระพลเทพ) ฯ
ในหนังสือปุราณะต่าง ๆ กล่าวว่า พญาอนันตนาคราชเป็นลูกพระกัศยปกับนางกัทรุ ฯ บางตำหรับว่าเป็นพระลักษมณ์ในปางพระรามาวตาร และเป็นพระพลเทพในปางพระกฤษณาวตาร ฯ
พังพานแห่งพญาอนันตนาคราชนั้น เรียกว่ามณีทวีป แคว้นชื่อบาดาล นครหลวงชื่อโภควดี วังชื่อมณีภีตติ ที่อยู่ชื่อมณีมณฑป มเหสีชื่ออนันตศีรษา.