[ โดย อ.ไกร จากบอร์ดเก่า ]
ศีล ๕ ละเอียดอ่อนกว่าที่คิด “วันนี้โยมรับศีล ๕ รึยัง ถ้ายังก็ให้อาราธนาศีล ๕ ถ้าอยู่ที่วัดก็สามารถรับกับ
พระภิกษุสงฆ์ แต่ถ้าอยู่ที่บ้านโยมก็รักษาศีล ๕ เองก็ได้นะ ให้อาราธนาศีล ๕
เองในใจ วันนี้เราจะตั้งใจรักษาศีล” แม่ทศพรมักจะให้คำแนะนำ ทุกๆคนเวลาคนเหล่า
นี้เข้ามาหาเพื่อปรึกษาข้อปฏิบัติธรรม ศีล 5 จะได้เป็นเสมือนรั้วคอยป้องกันเราให้หลีก
ไกลจากอันตรายอานิสงส์ของการรักษาศีล5 ที่เป็นศีลของฆราวาส ถ้าสามารถรักษา
ได้อย่างครบถ้วนไม่ด่างพร้อย ก็ทำให้บุคคลผู้นั้นถึงพระอรหันต์ได้ในชาตินี้
ศีล5 จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก...น้อย แต่เป็นเรื่องใหญ่...กว่าที่คิด
ศีลข้อที่ 1 อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันw
เดี๋ยวนี้เวลาคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะแม่บ้านยุคนี้พอได้ เวลาเข้าครัวทำอาหารให้สมาชิก
ในบ้านรับประทานก็เดินทางไปหาซื้อข้าว ปลา เนื้อสัตว์และพืชผักในห้างสรรพสินค้า
มากกว่าการไปจ่ายของที่ตลาดสด ภายให้ห้างสรรพสินค้าก็จะตระเตรียมเนื้อสัตว์ทุก
ประเภทไว้ให้พร้อมตั้งแต่เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ กุ้ง ปลา ปู ฯลฯ แม่บ้านสามารถซื้อเนื้อ
สัตว์กลับเอามาเตรียมทำกับอาหารได้อย่างสะดวกสบาย ซึ่งวิถีชีวิตแบบนี้แตกต่างไป
จากชาวบ้านในอดีตที่บางบ้านจะต้องลงมือฆ่ากุ้ง หอย ปู ปลา รวมถึงเป็ดไก่แทบทุกวัน
เพื่อใช้เป็นอาหารให้คนในครอบครัว ครั้นพอถึงวันโกน วันพระ บรรดาชาวบ้านก็จะหอบ
ลูกจูงหลานไปเข้าวัดฟังธรรมรับศีล 5 จากหลวงปู่หลวงตาที่วัดประจำหมู่บ้าน ในวันนี้
เองก็จะงดการฆ่าสัตว์ทั้งปวง
แม่ชีทศพรกล่าวไว้ว่าคนในยุคนี้ส่วนใหญ่ในสังคมเป็นสุจริตชนจึงแทบไม่ได้ฆ่าสัตว์
มาประกอบอาหารและแน่นอนว่าจะไม่ผิดศีลข้อที่ 1 ด้วยการฆ่ามนุษย์ทำให้สามารถ
รักษาศีลข้อที่ 1 ไว้ได้ แต่องค์ประกอบของศีลข้อ 1 ไม่ใช่มีความหมายแค่
“การห้ามฆ่าสัตว์ทุกประเภท” เพียงอย่างเดียว ความหมายในเชิงลึกของศีลข้อที่ 1
คือ ห้ามทำการสิ่งใดทั้งทางกาย วาจาและใจ ในการเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่นให้เดือดร้อน
การที่เราไม่ได้ฆ่ายุง ไม่ได้ฆ่าแมลง แต่ทุกๆวันเราเบียดเบียนผู้อื่นทางการกระทำ
ใช้วาจาเชือดเฉือนให้ตายทั้งเป็นเจ็บปวดหัวใจ ทำให้เขาเสื่อมเสีย ทำให้เขาทุกข์ร้อน
นี่ก็ถือว่ากรรม ทำให้เขาได้รับความทุกข์เป็นการเบียดเบียนด้วยการกระทำ เป็นเรื่องที่
เห็นกันเป็นปกติในชีวิตประจำวันที่พบเห็นอยู่ในครอบครัว ที่ทำงาน เช่น พ่อกับแม่เคย
ทำปู่กับย่าเอาไว้ พอมาถึงลูก ลูกก็ทำกับพ่อกับแม่บ้าง การพูดจาถากถางกันการทำ
แบบนี้เรียกว่าผิดศีลข้อที่ 1 เพราะเป็นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แม้จะไม่ได้เอา
ไม้ไปตีให้เจ็บ แต่ก็พูดให้เจ็บใจแบบนี้ตายทั้งเป็น หรือแม้แต่เราไปใช้หรือจ้างวานให้
คนอื่นไปทำร้าย หรือฆ่าผู้อื่นตามคำสั่งเราก็เป็นการผิดศีลข้อที่ ๑ เช่นกัน
กรรมของคนอยากดัง..ให้ร้ายป้ายสี
เด็กนักเรียนหยิบหนังสือการ์ตูนบนแผงหนังสือมาเปิดอ่าน ส่วนผู้หญิงข้าง ๆ ก็หยิบ
นิยายรักวัยรุ่นขึ้นมาดูเล็กน้อยก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับเจ้าของ ขณะที่คนอื่น ๆ ก็สาละวนดู
หนังสือบนแผงไปตามความสนใจของตนเอง ทุกวันนี้มีนิตยสาร หนังสือพิมพ์ข่าว บันเทิง
เศรษฐกิจ ตลาดหุ้น นิยาย การ์ตูน ฯลฯ มากมายในท้องตลาด เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นมา
เองบ้าง สร้างจากจินตนาการบ้าง เขียนจากข้อเท็จจริงบ้าง บางเล่มก็เป็นโลกีย์ล้วน ๆ
แฉสันดานดิบของมนุษย์
ทุกวันนี้สังคมมนุษย์กลายเป็นสังคมที่เสพข่าวสารและข้อมูลจำนวนมาก ข้อมูลข่าว
สารดังกล่าวบางทีก็สร้างพิษร้ายในใจของคน บางครั้งเพื่อความอยากเด่นอยากดังก็มี
การสร้างข่าวใส่สีโจมตีผู้อื่นเพื่อขายข่าว ขายหนังสือ ซึ่งมีผลให้ผู้เสียหายได้รับความ
เดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม คนบางคนก็เล่นงานคนอื่นด้วยการเขียนบัตรสนเท่ห์
ซึ่งลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายผิดศีลข้อที่ ๑ เบียดเบียนทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
แม้จะไม่ได้ฆ่าให้ตาย แต่ก็ทำให้ตายทั้งเป็น
แม่ชีทศพร กล่าวตักเตือนว่าต่อให้เราเกลียดใคร ไม่ชอบใคร อิจฉาริษยาใครก็ตาม
ก็อย่าไปทำร้ายคนอื่นเด็ดขาดโดยอธิบายว่า “โยมอย่าเขียนบัตรสนเท่ห์ไปทำร้ายคน
อื่นเลย อย่าเขียนหนังสือกลั่นแกล้งคนอื่น ลำพังเพียงแค่โยมไม่ชอบขี้หน้าเขาไม่ว่า
จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แล้วเก็บเอาอารมณ์มาครุ่นคิด อยากแก้แค้น มันก็กลายเป็น
ไฟเผาในใจให้ร้อนรน มันทุกข์ เป็นอกุศลจิต”
แต่นับว่ายังเป็นเพียงอาการที่เกิดขึ้นในใจที่โยมยังไม่ได้ลงมือกระทำออกด้วยกาย
ทันทีที่เราหยิบปากกาเขียนหนังสือหรืออักษรขึ้นมา มันแปรความคิดเป็นการกระทำ
พลังงานของจิตมันเปลี่ยนเป็นการกระทำ ตรงนี้ให้ผลมากและยิ่งถ้าเราได้ส่งข้อความ
นี้ออกไปให้บุคคลที่สามได้อ่านหรือออกสู่สาธารณชน มันคือการลงมือพยายามเพื่อ
ให้ผลของอกุศลกรรมบรรลุเป้าหมายมีผู้เสียหายเกิดขึ้น ซึ่งผู้เสียหายก็คือเจ้าหนี้ของเรา
และเราก็มีกรรมที่เป็นอกุศลจิตที่เราเพียรสร้างเองผูกทบเข้าไปในดวงจิตอีกปม มันก็
เลยซับซ้อนกันแบบนี้
แม่ชีทศพร กล่าวว่า เราจะทำอะไรก็ตาม เราจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราทำ
เช่นเราเขียนหนังสือ เราก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเขียน งานเขียนของเราจะต้อง
ไม่ไปทำร้ายใครให้เดือดร้อน ในบางกรณีที่ใครก็ตามเขียนหนังสือขึ้นมาขายโดย
เอาเรื่องคนอื่นมาเขียนให้ได้รับความเสียหาย โดยไม่มีมูลความจริง เช่น ข่าวสังคม
ข่าวดารา ข่าวลือ หนังสือโจมตีด่ากัน ใบปลิวโจมตีงานหรือบุคคลอื่น ๆ แล้วทำให้
เขาคนนั้นได้รับความเสียหาย ทำให้ถูกตราหน้าจากสังคมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นความจริง
ตามข่าว และที่ร้ายไปกว่านั้น ทำให้เขาตกงานหรือหางานทำไม่ได้ เขาเดือดร้อนคน
เดียวก็เป็นบาปพอแล้วแต่ถ้าเขาคือหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต
ก็ยิ่งบาปเพิ่มขึ้นอีก และถ้าคนที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีเป็นคนดีมีศีลธรรม เป็นคนที่สร้าง
คุณูปการให้กับสังคมก็ยิ่งเพิ่มความหนักของกรรมเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
ขอให้ลองสังเกตดูสังคมเดี๋ยวนี้หนังสือทางโลกที่วางขายกันเกลื่อนตลาด
มีหลากหลายประเภท หนังสือเหล่านี้สามารถที่จะพิมพ์และวางขายกันได้อย่างเสรี
ในขณะเดียวกันอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนให้คนทำความดี สอนความ
รักความเมตตาให้เกิดขึ้นในสังคมโดยมีหลักศาสนาเข้ามาผูกพันโดยมุ่งหวังจะให้
เกิดประโยชน์กับทุกเพศและทุกวัย บางครั้งก็มีการนำเสนอหลักธรรมคติข้อคิดใน
การดำเนินชีวิตออกมาในรูปแบบของการ์ตูน นิยาย นิทาน ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์
อย่างเข้มข้นโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงความมุ่งหวังที่จะเห็นเด็กไทยใน
สังคมมีคุณภาพทางอารมณ์ที่ดีขึ้น
การเขียนข้อความที่ให้ร้ายคนอื่นโดยที่ไม่มีมูลความจริงเช่น บัตรสนเท่ห์
หนังสือโจมตี คนที่ทำแบบนี้ไม่สามารถก้าวพ้นความอิจฉา ริษยา ในจิตใจตนเอง
คนเหล่านี้ขาดความเมตตาในใจ ซึ่งการที่จะแก้ก็คือการเจริญเมตตาภาวนาให้เกิด
ขึ้นในจิตใจให้สม่ำเสมอ เพราะการไม่เจริญเมตตาภาวนาในใจแล้ว จิตที่เป็นอกุศล
เพราะความอิจฉาริษยา มันจะส่งผลให้ชีวิตไม่ก้าวหน้า มีความล้มเหลวในทางความรัก
ความน่าเชื่อถือไปตลอด
ขอบคุณแหล่งที่มา :
http://www.thossaporn.com/article_detail.php?id_edit=29